|
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=26&A=8134&w=๘๔,๐๐๐_ธรรมขันธ์ "เมื่อเรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ๒๕ ปี กามสัญญาไม่เกิดขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เมื่อเรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ๒๕ ปี โทสสัญญาไม่เกิดขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เราได้อุปฐากพระผู้มีพระภาคด้วยเมตตากายกรรมเหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เราอุปฐากพระผู้มีพระภาคด้วยเมตตาวจีกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เราอุปฐากพระผู้มีพระภาคด้วยเมตตา มโนกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดำเนินไป เราก็ได้เดินตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ฌานเกิดขึ้นแก่เรา เราเป็นผู้มีกิจที่จะต้องทำ ยังเป็นพระเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัต พระศาสดาพระองค์ใดเป็นผู้ทรงอนุเคราะห์เรา พระศาสดาพระองค์นั้น ได้เสด็จปรินิพพานไปเสียก่อนแล้ว เมื่อพระสัมมา สัมพุทธเจ้าผู้ถือความเป็นผู้ประเสริฐโดยอาการทั้งปวง เสด็จปรินิพพานแล้ว ครั้งนั้น ได้เกิดมีความหวาดเสียวและได้เกิดขนพองสยองเกล้า." ---> พระอานนท์ท่านกล่าวเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรคะ
ตอบว่า ต้องสันนิษฐานตามพยัญชนะว่า พระอานนท์ท่านประสงค์จะสรรเสริญพระธรรมว่า แม้ท่านเป็นพระเสขบุคคล ก็จริง แต่ว่า กิเลสทั้งสามนี้ ก็ไม่ได้กลุ้มรุม เพราะธรรมนี้เป็นธรรมดี คือเมื่อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็ข่มกิเลส ที่จะกลุ้มรุมได้จริง ไม่ต้องทุกข์เพราะกิเลสกลุ้มรุม คือได้ผลการปฏิบัติ ตามสมควรแก่การปฏิบัติ มิใช่ว่า ต้องบรรลุพระอรหัตเสียก่อน จึงจะได้. ข้อนี้จะยกพระสูตรหนึ่งขึ้นมาอธิบาย คือ ครั้งหนึ่ง พระราชาขื่อพระเจ้าอุเทน ได้ถามพระอรหันต์รูปหนึ่ง คือท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ นัยว่า ทำไม พระภิกษุทั้งหลายที่ยังไม่หมดกามราคะด้วย ทั้งยังหนุ่มด้วย จึงสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้นาน หรือประพฤติได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต พระเถระตอบว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมาตั้งจิตว่าเป็นมารดา ในสตรีปูนมารดา เธอทั้งหลายจงตั้งจิตว่าเป็นพี่สาวน้องสาว ในสตรีปูนพี่สาวน้องสาว เธอทั้งหลายจงตั้งจิตว่าเป็นธิดา ในสตรีปูนธิดา พระราชาถามต่อไปว่า จิตบางคราวก็กลับกลอก อาจจะกำหนัดใน หญิงรุ่นแม่ รุ่นน้องสาวพี่สาว รุ่นลูกสาว ดังนั้นมีวิธีอื่นอะไรอีกที่ทำให้ พระภิกษุทั้งหลายที่ยังไม่หมด... ทั้งยังหนุ่มด้วย... ประพฤติได้บริสุทธิ์บริบูรณ์. พระเถระตอบว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาพิจารณากายนี้แหละ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ ปลายผมลงมา อันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ควรศึกษาทั้งพระสูตร. ภารทวาชสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=18&A=2904
จะเห็นได้ว่า แม้ยังไม่สิ้นกามราคะ ก็จริง แต่ถ้าหากประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็สามารถข่มกามราคะ ที่จะกลุ้มรุมได้. เพราะอะไร? เพราะธรรมนี้เป็นธรรมดี นั่นเอง นี้เป็นการขยายความตามการสันนิษฐานคำว่า เมื่อเรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ๒๕ ปี กามสัญญาไม่เกิดขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี
พระเสขบุคคล คือ พระอริยบุคคลที่ยังศึกษาอยู่ พระอเสขบุคคล คือ พระอริยบุคคลคือจบการศึกษาแล้ว คือไม่ต้องศึกษา เพื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว เพื่อกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ คือกิจเพื่อให้บรรลุพระอรหัตอีก ไม่ได้มี คำว่า เสข เป็นภาษาไทย ก็คือ ศึกษา นั่นเอง. - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=522 "ถึงพระศาสดาทรงพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้ แล้วมีร่างกายแข็งแรงมาก จักอยู่สบายดังนี้ จึงไม่ทรงอนุญาตปัจจัยแก่ท่าน โดยที่แท้ ทรงอนุญาตปัจจัยเหล่านั้นด้วยพระดำริว่า ภิกษุนี้ เมื่อบริโภคปัจจัยเหล่านี้จักทำสมณธรรม พ้นจากวัฏทุกข์ บัดนี้ เมื่อท่านนั้นเป็นคนเกียจคร้าน จักไม่เคารพก้อนข้าวนั้น