ไม่ได้ปฎิบัติแนวเดียวกับ จขกท. จึงไม่กล้ากล่าวอะไรเพราะอาจผิดพลาด
ขอเล่าเรื่องของตัวเองเฉยๆ ดีกว่า ขอใช้คำบ้านๆนะครับ ...ส่วนตัวปฎิบัติแนว สมถะนำ ไม่กล้ากล่าวถึงอรูป ขอกล่าวถึงเพียงจิตรวม (ใช้คำว่าฌานมันจั๊กจี้ชอบกล)
ความเข้าใจของตัวเอง ถ้ายังขยับร่างกายได้ ยังรู้สึกถึงร่างกาย รู้สึกถึงลมหายใจ ยังได้ยินเสียง ยังมีสมมุติว่าร่างกายแข็งเหมือนตอไม้ หรือรู้สึกแต่โครงร่างเพียงเบาๆโล่งๆว่างๆ ในการปฎิบัติส่วนตัวตีความเหล่านี้เป็น อุปปจาระสมาธิทั้งหมด
เพราะเมื่อ จิตรวม มันจะรู้จะประจักษ์เลยว่าจิตแยกหรือตัดขาดจากกายอย่างสิ้นเชิง เหมือนจิตหลุดไปอยู่โลกอีกโลกหนึ่งทีไม่เกี่ยวกับกายเรา และตรงจุดนั้นก็จะรู้สึกเหมือนเวลาย่ำอยู่กับที่ เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา เหลือแต่ผู้รู้ทรงตัวอยู่โดด โดด แล้วเมื่อถึงเวลาจิตมันก็ถอนออกมา(บังคับมันไม่ได้ด้วย ถ้ามันพอ มันถอนของมันเอง) และเริ่มกลับมาคิดได้(ตรงนี้ก็ยกกายขึ้นพิจารณาตามปกติ)
เมื่อถอนออกจากสมาธิระดับอัปปนาสมาธิแล้ว ปกติจิตผู้รู้จะยังตั้งอยู่อีกพักใหญ่ และสิ่งที่จะติดมาด้วยคือจะเห็นกายกับผู้รู้เป็นคนละตัวกัน ช่วงเวลานี้ละแฮบปี้เลย อิ่มเอิบในจิต เดินผ่านหมาผ่านแมวผ่านตัวอะไรก็แผ่ความอิ่มเอิบให้มันไปหมด
เดินเตะก้อนหินนิ้วแตกก็เฉยๆ เพราะเป็นเรื่องของกาย ผู้รู้ไม่เกี่ยว หิว ร้อน หนาว อยาก เรื่องของกายทั้งนั้น เราไม่เกี่ยวเราเลยไม่หิว ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่อยาก ถึงตรงนี้ผมเรียกโดยสมมุติเองว่า "อารมณ์ฌาน" แต่ไม่ใช่กำลังเข้าฌาน เรียกฌานเฉพาะตอนที่ทรงอยู่กับผู้รู้นิ่งในสมาธิเท่านั้น
~~~ฉะนั้นอาการต่าง ๆ นอกสมาธิ ผมไม่เรียก ฌาน ถ้าเคยได้ฌาน อาการนั้นเป็นแต่เพียงจิตจำอารมณ์ฌานได้ หรือทรงอารมณ์ฌานเท่านั้น แต่ไม่ใช่ฌาน~~
ปล.1 เคยมีครั้งนึง เมื่อจิตรวมแล้วทรงตัวอยู่กับผู้รู้ แล้วไปกำหนดจับที่ความว่าง ที่เขว้งขว้าง รอบๆผู้รู้ที่อยู่โดด ๆ มันก็เกิดรู้ว่าจิต''วาบ''ละเอียดขึ้น แล้วขยายยาว เหยียดกว้าง ออกไปกับความว่างนั้นแบบไม่มีสิ้นสุด เหมือนกลายเป็นความว่าง รู้ตัวอีกทีก็เช้า แต่สภาวะนี้เป็นครั้งเดียวในชีวิต จึงไม่ได้สมมุติว่ามันเป็นอะไร แต่ผ่านมาหลายปียังจำได้ไม่เคยลืม
ปล.2 ไม่รู้คุณ คืนวันอันแสนดี จะเข้ากระทู้นี้หรือเปล่าเพราะโทษมากกว่าประโยชน์ชอบก๊ล อัตตาฟูขึ้นเยอะเลย
ปล.3 โปรดใช้วิจารณญาณ (กล่าวเพียงเฉพาะสมถะอย่างเดียวไม่รวมวิปัสนา)