ความคิดเห็นที่ 1 ไม่เป็น เพราะตั้งปณิธานประพฤติพรหมจรรย์ตลอดชีวิต.....จนตอนนี้กล่าวได้เต็มปากว่า "ดีใจที่เราไม่มีคู่ครอง" จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 19:55:45

ความคิดเห็นที่ 2 เพราะคุณรักไม่เป็น คุณจึงทุกข์ ถ้าคุณรักให้เป็นคุณก็มีความสุขค่ะ จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 20:13:35

ความคิดเห็นที่ 3 อยู่คนเดียวสบายแต่ไม่สนุก อยู่2มันแสนสนุกแต่ไม่สบาย เราควรปฏิบัติหรือเรียกอีกอย่างว่าทำความดีตามความเป็นจริงของวิถีชีวิต จะมีความสุขมากกว่าทำอะไรๆกึ่งวิถีครับ จากคุณ : ซุนจื๊อ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 20:21:00

ความคิดเห็นที่ 4 บัวเกิดจากโคลนตม แต่ไม่เปื้อนโคลนตมครับ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์อีกหลายองค์ก็ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว พระโสดาบันหลายท่านก็ครองเรือนกัน จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 20:57:05

ความคิดเห็นที่ 5 ผมคุยกับเพื่อนที่มีลูก ผมว่าเสียงเขาแปลกๆนะ เหมือนมีห่วง มีกังวล ไม่เหมือนสมัยตอนโสด คุยกันเสียงใสเชียว  :) จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 20:58:27

ความคิดเห็นที่ 6 โดนแฟนดูดพลังไปหม๊ดด  ...เหมือนพวกนักกิฬาเก่งๆ  เมื่อไหร่มีครอบครัว ฝีมือก็ตกทันที จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 21:20:12

ความคิดเห็นที่ 7 กลับมาจากกรรมฐานประจำปีก็เลิกกับแฟนเลยค่ะ ต้องมีเหตุทุกครั้ง 3 ครั้งแล้ว ตอนนี้มีคนมาจีบเยอะแยะ แต่เริ่มติดใจความโสด ไม่ทุกข์ ไม่ห่วง สบายสุดๆ และคิดว่าก็คงจะไม่มีตลอดไป ดีและสบายที่สุดค่ะ จากคุณ : 4ปีจบ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 21:55:06

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นไปได้ครับ เนื่องจากเพิ่มห่วงที่เคยมีอยู่เดิมแล้วขึ้นมาอีกอย่างน้อยหนึ่งห่วง จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 55 22:46:47

ความคิดเห็นที่ 9 ผมก็ไม่เคยเห็นฆราวาสก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมจริงๆซักคน มันเป็นยังไงไอ้คำว่า "ก้าวหน้า" มีอะไรเป็นเครื่องชี้วัด ว่าคนนี้ก้าวคนนั้นก้าว เห็นมีแต่พระทัก หรือทึกทักเอาก็ไม่รู้ หลายคนที่มาแสดงตัวว่าก้าวหน้าแล้วอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอไปถามคนสนิท ลูก+เมีย+พี่+น้อง เข้าจริงๆ ดูไม่จืดทุกราย จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 04:49:48

ความคิดเห็นที่ 10 ผมเคยเห็น น้อยคนมากๆ ที่มีครอบครัว แล้วจะปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ เท่าที่เจอก็มีอาจารย์ที่สอนสมาธิท่านเป็นทหารปลดเกษียณถึงมีเวลาว่าง และลูกก็โตหมดแล้ว อีกท่านเป็นน้าผู้หญิง ก็เจียดเวลาปฏิบัติจริงจัง แต่ก็หาโอกาสยากมากๆ สำหรับคนมีครอบครัว ไหนจะแฟน  ไหนจะลูก  ไหนจะเรื่องทำมาหากิน จะไปไหนมาไหนก็ต้องขออนุญาต จะไปปฏิบัติก็ต้องบอกกล่าวกัน เป็นห่วงกัน   เห็นคนมีครอบครัว ก็สุขแบบ วันนี้สุขพรุ่งนี้ทุกข์ ห่วงลูกห่วงหลาน หาคนที่ปล่อยวางจริงๆปฏิบัติต่อเนื่องยากมาก เจอเพื่อนแต่ละคนที่มีลูกหน้าดูเศร้าๆเครียดๆไงไม่รู้ บางคนพูดไปน้ำตาซึมเลย แต่พอเจอคนโสด ดูสดใส อิสระดี เจอแต่ละทีก็ไปทำบุญไปปฏิบัติ เห็นเขาก็ดูแลกันเอง ระหว่างพี่น้อง จากคุณ : เจมส์แบน คังคังโป้ย เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 08:53:58

