ความคิดเห็นที่ 1 โลกธรรม แปด   ในพระไตรปิฎกมีส่วนเกี่ยวกับโลกธรรมตามที่พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสไว้ว่ามีโลกธรรม 8 ประก่อนที่หมุนไปตามโลกธรรมและโลกก็หมุนไปตามโลกธรรม 8 ประการ ซึ่งโลกธรรมในที่นี้นั้นก็คือธรรมของโลก โลกในที่นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นคือสัตว์ของโลก และคงเน้นที่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่ครอบครองโลกอยู่ในขณะนี้   อันได้แก่ (1) ลาภ  (2) เสื่อมลาภ (3) ยศ (4)  ความเสื่อมยศ (5) สรรเสริญ  (6) นินทา  (7)  สุข (8) ทุกข์  จะเห็นว่ามนุษย์ที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ทุกผู้ทุกนาม ไม่อาจหลีกเลี่ยง ธรรมทั้งแปดดังกล่าว ไม่ว่ายากดีมีจน สติจะสมประกอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าลืมตาขึ้นดูโลกและดำเนินชีวิตอยู่ในโลก โดยสรุปที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้  กับอริยะสาวก และปุถุชน  โดยธรรมไม่ได้แตกต่างกันแต่อยู่ความแตกต่างของผู้รับฟัง คำว่าอริยะสาวกก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้าเป็นปุถุชนธรรมดา ก็ยังมีความยินดียินร้าย  ยินดีเมื่อประสบกับโลกธรรมฝ่ายดี คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และยินร้ายเมื่อประสบกับโลกธรรมฝ่ายร้าย คือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ ไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น ยังไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า โลกธรรมฝ่ายดีและฝ่ายร้ายนั้น เมื่อเกิดแก่เราแล้ว ทั่นไม่เที่ยง มีทุกข์ และแปรปรวนไม่มีตัวตนที่แท้จริงตามหลักของไตรลักษณ์  หากโลกธรรมไม่ว่าฝ่ายใดเกิดขึ้นหากไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว ก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โลกธรรมแปด เมื่อเกิดกับอริยสาวกย่อมตระหนักชัดถึงความเป็นจริงว่า ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นไม่เที่ยงแท่ แปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา  สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นไม่สามารถครอบงำจิตได้  ไม่มีความยินดียินร้าย ถือว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อยู่เหนือโลกธรรมทั้งแปด เหนือพ้นไปจาก ความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นก็คือธรรไม่ว่าที่เป็นที่พึงปรารถนาหรือที่ไม่พึงปรารถนาก็ไม่สามารถเข้ามากระทำครอบงำหรือยำยีจิต หรือสามารถที่จะขจัดความยินดียินร้ายออกไปได้จนหมดสิ้นแล้ว ก็จะทราบหนทางแห่งความสงบเย็นคือนิพาน จากคุณ : คับแค้นเหลือคณา เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 10:26:34

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้ายังเกิดอยู่ไม่ว่าสถานะไหน ทุกข์ไม่มีวันจบ ทำได้แต่เพียงทุเลาเบาบาง เดี๋ยวก็วนกลับมาใหม่ตามกฏไตรลักษณ์ สวดมนต์บทไหนก็ได้ตามที่คุณนับถือศรัทธา โดยส่วนตัวสวดแค่นี้ วันละ 1 เวลา คือ ก่อนนอน -บูชาพระรัตนตรัย -ขอขมาพระรัตนตรัย -พระพุทธเจ้าเปิดโลกชนะมาร -อาราธนาศีล 5 -พุทธัง สรณัง คัจฉามิฯ -อิติปิโสฯ อย่าสวดมนต์อย่างเดียว รักษาศีล 5 และปฏิบัติธรรมบูชาด้วยนะ ธรรมะทำให้องอาจ จากคุณ : ning JFK. เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 10:33:26

ความคิดเห็นที่ 3 ทำกุศลกรรมเยอะๆครับ ทาน ศีล ภาวนา ทำให้หมดเลยจะดีมากๆ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 10:37:13

