ส่งท้าย
ที่พูดมายืดยาวทั้งตอนตั้งกระทู้และข้อความที่เพิ่งลงไปนี้ ก็เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของพระไตรปิฎก
ผมเอง ไม่ใช่ว่าไม่เคยถกเถียงเรื่องนี้ แต่เคยพูดอยู่บ่อย ๆ ทำให้พี่น้องสมาชิกบางท่านเข้าใจว่าผมเป็นพวกคลั่งตำรา หรือเป็นพวกยึดติดคัมภีร์
ผมไม่ทราบว่าตัวผมเองเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า แต่ผมก็พอยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่จะทำให้ผู้ที่จะศึกษาพุทธศาสนา และชาวพุทธ ได้รู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร
คุณเมษาหรือใครต่อใคร ที่เห็นความงมงายของคนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อเรื่องพระธาตุ (เมื่อปีก่อนๆ) เรื่องพระจักษุธาตุที่เคยโด่งดัง หรือเรื่องความเชื่อไสยศาสตร์ ความงมงายอย่างเห็นอะไรแปลก ๆ เช่นสัตว์แปลก ๆ ต้นไม้มีลักษณะแปลก ๆ ก็จะถือว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือที่อนาถที่สุด ก็เมื่อหลายปีก่อนที่เชื่อว่ามีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ลงท้ายก็สรุปว่า เป็นน้ำซึมจากท่อส้วม
ถ้าในสายตาของคนทั่วไป ก็บอกว่า เอ้อ ชาวพุทธนี่มันงมงายจริง ๆ
สาเหตุที่เขางมงายอย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร เพราะเขาไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก ไม่เคยมีหลักเกณฑ์ตัดสินว่าควรจะเชื่ออะไรอย่างไร ถ้าเราเป็นชาวพุทธ
ถ้าชาวพุทธถือพระไตรปิฎกเป็นหลัก เป็นเหมือนที่สถิตของพระศาสดา (สมดังที่ตรัสว่า ธรรมวินัยที่แสดงแล้ว จะเป็นศาสดาแก่เธอทั้งหลาย เมื่อตถาคตล่วงลับไป) ปัญหาความเชื่องมงาย อาจจะหมดไปจากประเทศไทย
- ชาวพุทธจะเลิกสนใจดูดวงตามที่ต่าง ๆ และเชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง
- ชาวพุทธจะรู้ว่า เทพเจ้า เทวดาทั้งหลาย จะมีจริงหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรไปใส่ใจอ้อนวอน เพราะเราสามารถมีชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเอง
- ชาวพุทธจะไม่ไปมัวหลงกับสิ่งมีชีวิตหรือพืชที่เกิดมาแปลก ๆ เพราะเห็นว่านั่นเป็นเพียงความผิดพลาดแปลกไป ซึ่งมีเหตุปัจจัยทำให้เป็นอย่างนั้น และเขาก็จะไม่ไปหลงไหว้เคารพ
- ชาวพุทธจะรู้ว่า บุญที่แท้ก็คือใจเราที่ผ่องใส ไม่ไปมัวคิดว่า บุญต้องเกิดจากการให้ทานอย่างเดียว เกิดจากศีล เกิดจากใจผ่องใส เกิดจากความประพฤติที่ดีงามไม่ได้ และทำบุญให้ทาน ก็ต้องหวังสวรรค์วิมาน ทำอะไรก็หวังอยากให้ได้สวรรค์ และถูกหลอกเอาจากสำนักที่หลอกลวงประชาชน และเขารู้ว่า จะทำบุญอย่างไร ให้เกิดการพัฒนาตนเองและสังคม และมุ่งประโยชน์สุขโดยรวม
- ชาวพุทธจะรู้ว่า พระพุทธเจ้าคือใคร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร และเรากำลังเคารพอะไร เราควรปฏิบัติตัวอย่างไร เรามีหลักเกณฑ์ที่จะได้รู้ว่า อะไร คือพระพุทธศาสนา ที่เรากำลังนับถืออยู่ และอะไร ไม่ใช่พระพุทธศาสนา
ถ้าชาวพุทธไม่มีพระไตรปิฎกเป็นหลัก เหมือนอย่างปัจจุบันนี้ที่คนที่บอกว่าตนเองเป็นชาวพุทธ แต่ไม่มีพระไตรปิฎกเป็นหลักเลย เขาก็จะเป็นอย่างที่เห็น เขาจะดูดวง เขาจะกราบไหว้สัตว์แปลก ๆ เขาจะอ้อนวอนขอโน่นนี่จากเทวดา เขาจะไปเชื่ออาจารย์สักยันหลอกเงินไปเป็นแสนเป็นล้าน เพราะเขาไม่รู้ว่า หลักพระพุทธศาสนาคืออะไร ทั้ง ๆที่เขาบอกว่า เขาเป็นชาวพุทธ