ความคิดเห็นที่ 11 เพราะศีลไม่เสมอกันกับแฟนน่ะสิครับ จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 09:10:53

ความคิดเห็นที่ 12 มีลูกแล้วยิ่งหนักกว่านี้อีกครับ แอบแฟนลงมานั่งสมาธิชั้นล่าง แต่หูยังกังวลกับลูกที่นอนอยู่ชั้นบน จากคุณ : บ่าวบ้านบาก เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 09:19:30

ความคิดเห็นที่ 13 อย่างนี้ดีครับเป็นครูมาสอน อาการทุกอย่างไม่ว่า "ห่วง,กังวล,ฟุ้งซ่าน...สุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์" ครูบาอาจาร์ยสอนให้กำหนดตลอด ให้รู้ทันว่าจิตเรารู้ทันอาการ"ห่วง,กังวล,ฟุ้งซ่าน...สุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์" .... เข้าใจว่าจิิตคุณไปยึดติดกับแฟนมากควรทิ้งระยะห่างไว้บ้างเผื่อใจไว้บ้าง รักแบบ 50/50 อย่ารักหมด อย่าเกลียดหมดเผื่อไว้เวลานึกถึงหรือรักบ้างหรือเกลียดบ้าง ให้รักแบบญาติช่วยเหลือเอ็นดูเกื้อกุลขาดเหลืออะไรค่อยว่า กันแบบนี้จะยั่งยืน (อันนี้ประสบการณ์ผมเอง ประกอบกันครูบาอาจาร์ยสอนด้วย) หากศึกษาจริงๆ จะทราบว่าคนที่มีครอบครัวแล้วสามารถปฎิบัติได้ผลก็มีถึงขั้นพละสมาบัติ(ไม่ทราบว่าผมเขียนถูกหรือเปล่า) ที่รู้เพราะครูบาอาจาร์ยเล่าให้ฟัง แต่ท่านสอนว่าอย่าไปสนใจว่าจะถึงขั้นไหน ให้สนใจว่าให้มีสติรู้เท่าทันจิตเท่านั้น อย่างอื่นไม่ต้องหวังสูง จากคุณ : auddy (Kittisak) เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 09:33:37

ความคิดเห็นที่ 14 #10 คงยึดติดว่าการปฏิบัติธรรมต้องไปนุ่งขาวห่มขาวอยู่วัดเป็นอาทิตย์ๆ อย่างนั้นเป็นอุปสรรคกับการครองเรือนแน่นอน การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สามารถปฏิบัติได้ทุกสถานที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องไปปฏิบัติที่วัดอย่างเดียว คุณสามารถถือศีลห้าอยู่ตลอดเวลาทุกวัน รักษาศีลจนเป็นปกติวิสัย ทำอานาปานสติได้ทุกที่ทุกเวลาที่หายใจอยู่ ทำวิปัสสนาโดยการดูกายดูใจของตนเองได้ตลอดทั้งวัน เอาไว้ได้อริยบุคคลชั้นสูงแล้วจึงคิดไปบวชก็ได้ แต่ชีวิตของฆราวาสที่มีคู่ครองนั้นลำบากกว่าชีวิตโสดมากมายหลายเท่านักโดยเฉพาะเมื่อคุณมีลูก จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:22:10

ความคิดเห็นที่ 15 ขันธ์5ตัวเองยังเอาไม่รอด เพิ่มมาอีก1 ก็เป็นขันธ์10 มีลูกอีก1 ก็เป็นขันธ์15 555+ นั่นแหละ พิจารณาไป ให้เห็น ทุกข์..?? จากคุณ : เด็กวัดจันทร์ เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:39:15

ความคิดเห็นที่ 16 คห.10 การปฏิบัติ วันนึง 30นาทีก็พอแล้ว การปฏิบัติ ทำให้เคร่งคัด แต่อย่าเคร่งเครียด จากคุณ : เด็กวัดจันทร์ เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:42:31

