PANTIP.COM : Y12828067 ขอถามเรื่องศาสนาคริตส์ เรื่องของการชักชวน []

ความคิดเห็นที่ 8

ถ้าดูจากจริตของคุณแล้ว คุณก็น่าจะได้เป็นคริสต์ในไม่ช้านะครับ

เพราะการสวดมนต์ การไปวัด หรือแม้แต่การตัดสินใจจะออกบวชของเพื่อนคุณ มันแทบจะเป็นน่ำล้วนๆในพุทธศาสนาครับ ไม่มีแก่น สาระ เป็นแค่ประเพณี และความเชื่อของไทยๆ

แก่น จะอยู่ที่ การฝึก สติ --> วิปัสสนา

หรือ สมาธิ --> สติ --> วิปัสสนา

รวมหลักก็คือ มรรคมีองค์ 8 นั่นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้และทำก็จะเห็นผลทันที

แต่ถ้าแค่สวมนต์ หรือ ตักบาตร ไปวัด มันแค่ประเพณี ของชาวพุทธเท่านั้น และคุณจะไม่ค่อยเห็นอะไรหรอก นอกจากผลเล็กๆน้อยๆ ส่วนมากคนแนวนี้จะเบนไปคริสกันเยอะ เพราะเข้าใจพุทธศาสนาผิด

ทีนี้มาถึงเรื่องที่ว่าทำไมเค้าพยายามที่จะเข้าถึงคุณ เพราะว่าคุณจะไม่เปลี่ยนศาสนาหรอกถ้าแค่คุณไปศึกษา แต่คุณจะเปลี่ยนแน่เมื่อเขาสร้างอุปทานในใจคุณสำเร็จ

1. ใช้หลักจิตวิทยาแบบขายตรง

2.ต้องชวนคุณไปโบสให้ได้

3.ใช้หลักจิตวิทยาสร้างอุปทานในใจ หลักการคล้ายๆกับการเข้าทรงหรือทรงเจ้า แต่ในที่นี้ทำให้ดูดีกว่า คือไม่เต้นกระแด่วๆขนาดนั้น แต่อาจจะมีการทำท่าทำทางและบ่นพึมพำๆเพราะล้วงเข้าไปจิตใต้สำนึก เพื่อให้เกิดกระบวนการอุปทาน เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นคุณจะเข้าใจไปหรือรู้สึกไปว่า พระเจ้ามาหา พระเจ้ามาเรียก สัมผัสได้ และเมื่อจบกระบวนการนี้คุณก็ศรัทธา
เพราะคุณคิดรู้สึกว่าได้สัมผัสพระเจ้าแล้ว พระองค์มาเรียกแล้ว

4.สร้างกลุ่มก้อน มีคนมาเข้าถึง มาหา มาร้องเพลง เพื่อช่วยคงสถานะคุณไว้

5.สร้างหรืออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหลังจากนั้นว่าเป็นเพราะปฏิหารของพระเจ้า และจากการขอ

6.เขาจะให้คุณอ่านและศึกษาตำราเขาเยอะๆแล้วคุณจะได้เป็นผู้นำหรือคนๆหนึ่งที่ช่วยหาสาวกให้มากขึ้น ต่อๆไป ประกาศข่าวประเสริฐต่อไป

วังวลอยู่แค่นี้ครับ ที่พูดถึงนั้นเป็นแค่นิกายหนึ่งนะครับ ที่ขยันหาสาวกมากครับ ไม่ทุกนิกายนะครับที่ขยันหาสาวกแบบนี้ ตามมหาวิทยาลัยมีตรึม เขามีหลักสอนในการเข้าหาคนและเข้าไปพูดคุยด้วย

ทุนเขามีเยอะครับ จากสหรัฐเป็นหมื่นๆล้าน นี่ไม่นับรวมทุนจากเกาหลีอีกเยอะมาก

อย่างไรก็ตามในระดับพื้นๆทั่วๆไปของคนทั่วไปแล้ว ถ้าศาสนาไหนถูกจริตกับคุณหรือกับเขา คุณหรือเข้าก็จะมีความสุขได้ครับ

