ความคิดเห็นที่ 1 เพื่อความแฟร์ ผมยกคห 20-22 ของคุณเซนมาด้วยครับ คคห 18 พระอภิธรรมปิฏกไม่ใช่ความรู้ชั้นสาวก แต่เป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าครับ (๑) กถาวัตถุ หนึ่งใน ๗ แห่ง พระอภิธรรมปิฎก  เพิ่ม มีสมบูรณ์ เมื่อหลัง ปฐมสังคายนา (๒) ผู้รู้ ประวัตพุทธศาสนา ที่ไม่ ถูกครอบงำ ฯ ต่างยอมรับว่า  พระอภิธรรมปิฎก เกิดทีหลัง "ปฐมสังคายนา" (ตามภาพ) (๓) ตามที่ว่ากัน อ้างอิง ฯ --พระพุทะองค์ทรงแสดงอภิธรรม ที่เทวโลก ฯ คุณ cantona_z สอบทาน  กับ มูลปริยายสูตร มั๊ย เพื่อกำหนดว่า ตามที่ว่าว่ากันนั้น เทวดา ที่เทวโลก ได้ฟัง อภิธรรม เป็นที่มาของอภิธรรมปิฎก (นับได้ ๗ คัมภีร์นั้น)  อภิธรรม ---- เนื่องกับ ภูมิอะไร (๑) ภูมิปุถุชน  หรือว่า (๒) ภูมิพระเสขะ อริยสาวก ที่ เป็นมนุษย์ ฯ หรือว่า (๓) ภูมิพระอรหันต์ขีณาสพ  ตาม จูฬสุญญตสูตร (๔) ภูมิพระศาสดา แล้ว สุขคติ ของเทวดา  อยู่ที่ไหน?  ตามที่ตรัสไว้ แล้ว อาสัย กาลามสูตรด้วย  ฯ สรุป (๑) กถาวัตถุ ๑ ใน ๗ แห่งอภิธรรมปิฎก  ที่ แล้วเสร็จ ราวๆ พ.ศ. 270 นั้น = พระอภิธรรมปิฏก (ทั้ง ๗ คัมภีร์) ไม่ใช่ความรู้ชั้นสาวก แต่เป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าครับ  หรือ? (๒) พระอภิธรรมปิฎก -- สาวก คือ พระเถระครั้งปฐมสังคายนา ทำไม ไม่ มุขปาฐะ ไว้ ? ละครับ (๓) ไม่มี พระสูตรใด ตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย --กุศล ก็ ธรรม / อกุสล ก็ธรรม / อัพพยากฤต (คือกลางๆฯ) ก็ ธรรม --- ใช่หรือไม่? สรุป ข้างบนทั้งหมด ผม เสนอว่า = พระอภิธรรมปิฎก "ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ"   ส่วนคำว่า  "พระอภิธรรมปิฏกไม่ใช่ความรู้ชั้นสาวก แต่เป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าครับ" นั้น ---- น่าจะ กำกวม กว่า คำว่า ---  พระอภิธรรมปิฎก "ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ" หรือไม่ โยนิโสมนสิการ  เองนะครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)   เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 21:13:32  จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 00:47:44

ความคิดเห็นที่ 2 ความคิดเห็นที่ 21    คคห 18 เสนอ -- กล่าวตู่ว่าพระอภิธรรมไม่ใช่ธรรมะโดยตรงจากพระพุทธเจ้าครับ  ******************************************************** กล่าวตู่ ???? http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=1564&Z=1616 เช่น [๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคต ได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคต มิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อม กล่าวตู่ตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมไม่ กล่าวตู่ตถาคต ฯ เพ่ง -- คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้  (๑) พระเถระครั้งปฐมสังคายนา  ไม่ได้ มุขปาฐะ "ข้อความ ตามที่ปรากฎในอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" --- ใช่หรือไม่? --ใช่ ใช่ไหม? (๒) แล้ว คำว่า "พระอภิธรรมปิฏกไม่ใช่ความรู้ชั้นสาวก แต่เป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าครับ ใคร กล่าวครับ คุณ cantona_z (๓) ข้อที่ ๒  ใครใดนั้น "กล่าวคำนั้น" ผู้นั้น "ร่วมสมัยกับ พระเถระครั้งปฐมสังคายนา"  หรือ? ๓ ข้อ ข้างบน คุณ cantona_z จะ ช่วย ชี้แจง ก็ยินดี อ่านฯ ******************************************************** หมายเหตุ คำว่า อภิธัม อภิวินัย  ตามที่ปรากฎในชั้น "พระสูตร" -- ตามปฐมสังคายนา พิจารณา ตามภาพ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)   เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 21:20:43  จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 00:48:06

ความคิดเห็นที่ 3 ความคิดเห็นที่ 22    คำว่า --- ไม่ได้ออกจากปากพระพุทธเจ้า -- คือ ไม่ใช่ ภาษาที่ตรัสแก่  เข่น ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมแห่งเทวดา  (ท้าวสักกะ จอมแห่งเทวดา มาทูลถาม ธรรม คือ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม ที่เขาคิชกูฏ จากความจำ) ฯลฯ สรุป ว่าอย่างไรคุณ cantona_z ? (ไม่ใช่คำถามนะครับ) ใครกันแน่ ที่ เนื่องกับ ข้อความ --- เพียงแต่มีสาวกบางจำพวก กินบนเรือนขี้บนหลังคา มีมิจฉาทิฏฐิ เอาอัตตาตนเป็นใหญ่ ขนาดตู่พระพุทธเจ้าว่ายอมเอออวยสวมรอยเพื่อผลประโยชน์ของคนหมู่มาก กล่าวตู่ว่าพระอภิธรรมไม่ใช่ธรรมะโดยตรงจากพระพุทธเจ้าครับ  หมายเหตุ ๑ ยุวพุทธ  พิจารณาเองนะครับว่า "ใคร" กันแน่ --- ที่  กินบนเรือนขี้บนหลังคา มีมิจฉาทิฏฐิ เอาอัตตาตนเป็นใหญ่ หมายเหตุ ๒ สิ่งทีผม เสนอ ข้างบน -- หักล้าง ข้อความ -- พระอภิธรรมปิฏกไม่ใช่ความรู้ชั้นสาวก แต่เป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าครับ --  ที่เสนอโดย คุณ cantona_z  ท่านสมาชิกใด เห็น ความต่าง ไหมครับ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)   เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 21:28:11  จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 00:48:25

ความคิดเห็นที่ 4 เชิญคุณเซน อธิบายเลยครับ เอาแบบใช้ภาษามนุษย์ธรรมดาๆไม่ต้องภาษาเทพก็ได้นะครับ จะได้อ่านเข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องถามกลับไปกลับมาหลายรอบ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 00:50:15

ความคิดเห็นที่ 5 หากพระอภิธรรม ไม่ใช่พระพุทธภาษิต ย่อมแสดงว่า พระพุทธเจ้า มิได้ทรงตอบแทนพระคุณของพระพุทธมารดา ซึ่งเป็นความเท็จ ผู้กล่าวตู่พระอภิธรรม  ชื่อว่าค้านพระชินจักร เพราะวิสัยการแสดงพระอภิธรรมนั้น  มิใช่วิสัยของพระสาวกจะพึงบัญญัติได้   พระอภิธรรมนั้นเป็นพระพุทธวิสัยเท่านั้น โดยเฉพาะมหาปัฏฐานนัย จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 01:24:03

ความคิดเห็นที่ 6 มีความเห็นว่า ไม่มีใครเกิดทันพุทธสมัยและสามารถบอกได้ว่าจริงหรือไม่จริง ได้แต่เดาสุ่มกันไปเรื่อยๆ แต่เห็นว่าพระอภิธรรมนั้นซับซ้อนและลึกซึ้ง เกินกว่าที่ภูมิปัญญาของสาวกจะสามารถบัญญัติขึ้นมาได้ ดังนั้น การไม่ปรามาสพระอภิธรรมเป็นดีที่สุด จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 01:40:23

ความคิดเห็นที่ 7 ((( คห. นี้ ไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้อหากระทู้นะครับ แต่ก็ใกล้เคียง ))) ตั้งแต่อ่านบอร์ดพันทิป .. ผมเจอบ่อยมาก ที่มีคนบางคนหรือหลายคน มักบอกว่า พระอภิธรรม ไม่เกี่ยวกับการดับทุกข์ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่เป็นที่ทราบกันดีในชาวพุทธว่า 1. พระอภิธรรมเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้านำไปเทศน์ให้พุทธมารดาและเหล่าเทวดาทั้งหลายฟัง จนทำให้เทวดามากมายต่างบรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรม อย่างน้อยที่สุดสำเร็จขั้นโสดาปฏิผล (คือ ผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพานในเบื้องหน้า) 2. หลังจากนั้นค้างคาว 500 ที่กลับชาติมาเกิด (ที่เคยฟังพระอภิธรรมมาแล้วครั้งนึง สมัยเป็นค้างคาว) มาฟังจากท่านพระสารีบุตรอีกครั้ง ก็บรรลุอรหันตผล (ดับทุกข์ 100 เปอร์เซนต์) สรุป พระอภิธรรมก็สามารถทำให้ทั้งมนุษย์และเทวดาดับทุกข์ได้เช่นกัน มีความสำคัญไม่แพ้พระสูตรเลย แม้พระวินัย ก็เป็นพื้นฐานแห่งการดับทุกข์เช่นกัน เช่น การสำรวมกาย-วาจา-ใจ การเป็นอยุ่ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ ก็เป็นพื้นฐานหรือปัจจัยที่สำคัญต่อพระนิพพาน ทราบแบบนี้แล้ว .. จะให้ปฏิเสธ พระวินัย พระอภิธรรม ว่าไม่เกี่ยวกับการดับทุกข์ได้อย่างไร? สรุป คือ พระพุทธเจ้า ท่านสอนแต่เรื่องดับทุกข์ (ตั้งแต่ขั้นโลกียะ-โลกุตระ) = พระไตร (๓) ปิฏก, พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม, ใครชอบใจอันไหน ก็ "เลือก" นำไปศึกษาและปฏิบัติ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 55 05:15:22 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 55 05:14:59 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 05:10:04

ความคิดเห็นที่ 8 หาเรื่องไปคุยกับคนบ้าสติแตก...อยู่ดีไม่ว่าดี ... ระวัง เดี๋ยวจะติดเชื้อ.... เอ้..? คุยกันรู้เรื่องด้วยหรือ ?  นับถือจริงๆ.... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:22:50