ความคิดเห็นที่ 17 ใช่สิครับ ยิ่งมีครอบครัว มีลูก คราวนี้สมองมันต้องแบ่งไปทำไปคิดหลายอย่าง ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอด ไปเอาตัวคนอื่นมาเป็นของตัวอีก .... จากคุณ : นิยมวัตถุ เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 14:28:58

ความคิดเห็นที่ 18 คิดแบบนี้บอกเลิกแฟนไปเลยค่ะ คนที่คบด้วยทุกข์เปล่าๆ เพราะศีลไม่เท่ากัน เราเป็นแบบแฟนคุณ แฟนเราก้อบ่นไปเรื่อยว่าไม่มีความสุขบ้าง เข้าถึงทางธรรมมีความสุขกว่า เวลาคุยเรื่องธรรมมะ ก้อคุยไม่รู้เรื่อง เพราะความรู้ทางธรรมต่างกัน เผลอๆทะเลาะกันอีก เราฟังแล้วเหมือนจะดี แต่ก้อไม่ดี เหมือนจะขำ แต่ก้อไม่ขำ แต่ที่แน่ๆรู้สึกว่าถ้าไม่มีเรา เค้าจะสุขกว่านี้ แต่พอเปิดโอกาสให้เลิกเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เค้าสุข ก้อดันไม่เลิกกับเราอีก.......เอายังงัยกัน ลองพิจารณาดูนะคะ จากคุณ : Miracles in my life เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 15:35:11

ความคิดเห็นที่ 19 การที่จขก เห็นตามนั้น มันก็เป็นอย่างนั้นแหละคะ เพียงแต่ยังคิดว่า มีสุข จริงๆแล้วเปรียบเหมือน มีดโกนอาบน้ำผึ้ง มันทุกข์ทั้งนั้น แต่มันมีกลิ่น มีรสของความหวัง ความฝัน ความปรารถนา กิเลสกามอาบไว้ ซึ่งมันไม่เทียง เป็นทุกข์ อยู่นอกเหนือการบังคับ ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้า คงบอกให้มีเมียเถอะ บรรลุมรรคผลแน่ๆ กิเลสตัวราคะ มันครองใจ มันก็ทุกข์ซิ คนภาวนาละเอียดแล้ว มันก็เห็นทุกข์ตัวนี้แหละ เวลาใจมันเสียความเป็นปรกติไป มันแส่ส่าย ไปในอารมณ์ หวั่นไหวไปมา นี่แหละ ทุกขลักษณะ  ทุกข์ไหม ทุกข์คะ ไม่ใช่สุข น้อยคนมาก มีขันธ์5 งอกมาเพิ่มอีก 1ชุด 2ชุด  จะยังภาวนาได้คงเส้นคงวา บารมีเขาต้องเต็มจริงๆ  จิตใจปักมั่นในเส้นทางเดินไปสู่มรรคผลนิพพาน ได้คู่บุญด้วย ส่งเสริมกัน มันถึงจะไปไหว ส่วนมาก แป๊กคะ กลับคืนสู่โลก เสพกามสุข  ไปวัดบ้างนานๆที ย่อหย่อนในการปฎิบัติ  ปฎิบัติแล้วติดขัดไม่ก้าวหน้า ยุ่งกับ การสร้างเงินทอง ฐานะ ดูแล คู่ชิวิต ลูกเต้า ครอบครัว ..แล้วก็หมดไปอีกชาติ คู่ที่เป็นตัวอย่างในการไปได้ถึงฝั่งของฆราวาสที่มีคู่ครอง มักถูกยกมาอ้างถึง ยามเมื่อจิตใจเราเสร็จกิเลส โดนราคะคาบไปกิน ว่าคู่นั่นนี้ เขายังทำได้   ยังไง ขอให้สำรวจตัวเองให้ดีแล้วกันนะคะ  ว่าเราทำได้อย่างเขาไหม จุดมั่งหมายเหมือนกันไหม  อินทรีย์เราแกร่งเหมือนเขาไหม ทำไม่ได้ ก็ยอมรับไปเสีย ว่ากิเลสมันหลอกเอาเสียแล้ว มีแวว จะเสียเวลาไปอีกชาติหนึ่งแล้วละ  (เป็นแบบนี้มากี่ชาติแล้วละคุณเอ๊ย) จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 15:49:11