ผมได้เจอหลายๆคนที่ถูกจริตกับศาสนาคริตส์ และการเอาอกเอาใจหรือรวมตัวกันของกลุ่มสาวกก็จะทำให้คนๆนั้นรู้สึกอบอุ่น เหมือนตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาจากเมื่อก่อนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว

ผมเองนั้นไม่ค่อยอยากให้คุณไปเข้าคริตส์เท่าไหร่ แต่พอได้อ่านข้อมูลของคุณแล้ว ก็คิดว่าส่วนมากคนจริตแบบคุณนี่แหละที่ไปเข้าคริตส์กันเยอะ คนเข้าไปใหม่ๆจะตื่นเต้นครับ มีสิ่งแปลกใหม่ที่เค้าพยายามนำเสนอเยอะ รวมถึงความเอาอกเอาใจของเหล่าสาวก สิ่งไหนที่ถูกจริตกับคุณคุณก็จะมีความสุขสบายใจยิ่งขึ้น

แต่ถ้าด้วยเหตุผลใดก็ตามถ้าหากว่าคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นคริสต์ ยังเป็นพุทธอยู่ก้อยากให้คุณทำความเข้าใจใหม่นะครับ เอาความงมงายออกไป ไปเข้าคอสหรือฝึกสติที่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ถ้าให้ดีก็ไปวิปัสสนา ไม่ใช่แนวทางเดิมๆของหลวงพ่อนั้นหลวงพ่อนี้นะ คือให้ใช้ปัญาศึกษาจับหลักก่อน แล้วดูว่าที่ไหนเป็นไปตามหลัก ก็ไปร่วมฝึกกับเขา

ถ้าปัญญาตรงนี้เกิดขึ้นได้ คุณจะเป็นอิสระจากทุกสิ่งทุกอย่างและหาความสุขได้ง่ายมากจากทุกที่

ผมอยากบอกว่าหลายๆคนเมื่อเปลี่ยนศาสนาแล้วรู้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้น นั่นเพราะอะไร เพราะความเชื่อบางอย่างในศาสนาเดิมของเขา เขายังเข้าใจผิดอยู่ มันเป็นสร้างปมในใจไว้ เช่นการเชื่อเรื่องกรรมอย่างงมงาย ทำให้มีการยึดติดและเกรงกลัวอยู่ในจิตใต้สำนึก แต่พอเปลี่ยนความเชื่อโดยสิ้นเชิง ก็เหมือนลบปมนั้นทิ้งไป ก็จะสบายใจและมีความสุขขึ้นมากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตามมีอีกวิธีที่จะลบปมได้นอกจากเปลี่ยนศาสนาแล้วคือ การทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ในศาสนาเดิมของตัวเองครับ มีทางเลือกสองทางนะครับ เลือกทางไหนก็ได้ทั้งนั้น
แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 22:58:15

จากคุณ : มังกรจักรวาล

เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:53:17

ความคิดเห็นที่ 28

ขอเล่าเรื่องราวของเรา เผื่อจะช่วยในการศึกษาเรื่องของพระเจ้า เรื่องของพระเยซู ด้วยตัวคุณเองนะคะ

::: เราเป็นคนหนึ่งที่ขวนขวายอยากศึกษาเรื่องพระเจ้าและศึกษาด้วยตัวเองค่ะ [หมายความว่าเราไม่มีคนมาชักชวน แต่จริงๆแล้วก็โดยพระคุณของพระเจ้าทั้งนั้น]

...ก่อนหน้านั้นนับถือศาสนาพุทธ...และเชื่อว่านี่คือสิ่งดีที่สุดจริงที่สุดสำหรับเราและเคยอธิษฐานขอเกิดเป็นชาวพุทธทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน...ฯลฯ [ขอไม่ระบุรายละเอียดว่าปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้ดีระดับไหน...เพราะไม่ว่าจะระดับไหน หากมีการเปลี่ยนศาสนาเกิดขึ้น ข้อแรกส่วนมากก็อาจจะคิดว่า ยังศึกษาและรู้ไม่จริงเกี่ยวกับศาสนาของตัวเอง...]