ความคิดเห็นที่ 9 เพิ่มเติมครับ ประวัติพระอภิธรรม http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=14&group=1&gblog=1 ~พระอภิธรรม ๓ ฉบับ~ จากประวัติความเป็นมาของพระอภิธรรมดังกล่าว เราอาจแบ่งพระอภิธรรมตามลักษณะโวหารที่แสดงได้ ๓ ฉบับ คือ ๑. อติวิตถารอภิธรรม พระอภิธรรมฉบับพิสดารที่สุด ๒. อติสังเขปอภิธรรม พระอภิธรรมฉบับย่อที่สุด ๓. นาติสังเขปนาติวิตถารอภิธรรม พระอภิธรรมฉบับกลางๆ ไม่ย่อ ไม่พิสดารนัก พระอภิธรรมฉบับที่พิสดารที่สุด หมายถึง พระอภิธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรดพวกเทวดา มีสันดุสิต เทพบุตรพุทธมารดาเป็นประธาน ณ เทวโลกชั้นดาวดึงส์ ในพรรษาที่ ๗ แห่งการตรัสรู้ ทรงแสดงนานถึง ๓ เดือน (ตามเวลาในโลกมนุษย์) ติดต่อกันทั้งกลางวันกลางคืน ดังที่ คัมภีร์อัฏฐสาลินี กล่าวไว้ว่า “อภิธรรมที่พระพุทธเจ้าได้แสดงติตด่อกัน ๓ เดือนนั้น เป็นอนันต์ (ไม่รู้จักจบสิ้น) ไม่อาจคำนวณได้ จะเรียนสักร้อยปีพันปี ก็เรียนไม่จบ” พระอภิธรรมฉบับพิสดารที่สุดนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรดพวกเทวดาโดยเฉพาะ เพราะเทวดาสามารถฟังด้วยอริยาบถเดียวถึง ๓ เดือน โดยไม่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ และไม่ง่วงนอน สำหรับมนุษย์เรานั้น ไม่อาจฟังพระอภิธรรมพิสดารนานถึง ๓ เดือน ด้วยอิริยาบถเดียว คือ จะนั่งฟังติตด่อกันทั้งกลางวันและกลางคืน นานถึง ๓ เดือน ไม่ได้โดยเด็ดขาด อนึ่ง ใน พระบาลีธัมมหทนวิภังค์ แห่ง คัมภีร์วิภังค์ อภิธรรมปิฎก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ ข้อ ๑๐๒๓) ได้ระบุถึงอายุของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ไว้ว่า “....๑๐๐ ปีของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งและคืนหนึ่งของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ โดย ๓๐ ราตรี เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือน เป็น ๑ ปี เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุ ๑๐๐๐ ปีทิพย์ นับอย่างมนุษย์มีประมาณเท่ากับ ๓๖ ล้านปี....” จะเห็นว่า ระยะเวลา ๓ เดือนในโลกมนุษย์ไม่นานเลย เมื่อเทียบกับเวลาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอภิธรรมฉบับย่อที่สุด หมายถึง พระอภิธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ พระสารีบุตรในป่าหิมพานต์ ใกล้ฝั่งอโนดาต กล่าวคือ แม้พระพุทธองค์จะทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา และทวยเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ติดต่อกันเป็นเวลา ๓ เดือน แต่ก็มีช่วงที่ทรงพัก โดยพระองค์ทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าจำลองที่เรียกว่า นิรมิตพุทธะ หรือ พระพุทธเนรมิต แล้วทรงอธิษฐานให้ทำหน้าที่แสดงพระอภิธรรมแทนพระองค์ชั่วครู่ หลังจากนั้น พระองค์ก็เสด็จไปยังป่าหิมพานต์ ทรงเคี้ยวไม้ชำระพระทนต์บ้วนพระโอษฐ์ ล้างพระพักตร์ที่สระอโนดาต แล้วเสด็จไปบิณฑบาตรที่อุตตรกุรุทวีป ทรงนำภัตตาหารมาประทับฉัน ณ ฝั่งสระอโนดาต ระหว่างนั้นพระสารีบุตรได้มาเฝ้าปฏิบัติพระองค์อยู่ หลังจากทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระองค์ได้ตรัสบอกพระสารีบุตรว่า “สารีบุตร วันนี้เราจะแสดงธรรมประมาณเท่านี้ เธอจงไปบอกสอนพวกภิกษุ ๕๐๐ รูป ที่เป็นศิษย์ของเธอ” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จหายไปพระองค์ไปแสดงพระอภิธรรม โปรดพวกเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต่อจากที่พระพุทธเนรมิตแสดงพระอภิธรรม ที่พระองค์ตรัสบอกพระสารีบุตรแต่ละวันในโลกมนุษย์นี้แหละ เรียกว่า พระอภิธรรมฉบับย่อที่สุด พระอภิธรรมฉบับกลางๆ ไม่ย่อ ไม่พิสดารนัก หมายถึง พระอภิธรรมที่พระสารีบุตรทรงจำนัยที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แล้วนำมาบอกกล่าวสั่งสอนพระภิกษุ ๕๐๐ รูป ที่บวชเพราะเลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงก่อนเสด็จไปยังเทวโลก พระภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ เป็นชาวเมืองสาวัตถี เป็นสัทธิวิหาริก (ศิษย์) ของ พระสารีบุตรเถระ โดยเหตุที่ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ เมื่อได้ฟังพระอภิธรรมที่พระสารีบุตรเถระนำมาแสดง ด้วยอุบายวิธีที่ไม่ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป ไม่ช้าไม่นานก็เป็นผู้ฉลาดเชี่ยวชาญในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เหตุที่แตกฉานในพระอภิธรรมได้เร็วปานนั้น เป็นเพราะอำนาจวาสนาบารมีที่คุ้นเคย กับการได้ฟังพระอภิธรรมนี้มาในอดีตชาตินั้นเอง คัมภีร์อรรถกถาธรรมบท กล่าวถึงประวัติในอดีตชาติของพระภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ไว้ว่า ในกาลแห่งพระศาสนาของพระพุทธเจ้านามว่า พระกัสสปะ ท่านเหล่านี้เกิดเป็นค้างคาวอาศัยอยู่ที่เงื้อมเขาแห่งหนึ่ง เมื่อมีพระภิกษุเถระ ๒ รูปมาเดินจงกรม สาธยายพระอภิธรรมอยู่ใกล้ๆ ก็ฟังจนจับนิมิตในเสียงสาธยายได้ (จำติดหู) แต่ไม่รู้ความหมายแห่งคำสาธยาย คือไม่รู้ว่าสภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ขันธ์ สภาวะธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธาตุ เป็นต้น อาศัยเพียงจำได้ติดหูเท่านั้น ครั้นตายจากอัตภาพที่เป็นค้างคาวแล้ว ก็ได้ไปเกิดในเทวโลก จนกาลเวลาผ่านไปหนึ่งพุทธันดร (สิ้นอายุกาลแห่งพระศาสนาของพระกัสสปพระพุทธเจ้า มาถึงกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเรา) ก็จุติจากเทวโลก มาบังเกิดใน นครสาวัตถี เมื่อได้เห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ขอบวชเป็นศิษย์อยู่ในสำนักของ พระสารีบุตรเถระ และได้ฟังพระอภิธรรมจากพระอุปัชฌาย์ของตน จนเกิดความเชี่ยวชาญแตกฉานใน พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก่อนภิกษุอื่นๆ ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา พระอภิธรรม ๓ ฉบับนี้ อาจเรียกชื่อใหม่ ตามสถานที่เพื่อกำหนดจดจำความเป็นมาได้ง่ายดังนี้ พระอภิธรรมฉบับดาวดึงส์ พระอภิธรรมฉบับสระอโนดาต และ พระอภิธรรมฉบับพระนครสาวัตถี หรือฉบับมิชฌิมประเทศ พระอภิธรรมปิฎกที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร ให้ศึกษากันอยู่ในปัจจุบันนี้ นักปราชญ์หลายท่านสันนิษฐานว่า วิวัฒนาการสืบเนื่องมาจากพระอภิธรรมฉบับกลางๆ ที่ไม่ย่อไม่พิสดารนัก หรือ ฉบับพระนครสาวัตถีนั่นเอง จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:28:14

ความคิดเห็นที่ 10 การกล่าวตู่พระไตรปิฏก ของท่านพุทธทาส http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=15&group=1&gblog=2 ------------------------------------------- แต่สำหรับสาวกของท่านพุทธทาส  ที่ไม่ยอมรับพระไตรปิฏกเถรวาท ฉบับบนี้  ก็จะเชื่อตามทิฏฐิของท่านพุทธทาส โดยเลี่ยงพระบาลีไปมา เพื่อให้ทิฏฐิของตนเองถูกต้องที่สุด จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:32:57

ความคิดเห็นที่ 11 คคห 4 เชิญคุณเซน อธิบายเลยครับ ููู^^^ (๑) อธิบาย ว่า "พระอภิธรรม อยู่ในรูป เป็นพระพุทธวจนะ เฉกเช่น พระสูตร  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา มุขปาฐะ มา  --- ใช่ไหมครับ คุณcantona_z (๒) แต่มีบางจุดผมไม่เคลียร์ในคำถาม ตั้งต้นที่ "พระอภิธรรม ไม่อยู่ในรูป เป็นพระพุทธวจนะ"   ไหมครับ คุณคุณcantona_z (๓) ข้อที่ ๒ ผมอ้าง มูลปริยายสูตร  -- ดูพระสูตรนั้นเอง นะครับ ว่า ตรัสแก่ ใคร --- ภิกษุ หรือ เทวดา ที่ เนื่องกับ  -- พรรษาที่ ๗  เสด็จไป เทวโลก  แสดง อภิธรรม ปิฎก (แปลว่า แสดง กถาวัตถุด้วย  ใช่มั๊ย?) จบความนำ ****************************************************** ข้อความ ผม (คุณcantona_z) ได้ตั้งคำถามกลับคุณเซนให้อธิบายให้เคลียร์ก่อน จะได้ตอบ ทีเดียว ^^^^ คุณcantona_z ศึกษา พุทธศาสนา  เฉกเช่น  ผู้ เสนอ ข้อความในหนังสือ ต่อไปนี้ ใช่ไหม (ตามภาพ) จึง ตั้งตน  เป็น องค์รักษ์ พิทักษ์ "อภิธัมมัตถสังคหะ  ที่แต่งโดยภิกษุลังกาสิงหลา (พ.ศ. 1200)" --- ที่ บัญญัติ เจตสิก (ธรรมประกอบจิต) ไว้ ตายตัว คือ ๕๒ จำนวน ทั้งๆ ที่ -- ใน อภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์ เล่มที่ ๓๔ --- ที่คุณcantona_z "สำคัญหมายมั่น (ใช่หรือไม่) ไว้ ตามหลักฐานข้างล่าง  (ซึ่ง สอดคล้องกับ มูลปริยายสูตรข้อใด  พิจารณาเองด้วยไหม?) ความคิดเห็นที่ 18 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน น่าจะ เพราะ เคยชิน ต่อ ความรู้ชั้นสาวก เช่น ความรู้จาก วิสุทธิมัคค์ ความรู้จากอภิธัมมัตถสังคหะ  และ พระอภิธรรมปิฎก อยู่ --- คุณเซนครับ รบกวนแก้ไขด้วยครับ พระอภิธรรมปิฏกไม่ใช่ความรู้ชั้นสาวก แต่เป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าครับ เพียงแต่มีสาวกบางจำพวก กินบนเรือนขี้บนหลังคา มีมิจฉาทิฏฐิ เอาอัตตาตนเป็นใหญ่ ขนาดตู่พระพุทธเจ้าว่ายอมเอออวยสวมรอยเพื่อผลประโยชน์ของคนหมู่มาก กล่าวตู่ว่าพระอภิธรรมไม่ใช่ธรรมะโดยตรงจากพระพุทธเจ้าครับ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 55 11:16:14 จากคุณ : cantona_z นั้น ในพระอภิธรรม เล่มที่ ๓๔ จิต บางประเภท (ดวง เป้น สรรพนาม) มีธรรมประกอบจิตถึง ๖๐ บางดวงก็มีไม่ถึง (อ้างจาก พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๖๖๐) สรุป คุณcantona_z คิดจะ --- จะได้ตอบทีเดียว คือ โต้ตอบผม "ที่ เสนอคำว่า" พระอภิธรรมปิฎก ไม่อยู่ในรูป เป็นพระพุทธวจนะ แล้ว อ้าง อิง  หลักฐาน (ภาพ คคหนี้) ผม เสนอว่า คุณcantona_z   --- แสดง หลักฐาน คัดค้าน "ผู้ที่เสนอข้อความ"  ตามที่ผม อ้างอิงไว้ --เสียก่อน  มั๊ย เพราะ เมื่อคุณcantona_z   --- มีความสามารถ หักล้าง "ข้อความในหนังสือเล่มนั้น (ตามภาพ) ได้  + หลักฐาน ทางวิชาการ ฯ ก็ เท่ากับ  ชี้ว่า "ที่ผม อ้างอิงนั้น เป็นโมฆียะ"  เพราะ เหตุ ผล หลักฐานที่คุณcantona_z   หักล้าง ฯ สรุป คุณcantona_z  มีความรู้ ฯ หักล้าง  เชิญ แสดงครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:47:54