ความคิดเห็นที่ 21 เคยฟังพระไตรปิฎก ท่านเปรียบเทียบว่า เปรียบเสมือนไม้เปียก ไม้แห้ง ถ้าบุคคลจะเลือกไม้ฟืนมาก่อไฟ จะเลือกไม้แบบไหน ถ้าเอาไม้เปียกมาจุดไฟ ไฟจะติดหรือ มีแฟนก็เปรียบเหมือนไม้เปียกนั้นแหละ ยากที่จะปฏิบัติธรรมให้เจริญก้าวหน้า ไม้แห้งเท่านั้นที่จะสามารถติดไฟได้ จากคุณ : feroda เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 17:18:23

ความคิดเห็นที่ 22 มีแฟน ก็ต้องโทรหา โน้นนี่ ห่วงใย การปฏิบัติธรรม มันต้องตั้งอยู่ในสติปัฏฐานสี่ กายใจเราเอง มีแฟนจิตก็ส่งนอกบ่อยๆ แล้วมันจะก้าวหน้าได้อย่างไร จากคุณ : Mateo2000 (Mateo2000) เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 18:00:24

ความคิดเห็นที่ 23 สำหรับผม คนยิ่งใกล้ตัว เรายิ่งโมโหง่ายนะ บางทีโมโหเพราะรัก โมโหเพราะห่วง จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 19:08:49

ความคิดเห็นที่ 24 ขอยกข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก  มาให้พิจารณา ๑๐๔. จะบรรลุสิ่งเป็นสาระก็ด้วยเข้าใจสาระ              "ผู้เห็นในสิ่งไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ เห็นในสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ มีความดำริผิดเป็นทางไป ย่อมไม่ได้บรรลุสิ่งที่เป็นสาระ."       "ผู้รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ สิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ มีความดำริชอบเป็นทางไป ย่อมบรรลุสิ่งเป็นสาระได้." ๑๐๕. ฝนรั่งรดที่เทียบด้วยราคะ๔ (ความติดใจ)           "เรือนที่มุงไม่ดี ฝนย่อมรั่วรดได้ฉันใด จิตที่อบรมไม่ดี ราคะ(ความติดใจ) ก็รั่วรดได้ฉันนั้น."       "เรือนที่มุงดีแล้ว ฝนย่อมรั่วรดไม่ได้ฉันใด จิตที่อบรมดีแล้ว ราคะ (ความติดใจ) ก็รั่วรดไม่ได้ฉันนั้น." ธรรมบท ๒๕/๑๖ .......................................................... ๔. คำว่า ราคะ ถ้าแปลว่า ความกำหนัด จะหมายความแคบเฉพาะในกามารมณ์ แต่ในความหมายที่กว้าง ความติดอกติดใจในสิ่งใด ๆ ก็ตาม ที่มีลักษณะเหมือนจิตใจถูกสีย้อม ก็เป็นราคะทั้งสิ้น. ราคะมี ๓ อย่าง ติดใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกามราคะ ติดใจในรูปฌาน เป็นรูปราคะ ติดใจในอรูปฌาน เป็นอรูปราคะ ....................................................................... ๒๐. จิตผ่องใสเศร้าหมองได้ หลุดพ้นได้       "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองเพราะอุปกิเลส๑ ที่จรมา"      "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล หลุดพ้นได้จากอุปกิเลส๑ ที่จรมา." เอกนิบาต อุงคุตตรนิกาย ๒๐/๑๑ ๒๑. การอบรมจิตของบุถุชนผู้มิได้สดับ และอริยสาวกผู้ได้สดับ      "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองได้เพราะอุปกิเลส๑ ที่จรมา บุถุชน ผู้มิได้สดับเรื่องนั้น ย่อมไม่รู้ตามความจริง เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวว่า การอบรมจิตของบุถุชนผู้มิได้ สดับย่อมไม่มี"      "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล หลุดพ้นได้จากอุปกิเลสที่จรมา อริยสาวกผู้ได้ สดับเรื่องนั้น ย่อมรู้ตามความจริง เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวว่า การอบรมจิตของอริยสาวกผู้ได้สดับมีอยู่." เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๑๑,๑๒ .......................................................................................... ๑. อุปกิเลส คือความชั่วทางจิตที่ทำจิตให้เศร้าหมอง มีความโลภอย่างแรง เป็นต้น ขอให้เจริญในธรรม จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 20:50:29