ความคิดเห็นที่ 4 คาถานี้เลยครับ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" โลกนี้เป็นโลกของการทำเหตุแล้วได้รับผล อยากประสบความสำเร็จก็ทำเหตุของการเป็นผู้ประสบความสำเร็จสิครับ คนขยันที่ดวงตก ยังไงก็ยังประสบความสำเร็จมากกว่าคนขี้เกียจที่ดวงตก แทนที่จะมาคิดหวังอยากดวงดี ลงมือขยันได้เองตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องรอให้ใครช่วยจะดีกว่าครับ ไม่มีใครช่วยเราได้เร็วเท่าเราทำเองหรอก จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 10:38:49

ความคิดเห็นที่ 5 บทนี้ ผมไม่รับรองผล เพราะไม่ค่อยได้สวด แต่เห็นผู้ใหญ่บางท่าน สวดเป็นประจำ บ้างก็ว่า เป็นคาถาของหลวงพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพ คาถาบูชาดวงชะตา (ตั้งนะโม ๓ จบ) นะโม เม สัพพะเทวานังสัพพะคะระหะ จะ เทวานังสุริยัญจะ ปะมุญจะถะ สะสิ ภุมโม จะ เทวานัง วุโธ ลาภัง ภะวิสสะติ ชีโว สุกะโร จะ มะหาลาภังโสโร ราหูเกตุ จะ มะหาลาภัง สัพพะ ภะยัง วินาสสันติสัพพะ ทุกขัง วินาสสันติสัพพะ โรคัง วินาสสันติลักขะณา อะหัง วันทามิ สัพพะทาสัพพะเทวา มัง ปาละยันตุสัพพะทา เอเตนะ มังคะละเตเชนะสัพพะโสตถี ภะวันตุเมฯ จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 11:33:36

ความคิดเห็นที่ 6 สวดชะยะปะริตตัง พร้อมบทขัดครับ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 12:34:03

ความคิดเห็นที่ 7 หมายเหตุ หลวงพ่อที่ ทำนาย ทายทัก ไม่ทราบท่าน ทำผิด ศีลหรือไม่ ครับ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 12:35:37

ความคิดเห็นที่ 8 #ท่านพูด ทุกๆ ห้านาที ว่าเป็นกุศโลบาย เรียกคนเข้าวัดมาทำบุญคะ ซึ่งที่ท่านพูด เราก็ สึกตรง เป๊ะ มาก และไขข้อ สงสัย คะ ขอบคุณทุกๆ ข้อแนะนำนะคะ จากคุณ : กระเช้าน้อย เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 12:46:02

ความคิดเห็นที่ 9 ศิล5 ต้องรักษาให้ได้ทุกวันเป็นพื้นฐานก่อน โดยการอาราธนาศิล5และหมั่นรักษาทุกวัน   พร้อมทั้งสวดมนต์ เจริญภาวนาทำทุกวันอย่าให้ขาด ทำซักวันล๊ะห้านาที สิบนาทีก็ได้ ทำสร็จแล้วก็แผ่เมตตาให้กับคนที่เค้าเข้าใจเราผิดทุกๆคน... โดยเฉพาะศิลข้อ4 งดเว้นการพูดโกหก ส่อเสียด เพ้อเจ้อ คำหยาย ต้องล๊ะเว้นให้ได้ครับ เพราะกรรมที่ทำให้คนอื่นไม่เชื่อถือก็อันเนื่องมา จากวจีทุจริตเป็นเหตุหลักในอดีตนี่แหละ... จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 12:48:17

ความคิดเห็นที่ 10 ศีล ห้าเราปฏิบัติ แต่ไม่ ค่อยสมาทานคะ กลัวเผลอ ข้อสี่นี่แหละคะ ตอนนี้เวลาได้ยินใครพูด ต้องคิดในใจ ว่ารู้หนอ ซะแล้วคะ หมายเหตุ แก้คำผิดคะ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 55 14:03:06 จากคุณ : กระเช้าน้อย เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 13:04:24

ความคิดเห็นที่ 11 อิติปิโส (บทสวดพระพุทธคุณ) เท่าอายุ+1 ค่ะ สมมุติ อายุ 25 ก็สวดไป 26 จบค่ะ พลังของพระพุทธคุณจะช่วยเราค่ะ จากคุณ : ลวดลายแจกัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 13:28:08