คุณเมษา จะอ่านพระไตรปิฎกหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระสำคัญแต่อย่างใด (ผมเองก็ยังไม่ทราบว่าคุณเมษานับถือศาสนาอะไร อาจเป็นผู้ถือว่าตนเอง ไม่ได้นับถือศาสนาใด ๆ แต่ศึกษาเป็นหลักวิชาการ อะไรทำนองนั้นก็แล้วแต่)
หรือคุณจะไม่เชื่อเรื่องอะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือจะไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่เป็นสาระสำคัญสำหรับผมหรือใคร ๆ เพราะทุก ๆ คน มีสิทธิที่จะเลือกเชื่อ เลือกที่จะศึกษาได้เท่า ๆ กัน ใครเห็นว่านั่นดีสำหรับตนเอง ก็ศึกษาไป ใครเห็นว่านั่นไม่ดี ก็ไม่ต้องไปศึกษา
ผมได้กล่าวแล้วว่า ชาวพุทธ หรือใครต่อใครศาสนาไหน ไม่จำเป็นต้องเชื่อพระไตรปิฎก เพราะคำว่าเชื่อ ก็หมายถึงเรายัง "ไม่รู้"
แต่ถ้าเรา "รู้" พระไตรปิฎก ก็คือ เราไปอ่าน ไปศึกษา ไปรู้ว่า พระไตรปิฎกคืออะไร มีอะไรเขียนไว้ เขียนไว้อย่างไร
ถ้าเราสงสัยว่า ทำไมไม่มีการบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังอยู่ และข้อนั้นเป็นเหตุที่เราไม่อยากจะไปอ่าน หรือเป็นเหตุให้เราไม่เชื่อถือ ก็ไม่เป็นไร เราก็ไม่ต้องไปอ่าน
ส่วนคนบางคน ได้ยินว่า "มีคนบอกว่า คัมภีร์พระไตรปิฎกนี้ ได้รวบรวมหลักพระพุทธศาสนา และคำตรัสแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า และพระสาวกในยุคแรก ๆ เอาไว้" คน ๆ นั้นอยากจะรู้ว่า แล้วในนั้นมีเนื้อหาอย่างไรบ้าง เขาก็ไปอ่าน อ่านแล้วเห็นว่ามีเรื่องน่าสนใจ แต่เอ๊ะ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องที่เขียนเอาไว้ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า ในนั้นมีอะไรอยู่
ข้อสำคัญก็คือ ขอให้ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเอง ว่าตนเองกำลังคิดอะไร กำลังคิดว่า "ฉันไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ฉันจึงไม่อ่าน" กับคนที่ "อย่างน้อยก็ควรจะรู้ไว้บ้างว่าในนั้นมีอะไร" แล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เล่าอะไรให้ฟังไว้แถมท้ายนิดหน่อย
มีเรื่องเล่าว่า ในประเทศจีน สมัยที่พระพุทธศาสนายังไม่แพร่หลายมากนัก ก็มีลัทธิเดิมคือขงจื้อ กับเต๋า อยู่ก่อนแล้ว และลัทธิทั้งสองนี้ก็คัดค้านพระพุทธศาสนาอยู่บ่อย ๆ
อำมาตย์คนหนึ่ง เป็นผู้นับถือขงจื้อ เป็นตัวตั้งตัวตีคัดค้านพระพุทธศาสนาต่าง ๆ นา ๆ แต่ไม่เคยรู้ว่าคำสอนของพระพุทธศาสนาคืออะไร
ภรรยาของอำมาตย์ท่านดังกล่าว เป็นชาวพุทธ และเชื่อมั่นว่า คำสอนของพระพุทธศาสนานั้นลุ่มลึกเกินกว่าขงจื้อและเต๋า มีเหตุผลมากกว่า อยากจะให้สามีเปลี่ยนความคิด จึงมาบอกกับสามีว่า "การที่ท่านจะคัดค้านพุทธศาสนา ท่านก็น่าจะทราบก่อนสิว่า ศาสนาพุทธสอนอะไร จะได้คัดค้านได้ถูกต้อง" อำมาตย์ก็เห็นด้วย จึงเริ่มอ่านคัมภีร์พระไตรปิฎก จนผ่านไปหลายเดือน
วันหนึ่งภรรยามาถามอำมาตย์ว่า "ถึงเวลาจะคัดค้านคำสอนของพุทธศาสนาหรือยัง" สามีก็บอกว่า "ฉันจะไปเปลี่ยนศาสนามานับถือพุทธศาสนาแล้ว นี่กำลังกะว่าจะให้เธอพาไปวัดเพื่อรับไตรสรณคมน์"
ภรรยาก็ถามว่า "ทำไมท่านจึงเปลี่ยนความคิดล่ะ"
สามีบอกว่า "ก็ยิ่งอ่านคัมภีร์คำสอนของพุทธไปเรื่อย ๆ ยิ่งเห็นความสุขุมลุ่มลึกในคำสอนของพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ฉันเป็นพุทธเหมือนอย่างเธอแล้ว ฉันต้องขอโทษด้วยที่เคยเข้าใจพุทธศาสนาผิด ๆ มาก่อน"
ผมขอสรุปส่งท้ายในเรื่องนี้เอาไว้ว่า
เราจะไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนสิ่งต่าง ๆ เอาไว้อยู่ในพระไตรปิฎกเลย ก็เรื่องของเรา
เราจะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ในพระไตรปิฎก ก็เรื่องของเรา
แต่สำหรับผู้เป็นบัณฑิต และเป็นมนุษย์ผู้เป็นสัตว์เหตุผล สิ่งที่ควรทำ ก็คือไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่ควรจะ "รู้" เสียก่อน ว่าในนั้นน่ะ คืออะไร
ถ้าเราไม่รู้ เราก็ทำได้แต่เพียง ไม่เชื่อ หรือไม่มั่นใจ แต่เราก็ทำได้เพียงเท่านั้น ไม่อาจไปได้เหนือกว่านั้น
เมื่อเรารู้แล้ว ว่า "ข้างในนั้น" คืออะไร แล้วเราคิดเห็นว่าอย่างไร นั่นสิจึงควรบอกว่า "เราเป็นผู้มีเหตุผล"
ผมได้บอกและย้ำหลายครั้งแล้วว่า คุณเมษาจะไปอ่านพระไตรปิฎกหรือไม่ ผมก็คงไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร คุณเมษาอาจจะตั้งธงเอาไว้ในใจว่าอย่างไร ๆ ผมก็คงหมดสิทธิ์จะไปรู้ได้ แต่ในฐานะที่เราเป็นนักวิชาการเหมือนกัน ก็ให้เกียรติกัน หวังว่าแต่ละคนจะมีเหตุผลในการศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งผมพยายามมองว่า คุณเมษามีเจตนาดีในการที่อยากจะรู้คำสอนชั้นแรกสุดของพระพุทธศาสนา ซึ่งผมก็บอกได้แต่เพียงว่า เท่าที่สืบมาถึงเรา คือพระไตรปิฎกนี้แหละ หลักฐานเบื้องต้นที่สุด เพราะในเมื่อคุณบอกว่า หลักฐานชั้นแรกคือแหล่งข้อมูลโดยตรง ก็พระสาวกที่ทำสังคายนานั่นเอง ที่เป็นแหล่งข้อมูลโดยตรง
ถ้าเราจะไม่ถือว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้อย่างนั้นแล้วบันทึกไว้เป็นตัวอักษร เราก็ต้องยอมรับจากแหล่งข้อมูลของพระอรหันต์ที่ร่วมยุคกับพระพุทธเจ้า แล้วแต่ละท่านก็มีเนื้อหาธรรมะที่ท่านเองก็แสดงเอาไว้ เอามารวมไว้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าเราต้องการหลักฐานแรกสุดเลยว่า ขอจากปากของคน ๆ นั้น ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมี นอกจากว่าเราจะมีไทม์แมชชีนไปย้อนเวลาดูตัวพระพุทธเจ้า และขอฟังธรรมแบบสด ๆ จากพระองค์ ซึ่งคงไม่มีทางที่จะไปทำอย่างนั้นได้
คุณเมษาจะไม่ถือว่าพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานเบื้องต้น จะถือว่าเป็นหลักฐานชั้นรอง ก็ไม่เป็นไร ผมก็คงไม่ไปยุ่งด้วยและไม่ไปบีบบังคับอะไร ก็เป็นสิทธิของคุณ ผมก็บอกได้แต่เพียงว่า เท่าที่มีมาถึงเรา คือพระไตรปิฎก ก็คงเหมือนกับพี่น้องศาสนาอื่นที่จะบอกว่า เท่าที่สืบทอดมาถึงเขา คือคัมภีร์ไบเบิ้ล หรือคัมภีร์อัลกุรอาน
ถ้าเราสนใจจะรู้ เราก็ไปศึกษา ถ้าเราไม่สนใจจะรู้ เราก็ไม่ต้องไปศึกษา ก็ไม่มีปัญหาอะไร สิ่งสำคัญคือความซื่อตรงที่ตนเองคิดและตั้งใจอยู่ว่าต้องการอะไร
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณคุณเมษาฯ ที่ได้ให้ความสนใจในการอ่านเนื้อหาที่ผมเขียนแม้จะยืดยาว แม้เราจะมีความเห็นที่ต่างกัน ผมจะใช้คำที่รุนแรงหรือเหมือนดูถูกไปบ้าง ก็ต้องขออภัย และขอบคุณที่ไม่ถือโกรธอะไร
และขอขอบคุณที่ทำให้ผมได้เขียนอะไรยาว ๆ เป็นเครื่องประเทืองปัญญา และทำให้ผมได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้อีกมากมาย บางเรื่องผมไม่ได้สนใจจะมานั่งคิด พอคุณถาม ผมก็ได้โอกาสในการคิดและเขียนออกมา นับว่าผมได้ประโยชน์จากการตั้งกระทู้นี้มากทีเดียว
ขอความสวัสดีจงมีแก่คุณเมษา และขอขอบคุณเพื่อนพุทธศาสนิกชนและเพื่อนสมาชิกที่ให้ความสนใจในกระทู้นี้
เรียนมาโดยสาราณียธรรม
Chohokun (โชโฮคุง)
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 55 18:13:46
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 55 18:04:59
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 55 18:02:27