ความคิดเห็นที่ 12 กระทู้นี้ ผมจะไม่ สื่อสารกับ ---- "หางเครื่อง" แต่จะ สื่อสาร ตาม สมควรแก่ เหตุ กับ "นายหัว" (จขกท) ******************************************************** ภาพ (ต่อมา) -- เป็นหลักฐาน ที่ผมอ้างอิง "เนื่องกับ" ที่ผมเสนอว่า พระอภิธรรมปิฎก ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ  เมื่อ เทียบกับ พระสูตร พระวินัย ผม เสนอให้ คุณ : cantona_z  "หักล้าง ข้อความตามภาพ" ซึ่งจะ =  --- จะได้ตอบทีเดียว--- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:52:49

ความคิดเห็นที่ 13 ภาพถัดต่อมา เพื่อให้ คุณ : cantona_z  "หักล้าง ข้อความตามภาพ" ซึ่งจะ =  --- จะได้ตอบทีเดียว--- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:53:58

ความคิดเห็นที่ 14 ภาพถัดต่อมาอีก เพื่อให้ คุณ : cantona_z  "หักล้าง ข้อความตามภาพ" ซึ่งจะ =  --- จะได้ตอบทีเดียว--- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:54:40

ความคิดเห็นที่ 15 สำหรับ ยุวพุทธ  ที่ใฝ่รู้ ธรรมะ แบบ  ไม่เพลินเมาหมกอยู่ใน คัมภีร์ แบบ "คัมภีร์นิยม (Dogmatic) อ่าน ดีดี ว่า ผม เสนอ อะไร อย่างไร? คุณ : cantona_z   เสนออะไร อย่างไร? หมายเหตุ ตั้งแต่ คคห 11 -14 นั้น = วิธี ที่ผม สื่อสาร กลับถึงคุณ : cantona_z   ว่า --- ผมได้ --- อธิบายให้เคลียร์ก่อน -- แบบ -- "อ้างอิง หลักฐานของ ผู้ที่ ผมเห็นว่า -- มีองค์ความรู้ คุณวุฒิ วัยวุฒิ  เพียงพอ ต่อ พระพุทธศาสนา  "น่าจะ ยิ่งกว่า "คุณ : cantona_z " --- ที่ผม ไม่รู้จัก ว่า ฯลฯ หมายเหตุ ๑ ผู้เสนอหนังสือเล่มนี้นั้น --ผมเคย สื่อสาร สนทนาด้วย สมัยที่ มีข้อเขียน ใน นสพ. หนึ่ง รวมทั้ง โทรไปถามถึงการไป หา ท่านพุทธทาส  เพื่อ ถาม เรื่องนิพพาน ฯ หมายเหตุ ๒ หนังสือเล่มนี้  ก็ ควรอ่านด้วย จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 07:04:12

ความคิดเห็นที่ 16 ว่าไงครับ "cantona_z" จะ  หักล้าง ด้วย หลักฐาน อะไรว่า (๑) ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ตามปัญญาของ "cantona_z" (๒) ถ้า "cantona_z" หักล้าง  ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ก็ เท่ากับ  หักล้าง ข้อความว่า "พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" --อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ เฉกเฃ่น พระสูตร พระวินัย  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา ^^^^ อ่าน ง่าย ได้ใจความ ตรงตามที่ผมเสนอไว้ว่า " พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" --ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ เฉกเฃ่น พระสูตร พระวินัย  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา ต่างกับ ที่ จั่วหัวกระทู้ว่า --- พระอภิธรรม ธรรมจากชั้นสาวก? -- ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 07:09:40

ความคิดเห็นที่ 17 ""cantona_z" " ที่ผมเสนอไว้ ที่อ้างใน คคห 1 - 3 ผมได้ พิมพ์ ข้อความเสนอว่า "พระอภิธรรม ธรรมจากชั้นสาวก?" ตรงไหน? ดังนั้น อย่า มั่วร์ โดย เสนอเองว่า (ผมเสนอว่า) ""พระอภิธรรม ธรรมจากชั้นสาวก?" ? ผม เสนอไว้ว่า --- พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์ ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ ?              ************************************** ""cantona_z" " จะ มี ปัญญาอันยิ่ง ชอบด้วยเหตุผล ฯ + หลักฐาน สำแดงว่า "พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์ อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 07:15:09

ความคิดเห็นที่ 18 สาเหตุมาจากคำว่า "และ" นั่นเอง จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 08:09:59

ความคิดเห็นที่ 19 อรรถกถา พระอภิธรรมปิฏก ว่าด้วยสมบัติ ๓ ประเภท อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้ว (สุปฏิปนฺโน) ในพระวินัยอาศัยสีลสัมปทา ย่อมบรรลุวิชชา ๓ ก็เพราะตรัสประเภทแห่งวิชชา ๓ เหล่านั้นนั่นแหละไว้ใน พระวินัยนี้. ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้วในพระสูตร อาศัยสมาธิสัมปทา ย่อมบรรลุ อภิญญา ๖ ก็เพราะตรัสประเภทแห่งสมาธิเหล่านั้นนั่นแหละไว้ในพระสูตรนั้น. ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้วในพระอภิธรรม อาศัยปัญญาสัมปทา ย่อมบรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ก็เพราะตรัสประเภทแห่งปฏิสัมภิทาเหล่านั้นนั่นแหละไว้ ในพระอภิธรรมนั้น. ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้วในพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมเหล่านี้ ย่อมบรรลุสมบัติ อันต่างด้วยวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ นี้โดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้. ว่าด้วยวิบัติ ๓ ประเภท อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระวินัย เป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่มีโทษใน ผัสสะที่มีใจครองเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว โดยความเสมอ ด้วยสัมผัสมีเครื่องลาดและเครื่องนุ่งห่ม มีสัมผัสเป็นสุขเป็นต้นที่ทรงอนุญาต แล้ว เหมือนคำที่พระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมอันพระผู้มีพระภาค- เจ้าแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายอันกระทำอันตรายที่พระผู้มีพระ- ภาคเจ้าตรัสแล้วนี้ ไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้เสพอยู่ได้*(วินย. ๒. ๖๖๒ /๔๓๑) ดังนี้ ต่อจากนั้น เธอก็ถึงความเป็นผู้ทุศีล. ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระสูตร ไม่รู้คำอธิบาย เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้มีอยู่ มีปรากฏอยู่ในโลก ดังนี้ ย่อมถือเอาผิด ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า บุคคลมีอัตตาอัน ถือเอาผิด ย่อมกล่าวตู่เราด้วย ย่อมขุด (ทำลาย) ซึ่งตนด้วย และย่อมประสบ สิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย ดังนี้ ต่อจากนั้น เธอก็ถึงความเป็นมิจฉาทิฏฐิ. ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระอภิธรรมจะวิจารธรรมเกินไป ย่อมคิดแม้สิ่งที่ ไม่ควรคิด (อจินไตย) ต่อจากนั้น ก็จะถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต สมกับพระ ดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ เหล่านี้ บุคคลไม่ควรคิด ซึ่งเมื่อคิดอยู่ ก็พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า แห่งความ คับแค้น*(องฺ จตุกฺก. ๒๑. ๗๗/๑๐๔) ดังนี้. ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระไตรปิฎกนี้ ย่อมถึงความวิบัติอันต่างด้วยความ เป็นผู้ทุศีล ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ โดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้. ------------------------------- ความคิดเห็นที่ 8     หาเรื่องไปคุยกับคนบ้าสติแตก...อยู่ดีไม่ว่าดี ... ระวัง เดี๋ยวจะติดเชื้อ.... เอ้..? คุยกันรู้เรื่องด้วยหรือ ?  นับถือจริงๆ.... จากคุณ : โขตาน   --------------------------------- ท่านพุทธทาส และสาวก เช่น  สมณะ What am I , เซนปฐมสังคายนา,รถเรณู, โยนกระเบื้อง, azalex , ฤทธิ์ (จอมยุทธ์) ฯลฯ  ล้วนเข้าถึงความวิบัติแห่งทิฏฐิเสียแล้ว จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 09:10:45

ความคิดเห็นที่ 20 มาสงสัย จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 09:15:11

