ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่างครับ นิพพานคือนิพพาน ไม่รู้ว่าสูญหรือไม่ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 11:56:00

ความคิดเห็นที่ 2 ในทางตรรกะแล้ว มีแค่สองทางเลือกครับ คือสูญสลายจากจักรวาล กับ ยังคงอยู่แต่มีคุณสมบัติพิเศษ ินิพพานคือนิพพาน ก็คือ ตอบแบบไม่ตอบ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 12:01:33

ความคิดเห็นที่ 3 ในอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค กล่าวว่า ทุกฺขเมว  หิ  น  โกจิ  ทุกฺขิโต การโก  น  กิริยาว  วิชฺชติ, อตฺถิ  นิพพุติ  น  นิพพุโต  ปุมา มคฺคมตฺถิ  คมโก   น  วิชฺชติ. ความจริงทุกข์เท่านั้นมีอยู่   แต่ไม่มีใคร ๆ เป็นทุกข์ กิริยาคือการทำมีอยู่  แต่ผู้ทำไม่มี,  นิพพานมีอยู่  แต่ผู้นิพพานไม่มี   หนทางมีอยู่ แต่ผู้ดำเนินไม่มี อนึ่ง ในมูลมาธยมิกการิกา ของพระนาคารชุน ได้กล่าวว่า "สรวํ อนาตมํ สรวํ สุญฺญํ- เพราะสรรพสิ่งเป็นอนัตตา สรรพสิ่งจึงว่างเปล่า"   แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 12:47:51 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 12:46:09

ความคิดเห็นที่ 4 นาคารชุนหรือที่กลุ่มนักปรัชญาตะวันออกนิยมเรียกว่า อารยนาคารชุน เป็นผู้ก่อตั้งสำนักมาธยมิก เป็นนักตรรกวิทยาที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เกิดที่วิทารภะ ผปัจจุบัน เรียกว่า เพราร์) ในมหาโกศล ในระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าสาตวาหนะแห่งราชวงศ์อานธระ นาคารชุนเป็นนักปรัชญาที่รุ่งเรื่องอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๒ หรือ ๖๐๐ – ๗๐๐ ปี หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ข้อมูลในคัมภีร์พระไตรปิฎก ภาษาจีนบอกว่า นาคารชุนมีชีวิตอยุ่ถึง พ.ศ. ๙๐๐ โดยประมาณ ความคิดของนาคารชุนมีอิทธิพลต่อแนวความคิดของนักปรัชญาในพระพุทธศาสนายุคใหม่เป็นอย่างมาก นาคารชุนไม่ใช่พวก “นัตถิกวาทิน” หรือ “อุจเฉทวาทิน” แม้จะมีนักปรัชญาหลายท่านใช้คำนี้เรียกสำนักมาธยมิกะก็ตาม แนวคิดพื้นฐานแห่งปรัชญานาคารชุนก็คือว่า “ในโลกนี้ ไม่มีอะไรคงอยู่ นอกจากสาระหนึ่งเดียวที่เป็นการสำแดงตัวออกมาของสัสสตภาวะ (sub specie Aeterntiatis)” ทรรศนะของนาคารชุนไม่ใช่รูปแบบที่เป็นพระพุทธศาสนาดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาดั้งเดิมทั้งหมดแต่นาคารชุนคือนักปรัชญาที่มีแนวความคิดคอนข้างจะแปลกใหม่ มีแนวทรรศนะที่แยกออกจากแนวความคิดที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาดั้งเดิมแล้วก้าวมาสู่ที่สุดโต่งอีกด้านหนึ่งโดยใช้วิธีการปฏิเสธต่อปัญหาทุกอย่าง บางกรณีก็ไม่สอดคล้องกับแนวความคิดในคัมภีร์พระพุทธศาสนาดั้งเดิม คนเราไม่นับถือพระพุทธเจ้าแล้วสินะ จึงเอาความเห็นของนักปรัชญามาอ้่าง แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 12:58:43 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 12:57:43

