|
----------------------------------- ได้อ่านความเห็นที่ 4 จึงไปค้นหาดู ความคิดเห็นที่ 4
คือ อาทิกัมมิกฌานวิถี
เกิดครั้งแรกเกิดเพียงดวงเดียวแล้วมีภวังค์มาคั่น
เป็นอัปปนาสมาธิ
จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 13:00:16
---------------------------
อาทิกัมมิกฌานวิถี ของติกขบุคคล
http://abhidhamonline.org/aphi/p4/044.htm
http://www.prapitum.mbu.ac.th/phrarpitum/apitum9-2.html
พระอภิธรรมปิฎก บทที่ ๙ - อัปปนาวิถี จิตที่รับอารมณ์เดียวโดยเฉพาะ หรือ จิตที่แนบแน่นอยู่ในอารมณ์เดียวโดยเฉพาะเรียกว่า อัปปนาจิต ได้แก่ มหัคคตจิต ๒๗ ดวง (คือ รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง อรูปาวจรจิต ๑๒) และโลกุตตรจิต ๘ ดวง (คือ มรรคจิต ๔ ดวง และผลจิต ๔ ดวง) อัปปนาวิถี คืออัปปนาจิตที่ขึ้นสู่วิถีทางมโนทวาร ได้แก่วิถีจิตที่มีอัปปนาชวนจิต ๒๖ คือ ก. มหัคคตกุศล ๙ (รูปาวจรกุศลจิต ๕ และอรูปาวจรกุศลจิต ๔) ข. มหัคคตกิริยา ๙ (รูปาวจรกิริยาจิต ๕ และอรูปาวจรกิริยาจิต ๔) ค. โลกุตตรจิต ๘๑ อัปปนาวิถีนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฌานวิถี เพราะเป็นวิถีจิตของท่านผู้ได้ฌาน ส่วน มหัคคตวิบากจิต ๙ ดวง (รูปาวจรวิบากจิต ๕ และอรูปาวจรวิบากจิต ๔) แม้เป็นอัปปนาจิตก็จริง แต่ก็เป็นวิถีวิมุตตจิต (จิตที่พ้นวิถี) จึงไม่อาจเกิดขึ้นในอัปปนาวิถีได้ อัปปนาชวนะ คืออัปนาจิตที่ทำหน้าที่ชวนกิจ เสวยรสแห่งอารมณ์อย่างเดียวแนบแน่นอยู่โดยเฉพาะ ได้แก่จิต ๒๖ ดวง ที่ขึ้นสู่อัปปนาวิถีนั่นเอง อัปปนาชวนะหรืออัปปนาวิถีนี้ ย่อมเกิดได้เฉพาะทางมโนทวารวิถีทางเดียวเท่านั้น อัปปนาวิถีนี้ แม้จะเป็นมโนทวารวิถีก็จริง แต่เป็นมโนทวารวิถีที่มีการจำแนกเป็นวิภูตารมณ์หรืออวิภูตารมณ์ เหมือนอย่างในมโนทวารกามวิถี เพราะอัปปนาจิตต้องรับอารมณ์แนบแน่นอยู่กับอารมณ์อันเดียว จึงมีอารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดประเภทเดียว คือ วิภูตารมณ์เท่านั้น เพราะถ้าอารมณ์ไม่ชัดเจนจริง ๆ แล้ว อัปปนาวิถีหรืออัปปนาชวนะจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อัปปนาวิถี มี ๒ ประเภท คือ ๑. โลกิยอัปปนาวิถี ๒. โลกุตตรอัปปนาวิถี โลกิยอัปปนาวิถี
โลกิยอัปปนาวิถี หมายถึงวิถีที่มีมหัคคตจิต ๑๘ ดวง คือ มหัคคตกุศลจิต ๙ และมหัคคตกิริยาจิต ๙ เกิดขึ้นได้ คือ ในอัปปนาวิถีนี้ เวลาที่มหัคคตกุศลจิต ๙ ดวง ดวงใดดวงหนึ่งเกิดขึ้นนั้นต้องอาศัยมหากุศลญาณสัมปยุตจิตเกิดขึ้นก่อน ๓ - ๔ ขณะแล้ว มหัคคตจิตดวงใดดวงหนึ่งจึงเกิดขึ้นได้ โลกิยอัปปนาวิถี แบ่งเป็น ๒ คือ ๑. อาทิกัมมิกฌานวิถี ๒. ฌานสมาบัติวิถี โลกิยอัปปนาวิถี ๒ วิถี ๑. อาทิกัมมิกฌานวิถี ของ มันทบุคคล มีวิถีจิตเกิด ดังนี้:- น ท ม โน บริ อุป อนุ โค ฌ ภ ๒. อาทิกัมมิกฌานวิถี ของติกขบุคคล มีวิถีจิตเกิด ดังนี้ :- น ท ม โน อุป อนุ โค ฌ ภ