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามา  เพื่อ อ่าน ว่า " cantona_z " จะ เสนอว่าอย่างไร? (๑) " พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" --ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ เฉกเฃ่น พระสูตร พระวินัย  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา ต่างกับ ที่ จั่วหัวกระทู้ว่า --- พระอภิธรรม ธรรมจากชั้นสาวก? -- ไหมครับ (๒) อย่า มั่วร์ โดย เสนอเองว่า (ผมเสนอว่า) ""พระอภิธรรม ธรรมจากชั้นสาวก?" ? ผม เสนอไว้ว่า --- พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์ ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ ?           ************************************** (๓) ส่วนข้อความที่ผมเสนอ ---- อ่านดีดี อ่านให้ ครบ ตามที่เสนอ ไว้ ถ้าท่านใด "ยังไม่แจ่มแจ้ง" แบบสอดคล้องกับ ที่ตรัสว่า -- ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท --- (๑) น่าจะเพราะ เคยชิน ต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น ความรู้จากวิสุทธิมัคค์ อภิธัมมัตถสังคหะ  และ พระอภิธรรมปิฎก ตรงคำว่า ---- และ พระอภิธรรมปิฎก ทำไม ไม่ คิดด้วยสมองทั้งก้อน แล้ว สรุปว่า ที่ผมเสนอนั้น แปลว่าหรือ = ปฏิจจสมุปบาท "ปรากฎในอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์"  เฉกเช่น "พระสูตร ไหม? ^^^^ อ่านง่าย ชัดเจนมั๊ย " cantona_z " ******************************************************* หมายเหตุ ๑ ขอใช้สิทธิพาดพิง สักเล็กน้อย อาสัย ปัญญาอะไร เจตนาอะไร  เมื่ออ่าน ที่ผมเสนอ ฯ --- คคห 18 จึง เสนอว่า --- สาเหตุมาจากคำว่า "และ" นั่นเอง ? ---- ไม่ใช่คำถาม เพราะ ผม ไม่ต้องการ สื่อสารกับ ผู้อื่น ที่ไม่ใช่ " cantona_z " ใน ประเด็นนี้ กระทู้นี้ ตามที่เสนอว่า ความคิดเห็นที่ 12 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน กระทู้นี้ ผมจะไม่ สื่อสารกับ ---- "หางเครื่อง" แต่จะ สื่อสาร ตาม สมควรแก่ เหตุ กับ "นายหัว" (จขกท) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:12:29

ความคิดเห็นที่ 22 ผมว่าผมถามชัดนะครับ เลือกมาครับ 6.1 หรือ 6.2 พระอภิธรรมปิฎก "ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ" แปลว่าอะไรว่ามาชัดๆครับ อย่าออกกั๊ก 6.1 เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สอนให้สาวกโดยตรง แต่ไม่อยู่ในรูปแบบพุทธวจนะ 6.2 ไม่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า สาวกแต่งขึ้นเอง (ซึ่งแน่นอน ย่อมไม่อยู่ในรูปแบบพุทธวจนะอยูแล้ว) เอาให้แน่ครับ อย่าแทงกั๊ก จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:33:23

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้า 6.1 กระทู้จบ ไม่มีอะไรต้องคุยกันต่อ เพราะ  electromagnetic text book ย่อม ใช้สำนวนไม่เหมือนกัน ใต้ทะเล20000โยชน์อยู่แล้ว ผมถึงย้ำแต้แรกว่า คุณเซนครับ รบกวนแก้ไขด้วยครับ พระอภิธรรมปิฏกไม่ใช่ความรู้ชั้นสาวก แต่เป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าครับ ผมไม่ได้อะไรกับรูปแบบพุทธวจนะหรือไม่ใช่รูปแบบพุทธวจนะแต่แรกแล้ว ดังนั้นเคลียร์มาให้ชัดๆ ครับ ถ้า 6.2 คุยกันต่อ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:38:32

ความคิดเห็นที่ 24 (๑) น่าจะเพราะ เคยชิน ต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น ความรู้จากวิสุทธิมัคค์ อภิธัมมัตถสังคหะ  และ พระอภิธรรมปิฎก ต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น ความรู้จากวิสุทธิมัคค์   ต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ   ต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น พระอภิธรรมปิฎก ต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น หนึ่ง สอง และสาม ชัดมั๊ยครับ   หรือควรพูดว่า (๑) น่าจะเพราะ เคยชินต่อพระอภิธรรมปิฎก หรือเคยชินต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น ความรู้จากวิสุทธิมัคค์ และอภิธัมมัตถสังคหะ สาเหตุมาจากคำว่า "และ" นั่นเอง หางเครื่องแสดงจบแล้วครับ ถ้าไม่เข้าใจควรศึกษาหลักไวยากรณ์และหลักการเขียนภาษาไทยต่อนะครับ หมดปัญญาอธิบายแล้ว :) จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:42:42

ความคิดเห็นที่ 25 จริงๆ เจตนาก็พออ่านออกแหละครับ คุณนิแรน เพียงแต่ไม่กล้าฟันธงออกตัวแรงเท่านั้นเอง เอาอย่างรุ่นหลานเมื่ออาทิตย์ก่อนก็ดีครับ คิดไงก็พูดงั้น ถึงจะปิดกั้นโลกทัศน์ไปบ้าง แต่ก็เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:47:26

ความคิดเห็นที่ 26 อาสัย ปัญญาอะไร เจตนาอะไร  เมื่ออ่าน ที่ผมเสนอ ฯ --- คคห 18 จึง เสนอว่า --- สาเหตุมาจากคำว่า "และ" นั่นเอง ? ---- ------------------------------------------------------------- 5555 ผมอาศัยปัญญาอันน้อยนิดของผมมาแสดงให้ท่านเซนผู้ปราชญ์เปรื่องดูนิดหน่อยเท่านั้นครับ เชิญท่าน cantona ถกธรรมต่อกับท่านเซนครับ ผมมีปัญญาไม่พอขอหลบฉากเงียบๆไว้ก่อน :) จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:53:49

ความคิดเห็นที่ 27 ปัญญาผมก็ด้อยครับ เพียงแต่ topicstock มีกระทู้เถียงกันเรื่องพระอภิธรรมไม่ต่ำกว่า 100กระทู้ จัดมาเหอะ แหล่งข้อมูล back up ผมเยอะ 555 จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:55:53

ความคิดเห็นที่ 28 ว่าไงครับ "cantona_z" จะ  หักล้าง ด้วย หลักฐาน อะไรว่า (๑) ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ตามปัญญาของ "cantona_z" (๒) ถ้า "cantona_z" หักล้าง  ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ก็ เท่ากับ  หักล้าง ข้อความว่า "พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" -- (ผมพิมพ์ ตก คำว่า --ไม่--- ) อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ เฉกเฃ่น พระสูตร พระวินัย  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา ^^^^ แปลว่า "พระอภิธรรมปิฎก เป็นพระพุทธวจนะ เฉกเช่น พระสูตร (ที่คือ เป็นพระพุทะวจนะ) สรุป รอ่าน ""cantona_z" "  แสดง เหตุผล อ้างอิง  เพื่อ หักล้าง --ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ตามปัญญาของ "cantona_z" ****************************************************** หมายเหตุ อ่านดีดี แปลว่า อ่าน ทุำกๆ วรรค  แห่ง ข้อความ ที่ผมเสนอ นั้น  ที่ เอามาอ้าง คือ คำว่า และ ไม่ใช่ "กำหนด แค่ คำคำเดียว คือ คำว่า และ"  แล้ว ชี้----  "สาเหตุมาจากคำว่า "และ" นั่นเอง ---- ???? "บริบท  - ontext" ???? Context - Wikipedia, the free encyclopedia en.wikipedia.org/wiki/Context - แคช - แปลหน้านี้ Context may refer to: Context (language use), the relevant constraints of the communicative situation that influence language use, language variation, and ... ถ้าท่านใด "ยังไม่แจ่มแจ้ง" แบบสอดคล้องกับ ที่ตรัสว่า -- ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท --- (๑) น่าจะเพราะ เคยชิน ต่อความรู้ชั้นสาวก เช่น ความรู้จากวิสุทธิมัคค์ อภิธัมมัตถสังคหะ  และ พระอภิธรรมปิฎก ตรงคำว่า ---- และ พระอภิธรรมปิฎก ทำไม ไม่ คิดด้วยสมองทั้งก้อน แล้ว สรุปว่า ที่ผมเสนอนั้น แปลว่าหรือ = ปฏิจจสมุปบาท "ปรากฎในอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์"  เฉกเช่น "พระสูตร ไหม? คำว่า "และ"  ที่ ตามด้วยคำว่า "พระอภิธรรมปิฎก" จึงเนื่องกับ ---- ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท --- และ เนื่องกับ --- ถ้าท่านใด "ยังไม่แจ่มแจ้ง" แบบสอดคล้องกับ ที่ตรัสว่า---- ที่ผมเสนอ ต่างกับ ข้อความ --- ถ้าไม่เข้าใจควรศึกษาหลักไวยากรณ์และหลักการเขียนภาษาไทยต่อนะครับ หมดปัญญาอธิบายแล้ว :) ---- ตรงไหน ตาม คคห 24 อาสัย อะไร จึงตัด ข้อความที่ผมเสนอว่า --- ถ้าท่านใด "ยังไม่แจ่มแจ้ง" แบบสอดคล้องกับ ที่ตรัสว่า -- ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท ---  ออกไป ???? ใช้สิทธิพาดพิง อีกครั้ง ตามควรแก่เหตุ ย้ำ ทำไม จึง ตัด ข้อความ --  --- ถ้าท่านใด "ยังไม่แจ่มแจ้ง" แบบสอดคล้องกับ ที่ตรัสว่า -- ศาสดาและสาวก ย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท ---  ออกไป ???? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 11:00:23

ความคิดเห็นที่ 29 จะเข้ามาอ่าน "cantona_z" จะ  หักล้าง ด้วย หลักฐาน อะไรว่า (๑) ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ตามปัญญาของ "cantona_z" (๒) ถ้า "cantona_z" หักล้าง  ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ก็ เท่ากับ  หักล้าง ข้อความว่า "พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" -- (ผมพิมพ์ ตก คำว่า --ไม่--- ) อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ เฉกเฃ่น พระสูตร พระวินัย  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา จากคุณ : เชนเถรวาทปบมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 11:01:27

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่ต้องรำมวยท่ามากครับ ผมขี้รำคาญ ไม่ชอบมานั่งทานไอติมบ้านหม้อแบบพี่ระนาดเอก ตอบมาสั้นๆ 6.1 หรือ 6.2 จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 11:03:19

ความคิดเห็นที่ 31 เข้ามาอ่านแล้วนะครับ :) จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 11:10:01

ความคิดเห็นที่ 32 ถามท่านเซนฯ สั้นๆว่า  เหตุผลใดที่พระอภิธรรมต้องอยู่ในรูปแบบเฉกเช่นเดียวกับ พระสูตร และ พระวินัย จากคุณ : Garcinia เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 12:46:33

ความคิดเห็นที่ 33 ว่าจะถาม แต่ไม่ยุ่งดีกว่า เรามันพวกหางเครื่อง แต่อยากบอกว่า กระทู้นี้น่าสนใจมากครับ รอฟัง ความเห็นของท่านผู้รู้อยู่ครับ จากคุณ : ไม่มีศาสนา (sarwo) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 13:53:11

ความคิดเห็นที่ 34 น่าสนใจแบบนี้ งั้นคงต้องโหวตกันแล้วละครับ^^ (แต่ความเป็นจริงแล้ว เพราะเห็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก เลยต้องโหวต) แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 55 14:40:17 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 14:39:46

ความคิดเห็นที่ 35 เงียบ.......สงสัยไม่ช้อต จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 15:15:15