ความคิดเห็นที่ 12 ความเห็นที่ 1 เป็นความเห็นที่ถูกต้องตามธรรมที่สุดแล้วครับ ขอให้คุณปฏิบัติตามนั้น ขอเสริมเป็นบางส่วน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖  พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์ สัตตกนิทเทส [บุคคล ๗ จำพวก]             [๑๔๘] บุคคลจมแล้วคราวเดียว ย่อมจมอยู่นั่นเอง เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยอกุศลธรรมอันดำโดย ส่วนเดียว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า บุคคลจมแล้วคราวเดียว ย่อมจมอยู่นั่นเอง             บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว จมลงอีก เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ย่อมโผล่ ขึ้นในกุศลธรรมคือหิริอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ย่อมโผล่ ขึ้นในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี สัทธา ของบุคคลนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว หิริของ บุคคลนั้นไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว โอตตัปปะของ บุคคลนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปโดยถ่ายเดียว วิริยะ ของบุคคลนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว ปัญญา ของบุคคลนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว บุคคล อย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว จมลงอีก             บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว หยุดอยู่ เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ใน กุศลธรรมคือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี สัทธาของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ หิริของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ โอตตัปปะของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ วิริยะของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ ปัญญา ของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว หยุดอยู่             บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว เหลียวมองดู เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ในกุศลธรรม คือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ใน กุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคลนั้นเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้มีอันไม่ตกไปใน อบายภูมิเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง เป็นผู้มีความตรัสรู้เป็นที่ในเบื้องหน้า เพราะ สัญโญชน์ ๓ สิ้นไปแล้ว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว เหลียวมองดู             บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว ว่ายข้ามไป เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ใน กุศลธรรมคือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคลนั้นชื่อว่า เป็นพระสกทาคามี เพราะสัญโญชน์ ๓ สิ้นไปแล้ว เพราะราคะ โทสะ และโมหะ เบาบางลง มาสู่โลกนี้อีกเพียง ครั้งเดียวเท่านั้น ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว ว่ายข้ามไป             บุคคลโผล่ขึ้นแล้วและว่ายไปถึงที่ตื้นพอหยั่งถึงแล้ว เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ใน กุศลธรรมคือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคลนั้นเป็นอุปปาติกะ เพราะโอรัมภาคิย- *สัญโญชน์ ๕ สิ้นไปแล้ว จะปรินิพพานในเทวโลกนั้น เป็นผู้มีอันไม่กลับมาจาก เทวโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้วและว่ายไปถึงที่ตื้นพอ หยั่งถึงแล้ว             บุคคลโผล่ขึ้นและว่ายข้ามไปถึงฝั่งแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่ บนบก เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ย่อมโผล่ ขึ้นในกุศลธรรมคือหิริอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ย่อมโผล่ ขึ้นในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคล นั้นรู้ยิ่งด้วยตนเองแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว เข้าถึงแล้วซึ่งเจโตวิมุติ ซึ่งปัญญาวิมุติ ชื่อว่าหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปแล้ว สำเร็จอิริยาบถอยู่ใน ทิฏฐธรรมเทียว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นและว่ายข้ามไปถึงฝั่งแล้วเป็น พราหมณ์ยืนอยู่บนบก             [๑๔๙] บุคคลผู้เป็นอุภโตภาควิมุต เป็นไฉน             บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ และอาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น สิ้นไปแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นอุภโตภาควิมุต             บุคคลผู้เป็นปัญญาวิมุต บุคคลผู้เป็นกายสักขี บุคคลผู้เป็นทิฐิ- *ปัตตะ บุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุต บุคคลผู้เป็นธัมมานุสารี เป็นไฉน? และ บุคคลผู้เป็นสัทธานุสารี เป็นไฉน             สัทธินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง โสดาปัตติผลมีประมาณ ยิ่ง อบรมอริยมรรค มีสัทธาเป็นตัวนำ มีสัทธาเป็นประธาน นี้เรียกว่า บุคคล ผู้เป็นสัทธานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต ด้วยประการดังนี้แล สัตตกนิทเทส จบ             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖  บรรทัดที่ ๔๗๙๖ - ๔๘๕๙.  หน้าที่  ๑๙๕ - ๑๙๗. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v.php?B=36&A=4796&Z=4859&pagebreak=0             สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖ http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๓๖ http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_36 ขอให้ ว่ายไปให้ถึงฝั่ง   ในชาตินี้ครับ   ดวงไม่สำคัญเท่ากรรม และไม่มีอิทธิพล เท่า ธรรม ครับ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 13:33:09