ความคิดเห็นที่ 5 -------- นิพพานสูญ  คือ ไม่มีนิพพาน -------- นิพพานไม่สูญ  แต่เป็นสภาวะที่ไม่มีอะไรอยู่   --------------------------------- ===========================================             อนึ่ง พระนิพพานนั้นล้วนชื่อว่าไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ เพราะมีสภาวะเป็นอรูป และเพราะไม่มีปัจจัย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีที่ตั้ง. ชื่อว่าไม่เป็นไป เพราะไม่มีความเป็นไปพร้อม และเพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นไปในพระนิพพานนั้น ชื่อว่าไม่มีอารมณ์ เพราะไม่มีอารมณ์อะไรๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยว และเพราะไม่มุ่งถึงอารมณ์ที่อุปถัมภ์ เหมือนสัมปยุตธรรมมีเวทนาเป็นต้น แม้ที่มีสภาวะเป็นอรูป (เป็นนาม) ฉะนั้น พระนิพพานนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอายตนะ. http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=158 ... ... ...               อีกอย่างหนึ่ง การไขความถึงพระนิพพานว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์ จักมีแจ้งข้างหน้า.               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงอสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์ โดยพร้อมมูลด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงสภาวะที่พระนิพพานนั้นมีอยู่ โดยมุขคือความผ่องแผ้วแห่งธรรมที่ผิดตรงตรงข้ามจากอสังขตธาตุนั้น จึงตรัสว่า ยตฺถ เนว ปฐวี น อาโป ดังนี้เป็นต้น.               ในข้อนั้น เพราะเหตุที่พระนิพพาน มีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากสังขารทั้งปวง ไม่มีในบรรดาสังขตธรรมไหนๆ ฉันใด แม้ในพระนิพพานนั้น ก็ไม่มีสังขตธรรมทั้งหมด ฉันนั้น เพราะสังขตธรรมและอสังขตธรรม รวมกันไม่ได้.               ในข้อนั้น มีการทำอธิบายอรรถดังต่อไปนี้               ปฐวีธาตุมีความแข้นแข็งเป็นลักษณะ อาโปธาตุมีการไหลไปเป็นลักษณะ เตโชธาตุมีความอบอุ่นเป็นลักษณะ วาโยธาตุมีการเคลื่อนไหวเป็นลักษณะ ไม่มีในพระนิพพานใด คืออสังขตธาตุใด ดังนั้น ในธาตุเหล่านั้น เมื่อว่าโดยความไม่มีแห่งมหาภูตรูป ๔ ก็เป็นอันกล่าวถึงความไม่มีแห่งอุปาทายรูปแม้ทั้งหมด เพราะอาศัยมหาภูตรูปนั้นฉันใด กามภพและรูปภพก็ฉันนั้น เป็นอันกล่าวว่าไม่มีในพระนิพพานนั้นโดยสิ้นเชิง เพราะมีความเป็นไปไม่เนื่องกับพระนิพพานนั้น เพราะปัญจโวการภพ หรือเอกโวการภพ เว้นจากการอาศัยมหาภูตรูปแล้วก็มีไม่ได้แล.               บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงธรรมที่นับเนื่องในอรูปภพ ไม่มีในพระนิพพานนั้น แม้ในเมื่อพระนิพพานมีสภาวะเป็นอรูป (เป็นนาม) จึงตรัสคำมีอาทิว่า น อากาสานญฺจายตนํ ฯเปฯ น เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ดังนี้.               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น อากาสานญฺจายตนํ ความว่า จิตตุปบาท กล่าวคืออากาสานัญจายตนะทั้ง ๓ อย่าง ต่างโดยกุศลจิต วิปากจิต และกิริยาจิต พร้อมทั้งอารมณ์ย่อมไม่มี. แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน.               ก็กามโลกไม่มีในพระนิพพานด้วยอารมณ์ใด แม้อิธโลก และปรโลก ก็ไม่มีในพระนิพพานนั้น ด้วยอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี ดังนี้เป็นต้น.               คำนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ขันธโลกนี้ใด อันได้โวหารว่า ความเป็นอย่างนี้ ปัจจุบันธรรม และว่าโลกนี้ และขันธโลกอันได้โวหารว่า โลกอื่นจากโลกนั้น ปรโลก และอภิสัมปรายภพใด ทั้งสองนั้น ไม่มีในที่ใด.               บทว่า น อุโภ จนฺทิมสุริยา ความว่า เพราะเหตุที่เมื่อรูปมี ชื่อว่าความมืดก็พึงมี และเพื่อกำจัดความมืด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็หมุนเวียนไป แต่รูปโดยประการทั้งปวง ไม่มีในที่ใด ความมืดในที่นั้นจักมีในที่ไหน. อีกอย่างหนึ่ง การกำจัดความมืดก็คือพระจันทร์และพระอาทิตย์ ฉะนั้น พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในพระนิพพานใด. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงพระนิพพานมีความสว่างไสว เป็นสภาวะนั่นแล.               ก็ด้วยอันดับคำเพียงเท่านี้ พระธรรมราชาเมื่อจะทรงประกาศอมตนิพพาน อันไม่เคยมีในสงสารซึ่งหาเบื้องต้นรู้ไม่ได้ แม้ที่สุดด้วยความฝันอันลึกโดยปรมัตถ์ เห็นได้ยากอย่างยิ่ง ละเอียดสุขุม นึกเอาเองไม่ได้ สงบที่สุด เป็นที่อำนวยผลเฉพาะตน ประณีตยิ่งนัก แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ยังไม่ได้บรรลุ จึงให้ภิกษุเหล่านั้นขจัดความโง่เป็นต้นออกเสีย เพราะพระนิพพานนั้นมีอยู่ก่อนทีเดียว ดังบาลีว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ ดังนี้เป็นต้น จึงทรงประกาศพระนิพพานนั้น โดยมุขคือความไม่งมงายในธรรมอื่นจากพระนิพพานนั้นว่า ยตฺถ เนว ปฐวี ฯเปฯ น อุโภ จนฺทิมสุริยา ดังนี้เป็นต้น.               ด้วยคำนั้น เป็นอันแสดงว่า อสังขตธาตุ อันมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากสังขตธรรมทั้งปวงมีปฐวีเป็นต้นว่า พระนิพพาน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า ตตฺรปาหํ ภิกฺขเว เนว อาคตึ วทามิ ดังนี้เป็นต้น.               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺร แปลว่า ในนิพพานนั้น. อปิ ศัพท์ใช้ในอรรถสมุจจัย.               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการมาของอะไรๆ จากที่ไหนๆ ที่เป็นไปตามสังขาร เพราะเหตุสักว่าธรรมเกิดในพระนิพพานนั้นตามปัจจัย               อนึ่ง เราไม่กล่าวอาคติ คือการมาแต่ที่ไหนๆ ในอายตนะคือพระนิพพานนั้นอย่างนี้ เพราะพระนิพพานไม่มีฐานะที่จะพึงมา.               บทว่า น คตึ ความว่า เราไม่กล่าวการไปในที่ไหนๆ เพราะฐานะที่พระนิพพานจะพึงถึงไม่มี เพราะการมาและการไปของสัตว์ทั้งหลาย เว้นการกระทำให้เป็นอารมณ์ด้วยญาณ ไม่มีในพระนิพพานนั้น.               อนึ่ง เราไม่กล่าวถึงฐิติ จุติ และอุปบัติ. บาลีว่า ตทปหํ ดังนี้ก็มี.               ความของพระบาลีนั้นมีดังนี้ อายตนะแม้นั้น ชื่อว่าไม่มีการมา เพราะเป็นฐานะที่ไม่ควรมา เหมือนจากละแวกบ้านมาสู่ละแวกบ้าน. ชื่อว่าไม่มีการไป เพราะไม่เป็นฐานะที่จะควรไป ชื่อว่าไม่มีฐิติ เพราะไม่มีฐานะที่จะตั้งอยู่ เหมือนแผ่นดินและภูเขาเป็นต้น.               อนึ่ง ชื่อว่าไม่มีการเกิด เพราะไม่มีปัจจัย. ชื่อว่าไม่มีจุติ เพราะไม่มีการตายเป็นสภาวะนั้น. เราไม่กล่าวฐิติ จุติ และอุปบัติ เพราะไม่มีการเกิดและการดับ และเพราะไม่มีการตั้งอยู่ที่กำหนดด้วยการเกิดและการดับทั้ง ๒ นั้น.               อนึ่ง พระนิพพานนั้นล้วนชื่อว่าไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ เพราะมีสภาวะเป็นอรูป และเพราะไม่มีปัจจัย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีที่ตั้ง. ชื่อว่าไม่เป็นไป เพราะไม่มีความเป็นไปพร้อม และเพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นไปในพระนิพพานนั้น ชื่อว่าไม่มีอารมณ์ เพราะไม่มีอารมณ์อะไรๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยว และเพราะไม่มุ่งถึงอารมณ์ที่อุปถัมภ์ เหมือนสัมปยุตธรรมมีเวทนาเป็นต้น แม้ที่มีสภาวะเป็นอรูป (เป็นนาม) ฉะนั้น พระนิพพานนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอายตนะ.               ก็ เอว ศัพท์นี้ พึงประกอบด้วยบททั้งสองคือ อปฺปติฏฺฐเมว อปฺปวตฺตเมว.               บทว่า เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส ความว่า พระนิพพานซึ่งมีลักษณะตามที่กล่าวแล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญชมเชย ด้วยคำมีอาทิว่า อปฺปติฏฺฐํ ดังนี้นั่นแหละ ชื่อว่าเป็นที่สุด คือเป็นที่สิ้นสุดแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีการบรรลุพระนิพพาน ทุกข์ทั้งหมดก็ไม่มี เพราะเหตุฉะนั้น จึงทรงแสดงว่า พระนิพพานนั้นมีสภาวะเป็นดังนี้ว่า เป็นที่สุดแห่งทุกข์นั่นแล.               จบอรรถกถาปฐมนิพพานสูตรที่ ๑                             =========================================== จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 12:57:50

