-อจินไตย 4 รู้ก่อนปฎิบัติ ป้องกันการบ้า และเดินถูกทางแต่ก็หลง; วิปัสสนูปกิเลส 10
อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่พึงคิด คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด แลถ้าขืนคิดให้รู้ให้ได้ก็จะกลายเป็นผู้มีส่วนแห่งความเครียดเป็นบ้าเสียสติไป แต่ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าห้ามหรอกนะ ท่านเพียงแต่บอกความจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น ตามหลักขอพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไปห้ามใครเป็นแต่เพียงบอกว่า ไม่ควรคิด ถ้าคิดแล้วมันจะทำให้ มีส่วนแห่งความวิปริตของจิตเกิดขึ้น คือเมื่อคิดไม่ออก ก็เลยฟุ้งเพ้อไปเลยฉะนั้นท่านจึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด สรุปคือ ไม่อาจรู้เข้าใจได้ด้วยการคิด ต้องรู้ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเองโดยพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้น อจินไตยมี 4 อย่างคือ (องฺ.จตกฺก.21/76/104)
1. พุทธวิสัยคือ เรื่องปัญญาความสามารถของพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไรรู้ได้อย่างไร ทำได้อย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ปัญญาของเราไม่ถึงใคร แล้วให้หยั่งรู้ถึงทันเท่าคนนั้น
ย่อมคิดไม่ได้ คิดไม่ออก เป็นที่เรื่องที่เห็นๆ กันอยู่เพราะฉะนั้น ปุถุชนจะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ หรือคิดเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าออกได้อย่างไร ก็ต้องพัฒนาตัวไปจนกว่าจะมีปัญญาอย่างนั้น
2. ฌานวิสัย คือ วิสัยของฌาน จิตนั้นมนุษย์ก็มีอยู่ด้วยกันทุกๆ คน แต่มนุษย์ปุถุชนก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเข้าใจธรรมชาติของจิต และการทำงานของจิตของตนเองเลย แม้แต่ความฝัน ตัวเองก็ฝันอยู่แต่ก็ไม่เข้าใจความฝันนั้น ความรู้เรื่องจิตที่มีอยู่ในตัวเองหรือที่เป็นตัวเองนี้ มีน้อยอย่างยิ่ง ทีนี้ สภาพจิตที่เป็นฌานนั้นเกิดจากสมาธิที่แน่วแน่ถึงขั้นที่เรียกว่า อัปปนา เป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการฝึกฝนพัฒนาจิตยิ่งรู้เข้าใจยากกว่าสภาพจิตสามัญ คนทั่วไปจึงไม่อาจคิดให้รู้เข้าใจได้ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนพัฒนาขึ้นมาแต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอาจรู้เข้าใจได้ มิใช่ด้วยการคิด แต่ด้วยการทำเอา
3. เรื่องการให้ผลของกรรม เรื่องนีมนุษย์ปุถุชนคิดอย่างไรก็ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนจนถึงที่สุด เราก็รู้เข้าใจในแง่หลักของความเป็นไป ตามเหตุปัจจัยแล้วก็คิดไปได้ระดับหนึ่งแต่จะให้คิดมองเห็นโล่งตลอดไปก็ไม่ไหว
4. เรื่องโลกจินตา คือ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องของโลกจักรวาลจักรภพ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร จะมีการสิ้นสุดหรือไม่ มีขอบเขตถึงไหน เรื่องนี้ philosophers คือ นักปรัชญาทั้งหลายชอบคิด แต่ให้คิดไปเถิดก็ข้องอยู่นั้นจะคิดให้ออก ก็ไม่ออกหรอก
จากพระสูตร อจินติตสูตร
[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย
ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