...เริ่มอยากรู้อย่างจริงจังว่า...จริงๆแล้วพระเจ้ามีจริงหรือไม่? ... และหากมีพระเจ้าอยู่จริงพระเยซูคริสต์จะใช่พระเจ้าหรือ?... ทำอย่างไรถึงจะรู้ได้?...

พื้นฐานๆจึงเริ่มหาข้อมูลเบื้องต้นจากอินเตอร์เน็ตอย่างมาก...ว่าพวกคริสเตียนเขาทำอย่างไงถึงเชื่อกันไปได้ว่ามีพระเจ้า ก็ไปเจอคำแนะนำที่คิดว่าดีเป็นข้อความ ดังนี้

"ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพใกล้ตัวแล้ว การรู้จักพระเจ้าก็เหมือนกับเวลาที่เราทำความรู้จักใครสักคนนั่นเองครับ เราคงไม่สามารถรู้จักใครอย่างถ่องแท้ ทะลุปรุโปร่ง รู้ใจ เข้าอกเข้าใจหมดทุกอย่างได้ในชั่วเวลาข้ามคืน แต่ต้องค่อยๆ ใช้เวลา ทำความรู้จักเขาจากการพูดคุยสนทนา การใช้เวลาด้วยกัน ซึ่งจะช่วยให้เรารู้ว่า นิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คิดแบบไหน ค่อยๆ เรียนรู้และสังเกตไปทีละเล็กทีละน้อย
การรู้จักพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกันครับ เพียงแต่ว่า เนื่องจากพระเจ้าเป็นพระเจ้า

ดังนั้นวิธีการที่เราจะรู้จักพระองค์ได้จึงต้องอาศัยการอ่านพระคัมภีร์ (เพราะพระคัมภีร์เป็นการเปิดเผยของพระเจ้า เพื่อให้ลูกๆ ของพระองค์ได้รู้ว่า พระเจ้าองค์นี้เป็นพระเจ้าที่มีพระลักษณะอย่างไร มีความประเสริฐอย่างไร แตกต่างไปจากพระอื่นๆ อย่างไร พระองค์ทรงมีแผนการอะไร และพระองค์ทรงทำอะไรได้บ้างเพื่อให้แผนการนั้นสำเร็จ)

นอกจากนั้นแล้ว เรายังสามารถรู้จักพระเจ้าได้ผ่านการอธิษฐาน การอธิษฐานคือการที่เราพูดคุยกับพระองค์ แรกๆ นั้นเราอาจจะรู้สึกแปลกๆ บ้างว่า เป็นพูดคุยแบบไหน อย่างไร แต่ให้เราไว้วางใจพระองค์ ให้พระองค์เป็นผู้ที่ดูแลการพูดคุยนั้นเถอะครับ ยิ่งเราพูดคุยกับพระองค์บ่อยเท่าไหร่ เราก็จะคุ้นเคย และรู้สึกเป็นธรรมชาติกับการพูดคุยกับพระองค์มากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนั้นแล้ว ยิ่งเราพูดคุยกับพระองค์มากเท่าไหร่ พระเจ้าก็จะทรงเปิดเผยกับเราเป็นการส่วนตัว ตัวต่อตัวกับเราว่า พระองค์ทรงเป็นใคร มีพระลักษณะแบบไหน ให้เราสามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยจิตใจและจิตวิญญาณของเราเอง