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ   หากศึกษาวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ดีๆ จะพบว่า  โลกที่เราอยู่นี้ ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่ไหนๆทั้งสิ้น นิพพาน ไร้การปรุงแต่งด้วยกิเลส มีสภาวะเป็นอรูป เช่น อากาศก็ไม่มีรูป แต่ยังมี โมเลกุลของ อ๊อกซิเจนอยู่ได้ แก๊สก็เป็นอรูป แต่มีโมเลกุลของแก๊สนั้นๆอยู่ ย่อมแสดงว่า ไม่ได้สูญว่างเปล่า จะว่างเปล่าเพราะมองด้วยตาเนื้อไม่ได้นั่นเอง อ๊อกซิเจนไม่มีที่ตั้งแต่อยู่ในจักรวาลได้เช่นกัน นิพพานก็เช่นเดียวกัน ไม่มีที่ตั้งใดๆ สอดคล้องกับคำว่า นิพพานคือบุรี เมือง ดิ็นแดนอันเกษม นิพพานอันอุดม คนที่ต่อต้านคำแปลนิพพานเป็นดินแดนอันเกษม บุรี มักจะจินตนาการเพ้อเจ้อเป็นเมืองแบบโลกมนุษย์แน่ๆ ที่จะต้องมีผืนดิน มีอาคารบ้านเรือน ใช่ไหมครับ นิพพานเป็นบุรี แต่มิใช่ภพครับ ถ้าใช้ศัพท์วิทย์อธิบายก็คือ มิติหนึ่ง หรือ อายตนะหนึ่ง ที่ไม่สูญ แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 13:07:49 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 13:07:15

ความคิดเห็นที่ 7 1 นิพพานไม่สูญ 2 นิพพานไม่ใช่เมือง 3 แล้วนิพพานเป็นไงไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เมืองแน่ๆ เหตุผล พูดหลายรอบแล้ว ขึ้เกียจยกมาใหม่ ลองไล่ดูครับ กระทู้รอบที่ 100 ของคุณ venture เรื่องนิพพานนี่แหละครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 13:21:32

ความคิดเห็นที่ 8 ลองอ่านพระสูตรประกอบการตัดสินใจครับ ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าพระแม่เจ้าชอบใจจะปรินิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงดิฉันทั้ง หลายก็จักนิพพานทั้งหมด ในกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงพระ อนุญาต ดิฉันทั้งหลายได้ออกจากเรือนพร้อมด้วยพระแม่เจ้า เมื่อ ดิฉันทั้งหลายออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม ดิฉันทั้งหลาย ก็จักไปพร้อมกับพระแเจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมีได้กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะไปนิพพาน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 13:21:54