ความคิดเห็นที่ 36 ช่วย โหวต ให้ นะครับ.  เสนอนิดหน่อย       ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย(คำว่า "ตาย" มีหลายนัยยะ)      ก็ไม่น่าอยู่ในรูปพุทธพจน์ เพราะผมพิมพ์เองแบบจำได้ครับคล้ายครับคลา  แต่ในพุทธพจน์ก็ทรงตรัส ทำนองเยี่ยงนี้อยู่.       ที่ผมเสนอประโยคนั้น ผมก็เอามาจากพุทธพจน์ ที่ผมจำได้ครับคล้ายครับคลานั้นนะครับ.        ตกลงเอาอย่างไรดีครับ.        สรุปให้ทราบ นะครับ ผมเอาธรรมของพุทธเจ้า มาพิมพ์ ตามความเข้ัาใจนะครับ  แล้วพระอภิธรรม เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ?. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 16:19:18

ความคิดเห็นที่ 37 พระอภิธรรม  ไม่อยู่ในรูป  บทสนทนา แต่อยู่ในรูป การบรรยายทางวิชาการ ไม่ใช่ปัญหา ว่าใครเขียน   เพราะข้างในคือธรรมะ ขององค์พระศาสดา แต่คำของพระศาสดา จากพระโอษฐ์   ไพเราะจับใจที่สุด   (  สำหรับเฉพาะ ผู้ที่เข้าถึงได้ ) จากคุณ : สาวกพระพุทธองค์ (กระบี่นางฟ้า) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 16:22:22

ความคิดเห็นที่ 38 เอางี้ครับ เนื่องจากในระหว่างที่ผมรอคุณเซนมาตอบคำถามเอาให้ชัดๆ แต่คุณเซนก็ไม่ยอมตอบ แต่ไปตั้งกระทู้ใหม่เพิ่มซะงั้น ผมจะให้เวลาคุณเซนคืนนี้อีก1คืน  ถ้าคุณเซนไม่ยอมเข้ามาฟันธงว่า พระอภิธรรมปิฎก "ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ" แปลว่าอะไรว่ามาชัดๆครับ อย่าออกกั๊ก 6.1 เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สอนให้สาวกโดยตรง แต่ไม่อยู่ในรูปแบบพุทธวจนะ 6.2 ไม่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า สาวกแต่งขึ้นเอง (ซึ่งแน่นอน ย่อมไม่อยู่ในรูปแบบพุทธวจนะอยูแล้ว) เลือกมาว่าจะเอาข้อ 6.1 หรือ 6.2  ไม่ต้องมารำมวยอธิบาย บริบจน์คืออะไร context หมายความว่าไง ผมรำคาญ สรุปมาเลย 6.1.หรือ 6.2 ผมจะถือเอาเองว่าคุณเซนยอมรับว่า พระอภิธรรมเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าประทานแก่สาวกโดยตรง  ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบพุทธวจนะหรือไม่ก็ตาม และหลังจากนี้ขอความกรุณาคุณเซนอย่าให้ความเห็นกำกวมที่อาจตีความได้ว่า พระอภิธรรมเป็นธรรมของสาวกไม่ใช่ธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าอีกต่อไป ถือว่าตกลงกันตามนี้นะครับ จากน้ันผมจะร่ายเหตุผลของผม  ว่าเหตุใดพระอภิธรรมจึงเป็นธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้า  ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบพุทธวจนะหรือไม่ก็ตาม โดยแหล่งข้อมูลลับของผม แน่นอนด้วยการพิมพ์ "อภิธรรม site:topicstock.pantip.com" ในgoogle แล้วใช้กิริยาจิต copy and paste ผ่านทางกายปสาทรูป  โอเคนะครับ ทั้งนี้ถือว่าคุณเซนหมดสิทธิ์โต้แย้งเพราะให้เวลาแล้วแต่ไม่เข้ามาตอบเอง ตกลงตามนี้นะครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 17:33:28