จบสูตรที่ ๗
******************
ปีติในฌานนั้นพุทธองค์หมายเอา ผรณาปีติ เท่านั้น
ปีติิ คือความปลาบปลื้มใจ อิ่มเอิบใจในการเพ่งอารมณ์ เมื่อ ได้ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ ต้องประคองจิตให้มั่น โดยปราศจากการท้อถอย และลังเลใจ ความปลาบปลื้ม อิ่มเอิบใจย่อมเกิดขึ้น ขณะที่จิตมีปีติ ปลาบปลื้มอิ่มเอิบใจอยู่นั้น ก็จะไม่มีความพยาบาท มุ่งร้าย หรือขุ่นเคืองใจ เข้ามาแทรกแซงได้
ปีติ ความปลาบปลื้มอิ่มเอิบใจ มี ๕ ประการ คือ
๑) ขุททกาปีติ ปลาบปลื้มใจ เล็กน้อย พอรู้สึกขนลุก
๒) ขณิกาปีติ " ชั่วขณะ เกิดขึ้นบ่อยๆ
๓) โอกกันติกาปีติ " ถึงกับตัวโยกตัวโคลง
๔) อุพเพงคาปีติ " จนตัวลอย
๕) ผรณาปีติ " จนอิ่มเอิบซาบซ่านไปทั่วกายและใจ
ปีติ ที่เป็นองค์ฌาน ที่สามารถข่มพยาบาทนิวรณ์ได้นั้น ต้องถึงผรณาปีติ ส่วนปีติอีก ๔ ไม่นับว่าเป็นองค์ฌาน เพราะยังเป็นของหยาบ และมีกำลังน้อย
1.พระขุททกาปีติ เมื่อบังเกิดขึ้นแล้ว ขนผองสยองเกล้า มีประการต่าง ๆขณะเมื่อจำเริญภาวนาและมีความยินดีปรีดาในสันดาน ให้บังเกิดขนพองสยองเกล้านั้น ใช่อื่นใช่ไกล พึงเข้าใจเถิดว่า พระขุททกาปีติได้บังเกิดขึ้นแล้วในสันดานแล
2.พระขณิกาปีติ นั้นเมื่อบังเกิดแล้ว ก็ย่อมให้เห็นปรากฏ วิชุลตา วิย แปลบๆ ดุจดังว่าสายฟ้า อันแลบฉวัดเฉวียนในอากาศนั้น เห็นปรากฎดุจพระขณิกาปีตินี้ เมื่อบังเกิดขึ้นในสันดานแล้วก็ให้ปรากฏดุจดังนั้นแล
3.พระโอกกันติกาปีติ เมื่อบังเกิดขึ้นในสันดาน ก็มี ปีติเป็นระลอกหรือปีติเป็นพักๆ ให้รู้สึกซู่ลงมาๆ ในกาย ดั่งคลื่นกระทบฝั่ง น้ำเข้ามาแล้วก็อันตรธานหายไป ฉันใดก็ดี เมื่อพระโอกกันติกาปีตินั้น เมื่อหยั่งลงสู่กายแล้ว ก็ให้ปรากฏ ดังนั้น ๆ อยู่ น้ำเข้ามาแล้ว ดังโคลกคลาก เข้าแล้วแลหายไป อย่างนี้นี่เป็นลักษณะแห่งพระโอกกันติกาปีติแล
4.พระอุพเพงคาปีติ เมื่อบังเกิดขึ้นแก่กายแล้ว ปีติโลดลอย เป็นอย่างแรงให้รู้สึกใจฟูแสดงอาการหรือทำการบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจ เช่น เปล่งอุทาน เป็นต้น หรือ ก็ให้กายลอยไปในอากาศ เสมือนหนึ่งลูกสกุณาปีกยังมิกล้า บังเกิดกระทำให้พอแต่ไหวกายแต่เพียงนั้น เหมือนเราท่านทุกวันนี้ เป็นผู้ที่มีศรัทธาได้เล่าเรียนพระวิปัสสนา ในอุพเพงคาปีตินั้น พึ่งเข้าใจว่าได้ โอน ๆ เป็นแต่อย่างกลาง บางทีนั้น กายหกคะมำไปก็มี เป็นอย่างนี้อาศัยด้วยมิได้ที่กล้าหาญ ถ้าได้พระอุพเพงคาปีติที่กล้าที่หาญนั้นแล้ว กายก็ลอยไปในอากาศเวหาเป็นแท้
5.พระผรณาปีตินั้น เมื่อบังเกิดขึ้นแล้วก็ให้เย็นแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย ปีติซาบซ่าน ให้รู้สึกเย็นซ่านแผ่เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ ปีติที่ประกอบกับสมาธิ "ท่านมุ่งเอาข้อนี้"ตัวสั่นโยกโคลง ยังไม่ใช้ปีติ จากองค์ฌาน เป็นปีติในขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น ปีติในองค์ฌานจะเป็นแบบ ผรณาปีติ เท่านั้น
***************************************
เดินถูกทางแต่ก็หลง; วิปัสสนูปกิเลส 10