ความคิดเห็นที่ 9 ในที่ใดไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการสมาคมด้วยสัตว์และสังขารอัน ไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน ข้าแต่พระสุคตเจ้า รูปกายของพระองค์นี้ อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของ หม่อมฉัน อันพระองค์ทำให้เจริญเติบโตแล้ว พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัดๆ ก็จะเสด็จไปนิพพาน เสีย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้ว ฉะนั้น ครั้งนั้นพระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า               อานนท์ท่านจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลายทราบถึงการนิพพานของ               พระมารดาเวลานั้น ท่านพระอานนท์เป็นผู้หมดความแช่มชื่น               มีตานองไปด้วยน้ำตา ได้กล่าวด้วยเสียงอันน่าสงสารว่า ขอ               พระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้าซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก               ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ จงมาประชุมกัน พระภิกษุณี               ผู้ยังพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เจริญด้วยน้ำนม พระมารดาของ               กระผม พระโคตมีภิกษุณีนั้นถึงความสงบ เหมือนดวงดาวในเมื่อ               พระอาทิตย์ อุทัย ฉะนั้น พระนางยังความรู้พร้อมกันว่า เป็น               พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้วไปสู่นิพพาน ในที่ใดถึงคนมี ๕               ตาก็เห็นไม่ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้ คำว่า "เข้านิพพาน" ก็ดี "ไปนิพพาน" ก็ดี บ่งถึงนิพพานอันเป็นสถานที่  แต่ท่านไม่กล่าวว่าเป็นภพ  เพราะนิพพานไม่ได้อยู่ในภพ ๓ ท่านกล่าวเพียง ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดมบ้าง   อสังขตสถานบ้าง  ซึ่งความนี้สอดคล้องกับพระพุทธวัจนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...อายตนะนั้นมีอยู่... (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗) จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 13:26:32

ความคิดเห็นที่ 10 ออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม (บุรีก็คือเมืองแต่ไม่ใช่ภพ ) ใครที่นิยามคำว่าเมือง  หมายถึงต้องมีตึกมีอาคาร ก็หลงทางแล้วครับ เมือง ดินแดน บุรี อายตนะ ล้วนเป็นที่รองรับ อสังขตธาตุ อสังขตธรรมทั้งสิ้นครับ ผมแค่ต้องการแก้ทิฏฐิคนที่นิยามคำว่าเมือง คือ มีอาคารแบบโลกมนุษย์นี่แหละครับ  ยังมีคนที่เถียงพระไตรปิฏกอีกเยอะครับ แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 13:30:08 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 13:29:26

ความคิดเห็นที่ 11 อายตนะ หู เป็นอายตนะที่รองรับ ความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงในอากาศ ตา เป็นอายตนะรองรับแสงที่ตกกระทบกับวัตถุแล้วสะท้อนเข้าทางเรตินา จมูก เป็นอายตนะที่รับกลิ่น หรือโมเลกุลของกลิ่นที่ล่องลอยในอากาศ ผิวหนัง ก็เป็นอายตนะรองรับจาการสัมผัสกระทบกับเส้นปลายประสาทมี่อยู่ใต้ผิวหนัง นิพพานเป็นอายตนะหนึ่งคือที่รองรับ...... แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 14:09:36 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 13:35:12

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่คิดว่าเป็นบุรี มีแห่งที่ ที่ใหน ครับ เพราะคิดว่าถ้านิพพานมีบุรี พระอนุรุทธะ ผู้เป็นเอทัคคะผู้เลิศทางทิพยจักษุยาณ คงทราบได้เพราะท่านก็เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่เห็นกล่าวไว้ในพระสูตรตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็เลยไม่เชื่อว่ามีสถานที่ บุรี ที่ใหนครับ [๑๔๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌาน แล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจาก ตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสนัญจาย- *ตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตน- *สมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตน- *สมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ             ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาค เสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระ ภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรง เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรง เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญ- *จายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออก จากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน แล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจาก ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน พระ ผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณา องค์จตุตถฌานนั้น) ฯ             [๑๔๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว พร้อมกับการเสด็จ ปรินิพพาน ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เกิดความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้ง กลองทิพย์ก็บันลือขึ้น ฯ จากคุณ : กันดั้มตัวนี้สีชมพู เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 13:40:45

ความคิดเห็นที่ 13 #12 ครั้งนั้นพระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า              อานนท์ท่านจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลายทราบถึงการนิพพานของ              พระมารดาเวลานั้น ท่านพระอานนท์เป็นผู้หมดความแช่มชื่น              มีตานองไปด้วยน้ำตา ได้กล่าวด้วยเสียงอันน่าสงสารว่า ขอ              พระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้าซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก              ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ จงมาประชุมกัน พระภิกษุณี              ผู้ยังพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เจริญด้วยน้ำนม พระมารดาของ              กระผม พระโคตมีภิกษุณีนั้นถึงความสงบ เหมือนดวงดาวในเมื่อ              พระอาทิตย์ อุทัย ฉะนั้น พระนางยังความรู้พร้อมกันว่า เป็น              พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้วไปสู่นิพพาน ในที่ใดถึงคนมี ๕  ตาก็เห็นไม่ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=33&A=4471&Z=4887 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:00:12

ความคิดเห็นที่ 14 วนไปวนมา ผมขอบายแล้วกันครับ มีอะไรใหม่ค่อยมาตอบแล้วกัน จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:03:31

ความคิดเห็นที่ 15 ฉะนั้น พระนางยังความรู้พร้อมกันว่า เป็น  พระพุทธมารดา ให้ดำรงอยู่แล้ว</font>ไปสู่นิพพานในที่ใดถึงคนมี ๕  ตาก็เห็นไม่ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้ ตอบไม่ได้ ขอ บาย ก็ยินดีด้วยครับ คนที่บอกว่าสูญจากจักรวาล แล้วจากประโยคนี้ พระพุทธเจ้าเห็นอะไรในนิพพานครับ แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 14:10:42 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 14:08:44 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:07:38