แต่ท่านผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น ชื่อว่าเคารพในบิณฑบาต." ---> หมายความว่าอย่างไรคะ ตอบว่า สันนิษฐาน ปัจจัยต่างๆ เช่น บิณฑบาตเหล่านี้ พระศาสดาไม่ได้ทรงอนุญาตปัจจัยแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยหวังว่า ให้ร่างกายแข็งแรง แต่ทรงอนุญาต เพื่อให้มีกำลังในการบำเพ็ญสมณธรรม ดังนั้น จึงควรเคารพก้อนข้าวว่า บริโภคแล้วจะทำความเพียร ไม่ใช่บริโภคเพื่อความเพลิดเพลิน ตกแต่ง ... เมื่อบริโภคแล้วจะทำความเพียร บรรลุธรรมแล้ว จะเป็นธรรมทายาท คือผู้รับมรดก คือโลกุตตรธรรม ไม่ใช่เพียงอามิสทายาท คือผู้รับมรดกอันเป็นเพียงอามิส พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ธรรมทายาทสูตร ว่าด้วยทายาทแห่งธรรม http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=385&Z=516 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=20 คำว่า ธรรมทายาท http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ธรรมทายาท - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ฝากตักบาตรสามารถทำได้ไหมครับ เนื่องจากผมจะต้องรีบไปทำงาน จึงตื่นเช้ากว่า พระท่านมาไม่ทันผมไปทำงาน เลยอยากทราบว่า ถ้าผมอยากใส่บาตรแต่ฝากให้คนแถวนั้นตักบาตรให้ จะทำได้ไหมครับ จากคุณ : _______________ เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 19:54:05
สามารถทำได้ และควรทำด้วย ในกรณีจำเป็น เช่น ติดภาระกิจ บางครั้งหรือประจำ. เพราะหากไม่ทำ ก็เลยจะไม่ได้ทำเลย. และเมื่อสามารถทำได้ด้วยมือของตนเอง ก็ควรทำด้วยตนเองด้วย. สมัยก่อน พระราชาพระองค์หนึ่งทรงถวายภัตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 500 พระองค์ เป็นประจำ. เมื่อเวลาผ่านไป พระราชาทรงมีราชกิจที่ต้องดำเนินไปที่เมืองอื่น จึงรับสั่งแก่พระเทวี ให้ดูแลโดยขันแข็ง อย่าประมาท แล้วจึงเสด็จไป
๓. พรรณนามหากัสสปเถราปทาน http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=5
พระอรหันต์สามารถฉันมื้อเย็นได้หรือไม่? ตอบว่า ไม่น่าจะได้.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อุโปสถสูตร [บางส่วน] ดูกรนางวิสาขา พระอริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตราแล้ว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่จนตลอดชีวิต แม้เราก็ได้ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตราแล้ว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์ แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นคนขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่จนตลอดชีวิต แม้เราก็ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นคนขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตาม พระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติ พรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน จนตลอดชีวิต แม้เราก็ได้ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน ตลอดคืนหนึ่งกับ วันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ พูดเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลกจน ตลอดชีวิต แม้เราก็ได้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ พูดเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก ตลอดคืนหนึ่งกับ วันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้ง แห่งความประมาท เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้ง แห่งความประมาท แม้จนตลอดชีวิต แม้เราก็ละการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตาม พระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันหนเดียว เว้นการบริโภคในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาลจนตลอดชีวิต แม้เราก็บริโภคหนเดียว เว้นการบริโภคในราตรี งดจากการบริโภค ในเวลาวิกาล ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่า ได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถจักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย เว้นขาดจากฟ้อนรำขับร้อง การประโคมดนตรี และการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล จากการทัดทรงประดับและตกแต่งกาย ด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิวอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัวจน ตลอดชีวิต แม้เราก็เว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้องการประโคมดนตรี และดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล จากการทัดทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิวอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถ ก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ สำเร็จการนอนบนที่นอน อันต่ำ คือบนเตียงหรือบนเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้าจนตลอดชีวิต แม้เราก็ได้ละการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจาก การนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ สำเร็จการนอนบนที่นอนอันต่ำ คือ บนเตียงหรือบนเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้า ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จัก เป็นอันเราเข้าจำแล้ว - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ควรศึกษาทั้งพระสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5421&Z=5666 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=510 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อีกอย่างหนึ่ง แม้พระอรหันต์ทั้งหลายบรรลุธรรมแล้ว ก็ยังอุตสาหะ เพื่อฟังการถามการตอบของท่านพระมหากัสสปเถระ ท่านพระอุบาลีเถระ และท่านพระอานนท์เถระ เพื่อทำสังคายนาพระธรรมวินัยดำรงอยู่นาน. แม้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ควรฟังธรรม เช่นในเมฆิยสูตร พระพุทธพจน์ :- อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งกถาอันเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นที่สบายในการเปิดจิต คือ อับปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา สีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสนกถา นี้เป็นธรรมประการที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่ง เจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า ฯ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=23&A=7531
โดยนัยว่า การฟังธรรม ก็คือการฟังกถาอันเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสนั่นเอง. ผมเองนึกไม่ออกเลยว่า มีเหตุผลอันใดที่ชอบธรรม สำหรับอุบาสกอุบาสิกา ในการที่จะละทิ้งการฟังธรรม ละทิ้งการศึกษาพระธรรมวินัยเลย.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ธัมมัสสวนสูตร [๒๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ ย่อมเข้าใจชัดสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๑ ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ ๑ ย่อมทำความเห็นให้ตรง ๑ จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการนี้แล ฯ จบสูตรที่ ๒ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=5757&Z=5763 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=202 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม กับการพิจารณาขันธ์ 5 เป็นอันเดียวกันมั้ย รบกวนชี้แนะครับ จากคุณ : ________________ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 23:46:13
ตอบว่า ไม่เป็นอันเดียวกัน ขันธ์ 5 ทั้งหมดเป็นสังขารธรรม หรือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง แต่การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมนี้ ในส่วนของธรรม หรือเรียกว่าธัมมานุปัสสนา ในบรรพชื่อว่า สัจจบรรพ ในสัจจบรรพนั้นมีสัจจะหนึ่งที่เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ ไม่เป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จึงตอบว่า ไม่เป็นอันเดียวกัน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม กินใจความกว้างกว่า ขันธ์ 5.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร เฉพาะสัจจบรรพ ธัมมานุปัสสนา http://84000.org/tipitaka/read/?10/294-299 มหาสติปัฏฐานสูตรทั้งพระสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ขอคำชี้แนะ เรื่องการฟุ้งตอนสวดมนต์และทำสมาธิ มีปัญหาในการปฏิบัติค่ะ เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็น พอสวดไปได้สักพัก ความคิดเรื่องงาน เรื่องปัญหาที่เจอในวันนั้น จะโผล่เข้ามาในหัวทันที สามารถแก้ไขได้ไหม และเวลานั่งสมาธิ ก็จะเป็นอาการเดียวกัน คือ คอยฟุ้งไปเรื่อย ก็ได้แต่กำหนดว่า คิดหนอ คิดหนอ หรือ ฟุ้งหนอ ฟุ้งหนอ อยากรบกวนสอบถามว่า เวลาเรากำหนดตอนนั่งสมาธินั้น ที่ท่านให้คอยดูจิต ดูยังไงคะ ตอนนี้ตัวเองก็ดูแบบว่า ตอนนี้จิตมันวุ่นมั้ย มันคิดอะไร ตอนที่ปวดขามาก ก็ไม่รู้สึกว่า จิตมันปวด แต่รู้สึกว่า ขามันปวด มันประหลาดดีที่ขามันปวด แต่ใจมันไม่ปวด แต่ขามันคอยจะให้เราเลิกนั่ง แบบว่าทนไม่ไหวแล้วนะ มันปวด ใจมันก็วุ่น ๆ ขึ้นมา ถ้าทนไม่ไหว ก็จะพอแค่นั้น รบกวนชี้แนะด้วยนะคะ จากคุณ : _________________ เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 55 08:40:22