ความคิดเห็นที่ 13 สวดพาหุงแหละ สวดเยอะๆ วันนึงหลายๆ รอบ ว่างเมื่อไหร่ก็สวด สวดในใจก็ได้ มนต์ที่ลิสต์มาก็ดีแล้ว แต่ให้สวดเยอะๆ เลย ลองศึกษาบทพาหุงด้วย ขนาดพระพุทธเจ้ายังโดนใส่ร้ายป้ายสี พระองค์ท่านทำอย่างไรน๊อ.. ท่องๆๆ แปลๆๆ เดี๋ยวก็ผ่านไป ใจเราจะเข้มแข็งกว่าเดิมอีกค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 13:35:55

ความคิดเห็นที่ 14 เปลี่ยจากสวดมนต์ มาลอง ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ จะดีกว่านะครับ จากคุณ : sarwo เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 13:44:36

ความคิดเห็นที่ 15 ปีนี้ ถ้าใครอยู่ใน ราศี   ปีจอ   ปีมะโรง     ปีฉลู      ปีมะแม     ปีเถาะ จะเข้าปีชง มันจะหนักเบา ตามช่วงอายุ  หรือ คราวเข้า เคราะห์ ก็มี ก็จะดวงตก มีแต่ เรื่องไม่ดีเข้ามา   สวดมนต์บทที่ช่วยได้ ก็   บทพระธรรมจักร บทชินบัญชร พระคาถาป้องกันภัยทั้งสิบทิศ  ที่ขึ้นว่า บูรพารัสมิง บทไหว้บารมี 30 ทัศ  ของครูบาศรีวิชัย ถ้าการเงินฝืดเคือง หลังจากสวดมนต์ทุกบทแล้ว ก่อนแผ่เมตตา ก็ให้ว่า คาถาเงินล้าน อีก 9 จบ ไม่ใช่ว่าฝึกกรรมฐาน อย่างเดียวจะช่วยได้   ต้องสวดมนต์ด้วย ทำให้ครบ แล้วจะดี   อ.สมศักดิ์ เทพสมบุญ ท่านจะแนะนำไว้ เสมอ ว่าการสวดมนต์สามารถลดวิบากกรรมได้   ผมเองก็ ปีนี้ มีปัญหามาก ก็ได้ สวดมนต์ ด้วย ก็รู้สึกได้เลยว่า ดีขึ้น จากเดิมที่ไม่ได้สวดมนต์ แต่ นั่งกรรมฐานทุกวัน เป็นปรกติ เรื่องนี้ ใครไม่ทำ ไม่รู้ เป็น ปัจจตัง แต่ อาจารย์สมศักดิ์ เทพสมบุญ ท่านก็จะมีกิจวัตร สวดมนต์ ทุกวันตอนเช้า กลางคืนก็นั่งสมาธิ ทำมา ตั้งแต่  อายุ 13  ดูปัจจุบัน มีทุกอย่างครบถ้วน มีกำลังที่จะช่วยคนอื่น เพราะ ปฏิบัติ มานานแล้ว ไม่ใช่ว่า เพิ่งมาทำ จากคุณ : phutakun เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 13:58:09

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณ สำหรับทุกๆคำแนะนำคะ แล้วเราจะเอาไปลองทำดูนะคะ จากคุณ : กระเช้าน้อย เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 14:09:35

ความคิดเห็นที่ 17 ทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ตั้งจิตอุทิศผลบุญกุศลให้ทั่วสากลโลก จากคุณ : snoopy21 เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 14:36:04

ความคิดเห็นที่ 18 ควรจะสมาทานศิลด้วยน๊ะครับ  การตั้งใจรักษาศิลกับการไม่ตั้งใจ อานิสงค์ที่ได้ต่างกันเย๊อะ ควรจะสมาทานศิลทุกวัน ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นรัยครับ เพียงตั้งใจแก้ไขปรับปรุงตัวเอง ให้รักษาได้ครบ มันจะค่อยๆพัฒนาให้ทำได้มากขึ้นๆเองครับ...ทำแล้วจะรู้เองครับว่ามีดียังงัย^^ จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 16:44:58

