|
บาป คือสิ่งที่ทำแล้วมันทำให้จิตใจเรามีคุณภาพต่ำลง เวลาคุณโกรธ ถึงคุณไม่แสดงออก แต่ความโกรธนั้นมันก็เผาใจคุณอยู่ภายใน
เราผู้โกรธก็ต้องได้รับผลของความโกรธนั้นก่อนใครและก่อนบุคคลที่เราโกรธเสียด้วยซ้ำ -------------------------------- วิธีดับโกรธตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค
คัมภีร์วิสุทธิมรรคแสดงอุบายในการปฏิบัติเพื่อแก้ไขความคิดแค้นเคืองใจไว้หลายอย่าง ซึ่งเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับอุปนิสัยของบุคคล ดังนี้
๑. พึงระลึกถึงโทษของความโกรธ ด้วยการระลึกถึงคำสอนที่ให้ระงับความโกรธ เช่น
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้หากพวกใจรป่าจะพึงจับไปแล้วเอาเลื่อยผ่ากาย หากผู้ใดทำจิตให้คิดร้ายในพวกโจรนั้น ผู้นั้นก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสอนของเรา" หรือ "ผู้ใดโกรธตอบผู้โกรธก่อน ผู้นั้นเลวกว่าผู้ที่โกรธก่อน ส่วนผู้ที่ไม่โกรธตอบ ผู้นั้นชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุจะจับชายสังฆาฏิติดตามไปข้างหลังเรา แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้มีอภิชฌา (ความเพ่ง อยากได้) มีความกำหนดแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท...ภิกษุนั้นย่อมอยูห่างไกลเราทีเดียว และเราก็อยู่ห่างไกลภิกษุนั้น เพราะภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรมย่อมชื่อว่าไม่เห็นเรา"
หรือผู้ใดโกรธก็เท่ากับผู้นั้นทำตัวให้ประสบผลร้ายต่าง ๆ เช่น มีผิวพรรณทราม ใบหน้าหม่นหมอง และนอนเป็นทุกข์ เป็นต้น
๒. พึงระลึกถึงความดีของเขา คือ ยกเอาแต่แง่ดีของเขา แง่ใดแง่หนึ่งขึ้นมาพิจารณา ถ้าไม่พบความดีของเขาเลย ก็พึงตั้งจิตเกื้อการุณย์ เอาใจช่วยให้เขาทำความดี เพื่อพ้นจากทุคติ
๓. พิจารณาว่าความโกรธคือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และศัตรูก็สมใจ พึงสอนตนเองให้รู้ว่า
"ตัวเจ้าเมื่อออกบวช ต้องละมารดาบิดาผู้มีอุปการะมาก ละหมู่ญาติออกมาได้ แล้วทำไมเจ้าจึงละความโกรธที่เป็นศัตรูทำความพินาศใหญ่ให้มิได้ล่ะ" หรือ "คนที่ถูกโกรธเขาไม่รู้เรื่องด้วย เขาก็อยู่ของเขาตามสบาย แต่เราสิอยู่เป็นทุกข์เสียเอง, ศัตรูต้องการให้เจ้าเป็นทุกข์ เมื่อเราโกรธตอบเขา ก็เท่ากับเราเป็นทุกข์สมใจเขาแล้ว" ดังนี้เป็นต้น
๔. พิจารณาตามหลักกรรมว่า แต่ละคนมีกรรมเป็นของตน เตือนตัวเองว่า
"ความโกรธนี้เป็นปัจจัยให้ทำอกุศลกรรมต่าง ๆ กรรมเหล่านั้นจักเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ตัวเรา เพราะเราเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับมรดกของกรรม กรรมที่เกิดจากความโกรธนั้น ไม่เป็นไปเพื่อให้เราบรรลุธรรม หรือความเป็นพระราชา เป็นต้น ที่แท้มีแต่ทำให้เราเคลื่อนจากพระศาสนา และเข้าถึงทุกข์ในนรก เป็นต้น การโกรธเขาก็เป็นเหมือนการที่เราเอามือกอบอุจจาระหมายไปโปะใส่ผู้อื่น ตัวเรานี่แหละเหม็นก่อน"
๕. พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า คือ ระลึกถึงตัวอย่างความเสียสละของพระองค์ ตั้งแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ เช่น ในชาดกหลายเรื่องพระองค์ได้ทรงสละชีวิต ช่วยเหลือแม้ผู้เป็นศัตรู ทรงชนะใจเขาด้วยความดี
เช่น สมัยเป็นพระเจ้าสีลวโพธิสัตว์ ทรงถูกยึดพระราชอำนาจ ศัตรูจับพระองค์ฝังดินให้เหลือแค่คอ ทรงใช้อุปบายให้สุนัขจิ้งจอกคุ้ยดินจนหลุดรอดมาได้ ต่อมา พระองค์ก็ลอบเข้าห้องบรรทมของพระราชาผู้เป็นศัตรูด้วยอานุภาพของยักษ์ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงทำร้าย ทรงปลุกให้ตื่นแล้วสัญญาเป็นพระสหายกัน
หรือสมัยเป็นขันติวาทีดาบส (บำเพ็ญขันติบารมี) ถูกพระราชากลาพุโบยด้วยหวาย ตัดมือและเท้าด้วยดาบ ก็ไม่ทำความโกรธให้เกิดขึ้นแก่พระราชา
ตัวอย่างเหล่านี้ เป็นกำลังใจให้สามารถดำรงตนอยู่ในความดีคือความไม่โกรธได้
๖. พิจารณาถึงความที่เคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ ดังที่ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นพี่น้องชาย ไม่เคยเป็นที่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดากันนั้นหาได้ยาก" พึงนึกว่าเขากับเราก็คงเป็นญาติพี่น้อง มีอุปการะกันา ไม่ควรจะมาโกรธกัน
๗. พึงพิจารณาอานิสงส์แห่งเมตตา คือ พึงมีเมตตาจิตต่อกันและกัน ดีกว่าโกรธอาฆาตมาดร้ายกัน ทั้งเมตตานี้ก็มีอานิสงส์มาก เช่น ทำให้หลับและตื่นเป็นสุข เป็นต้น
๘. พิจารณาแบจำแนกแยกธาตุ คือ มองให้เห็นความจริงว่า ที่เราโกรธกันวุ่นวายไปนั้น ความจริงแล้วมีแต่สิ่งที่คิดสมมติกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นผู้นั้นผู้นี้ แท้จริงแล้วมีแต่เพียงอาการ ๓๒ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น มีแต่ธาตุต่าง ๆ เช่น ธาตุดิน และธาตุไฟ เป็นต้น มีแต่ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ประชุมกัน เราโกรธอะไรล่ะ? โกรธผมหรือ? ขนหรือ? หรือว่าโกรธธาตุดิน? ดังนี้เป็นต้น จะเห็นว่าความโกาธไม่มีฐานที่ตั้งอะไรเลย
๙. พึงให้ทานหรือการแบ่งปันสิ่งของแก่กัน คือ พึงให้และแบ่งปันสิ่งของของตนแก่คนที่ไม่ถูกกันกับตน และพึงรับสิ่งของจากคู่ปรปักษ์นั้น เพื่อเป็นการแสดงไมตรีจิตต่อกัน ช่วยให้จิตอ่อนโยน เข้าใจ เห็นใจกัน ความโกรธเลือนหาย ความรักเกิดแทน ศัตรูก็มาเป็นมิตร
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 55 11:11:14
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 55 11:06:30
จากคุณ |
:
สติไม่มาปัญญาช้อปเกิด
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ต.ค. 55 11:03:52
|
|
|
|
|