เวลาสวดมนต์ แล้วเกิดฟุ้งซ่าน แก้ไขอย่างไร? 1. ควรหยุดการสวดมนต์ก่อน แล้วพิจารณาว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ควรแก้ไขปัญหาเรื่องงานที่ฟุ้งเข้ามาหรือไม่? ถ้าพิจารณาแล้วว่า เป็นเวลาที่ควรแก้ไขปัญหาเรื่องงาน ก็ควรไปแก้ไขเสียในเสร็จสิ้นเรียบร้อย แล้วจึงค่อยสวดมนต์? ข้อนี้เป็นการกำจัดความกังวลเกี่ยวกับการงาน ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ใช่เวลาแก้ไขปัญหา ฯลฯ ก็ควรสวดมนต์ต่อไป. 2. หากสวดมนต์ต่อไป ก็ยังฟุ้งซ่านไปเรื่องงานอีก ควรพิจารณาว่า ความคล่องปากในบทสวดมนต์ มีกำลังน้อย กว่าความฟุ้งในเรื่องงานนั้นที่มีกำลังมาก ควรแก้ไขด้วยการสวดมนต์นั้น พร้อมระลึกถึงความหมาย หรือคำแปลของบทสวดนั้นไปทีละคาถา หรือทีละบาท (4 บาทเป็น 1 คาถา) ข้อนี้ทำให้ความคล่องปาก จะเสริมด้วยการตรึกนึกถึงคำแปล. การตรึกนึกถึงคำแปลหรือความหมายของบทสวดหรือบท ที่กำลังสาธยายอยู่นั้น เป็นการนำการตรึกออกจากการตรึกถึงเรื่องงาน. คำว่า ปลิโพธ http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ปลิโพธ#find2 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เวลาปวดเมื่อยขา เพราะการนั่งนานเกินไป ควรเปลี่ยนอิริยาบถ พระผู้มีพระภาค เมื่อทรงเมื่อยพระปฤษฎางค์ (เมื่อยหลัง) ก็ทรงเปลี่ยนอิริยาบถเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาเพื่อ ภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะเธอ เราเมื่อยหลัง จักเอนหลัง ท่านพระสารีบุตรกราบทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิสี่ชั้น ทรงสำเร็จสีหไสยาโดย พระปรัสเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า ทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงกระทำ อุฏฐานสัญญาไว้ในพระทัย http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=24&A=2920&w=เราเมื่อยหลัง_จักเอนหลัง ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=67
คำว่า วิสมปริหารชา อาพาธา ความเจ็บไข้ที่เกิดจากบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ คือ ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถไม่พอดี http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อาพาธ#find4 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
การเดินทางไกล ไม่ใช่ธุดงค์เลย. ธุดงค์มี 13 ข้อ และใน 13 ข้อนั้นไม่มีข้อการเดินทางหรือจาริก หรือการเดินทางไกล หรือทีฆจาริก. การเดินทางไกล ก็มีโทษ พระภิกษุผู้ถือธุดงควัตร ก็มี 5 จำพวก คำว่า ธุดงค์ http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ธุดงค์ http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ธุดงค์ พระสูตรเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางไกล. ทีฆจาริกสูตรที่ ๑ และที่ ๒ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=6010&Z=607 http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=221
แม้พระภิกษุผู้ถือธุดงควัตร ก็มี 5 จำพวก ศึกษาได้ในอรัญญวรรคที่ ๔ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต อรัญญวรรคที่ ๔ http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=22&A=5103&Z=5183 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=181 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อยากถามเรืองการสวดมนต์ค่ะ คือ อยากรู้ว่าถ้าสวดมนต์นี้ คือ การทำบุญหรือเปล่าค่ะ เพราะมีคนบอกว่าไม่ใช่ เขาบอกว่าการสวดนนต์คือการฝีกจิต เเต่ไม่ใช่ทำบุญ ความเห็นส่วนตัวของพี่เขาน่ะค่ะ จากคุณ : _________________ เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 03:30:56
ตอบว่า เป็นครับ.