ความคิดเห็นที่ 16 ผมโชคดีที่ผมเป็นชาวพุทธอย่างเช่นทุกวันนี้ มันมีความสุขกายสบายใจ ไม่ต้องเป็นคนรู้มาก รู้แต่ว่าเรารักและศรัทธาในพระพุทธศาสนา เราตั้งมั่นในความเชื่อของเรา เราเชื่อมาแบบไหนเราก็ยึดถือในแบบนั้น เพราะผมเชื่อมาตลอดว่าศาสนาคือที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ถ้ายึดถือแล้วช่วยให้ชีวิตเราไม่เดือดร้อน ช่วยให้เรามีหนทางในการปฏิบัติ ผมพอใจแล้ว ดังนั้นขอไม่อ่านเนื้อหาในกระทู้ให้มากความ ต่างคนต่างพูด ต่างจิตต่างใจ ได้บวชได้เรียนมาหน่อยก็ชูคอว่าตนเก่ง ตนแน่ ไม่ยอมฟันผู้อื่นซะด้วย แล้วศาสนาจะให้ประโยชน์อะไรล่ะแบบนี้ มันต้องหาข้อสรุปภายในใจของเราให้ได้ซิครับว่าเราจะเชื่อแบบไหน แล้วก็จบไม่ต้องมานั่งงงสงสัยอีก สำหรับผมนิพพานคือดับสูญครับ ผมเชื่อของผมอย่างนี้ไม่สนใจอย่างอื่น จากคุณ : ซุปเปอร์เดปอร์ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:41:18

ความคิดเห็นที่ 17 ฐานิยตฺเถรวตฺถุ ๑๐ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ  พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓ http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poot/lp-poot-hist-01-10.htm -------------------------------------------------------------------------------------- หนังสือ  หน้า 196 - 197 สมเด็จพระสังฆราชถามปัญหา v พระอรหันต์นิพพานดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านอาจารย์มั่น v ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดป่าสาลวัน แล้วอีกอันหนึ่ง ในหนังสือของ หลวงตามหาบัว เขียนประวัติของ หลวงปู่มั่น ตอนที่ว่า หลวงปู่มั่นคุยกับพระพุทธเจ้า คุยกับพระอรหันต์ ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายนำไปวิจารณ์กัน ทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ ทั้งหนังสือธรรมะ ท่านทั้งหลายลงความเห็นว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์นิพพานดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านอาจารย์มั่น สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันท่านก็เคยถาม ไปเฝ้าท่าน ท่านก็ถามว่า “มาแล้วก็ดี สงสัยปัญหาเรื่องหลวงปู่มั่น ที่อาจารย์มหาบัวเขียนว่า หลวงปู่มั่นคุยกับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี่ ในหลักตำราก็พูดถึงพระนิพพานว่าดับไปแล้ว เอาอะไรมาคุยกับท่านอาจารย์มั่น” ก็เรียนท่านว่า “มันเป็นจิตรู้ของท่านอาจารย์มั่น ในเมื่อจิตสัมผัสถึงคุณธรรมขั้นสูงแล้ว ถ้าเป็นภูมิของพระอริยสงฆ์ ก็ปรากฏเป็นภาพพระอริยสงฆ์ขึ้น ถ้าจิตถึงพระพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ แต่ที่แท้จริงพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ไม่ได้มาหรอก เป็นจิตรู้ของท่านอาจารย์มั่น” “อ้อ..มันเป็นอย่างนั้นหรือ” ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ที่นี้อีกปัญหาหนึ่งที่ท่านถามว่า “ฐีติภูตัง ของหลวงปู่มั่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เรียนท่านว่า “ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา ธมฺมฏฺฐิตตา เพราะความที่จิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสวอยู่ ธมฺมนิยามตา หมายถึงอารมณ์จิตที่ละเอียดอันเป็นสภาวะอยู่หนึ่ง มาปรากฏให้จิตรู้อยู่ตลอดเวลา มันมีลักษณะเหมือนว่าสิ่งรู้ก็อยู่ประเภทหนึ่ง ตัว ฐีติ นี้มันก็นิ่งเด่นของมันอยู่ หมายถึงในขณะที่จิตกับอารมณ์มันแยกออกจากกันได้แล้ว ทีนี้เพราะความรู้ทั้งนี้เกิดขึ้น จิตไม่มีอุปาทานยึดมั่นในความรู้นั้น มันจึงปรากฏว่าสิ่งรู้ทั้งหลายนี้เป็นอันหนึ่ง จิตก็เป็นอีกอันหนึ่ง ความรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว มันแยกออกจากจิตได้ มันเป็นตัว วิสังขาร แต่ถ้ารู้แล้วจิตยังสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ มันเป็นตัว สังขาร มันเป็น สังขารา อนิจจา ฐีติภูตัง ของหลวงปู่มั่นนี้เป็นวิสังขาร จิตรู้แล้วไม่ยึดสิ่งรู้ มีแต่ปล่อยวางลูกเดียว” เพราะฉะนั้น นักภาวนาทั้งหลายถ้าทำสมาธิถึงขนาดที่มองเห็นความตายของตัวเอง จะหายสงสัยในธรรมวินัยทั้งหมด ถึงไม่สำเร็จอรหันต์ก็หายสงสัย ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ พระพุทธเจ้ามาคุยกับพระอาจารย์มั่นได้ไหม v ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม v พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่มายุ่งกับใครหรอก เพราะท่านนิพพานไปแล้ว ร่างกายตัวตนท่านก็ไม่มี ท่านจะเอากายที่ไหนมาปรากฏให้เรารู้เราเห็น ท่านจะเอาปากที่ไหนมาคุยให้เราฟัง แต่ที่เป็นไปได้เช่นนั้น เพราะเป็นจิตรู้ของผู้ทำสมาธิภาวนาไปถึงขั้นหนึ่ง ถึงจิตสัมผัสธรรม ซึ่งทำจิตให้เป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้จิตดวงนี้ก็แสดงมโนภาพขึ้นมาให้เราเห็นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเราเรียกว่านิมิตนั่นแหละ ที่ว่าเป็นนิมิต บางทีเห็นเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวกเดินเข้ามาหาเรา หรือบางทีก็มายืนเทศน์สอนเราอยู่ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกเหล่านั้นเดินมาเทศน์หรือมานั่งเทศน์ให้เราฟัง แต่ว่าจิตรู้ของเราเองที่มันถึงธรรมแล้วนี้ สารพัดที่เขาจะแสดงปรากฏการณ์ให้เรารู้เราเห็น เพื่อความมั่นใจในความรู้ของตัวเอง คล้าย ๆ กับว่าเขาจะสร้างมโนภาพ สร้างนิมิตขึ้นมาเสริมศรัทธาที่เชื่อมั่นอยู่แล้วให้มั่นคงยิ่งขึ้น นิมิตที่ปรากฏแก่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นน่ะ มันเป็นไปได้ในภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระวักกลิว่า “โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ”  ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นถือว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นเราเห็นธรรม ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นพระสงฆ์ ผู้ใดเห็นธรรมเห็นพระสงฆ์ ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเรา เพราะฉะนั้น ในเมื่อท่านอาจารย์มั่นท่านมีจิตของท่านบรรลุถึงคุณธรรมที่ทำให้จิตเป็นพุทธะ เป็นจิตพุทธะแล้วนี่ ก็สารพัดที่จิตของท่านจะสร้างมโนภาพขึ้นมาให้ท่านรู้ท่านเห็น อันนี้เป็นภูมิรู้ภูมิธรรมของท่านเอง จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:53:00