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นตามอย่าง คุณชาออสซี่ ที่จริงควรสวดเมตตาใหญ่ สวดมากหลายบทจัดไม่ได้เรื่องก็มี เพราะว่า สวดเเบบนกแก้วฟังตามเขา จำขี้ปากเขามา พิสูจน์รึยัง ว่าชีวิตคนนั้นดีขึ้นจริงมั้ย เรายังไม่เคยเห็นคนสวดมนต์ แบบไร้สติ ชีวิตจะดีขึ้นเลย ทำไปก็เสียเวลา สู้สวดบทเดียวทำเข้าใจบท ชีวิตยังจะดีกว่า เช่น บทปลงสังขาร เกศาหัวหงอก / หรือ บทที่ว่าด้วย มงคลชีวิต 38 ประการ ได้สติกว่าด้วย ......เป็นเเนวทางทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงๆ ดวงตกเป็นโลกธรรม 8 นะ เจอกันทุกคน คนที่ฝึกจิตกับเรียนธรรมจนเข้าใจ เขาจะไม่ทุกข์มาก หวั่นไหวน้อย ....ที่จริงก็เจอทุกคน ไม่ว่ารวย จน ..ทุกข์น่ะ สิ่งที่จะทำให้ชีวตดีขึ้นจริงๆคือ ศีล ถือ ศีล5 เเละทำความเข้าใจกับการถือศีลเเต่ละข้อ ว่า เมื่อถือเเล้วสร้างคุณประโยชน์ต่อโลก ต่อตนเองเเบบไหน แล้ว ทำ.... ทาน ก็ต้องทำ มีวิธี 108 สำหรับที่จะเกื้อกูลส่งเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น แต่ไม่ใช่การสะเดาะเคราะห์แบบผิวเผิน ตามแบบหมอดูผู้ไม่รู้ธรรม พูดให้ทำตามแบบชุ่ยๆ อันนี้ควรกระทำเวลาดวงตกนะ - ถ้าชีวิตอยู่ในอันตราย เสี่ยงตาย สุขภาพเเย่ ก็ต้องให้ชีวิตเป็นทาน คือปล่อยสัตว์  ปลา กบ นก เต่า ฯลฯ ได้ทั้งหมด เเต่ต้องให้มันไปอยู่ตามธรรมชาติทางชีวภาพ    กายภาพ ไม่ใช่ปล่อยส่งเดช เช่น เอาปลาไหล ไปปล่อยในเเม่น้ำ ไม่ใช่ที่อยู่ของมัน - ถ้าชีวิตอยู่ในอันตราย อุบัติเหตุ สุขภาพเเย่ ทำบุญกับองค์กรกู้ชีพ  ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ โรงศพ หรือ ถวายยา เกื้อกูลสงฆ์อาพาธ เป็นต้น ที่เอาอยู่จริงๆคือ ยาเเรงประเภท ถือศีล8 + ปฏิบัติธรรม แต่มนุษย์มีสภาวะที่ต่อต้าน ในสิ่งที่ตนไม่ชอบใจ ก็เลยไม่สามารถทำใจให้ลงมือกระทำสิ่งนี้ได้ บางคนบอกว่า ไม่มีเวลา ก็ดีเเล้ว จะได้ตายๆ หรือ รับกรรมไปเลย ขี้เกียจเเละชอบอ้างดีนัก ตายห่าซะ ที่กล้าพูดก็เพราะ สิ่งเหล่านี้ ทำที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัด หรือ สถานปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญคือ กำลังใจ และ การลงมือ ทำ ถ้าทำความเข้าใจทั้งหมดได้ ไม่ต้องไปหาหมอดูที่ไหน คนไปหาหมอดูคือคนทุกข์ ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ชีวิตจะดีขึ้นเอง ไม่ต้องสุ่มเสี่ยงไปเจอหมอดูที่จ้องจะหลอก สะเดาะเคราะห์กินตังค์ ...... จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 19:07:15

ความคิดเห็นที่ 20 สมาทานศีล 5 สวดมนต์พาหุง มหากา อิติปิโสเท่าอายุบวกหนึ่ง ตามแบบหลวงพ่อจรัญ หรือถ้าทำได้ ก็เพิ่ม อิติปิโสเป็น 108 จบไปเลยค่ะ และอย่าลืมแผ่เมตตาด้วยนะคะ จากคุณ : Chicsecret เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 20:33:35