อีกทางหนึ่งที่เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้ ก็คือการทำความรู้จักพระองค์ผ่านทาง "พระกายของพระคริสต์" หรือคริสตจักรนั่นเองครับ การไปที่คริสตจักร นอกจากเราจะได้นมัสการพระองค์ร่วมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ แล้ว เรายังมีโอกาสรับฟังสิ่งที่พระองค์ตรัสผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยครับ "

เราจึงเลือกวิธีการลองอ่านพระคัมภีร์และลองๆพูดคุยกับพระเจ้าดูและหาบทความหรือคลิปคำเทศนาคลิปคำพยานต่างๆดูเอง...เพราะเราไม่อยากไปยุ่งยากกับคนที่ไม่เคยรู้จัก[ตอนนั้นเราเป็นอย่างนั้น]

เราก็ลองอ่านพระคัมภีร์ใหม่[แรกๆไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่หรอก...ก็มีแต่ชื่อคนชื่อเมืองที่ไม่เคยรู้...แต่ต่อๆมาก็อ่านรู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ] และลองพูดคุยกับพระเจ้าดูซิ หากไม่มีจริงก็คงจะไม่เสียหายอะไร คงไม่มีใครมาว่าบ้าได้ เพราะก็พูดอยู่ในห้องส่วนตัว หรือจริงๆแล้วคุยในใจก็ได้...ภาษาที่คุยก็ภาษาง่ายๆเหมือนเล่าให้เพื่อนหรือให้พ่อฟัง.... เราก็รู้สึกดีนะเหมือนมีคนมารับฟัง....

แต่เราก็คิดนั่นอาจจะเป็นอุปทานหรือรู้สึกผ่อนคลายก็ได้.... เราก็ไม่รู้แน่ชัดนัก เราจึงพูดกับพระเจ้าว่า"หากพระองค์มีจริงโปรดสำแดงให้ข้าพระองค์รู้จักพระองค์โดยขอให้......." [ขอให้พระเจ้าช่วยอะไรบางอย่างที่เรามองว่ามันไม่ง่ายนักที่จะเกิดขึ้น] สรุป สิ่งที่เราขอนั้นได้เกิดขึ้นภายในคืนที่เราขอ....ด้วยความที่ก็ไม่ได้เชื่ออะไรง่ายๆและยังดื้อคิดว่าเอ...หรือจะเป็นเรื่องบังเอิญ....แต่มันทำไมบังเอิญขนาดนี้

.... เราจึงขอพระองค์เมตตาช่วยให้เราได้รู้จักพระองค์อีก....สรุปคือ พระองค์ก็น่ารักจนทำให้เราแน่ใจขึ้นเรื่อยๆว่าพระเจ้ามีจริงๆ เราก็อ่านพระคัมภีร์ไปเรื่อยๆ...ยังไม่ไปคจ.จนในที่สุดก็อยากโต และอยากรู้มากกว่าที่รู้ และรู้ว่าการไปคจ.นั้นสำคัญควรที่จะต้องไป

[ฮีบรู 10:25 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว]

จากนั้นเราจึงหาคจ.เพื่อที่จะไปร่วมนมัสการและเรียนรู้เพิ่มเติม....และเมื่อไปแล้วก็ ชัดเจนการไปคจ.สำคัญจริงๆเพราะคจ.มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกันและกันมากยิ่งขึ้น

::: เริ่มมาเข้าหัวข้อที่จขท.ถาม ทำไมต้องอยากประกาศนัก...

1.มีคำสั่งจากพระเจ้าระบุไว้ในคัมภีร์ มัทธิว 28:19 [พระเยซูตรัสว่า] “เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์”

2.เพราะความรัก ความเมตตา ความกรุณา การอภัย ความสุภาพอ่อนโยน ของพระองค์นั้นดีนัก นำมาสู่สันติสุขภายในใจ [รู้จักความหมายของคำว่าสันติสุขจริงๆเมื่อมารู้จักพระเจ้า เมื่อก่อนอย่างมากก็จะรู้สึกมีสุข สงบสุข] เมือเราได้เราจักสิ่งที่ดีพร้อมอย่างนี้ แน่นอนเราจึงอยากที่จะให้คนอื่นได้มารู้จักแบบเราด้วย แม้จะเป็นญาติหรือไม่ใช่ญาติก็ตาม เพราะหากเราเชื่อพระองค์เราต้องรักทุกคน แม้แต่คนที่ทำไม่ดีกับเรา