ความคิดเห็นที่ 18 http://www.watbowon.com/3oct99y/99quest/001.html จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:53:56

ความคิดเห็นที่ 19 คำถามที่ 94 http://www.watbowon.com/3oct99y/99quest/00999999999999995.html แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 14:55:23 จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:54:37

ความคิดเห็นที่ 20 นิพพานมีทั้งสูญ และไม่สูญ อยู่ที่เราหยิบตรงไหนมาพิจารณา นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ความว่างนี้มีลักษณะเหมือนในอรูป หยิบตรงไหนก็ว่างในทุกๆที่ ความว่างนี้จึงไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีขอบเขต ด้วยเหตุนี้ นิพพานจึงไม่ใช่สถานที่ ไม่มีขอบเขต ดินแดน นิพพานมีสภาพรู้ รู้ตามสภาพความเป็นจริงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเคยผ่านฌาน 4 ที่หาลมหายใจไม่เจอ แล้วเราควานหาลมหายใจว่าอยู่ตรงไหน โดยสภาวะของจุดนี้ก็เหมือนกัน คือหาผู้รู้ไม่เจอ ควานหาผู้รู้ก็ไม่รู้อยู่ตรงไหน แต่มีสภาพรู้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าตามสภาพความเป็นจริงแล้วผู้รู้มีอยู่ แต่ไม่ให้เราไปยึดมั่นถือมั่นผู้รู้นั้น หรือไม่ยึดมั่นถือมั่นในจิตของเรานั่นเอง การจะวางความยึดมั่นถือมั่นในจิตได้ ก็ต้องเห็นสภาวะการเกิดดับของจิตเสียก่อน เราจึงจะยอมรับธรรมชาติของมันได้ นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ว่างทุกที่ จึงไม่มีขอบเขตไม่มีดินแดน การพิจารณาในนิพพานคือการรู้ลงไปเรื่อยๆ รู้โดยไม่ผ่านการคิด เป็นการรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงลงไปเรื่อยๆ โดยปราศจากความยึดมั่นถือมั่นใดๆทั้งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ นิพพานจึงเป็นการยอมรับสภาพของธรรมชาติของจิตนั้น จากคุณ : 4ปีจบ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 15:29:02

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบว่าสูญก็ผิด ตอบว่าไม่สูญก็ผิด ถ้าคนที่ตอบนั้นยังเป็นแค่ปุถุชนอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความแตกฉานในพระไตรปิฎกเท่าใดก็ตาม ผู้ที่จะรู้จักนิพพานจริงๆก็มีแต่พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์เท่านั้น ปุถุชนรู้จักแต่พระนิพพานปลอมทั้งนั้น เปลวไฟที่มองเห็นอยู่ต่อหน้าเรา เวลาที่มันดับไป ถามว่าเปลวไฟที่เห็นนั้นมันไปอยู่ที่ใหน ถ้าตอบตรงนี้ได้ก็............. แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 55 10:57:21 จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 15:54:17

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าตัวเรายังสูญจากนิพพานอยู่ จะมีประโยชน์อะไรจากการถือทิฎฐิว่านิพพานสูญหรือไม่ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 16:18:36

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าเข้าใจปฏิกิริยาเคมี ตอบเรืองไฟ พลังงานความร้อนได้แน่นอนครับ ไม่ได้สูญ แต่แปรรูปอยู่ในพลังงาน รูปแบบอื่น ถ้ากฏว่าด้วยสสารและพลังงาน  ไม่มีอะไรดับสูญได้เลยในจักรวาลนี้ แต่เปลี่ยนสถานะได้ ถ้าเชื่อตามคห บางคนที่ตอบจากอารมณ  คงต้องฉีกตำราทิ้งหลายหน้าเลยนะ การที่จิตหลวงปู่มั่นรับรู้ได้  สัตว์ในภพอิ่นไม่มีกายหยาบ  ไม่มีปาก ก็สื่อสารได้ครับ ต้องอ่านพระไตรปิฏกให้ละเอียด จะพบว่า ไม่มีอะไรสูญนอกจากกิเลสที่ปรุงแต่งฝ เรื่องนิพพานยังคุยกันไม่ถึง 100 กระทู้เลยครับ สำคัญที่สุดในพุทธแล้วเรื่องนิพพาน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 16:19:43

ความคิดเห็นที่ 24 ความคิดเห็นที่ 6     ไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ   หากศึกษาวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ดีๆ จะพบว่า  โลกที่เราอยู่นี้ ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่ไหนๆทั้งสิ้น ------------------  ถ้าจะพูดแบบโง่ๆ  ดันทุรัง  ไม่รู้จักคิด แบบนี้                          ก็ไปตามทางของคน  กล้าท้า แต่ไม่กล้าทำอย่างที่ท้า  ต่อไป เถอะ จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 17:24:16