ความคิดเห็นที่ 25 ๑๒๑. จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้          "การฝึกจิตที่ข่มได้ยาก เป็นของเบา มักตกไปในอารมณ์ตามที่ใคร่ เป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกแล้ว นำความสุขมาให้." ๑๒๓. จะพ้นจากบ่วงมารได้อย่างไร          "ผู้ใดสำรวมจิต ซึ่งเที่ยวไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีร่าง มีแค่คูหา (คือตัวมนุษย์) เป็นที่อาศัยได้ ผู้นั้นย่อมพ้นจากบ่วงแห่งมาร." จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 20:58:25

ความคิดเห็นที่ 26 จขกทเพลิงทุกข์สิ้นเชิงได้  ก็อย่าใส่เชื้อทุกข์เพลิงเข้าไปสิครับ เรามีแฟนได้เราต้องมั่นใจว่า  เขาต้องไม่เป็นทุกข์เพราะเราเด็ดขาด ไม่ใช่เราไม่เป็นทุกข์ เราเจริญธรรมก้าวหน้าได้ฝ่ายเดียว อย่าให้เราเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ของผู้อื่น สิ่งที่เราเป็นเหตุไม่เจตนาก็มี   ไม่รู้ตัวก็มี เช่น  ความหล่อเหลา ทำให้เกิดความติดใจเมื่อชอบ  เกิดความหึงหวง เมื่อกลัวสูญเสีย สถานะอย่างนี้จะไม่เกิดถ้าเราไม่ใช่แฟนกันครับ เอาว่าจะด้วยกาย  วาจา  หรือใจของเรา  ต้องไม่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ คนอื่น ถึงจะเกิด มันจะไม่เป็นใยติดตัวเราไปตลอดเหมือนเป็นแฟนกันครับ จากคุณ : สวรรค์บรรเลง เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 02:49:05

ความคิดเห็นที่ 27 เอาสภาวะแฟนเป็นที่ฝึกจิตไปเลยไม่ได้เหรอคะ ^^ เวลาห่วง ก็ห่วงหนอๆๆๆๆๆ เวลาโกรธก็โกรธหนอออออ เวลาไม่เข้าใจกันก็รู้หนอๆๆๆๆๆๆ ... ไม่รู้สิเราว่าทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดมาจากตัวเราเองซะเป็นส่วนใหญ่น่ะค่ะ^^" จากคุณ : ตาลสด เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 01:51:25

ความคิดเห็นที่ 28 ผมยังไม่เคยแต่งงาน หรือ อยู่กินกับแฟน แค่วันหยุดก็มาเจอกันไปเที่ยวด้วยกัน ก็ดูจิตดูใจสังเกตจิตใจตนเอง ตอนมีแฟนใจมันห่วงกังวล คิดถึง ฟุ้งซ่าน เผลอสติได้ตลอด  ยิ่งเวลาทะเลาะกันจิตมันตึงๆหนักๆ ร่างกายก็ร้อน หัวหนักๆ จิตมีความหน่วงหนักถอนจากอารมณ์ต่างๆได้ยาก เวลาเจอกันก็จะตื่นเต้น มีความสุข รู้สึกจิตมีราคะ(เห็นแฟนสวย กลิ่นตัวหอม)ครอบงำตลอด ใจไม่ปกติ เป็นกลางๆ ถึงจะไม่เคยมีลูกแต่เคยเลี้ยงหลาน (เลี้ยงตอนทารกและตอนโตช่วงปิดเทอม ขายของไปด้วยดูแลหลานด้วย  บางวันเครียดมากจนต้องโทรเรียกพี่สาวให้มารับมือแทน ไม่ไหวแล้ว) รู้สึกห่วงกังวลกว่ามีแฟนมากๆ เวลาหลานไม่สบาย เวลาหายไปไหน เหนื่อยมากๆ เลยรู้ว่า การมีลูก ไม่ใช่ว่าจะมีความสุขเลย มีแต่ภาระ อาจจะสุขตอนที่เด็กๆสบายดี และเล่นด้วยกันได้ เปรียบเทียบกับตอนโสด จิตมีความว่องไว มีอิสระ มีความสุขสงบได้ง่าย ดึงสติกลับมาได้ไว  ปกติก็ดูจิตดูใจตนเองมาตลอด ถ้ามีสติคิดขึ้นได้  เวลาจิตมันสัดส่ายมากก็จะตามลมหายใจยาวๆ จากคุณ : เจมส์แบน คังคังโป้ย เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 12:47:47