ความคิดเห็นที่ 39 พระอภิธรรมปิฎก อธิบายอย่างไร...? ๑. ศึกษาในแง่มุมประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา  พระอภิธรรมปิฎกเป็นพัฒนาการในยุคหลัง  พระไตรปิฎกพูดถึงสังคายนาครั้งที่ ๑  และครั้งที่ ๒  เท่านั้น  และสังคายนาทั้งสองครั้งเรียกว่า  ธัมมวินยสังคีติ  (สังคายนาพระธรรมวินัย)  หรือ  "ติปิฎกวิสัชนา" (วิสัชนาพระไตรปิฎก) ๒. ในแง่ภาษา  ภาษาพระ  ในพระอภิธรรมเป็นภาษาเขียน  ภาษาวิชาการที่เรียบเรียงขึ้นเป็นตอน  มิใช่ภาษาพูดเหมือนในพะสุตตันตปิฎก  และพระอภิธรรมข้อนี้แสดงว่า อภิธรรมปิฎกเพิ่มมาภายหลัง ๓. มีข้อถกเถียงกันว่า  พระอภิธรรมปิฎกเป็นพระพุทธพจน์หรือไม่  "ทั้งฝ่ายปฏิเสธ  และฝ่ายยอมรับว่าเป็นพุทธพจน์  ต่างก็ให้เหตุผลที่น่าฟังและเป็นไปได้ทั้งสองฝ่าย  ข้อถกเถียงนี้มีมานานแล้ว  และรุนแรงขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐  อันเป็นยุคทองของอรรถกถา //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ขอนำข้อคิดเห็นทั้งสองฝ่ายมาให้พิจารณา  ดังนี้ --->> ฝ่ายที่ปฏิเสธพระอภิธรรมปิฎกให้เหตุผล  ดังนี้ ๑. ภาษาในอภิธรรมปิฎกเป็นสำนวนภาษารุ่นหลัง  เป็นภาษาที่เรียบเรียงเป็นลักษณะวิชาการจัดอยู่ในประเภท  "เวยยากรณะ"  ไม่ใช่ภาษาพูดหรือสนทนา  และภาษาในพระสูตรและพระวินัย ๒. ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพาน  พระพุทธเจ้าตรัสมหาปเทศ ๔  ให้สาวกเทียบเคียงหลักปฏิบัติว่าผิดหรือถูก  โดยให้สอบสวนให้ถูกต้องลงรอยกับพระสูตรและพระวินัย  ถ้าถูกต้องลงรอยกันได้  ให้ถือปฏิบัติ  ถ้าไม่ถูกต้องลงรอยกันไม่ควรถือปฏิบัติ  ในที่นี้มิได้ให้เทียบเคียงกับพระอภิธรรมปิฎกเลย ๓. ข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่งว่า  พระพุทธเจ้าตรัสอภิธรรมโดยยกเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่ดาวดึงส์  เป็นเพียงคำกล่าวของพระอรรถกถาจารย์ เป็นหลักฐานรุ่นหลังมาก  เรื่องนี้ไม่มีในพระสูตรและพระวินัย ๔. แม้คำว่า  "อภิธมฺเม"  ที่ปรากฏในพระสูตรบางแห่ง  ก็มิได้หมายถึงพระอภิธรรมปิฎก  เช่น  ในกินติสูตร  มัชฌิมนิกาย  อุปริปัณณาสก์  คำว่า  "อภิธมฺเม"  พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า  หมายถึง  โพธิปักขิยธรรม  ๓๗  ประการ ๕. ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน  พระพุทธเจ้าตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้ในความรับผิดชอบของเหล่าสาวกว่า  ธมฺโม  จ  วินโย  จ  หมายถึงพระธรรมกับพระวินัยเท่านั้น  มิได้หมายถึงพระอภิธรรมเลย ๖. ในอภิธรรมปิฎกเอง  ปรากฏคำว่า  ยญฺจ  โข  ภควตา  ชานตา  ปสฺสตา  แปลว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้ารู้อยู่  เห็นอยู่  และคำว่า  วุตฺตญฺเจตํ  ภควตา  แปลว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ ดังนี้  สำนวนเช่นนี้เป็นของพระสังคีติกาจารย์  มิใช่เป็นพุทธวจนะ   ๗. นิกายสรวาสติวาทิน  ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  นิกายอภิธรรม  เพราะถืออภิธรรมมาก  ก็ถือว่าพระอภิธรรมปิฎกเป็นสาวกภาษิต  มิใช่พุทธวจนะ --->> ฝ่ายทียอมรับพระอภิธรรมให้เหตุผล  ดังนี้ ๑. เรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมาดา  มีหลักฐานปรากฏชัดในปรมัตถทีปนี  และธัมมปทัฏฐกถา   ๒. ในอังคุตตรนิกาย (๒๒/๓๓๑/๔๓๙)  ข้อความตอนหนึ่งว่า  เตน  โข  ปน  สมเยน  สมฺพหุลา  เถรา  ภิกขู  ปจฺฉาภตฺตํ  ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตา  มณฺฑลมาเฬ  สนฺนิสินฺนา  สนฺนิปติตา  อภิธมฺมกถํ  กเถนฺติ  แปลว่า  สมัยนั้นแลพระภิกษุผู้เป็นเถระจำนวนมาก  กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว  นั่งประชุมกล่าวอภิธรรมกถากันที่โรงธรรม -->  ในพระวินัยปิฎก  มหาวิภังค์ (๑/๕๔๓/๓๖๙)  ข้อความว่า  เย  เต  ภิกขู  อาภิธมฺมิกา  เตสํ  เอกชฺฌํ  เสนาสนํ  ปญฺญาเปติ  เต  อญฺญมญฺญํ  สากวฺฉิสฺสนฺตีติ...แปลว่า  พระทัพพมัลลบุตรจัดเสนาสนะให้พระภิกษุที่เรียนอภิธรรมอยู่รวมกัน  ด้วยคิดว่าท่านเหล่านั้นจักได้สนทนาอภิธรรมกัน -->  ในพระวินัยปิฎก  ภิกขุนีวิภังค์  (๓/๔๗๗/๒๔๕)  กล่าวว่า  ปญฺหํ  ปุจฺเฉยฺยาติ  สุตฺตนฺเต  โอกาสํ  การาเปตฺวา  วินยํ  วา  อภิธมฺมํ  วา  ปุจฺฉติ  อาปตฺติ  ปาจิตฺติยสฺส  วินเย  โอกาสํ  การาเปตฺวา  สุตฺตนฺตํ  วา  อภิธมฺมํ  วา  ปุจฉติ อาปตฺติ  ปาจิตฺติยสฺส  วินเย  โอกาสํ  การาเปตฺวา  สุตฺตนฺตํ  วา  อภิธมฺมํ  วา  ปุจฺฉติ   อาปตฺติ  ปาจิตฺตติยสฺส  อภิธมฺเม  โอกาสํ  การาเปตฺวา  สุตฺตนฺตํ  วา  วินยํ  ปุจฺฉติ  ปาจิตฺติยสฺส แปลว่า  ภิกษุณีถามปัญหา  ถ้าขอโอกาสถามพระสูตร  แต่ไปถามพระวินัยหรือพระอภิธรรม  ต้องอาบัติปาจิตีย์  ถ้าขอโอกาสถามพระวินัย  แต่กลับไปถามพระสูตรหรือพระอภิธรรม  ต้องปาจิตตีย์  ถ้าขอโอกาสถามพระอภิธรรม  แต่กลับไปถามพระสูตรหรือพระวินัย  ต้องปาจิตตีย์ -->  ในขุททกนิกาย  อปทาน  (๓๒/๘/๖๓) มีข้อความว่า สุตฺตนฺตํ  อภิธมฺมญฺจ        วินยญฺจาปิ  เกวลํ นวงฺคํ  พุทฺธวจนํ              เอสา  ธมฺมสภา  ตว แปลว่า  พระสูตร  พระอภิธรรม  พระวินัย  รวมพระพุทธวจนะ  มีองค์ ๙  ทั้งหมดนี้  เป็นธรรมสภาของพระองค์ -->  ในเถรีอปทาน (๓๓/๑๕๘/๓๐๙) กล่าวว่า กุสลาหํ  วิสุทฺธีสุ       กถาวตฺถุวิสารทา อภิธมฺมวินยญฺญูจ     วสิปฺปตฺตามฺหิ  สาสเน แปลว่า (นางเขมาเถรีกล่าวว่า) ข้าพเจ้าฉลาดในวิสุทธิ ๗  และสามารถในกถาวัตถุ  เป็นผู้รู้วินัยแห่งพระอภิธรรม  เป็นผู้ถึงความเชี่ยวชาญในพระศาสนา -->>   ยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีกมากมาย  คำว่า  "อภิธมฺม"  ในที่นี้หมายถึงพระอภิธรรมปิฎกนั่นเอง ๓. คำว่า  ธมฺโม  จ  วินโย  จ  ที่แปลว่า  พระธรรมและพระวินัยนั้น  คำว่า  ธรรม  มิได้หมายเพียงพระสุตตันตปิฎกเท่านั้น  แต่หมายรวมถึงพระอภิธรรมปิฎกด้วย ๔. ถ้าปฏิเสธพระอภิธรรมปิฎก  เพราะเหตุเพียงคำว่า  วุตฺตญฺเจตฺ  ภควตา เป็นต้น  พระสูตรกับพระวินัยก็ควรปฏิเสธด้วย  เพราะทั้งพระสูตรและพระวินัย  ล้วนฟังมาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น  พระพุทธองค์มิได้ทรงขีดเขียนไว้ที่ไหน  และในพระสูตรเองก็มีคำว่า  "เอวมฺเม  สุตํ  ข้าพเจ้าสดับมาดังนี้"  ในพระวินัยปิฎกก็มีคำว่า  เตน  โข  ปน  สมเยน  ภาวตา  โดยสมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาค... เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของพระสังคีติกาจารย์ทั้งสิ้น ๕. ยอมรับว่าในอภิธรรมปิฎก  มีภาษิตของพระเถระอยู่คัมภีร์หนึ่ง  คือ  กถาวัตถุ  ที่แต่งโดยพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ  แต่พะโมคคัลลีบุตรก็แต่งตามพุทธาธิบาย /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// การโต้แย้งหักล้างกันในเรื่องนี้มีมานานแล้ว  และคงจะมีต่อไป  การหักล้างกันด้วยวาทะบางครั้งก็รุนแรง  ดังใน  อัฏฐสาลินีอรรถกถา  พระภิกษุแห่งสำนักอภิธรรมเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๐  ได้ว่าผู้ปฏิเสธอภิธรรมเสียเจ็บแสบ "ผู้ปฏิเสธอภิธรรมย่อมชื่อว่าปฏิเสธสัพพัญญุตญาณในชินจักรนี้  ชื่อว่าทำเวสารัชชญาณของพระศาสดาให้หมุนกลับ  ทำให้บริษัทผู้ใคร่จะฟังเข้าใจผิด  กั้นทำนบในอริยมรรค (กีดขวางอริยมรรค)  เขาผู้ปฏิเสธพระอภิธรรม  จัดอยู่ในพวกที่ก่อเหตุแตกร้าว  ๑๘  จำพวก  จำพวกใดจำพวกหนึ่ง  เป็นผู้ควรลงอุกเขปนียกรรม  นิยสกรรม  และตัชชนียกรรมโดยแท้  คนเช่นนี้พวกเราควรลงปัพพาชนิยกรรม  เป็นต้น  แล้วขับไล่ไสส่งว่า  พวกเจ้าจงไปเป็นคนกินเดนเสียเถิด" ->  ถ้อยคำรุนแรงเช่นนี้เข้าใจว่า  ท่านมุ่งเป้าไปยังพระสงฆ์นิกายอื่นที่ไม่นับถือพระอภิธรรม  เช่น นิกายเสาตรานติกะ  ซึ่งไม่ยอมรับว่าพระอภิธรรมเป็นพุทธวัจนะ  ยอมรับเฉพาะ  "มาติกา" เท่านั้น   น่าประหลาดที่นิกายสรวาสติวาทิน  ซึ่งมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า  นิกายอภิธรรม  เพราะนับถืออภิธรรมมาก  กลับมีความเชื่อว่าพระอภิธรรมปิฎกเป็นบทนิพนธ์ของพระสาวกสำคัญ  ๓  รูป  มิใช่พระวจนะของพระพุทธเจ้า  พระสาวกสำคัญ  ๓  รูปนั้น  คือ  พระมหากัจจายนะ  พระสารีบุตร  และพระโมคคัลลานะ //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// -->  เสถียร  โพธินันทะ  แสดงมติในเรื่องนี้ว่า "อภิธรรมปิฎกนี้ไม่ใช่พระพุทธภาษิตทั้งหมด  จะเป็นพระพุทธภาษิตก็เฉพาะแต่บทมาติกาและข้ออธิบายบางแห่ง  นอกนั้นเป็นอาจริยภาษิต  ซึ่งอรรถาธิบายมาติกาอย่างพิสดารตามพุทธมติ  จึงไม่ควรถือว่าเมื่อไม่ใช่พระพุทธภาษิตทั้งหมด  แล้วก็เฉยไม่นิยมนับถือ  ความจริงพระอภิธรรมนั้นมิใช่อื่นไกลที่ไหน  เนื้อแท้ก็เป็นธรรมะในพระสูตรนั่นเอง" -->  ท่าน ญาณดิลก  พระนักปราชญ์ตะวันตก  กล่าวว่า  "ความแตกต่างระหว่างสุตตันตปิฎกกับอภิธรรมนั้น  มิได้เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่อง  มันต่างกันแต่เพียงวิธีจัดคำ  วิธีใช้คำ  ส่วนใจความนั้นเพ่งเล็งถึงสิ่งเดียวกัน  สุตตันตปิฎกพูดภาษาธรรมดาที่ชาวบ้านพูด  ส่วนคัมภีร์อภิธรรมนั้น  ใช้ภาษาทางปรัชญาอย่างบริสุทธิ์  ในความหมายชั้นปรมัตถ์"  แล้วสรุปด้วยคำพูดที่ครอบคลุมที่สุดว่า  "อภิธรรมปิฎกไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธพจน์" --->>>  วิวาทะเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมาก  ยกมาเป็นตัวอย่างสองทรรศนะ  สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นใครพูดก็ตาม  ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ตะวันตกหรือตะวันออก  ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน  ต่างก็ลงรอยกันในประเด็นสรุปข้างท้ายนี้  คือ ๑. ที่พูดว่าอภิธรรมปิฎกมิใช่พุทธพจน์ทั้งหมด  หรือใช่พุทธพจน์เฉพาะบทมาติกาก็ดี  พระอภิธรรมไม่อยู่ในรูปพุทธพจน์ก็ดี  ผู้พูดมิได้ปฏิเสธว่าพระอภิธรรมปิฎกมิใช่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า  เพียงแค่ต้องการบอกว่าอภิธรรมปิฎก  เป็นเรื่องที่  "แต่งเพิ่มเข้ามาภายหลัง" ๒. ทุกคนยอมรับว่าเนื้อหาในพระอภิธรรมปิฎก  เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า  เพราะสอดคล้องตามหลักตัดสินพระธรรมวินัย  ๘  ประการแล้ว  โดยประการทั้งปวง จากคุณ : สมถะ เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 18:47:08