ความคิดเห็นที่ 21 เอ้ารับคืนไป เก็บให้แล้ว ดวงที่ตกนะ แล้วลืมอดีตที่เกิดดวงตกซะด้วยนะ แล้วทำกายและใจในปัจจุบันให้ดีมีสุข แล้วอนาคตต้องดีแน่ ๆ รับรองได้ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 20:38:22

ความคิดเห็นที่ 22 แผ่เมตตาแล้วก็อุทิศบุญ ให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาทันตัวด้วยสิคะ เขาได้รับบุญ จะได้ผ่อนแรงกรรมให้เราได้หายใจบ้าง เวลาจะปล่อยของที่ทำบุญหรือทำทานอะค่ะ ก็กำหนดบอกว่าอุทิศบุญนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาทันตัวข้าพเจ้า ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ค่ะ ...มีอีกข้อนึงคือว่า สะสมบุญด้วย การให้ทาน รักษาศีล และการปฏิบัติภาวนา จะช่วยให้เราผ่อนหนักเป็นเบาได้นะคะ กรรมนั้นยังไม่หมด แต่ยืดเวลาช้าออกไป หรือเบาบางลง   ถ้าเราจมอยู่กับความทุกข์นาน เราจะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆทั้งจิตใจและสุขภาพค่ะ เมื่อเรามีจิตใจที่ไม่เศร้าหมองสมองแจ่มใสเราก็จะคิดสิ่งดีๆต่างๆได้ การให้ทาน รักษาศีล และปฏิบัติภาวนา จึงเป้นการฟอกจิตใจให้แจ่มใสขึ้นด้วยไปในตัว จึงควรทำบ่อยๆ จนเป็นนิสัยไปเลยจะดีมาก  ธรรมะย่อยรักษาผู้ประพฤติธรรมค่ะ ^^ ขอให้พ้นทุกข์พ้นโศกพ้นโรคพ้นภัยในเร็ววันค่ะ จากคุณ : ตาลสด เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 21:43:22

ความคิดเห็นที่ 23 สวดมนต์อย่างเดียวไม่พอ จิตต้องคิดกุศล มีสมาธิ ไม่ใช่เปล่งเสียงออกมาอย่างเดียว เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งที่สะสมบารมีมากพอ เทวดาจะมาฟังหรือร่วมสวดด้วย ยิ่งสามารถปฎิบัติธรรมนั่งวิปัสสนาฯ ควบคุมสติตัวเองได้จะดีมาก หมั่นอ่านหนังสือคำสอนธรรมมากๆ แล้วจะเกิดปัญญาหาหนทางแก้ไขปัญหาชีวิตได้ ในระดับหนึ่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จากคุณ : Ultraguy เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 55 21:50:22

ความคิดเห็นที่ 24 ชอบกระทู้นี้ครับ อยากคุยกับ จขกท จัง เพราะตัวเองก็โดนมาไม่ใช่น้อย และแนวทางที่ใช้รวมทั้งคำแนะนำจากข้างบนล่วนเป็นแนวทางที่ดีๆ ถูกต้อง อยากเผยแพร่ เพื่อจะได้มีประโยชน์กับคนอื่นต่อไป จากคุณ : valid-guarantee เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 06:57:22

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบขอคุณ ทุกความคิดเห็น นะคะ ซาบซึ้งจริง ดีใจที่ได้เจอกัลยานิมิตร ที่ดี และคอยให้คำแนะนำดีๆเสมอมา จขกท.จะนำเอาไปปรับใช้ ดูนะคะ จากคุณ : กระเช้าน้อย เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:29:57

ความคิดเห็นที่ 26 แนะนำให้สวด พาหุง ไชยน้อย และ อุณหิสสวิชยคาถา เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามไตรลักษณ์ครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นธรรมดาของโลกที่เรียกว่าโลกธรรมที่มีทั้งฝ่ายที่มนุษย์ปราถนาและไม่ปราถนาที่ต้องพบพานในชีวิต ต้องเริ่มที่จิตใจ วางใจให้สงบ อย่าผูกพยาบาท หาจุดยืนให้ตัวเอง จากคุณ : หยดหนึ่งแห่งกาลเวลา เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 09:05:59