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) คำว่า บุญ http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=บุญ#find4 http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=บุญ
คำว่า สวดมนต์ ก็คือการสาธยายธรรม นั่นเอง การสาธยายธรรมมีอานิสงส์มาก ดูรายละเอียดในพระสูตร ชื่อว่า วิมุตติสูตร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต วิมุตติสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=461&Z=514 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=26 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เนกขัมมบารมี ต้องทำยังไงถึงจะได้ครับ? จำเป็นต้องบวชอย่างเดียวเลยมั้ยครับ? จากคุณ : _______________________ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 23:46:21
เนกขัมมะ การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=บารมี
ในเพศคฤหัสถ์ก็ทำได้อยู่เหมือนกัน โดยนัยว่า การปลีกตัวปลีกใจจากกาม. คือ 1. เมื่อเริ่มต้นก็สมาทานศีล 5 ให้มั่นคง และในข้อ 3 ข้อว่า กาเมสุมิจฉาจารนั้น ละเว้นคือปลีกตัวปลีกใจออกจากวัตถุกามที่มีเวร. 2. จากนั้นก็ฝึกฝนสมาทานให้ยิ่งขึ้นไปด้วยศีล 8 ในข้อ 3 ข้อว่า อพฺรหฺมจริยา เวรมณี เว้นจากกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์, เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ คือร่วมประเวณี. ข้ออื่นๆ ก็เช่นละเว้นจากการทัดทรงดอกไม้ ประดับ ขับร้อง ดีด-สี-ตี-เป่า มหรสพ เหล่านี้ก็เป็นวัตถุกาม ที่พาจิตใจให้ยินดีหมกหมุ่น อยู่ในกามได้ทั้งนั้น ฝึกฝนการละเว้นในเพศคฤหัสถ์. ในระหว่างที่สมาทานรักษาศีล 8 ด้วยกายแล้ว จิตใจก็มิใช่ว่า จะไปมัวคำนึงถึงกาม หรือกามวิตกเช่นว่า พ้นจากกำหนดเวลาการรักษาศีล 8 แล้ว เราจะบริโภคกามคุณ บริโภคสิ่งนั้นสิ่งนี้ชดเชยจากการละเว้นเป็นต้น. ในระหว่างนั้น ควรพิจารณาหมวดธรรมต่างๆ อันมีนัยมาใน พระสูตรชื่อว่า อุโปสถสูตร บางส่วนดังนี้ว่า พระพุทธพจน์ :- ดูกรนางวิสาขา อุโบสถมี ๓ อย่าง ๓ อย่างเป็นไฉน คือ โคปาลกอุโบสถ ๑ นิคัณฐอุโบสถ ๑ อริยอุโบสถ ๑ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5421&Z=5666 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=510
แม้เมื่อรักษาศีล 8 หรืออุโบสถศีลก็ตาม ไม่ควรคำนึงโดยนัยว่า ด้วยอานิสงส์การรักษาศีลเหล่านั้น ขอเราจะเป็นเทพศักดาใหญ่ ผู้พรั่งพร้อม ด้วยกามคุณ แต่ควรอธิษฐานว่า เรารักษาศีล มิใช่หวังความเป็นเทพ เทวสมบัติ ขออานิสงส์ของการรักษาศีลนี้จงเป็นปัจจัยเพื่อการหลุดพ้น. ขอให้ศึกษาพระสูตรต่างๆ และคำต่างๆ ที่ทำลิงค์ไว้ จะได้ประโยชน์จากการศึกษา.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต สัพพลหุสสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=5127&Z=5167 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=130
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต กิมัตถิยสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=0&Z=45 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=1
คำว่า ศีล http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ศีล คำว่า เมถุนสังโยค http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=เมถุนสังโยค
แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 55 01:59:07
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 55 15:07:26
จากคุณ |
:
ฐานาฐานะ
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ต.ค. 55 21:41:49
|
|
|
|
|