ความคิดเห็นที่ 40 ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพระอภิธรรม ๔ สมัย พระอภิธรรมปิฎก  อันเป็นปิฎกสุขุมคัมภีรภาพที่สุดของพระพุทธศาสนา  เราควรจะทราบถึงการพัฒนาแห่งพระอภิธรรมในประวัติศาสตร์  ตามมติของข้าพเจ้า (เสถียร โพธินันทะ)  ขอแบ่งระยะกาลความเป็นมาแห่งพระอภิธรรมออกเป็น ๔ สมัย  ดังต่อไปนี้ ๑. สมัยพระอภิธรรมรวมอยู่ในฐานะพระสูตร สมัยนี้เป็นสมัยที่พระอภิธรรมยังมิได้แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศ  ยังรวมตัวอยู่ในพระสูตร  และยังมิได้ถูกเรียกว่าอภิธรรม  ซึ่งพูดให้ถูกแล้วก็คือพระสูตรนี่เอง  แต่เป็นพระสูตรซึ่งมีเค้าโครงของพระอภิธรรม   อาทิเช่น  มหาสติปัฏฐานสูตร , สังคีติสูตร , ทสุตตรสูตร , มหาเวทัลลสูตร , จุลเวทัลลสูตร , สัมมาทิฏฐิสูตร ฯลฯ  ซึ่งปรากฏในบาลีทีฆนิกาย ,  มัชฌิทนิกายและเนื้อธรรมบางหมวดในบาลีสังยุตตนิกายและอังคุตตรนิกาย   --->>>   แน่นอนเหลือเกินที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดพระอภิธรรม  เช่น ในกรณีที่ทรงแสดงอุทเทสแห่งพระธรรม  ครั้นแล้วก็ทรงขยายความออกให้พิสดารเป็นนิเทส  ทั้งนี้เพื่อให้เนื้อธรรมละเอียดกระจ่างชัดแก่พระสาวก  ซึ่งเป็นเรื่องมีมากมายทั่วไปในพระบาลี  และเป็นสาวกภาษิตก็มาก  ในมหาสติปัฏฐานสูตรแห่งบาลีทีฆนิกาย  มหาวรรค  พระบรมศาสดาตรัสกระจายหมวดธรรมแต่ละหมวดของสติปัฏฐานทั้ง ๔  เช่น  ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน  ทรงจำแนกลักษณะของจิตไว้   ๑๖  อย่าง  คือ  สราคจิต,  วีตราคจิต,  สโทสจิต,  วีตโทสจิต,  สโมหจิต,  วีตโมหจิต,  สังขิตตจิต,  วิกขิตตจิต,  มหัคคตจิต,  อมหัคคตจิต,  สอุตตรจิต,  อนุตตรจิต,  สมาหิตจิต,  อสมาหิตจิต,  วิมุตตจิต,  อวิมุตตจิต,  ซึ่งทำให้นึกถึงการจัดแบ่งประเภทจิตในพระอภิธรรมปิฎกว่า  จะมีเค้ามาจากพระสูตรนี้   อนึ่งในสังคีติสูตรแห่งบาลีทีฆนิกายปาฏิกวรรค  เป็นภาษิตของพระสารีบุตรธรรมเสนาบดี  อธิบายลักษณะหมวดธรรมตั้งแต่หมวดหนึ่งถึงหมวดสิบ  ในหมวดสามว่าด้วยรูปสังคหะ  พระสารีบุตรแสดงว่า  “รูปสังคหะ ๓ ประการ  เป็นไฉน ?  คือ  สนิทัสสนสัปปฏิฆรูป  ได้แก่รูปที่เห็นได้กระทบได้,  อนิทัสสนสัปปฏิฆรูป  ได้แก่รูปที่เห็นไม่ได้  แต่กระทบได้,  อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป  ได้แก่รูปที่เห็นไม่ได้  กระทบไม่ได้”  อย่างนี้มีเค้าเป็นพระอภิธรรมชัด ๆ ************************************************************************** ๒.  สมัยพระอภิธรรมเป็นนิเทสของพระสูตร สมัยนี้  อันที่จริงก็มีมาพร้อมด้วยสมัยแรก  แต่เนื่องจากมีลักษณะต่างกันอยู่บ้าง  จึงแยกเป็นหัวข้ออีกส่วนหนึ่ง ก่อนจะอธิบาย  จะต้องวินิจฉัยคำ ๒ คำว่าได้แก่อะไร  คือคำว่า  อภิธมฺเม  อภิวินเย  ๒  คำนี้มีปรากฏทั้งในพระสูตรและพระวินัยหลายแห่ง  เช่น ในกินติสูตรแห่งพระบาลีมัชฌมนิกาย  อุปริปัณณาสก์  มีคำว่า  อภิธมเม  คัมภีร์อรรถกถาแก้ว่า  ได้แก่โพธิปักขิยธรรม  ๓๗   แต่ในที่บางแห่ง  อภิธมฺเม  ไม่ได้หมายอย่างในกินติสูตรก็มี  เพราะปรากฏว่าในพุทธกาล  มีคณะภิกษุผู้เป็นอภิธรรมิกะ  เช่น  ในมหาโคสิงคสาลสูตร  แห่งบาลีมัชฌมนิกาย  มูลปัณณาสก์  พระสารีบุตรถามพระโมคคัลลานะว่า  ธรรมชาติในป่าโคสิงคสาลวัน  จะงามสมกับภิกษุผู้มีคุณรูปอย่างไร ?   พระโมคคัลลานะตอบว่า  ถ้ามีพระภิกษุร่วมสนทนาอภิธรรมกถาแก่กันและกันจักพึงงามสมยิ่ง   --->>>   อนึ่ง  ในวินัยปิฎกมหาวรรคตอนมหาขันธกะ  มีพระพุทธพจน์ว่าด้วยองค์กำหนดของผู้ไม่สมควรจะเป็นอุปัชฌายะ ๕ ข้อ  มีอยู่ข้อหนึ่งว่า  “นปฏิพโล ฯลฯ  อภิธมฺเม  วิเนตํ  น  ปฏิพโลติ  อต์โถ ฯ  อภิวินเยติ  สกเล  วินยปิฏเก  วิเนตํ  นปฏิพโลติ  อต์โถ ฯ  ความว่า  ไม่สามารถที่จะแนะนำในนามรูปปริเฉทการกำหนดแยกนามรูป  ไม่สามารถที่จะแนะนำในวินัยปิฎกทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น  อภิธมฺเม  ซึ่งเป็นคำเก่า  มีมาในพุทธกาล  และพระบรมศาสดาก็ตรัสถึง  จักหมายเอาอะไร ?   ข้าพเจ้าใคร่สันนิษฐานว่า  หมายเอาธรรมนิเทสซึ่งพระบรมศาสดาไขอรรถแห่งพระพุทธวจนะในรูปอภิปรายปุจฉา-วิสัชนากัน  ในการอภิปรายไขอรรถพระพุทธวจนะเพื่อความช่ำชองในอรรถธรรมของพระสาวกนั้น  จะต้องมีการตั้งหลักเกณฑ์บางอย่างขึ้นใหม่  เพื่อประกอบการอธิบาย  หรือมีการวางแนวอธิบายในหัวข้อประเด็นเดียวแต่มีวิธีที่การที่จะอธิบายต่างกัน  ซึ่งปรากฏชัดในสมัยที่พระอภิธรรมได้ถูกรวบรวมขึ้นอีกปิฎกหนึ่ง   --->>  อาจมีปัญหาขึ้นว่า  คณะภิกษุสุตตันตธรกับภิกษุคณะอภิธรรมิกะต่างกันอย่างไร ?  ขอตอบว่า  คณะภิกษุสัตตันตธรย่อมดำรงอรรถแห่งพระสูตรทั้งหมด  รวมทั้งเรื่องราวของเหตุการณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง  ส่วนภิกษุคณะอภิธรรมิกะนั้น  จำทรงแต่เฉพาะที่เป็นแก่งธรรมล้วน ๆ ในพระสูตร  ซึ่งพระสาวกนำมาปุจฉาวิสัชนาแล้วรวบรวมขึ้นไว้   พูดง่ายๆ คือ พระสูตรเป็นเรื่องราวของบุคคลาธิษฐานเจือธรรมาธิษฐาน  ส่วนพระอภิธรรมนั้นเป็นธรรมาธิษฐานล้วน  อภิธมเม  ในสมัยนี้มีตัวอย่างให้เห็นได้  คือ  คัมภีร์มหานิทเทส  จุลนิทเทส  และปฏิสัมภิทามัคค์  ทั้ง ๓ คัมภีร์ได้แยกตัวออกจากพระสูตร  สงเคราะห์เข้าใน  ขุททกนิกาย  คัมภีร์มหานิทเทส,  จุลนิทเทศ  แต่งอธิบายธรรมะในสุตตนิบาต  ตอนอัฏฐวัคคิกะกับตอนปรายนวรรค  ส่วนคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์อธิบาย  ปรมัตถธรรมที่สุขุมมาก  ในฝ่ายสันสกฤตนิกายสรวาสติวาท  ก็มี  อภิธมเม  รูปเค้าเดียวกัน  คือคัมภีร์อภิธรรมสังคีติบนนยายปาทศาสตร์ของพระสารีบุตรและคัมภีร์อภิธรรมสกันธปาทศาสตร์  ของพระโมคคัลลานะ,  ที่ว่าเหมือนกันก็คือ  คัมภีร์ทั้งสองมีลีลาแก้พระสูตรอีกทีหนึ่ง --->>>   ส่วน  อภิวินเย  หรืออภิวินัย  ก็ได้แก่การปุจฉาวิสัชนา  อธิบายอรรถะแห่งพระวินัย  ถ้าจะชี้ก็ขอชี้คัมภีร์ มหาวิภังค์,  ภิกขุนีวิภังค์  และคัมภีร์บริวาร  มหาวิภังค์และภิกขุนีวิภังค์  ยังเจือพุทธพจน์  กับถ้อยคำของพระสาวกสาวิกา  อธิบายพระพุทธพจน์อีกต่อหนึ่ง  ส่วนคัมภีร์บริวาร  เป็นประชุมอธิบายข้อความสำหรับวินิจฉัยพระวินัย  ตั้งเป็นรูปกระทู้แล้วอธิบายมีลักษณะเป็นอภิวินัยอย่างสมบูรณ์ ************************************************************************** ๓.  สมัยแยกจากพระสูตรเป็นอีกปิฎกหนึ่ง แม้  อภิธมฺเม  อภิวินเย  จะมีมาสมัยเดียวกันก็จริง  แต่เนื่องด้วยเรื่องของวินัยเป็นระเบียบแบบแผนกำหนดไว้  ไม่สู้จะมีปัญหาที่ต้องขบให้พิสดาร  ผิดกับความคิดและทัศนะทางธรรมะ  ซึ่งมีอาณาบริเวณแห่งจินตนาการกว้างขวางมาก  ตามความรู้ความเข้าใจของบุคคล  ฉะนั้นเรื่อง  อภิธมฺเม  จึงพัฒนาไปไกลกว่าเรื่อง  อภิวินเย   ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑-๓  พระสาวกได้รวบรวมข้ออภิปรายธรรมนิเทสต่างๆ จัดขึ้นเป็นปิฎกที่สามคืออภิธรรมปิฎก  ต่างคณะต่างรวบรวม  ฉะนั้น  พระอภิธรรมปิฎกของนิกายต่างๆ จึงหาเหมือนกันไม่   แต่ปัจจุบันนี้  อภิธรรมปิฎกยังคงเหลืออยู่  ๓  นิกาย  ที่เรียกได้ว่าพอแก่การศึกษา  คือพระอภิธรรมปิฎกฝ่ายบาลีของนิกายเถรวาทหนึ่ง  พระอภิธรรมปิฎกฝ่ายสันสกฤตของนิกายสรวาสติวาทหนึ่ง,  และพระอภิธรรมปิฎกของลัทธิมหายานหนึ่ง   -->>  สำหรับฝ่ายเถรวาทมีสมบูรณ์กว่าเพื่อน  คือมีพร้อมทั้งอรรถกถา,  ฎีกา,  อนุฎีกา,  และโยชนา   -->  ฝ่ายสันสกฤตอันดับสองมีแปลสู่จีนพากย์เป็นส่วนมาก   --> ฝ่ายสันสกฤตอันดับสามก็แปลรักษาไว้ในจีนพากย์ไว้ได้มาก  แต่พระอภิธรรมของลัทธิมหายานเป็นของกำเนิดขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๕  ล่วงแล้ว  และไม่จัดเป็นปิฎก  เพิ่งมาจัดขึ้นต่อภายหลังอีกนานเรียกกันว่า  “ศาสตร์” (หลุง)  เป็นรจนาของคณาจารย์ต่างๆ แห่งมหายาน  มีพระนาคารชุน,  พระอสังคะ,  พระวสุพันธุ,  เป็นอาทิ   ฉะนั้น  ถ้าจะว่าไปแล้วก็เหลือพระอภิธรรมปิฎก ๒ นิกายเท่านั้น  คือนิกายเถรวาทกับนิกายสรวาสติวาท  ที่จัดได้ว่าเป็นของเก่าสืบมาแต่สมัยที่สอง ************************************************************************** ๔.  สมัยรวบรวมสารัตถะแห่งพระอภิธรรม จำเดิมนับแต่มีพระอภิธรรมขึ้นเป็นเอกเทศ  รวมเป็นพระไตรปิฎกโดยสมบูรณ์แล้ว  พัฒนาการแห่งความคิดในหลักธรรมก็ยิ่งเจริญไปไกล   คณาจารย์ฝ่ายอภิธรรมิกะได้ขยายแนวอธิบายสภาวธรรมตามทัศนะของท่านให้พิสดารกว้างขวาง  และมีการโต้แย้งมติในระหว่างคณาจารย์ด้วยกัน  ละเอียดซับซ้อนออกไปเรื่อยๆ  จึงเป็นการยากแก่นักศึกษาที่มีเวลาจำกัดในการซึมซาบพระอภิธรรมได้  ฉะนั้น  จึงมีคณาจารย์ที่เล็งเห็นความลำบากในเรื่องนี้  ได้เก็บเอาสารรัตถะสำคัญแห่งพระอภิธรรมปิฎกออกมาเรียบเรียงใหม่ให้ย่นย่อ  เพื่อเป็นอุปกรณ์พาให้นักศึกษาเข้าถึงปิฎกนี้โดยง่าย  คัมภีร์ประเภทนี้มักแต่งด้วยคาถาอันไพเราะ สะดวกแก่การท่องจำ  และมีคำอธิบายอรรถกถากำกับด้วยเป็นร้อยแก้ว  บางทีก็รจนาเป็นความเรียงอธิบายพระพุทธพจน์บทใดบทหนึ่ง   ในนิกายเถรวาท  คัมภีร์ประเภทนี้มีชื่อโด่งดังมาก  เห็นจะเป็น  “วิสุทธิมัคค์ปกรณพิเศษ”  ของพระพุทธโฆษะ  “อภิธัมมาวตาร”  ของพระพุทธทัตตะ  และ  “อภิธัมมัตถสังคหะ”  ของพระอนุรุธาจารย์   ในฝ่ายนิกายสรวาสติวาทก็มี  “สังยุตตาภิธรรมหฤทัย”  ของพระธรรมตร  “อภิธรรมโกศะ”  ของพระวสุพันธุ  เป็นต้น ต่อมานักศึกษาปกรณ์เหล่านี้  ยังเห็นว่าบางตอนท่านกล่าวไว้รวบรัด  ยากที่จะเข้าใจ  จึงเกิดมีคันถรจนาจารย์อีกพวกหนึ่ง  แต่งขยายอรรถที่ลี้ลับในปกรณ์ดังกล่าวออกมาอีก --->>>   พระอภิธรรมมีลักษณะพิเศษ  ประกอบด้วยทฤษฎี  และกฎเกณฑ์ทางสภาวธรรมอย่างพิสดารเป็นวิทยาศาสตร์ทั้งด้านนามและด้านรูป  และเป็นอภิปรัชญา  ซึ่งไม่มีในคัมภีร์ของศาสนาอื่นใด  ฉะนั้นอภิธรรมจึงต้องศึกษาด้วยการถ่ายทอดทำความเข้าใจเป็นพิเศษจากอาจารย์  ก็ผู้ที่จำทรงในพระอภิธรรมปิฎกได้  ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า  ผู้นั้นจะไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ  จักทวีศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น  เป็นโชคดีของวงการปริยัติศึกษาของเรา  ได้สนใจเล่าเรียนพระอภิธรรมแพร่หลาย  จึงนับเป็นลาภอันประเสริฐต่อพุทธบริษัทผู้ใคร่ในการศึกษาทั้งหลายโดยแท้ ************************************************************************** ข้อมูลจาก  หนังสือ  คดีธรรม-คดีโลก :  เสถียร  โพธินันทะ จากคุณ : สมถะ เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 18:48:28