โลกุตตรอัปปนาวิถี ๒ วิถี
๑. มัคควิถี ของมันทบุคคล มีวิถีจิตเกิด ดังนี้ :- น ท ม โน ปริ อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ภ ๒. มัคควิถี ของ ติกขบุคคล มีวิถีจิตเกิดดังนี้ :- น ท ม โน อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ผล ภ (ตั้งแต่สกทาคามิมรรค ขึ้นไป ปริ อุป อนุ รวมเรียกว่า อนุโลมญาณ และ โค เรียกว่า โวทาน) อธิบายคำย่อ น ภวังคจลนะ, ท ภวังคุปัจเฉทะ, มโน มโนทวาราวัชชนะ, ป บริกรรม, อุป อุปจาร, อนุ อนุโลม, โค โคตรภู, ฌ ฌาน, มัคค มรรคจิต, ผล ผลจิต, ภ ภวังค์
อาทิกัมมิกฌานวิถี
เมื่อผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานฝึกอบรมจิตของตนโดยการเพ่งหรือโดยการกำหนดอารมณ์กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดากรรมฐาน ๓๐ อย่าง ที่สามารถให้เกิดอัปปนาสมาธิได้ มีอานาปานสติ และกสิณ ๑๐ เป็นต้น จนเกิดโลกิยอัปปนาวิถี มีอัปปนาชวนจิตเกิดเป็นปฐมฌานเป็นต้น ท่านเรียกโลกิยอัปปนาวิถีที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของผู้ที่ได้ทุติยฌานก็ดี ตติยฌานก็ดี จตุตถฌานก็ดี ปัญจมฌานก็ดี จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานก็ดี อัปปนาวิถีนั้น ๆ ชื่อว่า อาทิกัมมิกฌานวิถี เช่นเดียวกัน
อาทิกัมมิกฌานวิถี มี ๒ อย่าง คือ ก. อาทิกัมมิกฌานวิถีของมันทบุคคล ข. อาทิกัมมิกฌานวิถีของติกขบุคคล
อาทิกัมมิกฌานวิถีของมันทบุคคล
โลกิยอัปปนาวิถีของมันทบุคคล คือบุคคลที่บรรลุฌานได้ช้า ย่อมมีมหากุศลญาณสัมปยุตที่เป็นกามชวนะเกิดขึ้นก่อน ๔ ขณะ แล้วฌานจิตจึงเกิดขึ้น ฌานจิตที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกทุก ๆ ฌานจะต้องเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้นเสมอ ต่อเมื่อหมั่นอบรมในการเข้าฌานอยู่บ่อย ๆ จนมีความชำนาญ (วสี) คือสามารถเข้าออกจนชำนาญคล่องแล้วจึงจะเข้าฌานนั้น ๆ อยู่นานตามต้องการได้ ฌานจิตนี้จะเกิดติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาที่เข้าฌานหรือเข้าสมาบัติอยู่ ฉะนั้น เมื่อแรกได้ฌานทุกฌาน ฌานจิตจะเกิดเพียงขณะเดียว แล้วเป็นภวังค์ (ตกภวังค์)
อาทิกัมมิกฌานวิถีของมันทบุคคล (ทันธาภิญญาบุคคล) มี ๖ วิถี คือ
๑. ภวังคจลนะ ๑ ขณะจิต ๒. ภวังคุปัจเฉทะ ๑ ขณะจิต ๓. มโนทวาราวัชชนะ ๑ ขณะจิต ๑ วิถีพ้นวิถี ๒ ขณะจิต ๔. บริกรรม ๑ ขณะจิต ๑ วิถี ๕. อุปจาร๑ ขณะจิต ๑ วิถี๖ ขณะจิต๖ วิถีจิต ๖. อนุโลม๑ ขณะจิต ๑ วิถี ๗. โคตรภู๑ ขณะจิต ๑ วิถี ๘. ฌาน๑ ขณะจิต ๑ วิถี
อาทิกัมมิกฌานวิถีของติกขบุคคล