3.อีกข้อที่สำคัญมาก ตามความคิดคริสเตียน นั่นคือ ความรอดฝ่ายวิญญาณเพราะวิญญาณนั้นเป็นนิรันดร์ มีทางเดียวที่จะไม่ต้องตกนรกและมีสิทธิ์ที่จะอยู่ใน"อาณาจักรสวรรค์"ร่วมกับพระเจ้าที่แสนดีได้ นั้นมีทางเดียว คือ การเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าฯลฯ และโอกาสที่เราจะเลือกนั้นมีเพียงแค่ตราบที่ยังหายใจอยู่นี้เท่านั้น คริสเตียน(ที่ดี)จึงห่วงคุณมาก

ตามข้อพระคัมภีร์ ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา

::: ไหนๆจากที่ตั้งใจจะเขียนไม่เยอะ แต่กลับยามมาถึงนี่แล้ว…จึงจะขอใส่คำรับเชื่อไว้ด้วยไปเลยเผื่อจะช่วยผู้ที่ผ่านมาอ่านได้ในเบื้องต้น (ที่ใช้คำว่าเบื้องต้นเพราะ นอกจากนี้คุณต้องมีการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอีก)
ตามข้อพระคัมภีร์ โรม 10:9-10 " คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะรอด ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจนำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด "

[พูดด้วยความตั้งใจว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมารับโทษแทนความผิดบาปของข้าพเจ้า จนสิ้นพระชนที่กางเขน และยอมชดใช้เคราะห์กรรมเวรกรรมแทนข้าพเจ้าในนรกจนหมดสิ้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายและเสด็จขึ้นไปประทับบนสวรรค์ และประกาศว่า ข้าพเจ้าได้รอดพ้นจากบาป เคราะห์กรรมเวรกรรมทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้าขอกล่าวยอมรับว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้าตลอดไป บัดนี้ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าได้เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าในนามพระเยซูคริสต์ เอเมน”]

::: สิ่งที่นำมาพิจารณาร่วมเพิ่มเติม

-หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการมีอยู่จริงของคนชื่อเยซู
-หลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆว่าเป็นไปตามพระคัมภีร์หรือไม่
-พิจารณาความลงตัว พอดี (สวยงาม) ต่างๆของสิ่งที่ปรากฏอยู่บนโลก ภายในโลก รวมถึงจักรวาล
-ถามตัวเองให้ชัดเจนว่าจริงๆแล้วท่านเชื่อว่ามนุษย์มีจุดกำเนิดมาอย่างไร ท่านเชื่อสิ่งนั้นได้จริงหรือ

จริงๆแล้วก่อนนี่เราจะมารู้ด้วยตัวแน่ว่ามีพระเจ้านั้นเราเคยคิดว่าช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ เชื่อไปได้อย่างไรว่า พระเจ้าสร้างโลกเนี่ยนะ พระเจ้าสร้างมนุษย์เนี่ยนะ ถ้ามีพระเจ้าจริงทำไมต้อง... แล้วการมาตายบนกางเขนนี่มันจะช่วยคนอื่นยังไง ...เหตุผลเหล่านี้จะหายไปเมื่อได้รู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น

สุดท้ายขอฝากข้อพระคัมภร์ 2ข้อ
เยเรมีย์ 29:13"เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า"
เยเรมีย์ 33:3 "จงทูลเราและเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า"

ขอคุณจขกท.ประสบความสำเร็จกับเรื่องใหม่(สำหรับคุณ)ที่กำลังจะศึกษาค่ะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

จากคุณ : BMcyber

เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 18:02:16