ความคิดเห็นที่ 29 ที่ว่า น้อยคู่นักที่จะเกื้อหนุนกันในทางปฏิบัติ เรียกว่าคู่บุญคู่บารมี ผมเห็นจะน้อยของน้อยจริงๆครับ แฟนผมเองก็ชอบไปวัดน่ะครับ แต่จากการสังเกต พูดคุย แฟนผมไปสัดไปไหว้พระทำบุญด้วยปัจจัย และขออธิษฐานให้หน้าที่การงานดี มีความสุข และชวนผมไปทำบุญเพื่อว่าชาติหน้าจะได้เจอกันอีก (แป่ววว ผมไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นเลย) ผมก็บอกไปตรงๆว่า ผมทำบุญอธิษฐานเสมอว่า ขอให้ปัจจัยที่ทำนี้ เป็นการลดความตระหนี่ ขัดเกลากิเลสตนเอง เป็นปัจจัยในการบรรลุมรรคผลนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้ หรือชาติต่อๆไป อย่างน้อยขอให้ได้  ละความรู้สึกเป็นตัวตน(สักกายทิฐิ)ในชาตินี้ให้จงได้ แฟมผมก็อึ้ง และพูดแบบติดตลก เหมือนผิดหวังในคำพูดของผมว่าผมจะไม่อยากเจอกันชาติต่อไปอีกแล้ว จากคุณ : เจมส์แบน คังคังโป้ย เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 13:02:06

ความคิดเห็นที่ 30 อนุโมทนา คังคังโป้ย จากคุณ : คังคังชิก (กระบี่นางฟ้า) เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 55 16:17:25

ความคิดเห็นที่ 31 ผมเห็นภรรยาหลายๆท่าน เหมือนกับไม่อยากให้สามีปฏิบัติธรรมด้วยครับ คงกลัวว่าก้าวหน้าแล้วจะหนีไปบวช ทิ้งเธอกับลูกไว้ เหอเหอ  ไม่รู้คนอื่นเคยเห็นบ้างหรือเปล่า  แต่ผมไม่มีภรรยานะครับ เลยไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่เดาเอาว่างั้น จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 2 พ.ย. 55 12:57:16

ความคิดเห็นที่ 32 น่าจะจริงครับ คุณ b gate แต่สำหรับผม เคยพูดลอยๆ บอกว่าคนที่บวชได้นี่มีบุญมากน่ะ มีเนกขัมมะบารมี   คนที่อยู่เป็นครอบครัวนี่บุญน้อยหน่อย  มีสุขแกล้มทุกข์ เป็นผมเองถ้าบวชได้นี่ถือว่ามีบุญ แฟนผมก็บอกว่า ถ้าจะบวชวัดไหนบอกด้วย จะตามไปบวชชี  เฮ้อ..แง่ว แต่ผมเคยเจอลุงอยู่คนนึง แกก็อายุมากแล้ว มาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์  แกก็บอกว่าเมียแกก็ไม่ชอบปฏิบัติ ลูกก็ไม่ชอบ มีแกชอบอยู่คนเดียว  แต่ที่เมียปล่อยให้มาผมว่าเพราะแกแก่แล้ว เมียก็แก่แล้ว หมดความต้องการทางเพศแล้ว  ลูกก็โตทำมาหากินได้แล้ว แกมาวัดก็ดีกว่าไปมีเมียน้อยมั้ง ก็คือสรุปว่า  กว่าจะได้เป็นอิสระ ก็ต้องเมียแก่ ลูกโต แต่เจอบางคนน่าสงสาร ลูกโต ยังต้องมาเลี้ยงหลานอีก เฮ้อ... สุขไร้ขีดจำกัดจริงๆ ถ้าผมมีความคิดอย่างนี้   ผมอยากเลิกกับแฟนจริงๆครับ เราเองก็มีเป้าหมายอย่างนึง  แฟนก็เป้่าหมายอีกอย่่าง มันสวนทางกัน จากคุณ : เจมส์แบน คังคังโป้ย เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 17:28:45