________________________________________วิปัสสนูปกิเลส
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ หมายถึง อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา เป็นธรรมารมณ์ที่เกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนาอ่อนๆ (ตรุณวิปัสสนา) สภาพน่าชื่นชมแต่ที่แท้เป็นโทษเครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนา ทำให้เข้าใจผิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว เป็นเหตุขัดขวางไม่ให้ก้าวหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ มี ๑๐ อย่าง คือ
โอภาส หมายถึง แสงสว่าง(ที่ปรากฏเป็นธรรมารมณ์ในใจ)
ญาณ หมายถึง ความหยั่งรู้
ปีติ หมายถึง ความอิ่มใจ
ปัสสัทธิ หมายถึง ความสงบเย็น
สุข หมายถึง ความสุขสบายใจ
อธิโมกข์ หมายถึง ความน้อมใจเชื่อ ศรัทธาแก่กล้า ความปลงใจ
ปัคคาหะ หมายถึง ความเพียรที่พอดี
อุปัฏฐาน หมายถึง สติแก่กล้า สติชัด
อุเบกขา หมายถึง ความมีจิตเป็นกลาง
นิกันติ หมายถึง ความพอใจ ติดใจ
เมื่อผู้ปฏิบัติวิปัสสนาสามารถยกเอารูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย ขึ้นมาพิจารณาเป็นหมวดๆ ตามแนวไตรลักษณ์ที่ละอย่างๆ จนเริ่มมองเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย เกิดเป็นวิปัสสนาญาณอ่อนๆ (หรือตรุณวิปัสสนา เช่น ในช่วงอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ) ในช่วงนี้ก็จะเกิดวิปัสสนูปกิเลสขึ้นมา
วิปัสสนูปกิเลสทั้งสิบนี้ เป็นภาวะที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง และไม่เคยเกิดมี ไม่เคยประสบมาก่อน จึงชวนให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิด คิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว หรือหลงยึดเอาคิดว่าวิปัสสนูปกิเลสนั้นเป็นทางที่ถูก ถ้าหลงไปตามนั้นก็เป็นอันพลาดจากทาง เป็นอันปฏิบัติผิดไป คือพลาดทางวิปัสสนา แล้วก็จะทิ้งกรรมฐานเดิมเสีย นั่งชื่นชมอุปกิเลสของวิปัสสนาอยู่นั่นเองแต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแก้ไขได้ ก็จะกำหนดได้ว่าวิปัสสนูปกิเลสนั้นไม่ใช่ทาง รู้เท่าทัน เมื่อมันเกิดขึ้น ก็กำหนดพิจารณาด้วยปัญญาว่า โอภาสนี้ ญาณนี้ ฯลฯ หรือนิกันตินี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่มันเป็นของไม่เที่ยง เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา แล้วกำหนดวิปัสสนาญาณที่ดำเนินถูกทาง ซึ่งจะพึงเดินต่อไป
เนื้อหา
1 ผู้ที่ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส
2 ความยึดถือวิปัสสนูปกิเลส
3 อ้างอิง
1.ผู้ที่ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส
วิปัสสนูปกิเลสจะไม่เกิดขึ้นแก่
พระอริยสาวก ผู้บรรลุปฏิเวธแล้ว
ผู้ปฏิบัติผิด (เริ่มต้นมาแต่ศีลวิบัติ)
ผู้ละทิ้งกรรมฐาน
บุคคลเกียจคร้าน (แม้ปฏิบัติถูกมาแต่เริ่มต้น)
แต่จะเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติโดยชอบ ประกอบความเพียร ผู้เริ่มต้นบำเพ็ญวิปัสสนาแล้ว เท่านั้น
2.ความยึดถือวิปัสสนูปกิเลส
อุปกิเลสแห่งวิปัสสนานี้มี ๑๐ อย่าง แต่ละอย่างมีความยึดถือได้อย่างละ ๓ แบบ (รวมเป็น ๓๐) ได้แก่
ทิฏฐิคาหะ หมายถึง ยึดถือด้วยทิฏฐิ เช่น ยึดถืออยู่ว่า "โอภาสเกิดขึ้นแก่เราแล้ว"
มานคาหะ หมายถึง ยึดถือด้วยมานะ เช่น ยึดถืออยู่ว่า "โอภาสน่าพึงพอใจจริงหนอ เกิดขึ้นแล้ว"
ตัณหาคาหะ หมายถึง ยึดถือด้วยตัณหา เช่น ชื่นชมโอภาสอยู่
บทที่ 5 จบ
อ่านต่อบทที่ 6.อานาปานาสติในทัศนะของข้าพเจ้า...
กลับไปสารบัญ...