ความคิดเห็นที่ 25 เรื่องนี้ใช้ตรรกะคิดไม่ได้ ต้องเห็นด้วยปัญญาทางธรรม เห็นได้ด้วยการปฏิบัติ จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 17:29:32

ความคิดเห็นที่ 26 ขออนุญาตเสริม คคห ที่ 17 พระพุทธเจ้ามาคุยกับพระอาจารย์มั่นได้ไหม เป็นบทเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ขอฝากไว้ให้ฟังเพื่อประกอบ พระพุทธเจ้ามาคุยกับพระอาจารย์มั่น จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 18:49:44

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่น่าใช่ทั้ง 2 ข้อ นิพพานคือ ไม่มีเกิดไม่มีดับ จากคุณ : ttaum15 เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 18:50:05

ความคิดเห็นที่ 28 ก่อน จะ นิพพาน ผมว่า มาที่ สังโยช 10 ก่อน ดีกว่า ไหมครับ เอาข้อ 1 ก่อนก็ พอ ครับ สักกายทิฏฐิ ว่า แบบนี้ คือ อะไร ครับ เมื่อ ละ สักกายทิฏฐิ แล้ว ยังมี "สิ่งนั้น" อยู่ หรือไม่ ตอบ ให้ได้ ก่อน ดีกว่าไหม ครับ ก่อนที่ จะกล่าวถึง ซึ่ง สิ่งที่ มันเป็น จุดสุดท้าย ของ คำถามทั้งหมด จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 19:09:40

ความคิดเห็นที่ 29 ------------------  ถ้าจะพูดแบบโง่ๆ  ดันทุรัง  ไม่รู้จักคิด แบบนี้                         ก็ไปตามทางของคน  กล้าท้า แต่ไม่กล้าทำอย่างที่ท้า  ต่อไป เถอะ จากคุณ : วงกลม ---------ยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งหลุดคำด่าว่ากล่าวว่าโง่ออกมาเนี่ย หมายความกระไรหรือขอรับท่าน  กล้าท้าใคร ใครท้าใคร ขอรับ  รู้จักไหมการท้าทำสมาธิมันเริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่ท้าแล้วขอรับ การทำสมาธิก็คือการสำรวม กาย วาจา ใจ ส่วนจะเจอหรือไม่เจอ มันเป็นเรื่องการเจรจาเงื่อนไขกัน ของคนสองคน  คุณเป็นเดือดร้อน โกรธแค้นขนาดนั้น เพราะฝึกภาวนาอย่างไร ขอรับ การถกเถียงเรื่ิองนิพพาน แม้แต่ในห้องเรียนปริยัติก็ทำได้ครับ ลองไปนั่งเรียนที่ MCU สิครับ ก็ยังไม่มีใครละสังโยชน์ได้ครบสิบ สักท่านเดียว ยังอภิปรายทำความเข้าใจเรื่อง นิพพานได้ขอรับ  ตอนนี้เรากำลังเสวนาในขอบเขตของ สุตตมยปัญญา และจินตามยปัญญานะ ขอรับ  ท่าน หรือคุณวงกลมสนใจ วิชชาธรรมกาย ก็เชิยวัดปากน้ำได้ครับ มีครูบาอาจารย์คอยสอนมากมายขอรับ มีคนมาปฏิบัติหลายร้อยคนทุกวันไม่เคยขาด ก็ฟันธงตามพระไตรปิฏกว่า นิพพานเป็นบุรี เมือง ดินแดนอันเกษม  ตาม wording ทุกประการตำราว่าอย่างนั้นนะ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 19:42:43

ความคิดเห็นที่ 30 นิพพาน คือ นิพพาน ปัญหา อยู่ตรงที่่ มีแต่คน อยากเข้าใจนิพพาน แต่ ไม่ยอมทำให้ถึงนิพพาน ปัญหานี้ ไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้ จากคุณ : แฟนพันธุ์ทาง (อาจารย์ไข่) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 21:08:11

ความคิดเห็นที่ 31 ก็แค่ปฏิบัติ ละสังโยชน์ ละอวิชชา  ปริยัติ ปฏเวธ ละความปรุงแต่ง ก็สัมผัสกระแสพระนิพพานว่ามีจริงตามพุทธพจน์ แต่ตามวิทยาศาสตร์ พลังงานแปรเปลี่ยนสถานะได้  ไม่มีสูญหาย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 21:56:06

ความคิดเห็นที่ 32 คนตาบอดกับคนตาดีคุยกันเรื่องช้างว่ามีรูปร่างหน้าตายังไง และอีกอย่างคนตาบอดคุยกับคนตาบอดว่าช้างมีรูปร่างยังไง โอ๊ย!....สนุกยาวเลย?????? จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 22:43:33

ความคิดเห็นที่ 33 ^^ #32  ^^      ผมยังอยู่แค่  สังวรศีล  สำรวมอินทรีย์ แต่ก็แอบเข้ามาอ่าน  ผู้ที่ใกล้นิพพาน  เขาถกกันเรื่องนิพพาน แต่ไม่กล้าออกคห. จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 23:04:04

ความคิดเห็นที่ 34 ก็มีคคนตาดีสัมผัสได้แล้ว เขาก็นำมาสอน มาบอกกล่าว  อธิบายคุณสมบัติไว้แล้ว แต่คนตาบอด ทำยังไงก็ไม่เห็นได้เลย  มันจึงต้องอุปมาด้วยภาษาคนตาบอด ครูบาอาจารย์ท่านสอนตรง พุทธพจน์แล้ว   เพระท่านเห็นจริงตามนั้น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 23:39:57