ส่วนโลกิยอัปปนาวิถีของติกขบุคคล คือ บุคคลที่สามารถบรรลุฌานได้เร็ว มีกามชวนะเพียง ๓ ขณะก็เข้าถึงฌาน โดยไม่มีบริกรรมชวนะ ฉะนั้น อาทิกัมมิกฌานวิถีของติกขบุคคล (ขิปปาภิญญาบุคคล) จึงมีเพียง ๕ วิถี คือ ๑. ภวังคจลนะ๑ ขณะจิต พ้นวิถี ๒ ขณะจิต ๒. ภวังคุปัจเฉทะ๑ ขณะจิต ๓. มโนทวาราวัชชนะ ๑ ขณะจิต ๑ วิถี ๔. อุปจาร๑ ขณะจิต ๑ วิถี ๕. อนุโลม๑ ขณะจิต ๑ วิถี๕ ขณะจิต ๕ วิถีจิต ๖. โคตรภู๑ ขณะจิต ๑ วิถี ๗. ฌาน๑ ขณะจิต ๑ วิถี อธิบาย บุคคลผู้จะบรรลุฌานนั้น จะต้องเจริญสมถกรรมฐาน โดยเพ่งหรือกำหนดอารมณ์กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในจำนวนอารมณ์สมถกรรมฐาน ๓๐ อย่าง ที่สามารถทำอัปปนาสมาธิให้บังเกิดขึ้นได้ คือ กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อานาปานสติ ๑ กายคตาสติ ๑ พรหมวิหาร ๔ อรูปธรรม ๔ เมื่อจิตเพ่งหรือกำหนดอารมณ์กรรมฐาน ก็ทำให้เกิดภวังคจลนะ คือ ภวังคจิตไหวแล้วก็ทำให้เกิดภวังคุปัจเฉทะ คือ จิตตัดกระแสภวังค์ แล้วขึ้นสู่มโนทวารวิถี(ตอนนี้จิตขึ้นสู่วิถีแล้ว)เมื่อมโนทวาราวัชชนะเกิดขึ้นแล้ว ก็อาศัยมนสิการ(ตั้งใจกำหนด)ในอารมณ์อันสืบต่อมาจากภวังค์นั่นเอง เมื่อมโนทวาราวัชชนะดับไป มหากุศลญาณสัมปยุตดวงใดดวงหนึ่งใน ๔ ดวงนั้นก็เกิดขึ้นทำหน้าที่เสวยอารมณ์ ซึ่งเป็นชวนกิจ ๕ ขณะ คือ บริกรรม อุปจาร อนุโลม โคตรภู และฌาน ตามลำดับ ดังนี้ ขณะที่ ๑ บริกรรม คือ จิตดวงแรกที่เกิดขึ้นในอัปปนา ชื่อว่า บริกรรม เพราะมีการภาวนาโดยรอบ คือมีการพิจารณาโดยถ่องแท้ ได้แก่ มหากุศลจิต มหากิริยาจิต ที่เกิดขึ้นก่อน ขณะที่ ๒ อุปจาร คือ เมื่อจิตดวงแรกดับไปแล้ว ก็มีจิตดวงที่ ๒ เกิดขึ้น ชื่อว่า อุปจาร เพราะเกิดใกล้อัปปนาชวนะ ขณะที่ ๓ อนุโลม คือ เมื่อชวนจิตดวงที่ ๒ ในอัปปนาดับแล้ว ก็มีชวนจิตดวงที่ ๓ เกิดขึ้นชื่อว่า อนุโลม เพราะอนุโลมคืออนุกูลแก่บริกรรมในเบื้องต้นและอัปปนาในเบื้องบน ขณะที่ ๔ โคตรภู คือ เมื่อชวนจิตดวงที่ ๓ ดับไปแล้ว ชวนจิตดวงที่ ๔ ก็เกิดขึ้น ชื่อว่าโคตรภู ที่ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่า ครอบงำเสียซึ่งกามโคตร ทำให้มหัคคตโคตรบังเกิดขึ้น ขณะที่ ๕ ฌาน คือ เมื่อโคตรภูดับไปแล้ว วิถีจิตก็เข้าสู่ฌานหรือฌานสมาบัติเพื่อเสวยความสุขอันเกิดจากฌานที่ตนได้บรรลุนั้น วิถีจิตในฌานสมาบัตินี้ เป็นเช่นเดียวกันกับอาทิกัมมิกฌานวิถี คือ ฌานวิถีของท่านผู้บรรลุรูปฌานหรืออรูปฌานเป็นครั้งแรก ถ้าเป็นขิปปาภิญญา บุคคล (ผู้บรรลุฌานเร็ว) ก็ไม่มีบริกรรม วิถีจิตจะข้ามจากมโนทวาราวัชชนะ มาสู่อุปจารเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นทันธาภิญญาบุคคล (ผู้บรรลุฌานช้า) ต้องมีบริกรรมด้วย คือมีวิถีจิตครบทั้ง ๖ และมีชวนจิตครบทั้ง ๖ ขณะดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------- ๑ โลกุตตรจิต ถ้านับอย่างย่อมีเพียง ๘ ดวง แต่ถ้านับอย่างพิสดารก็มีถึง ๔๐ ดวง คือ นับตามพระอริยบุคคลที่ได้ฌาน ๕ แล้วเอา ๕ คูณ ๘ (๕ x ๘) จึงเป็น ๔๐ ดวง
จากคุณ |
:
วงกลม
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ต.ค. 55 13:59:19
|
|
|
|
|