ความคิดเห็นที่ 35 แสดงว่าท่าน  venture เคยเข้าไปในเมืองนิพพานมาแล้วใช่มั้ยครับ ยังงั้นโปรดช่วยสงเคราะห์คนตาบอดทั้งหลายหน่อยนะครับ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะครับว่าท่านได้ไปพบไปเห็นอะไรมาบ้าง คิดว่าเป็นธรรมทานแล้วกัน จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 00:31:53

ความคิดเห็นที่ 36 อ่าน  34  ด้วยสติสิครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 07:27:58

ความคิดเห็นที่ 37 อ่าน  17  ด้วยสติสิครับ เผื่อบางทีสัมมาทิฏฐิจะบังเกิดขึ้น และ วิปัสสนูปกิเลสอาจจะถูกทําลาย จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 09:47:17

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่ใช่ทั้งสองข้อ ...เข้าใจอะปล่าว...จบ.   โปรดนึกภาพโฆษณาประหยัดพลังงานที่มีเด็กมาพูด  .คนสุดท้าย จากคุณ : หนึ่งปากว่า (ไปดูหนังกันนะ) เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 10:53:12

ความคิดเห็นที่ 39 ลองพิจารณาช้าๆว่า 35 เป็นความเข้าใจผิดของคุณเอง มันขัดแย้งกับข้อความใน 34 การนำความคิดของตน ไปยัดเยียดใน 34 จึงต้องเตือนสติคุณ ด้วยความหวังดี ให้ตั้งสติ ดีๆ ส่วนเรื่อง 17 เป็นเพียงความเห็นของครูอาจารย์ ซึ่งก็ขัดแย้งกับบันทึกของหลวงตา ส่วน 18-19 หากอ่านให้ละเอียด มิใช่ความเห็นของสมเด็จท่าน ข้อความนั้นเป็นเพียง นักเขียนท่านหนึ่งเท่านั้น การแสดงความเห็นที่แตกต่างกัน สุดท้ายแล้วต้องตรวจสอบกับบาลีครับ แม้อรรถกถาจารย์ก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้ เพราะท่านเหล่านั้น ก็เป็นเพียงชั้น อาจาริยวาท จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 11:03:02

ความคิดเห็นที่ 40 อย่าเอาตรรกะที่ "อยู่ในกรอบ" มาตัดสินสิ่งที่ "อยู่นอกกรอบ" เลย ทำจนตายก็ไม่ได้ตำตอบที่ถูก ที่แท้จริง ---------------------------------------------------------------------------------------- คำตอบมีอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรอีก อนุโมทนา ความเห็นที่ 5 ครับ แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 55 13:21:21 จากคุณ : เมฆน้อยคอยดาว เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 13:21:04

ความคิดเห็นที่ 41 คหที่ยกมา ก็สอดคล้องกับ คห 5 แล้วนะครับ ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย เหมือนไฟติดลุกพรึบ หมดเชื้อ ไฟดับ ไฟก็ไม่ได้ดับสูญ ก็แค่เปลี่ยนรูปพลังงาน ไม่ได้ไป ไม่ได้มา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้น เมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ดับ นิพพานไม่ได้สูญนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 13:30:53

ความคิดเห็นที่ 42 เรียนถามท่าน  venture ผมเคยได้ยินมาว่ามีผู้ที่ได้ธรรมกายระดับอาจารย์แล้ว เคยเข้าไปถวายข้าวให้พระพุทธเจ้าในนิพพานมาแล้ว อันนี้ตามความเห็นของท่านคิดว่าเป็นไปได้มั้ยครับ จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 16:25:49

ความคิดเห็นที่ 43 การถวายข้าวที่โต๊ะพระพุทธรูป พออนุโลมได้ หมายถึงเป็นการสักการะ แต่เอาข้าวไปถวายในแดนนิพพาน เพ้อเจ้อแน่ ผู้นั้นยังขาดข้อมูลสำคัญคือ  พระพุทธเจ้าละลายกายทิพย์ เหลือแต่จิตวิญญาณแล้ว ไม่มีการกินอะไรอีก ยังงี้แสดงว่าผู้นั้นถูกมารหลอกแล้ว และแดนนิพพานก็ เป็นที่ คนเข้าไม่ออก คนนอกเข้าไม่ได้ ยินดีโดนกักอยู่ในนั้น ไม่งั้นก็ยังไม่หลุดจากสังสารวัฏฏ์ซิ นี่แหละ ออกจากเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเข้าๆออกได้ มันก็ไม่หลุดซิ.........ทั้งหมดฟังไว้เล่นๆ อย่ากลัวเห็นต่าง จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 17:30:47

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่ทราบครับ !!! ... บุญรักษาครับ : ) ปล.เหมือนต้นชบา กับ คนตาบอด (ไม่เจอเอง อธิบายยังไงก็ไม่มีทางรู้ !!!) จากคุณ : Bother Boy ! เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 17:47:48

ความคิดเห็นที่ 45 นิพพาน คือ จุดที่เล็กที่สุดตรงกลางวงกลม ที่ไม่ว่าจะหมุนวงกลมไปอย่างไร ก็จะมีสิ่งเดียวที่เหมือนหยุดนิ่งอยู่ นั่นคือตรงกลาง ถ้าเทียบกับจักรวาล  จุดที่เข้าถึง นิพพาน ได้คือ จุดตรงกลางของจักรวาล พอดี ครับ แต่การไปให้ถึงตรงกลางนั้น ต้องมีความเพียรเป็นที่ตั้งครับ เพราะระยะทางไกลเกินจะจินตนาการได้ เราต้องค่อยๆ ไปเกิดที่ภพอื่นๆ เพื่อสะสมบุญ เพื่อให้ได้ไปเกิด ในภพที่ใกล้ จุดตรงกลางนั้น ทำบุญบารมีในทุกภพที่ไปเกิด ซักวันเราจะไปถึง ตรงกลางแห่งจักรวาล ครับ จากคุณ : หมีพูห์ (นายหมีพูห์) เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 20:52:38