ความคิดเห็นที่ 41 เสนอจขกทสั้นๆ  ( เป็นความเห็นส่วนตัว  ไม่ได้ยืนยันว่าจริง  แต่ให้เหตุผลมาให้คิด ) "ตามที่ว่าว่ากันนั้น เทวดา ที่เทวโลก ได้ฟัง อภิธรรม เป็นที่มาของอภิธรรมปิฎก (นับได้ ๗ คัมภีร์นั้น) อภิธรรม"   ถ้าเรื่องนี้จริงนะครับ  ก็สมควรจะเอาไปทิ้งทะเล  ทั้งหมดนะแหละครับ  ด้วยเหตุผลที่ว่า 1. ถ้าจริง  มันก็เป็นธรรมของเทวดา   มันไม่เกี่ยวกับมนุษย์  ขนาดพระพุทธเจ้ายังไปสอนเทวดา  ไม่เอามาสอนมนุษย์เลย  แล้วมนุษย์จะไปเอามาทำไม  ยิ่งไปเอามาก็  ยิ่งหลงตัวเอง  เข้าไปใหญ่   ยิ่งมนุษย์ไปศึกษา  ก็ยิ่งนึกว่าตัวเองเป็นเทวดา   ห่างไกลจาก ธรรม  คือ ความธรรมดา   2. ถ้าไม่จริง ถ้าอภิธรรมปิฎก  เป็นสิ่งที่แต่งขึ้นภายหลัง  แบบนั้นก็ไม่ควรเอาไปทิ้งทะเล  ( เพราะมันจะลอยขึ้นมาได้ ) ควรจะเอาไปฝังดิน เพราะถ้าแบบนั้นก็เป็นไปได้ว่า  ธรรมมะที่่พยายามไปโยง  กับ  เทวดา  มีเหตุผลทางการเมืองน่าจะมาเกี่ยว  เพราะสมัยก่อนไทยเรา  ปกครองแบบ  สมมุติเทพ  คือ  การสมมุติว่าคนปกครองเป็นเทวดา  ฉะนั้นจึงเป็นไปได้อย่างยิ่ง   ที่จะมีการพยายามจะเอาเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับการเป็นเทวดา   ไปแทรกใน  ปิฎก เพื่อ  เป็นการยืนยันความเป็นสมมุติเทพ  เพื่อประโยชน์ในการปกครอง  ( ซึ่งเรื่องนี้ในจีนก็มี  เรื่อง  เง็กเซียนฮ้องเต้  )        ฉะนั้นถ้า  จขกท จะเถียงคุณเซน   ถ้าพูดกันแต่ความเชื่อยังไงก็ไม่จบ  แต่ถ้าพูดกันด้วยเหตุผล   และต้องการพิสูจณ์   จขกทควรจะทำดังนี้     1. นำ เทวดาสมัยนั้นมาสักองค์  มายืนยันว่าเรื่องที่ขึ้นไปแสดงธรรม  บนสวรรค์จริง     2. ถ้าคิดว่า  อภิธรรมปิฎก  สำคัญกับ  มนุษย์  ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านเอาไปเทศสอนเทวดา  ก็ลองแสดงให้ดูหน่อยว่าเกิด  ประโยชน์กับมนุษย์ยังไง  ไม่ใช่  ได้แต่พูดว่า   ต้องไปศึกษาแล้วจะรู้เอง  ต้องศึกษาสัก 7 ปีแล้วจะรู้ ( ถ้าบอกแบบนี้   ลัทธิไหนก็พูดได้  ใครเชื่อ  เทพเจ้าของผม  สัก 7 ปี แล้วจะรู้เอง ซึ่งไม่ใช่  สิ่งที่ศิษตถาคตจะกล่าว ) ก็ลองสะกดจิตตัวเองสัก 7 ปี จากใบพูด่างก็เป็นเทวดาได้ จากคุณ : โยนกระเบื้องล่อหยก เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 18:57:53

ความคิดเห็นที่ 42 คุณหยกเอาภาพถ่าย electron กับ sub particle แล้วจะทำไก่จ่ากธาตุเหล็ก แคลเซียม etc เอามาให้ผมดูได้เมื่อไหร่ ผมพาเทวดามาให้ดูได้เมื่อนั้นครับ โอเคมั้ยครับ แต่ผมยอมรับคุณหยกอย่างนึงครับ คือเป็นลูกผู้ชาย คิดอย่างไรก็พุดอย่างนั้น ศิษย์พี่คุณ รำไปรำมา แค่จะแสดงความเห็นชัดๆว่าในใจคิดยังไงยังไม่กล้า เด็กป 3 มันก็แยกออกครับ อะไรเป็นรูปแบบคำพูด อะไรเป็นตำราล้วนๆไม่มีรูปแบบคำพูด ลองให้เด็กมันเอามานะมานี มาเทียบกับ วิชาเลข สิครับ กล้าๆหน่อยครับ เลียนแบบศิษย์น้องหน่อย กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก ใช่ว่าผมจะมีข้อมูลอะไรมากซักแค่ไหน ผมก็ copy and paste ทั้งนั้น 555 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 55 01:22:42 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 55 20:22:40 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 55 20:16:07 จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 20:15:43

ความคิดเห็นที่ 43 ผมไม่อยากเชื่อว่า ท่านเสถียรพงษ์ วรรณปก จะทำให้คุณเซนฯ เชื่อ และขาดการพิจารณามาเป็นสิบปี ้ถ้าวันนั้น คุณไม่ได้หยิบหนังสือเล่มนั้นมา คุณจะเห็นพระปัญญาของพระพุทธศาสดาได้มากกว่านี้ แต่คุณเชื่อข้อความในหนังสือเล่มนั้น ทั้งที่เขา้ไ่ม่ใช่อาจารย์ของคุณ ไม่ใช่องค์พระศาสดา จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 20:57:27

ความคิดเห็นที่ 44 อนุโมทนาท่าน สมถะครับ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 21:00:22

ความคิดเห็นที่ 45 เยี่ยมครับพี่สมถะ จริงแล้วมันมีหลักคิดที่ commonsense กว่าท่านนักวิชาการเหล่านั้นเยอะ เมื่อเทียบพระอภิธรรมกับพระสูตรแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าพระอภิธรรมมีความลึกซึ้งกว้างขวาง ถือได้ว่าเป็นอภิปรัชญา เป็นสุดยอดการสรุปประมวลคำสอนระดับสมมุติบัญญัติขึ้นมาสู่ธรรมะระดับปรมัตถ์ คำสอนแบบนี้ในทั่วทั้งจักรวาลนี้ นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครมีปัญญาสอนออกมาได้หรอกครับ การไม่พิจารณาคำสอนภายในแต่ไปให้ความสำคัญกับเรื่องไร้สาระเช่น ข้าพเจ้าได้สดับ กับ พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสไว้ว่า หรือ ในพระสูตรกล่าวถึงแต่ธรรมและวินัย ไม่ได้กล่าวถึงอภิธรรม เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี เพราะในพระสูตร พระอานนท์ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาค ย่อมบอกข้าพเจ้าได้สดับ แต่พระอภิธรรม พระอานนท์ ได้ฟังจากพระสารีบุตรซึ่งฟังจากพระพุทธเจ้าอีกที ย่อมกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสไว้ว่า commonsense จะตาย เหมือนกระทู้ของคุณโคขุนที่เถียงกันแทบตายว่า ศาสนาพุทธมาจากอารยธรรมฮาโมนิกา ปารับป้า อะไรซักอย่าง โดยยกหลักฐานที่เป็นรูปธรรมจักรบ้างอะไรบ้างมา ทั้งๆที่หลักฐานง่ายสุดคือ ถ้าฮาโมนิก้ามันสอนได้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะเสียเวลาทรมานตัวเองตั้ง 6 ปีทำไม เหมือนเรื่องรูปแบบไม่ใช่รูปแบบพุทธวจนะเหมือนกัน ไม่ต้องออกมาพูดใครๆก็รู้ ไม่ต้องพุทธทาสหรือสเถียรพงษ์ หรือสเถียรโพธินันทะหรอก เด็กป3 อ่านภาษาไทยออกมันยังรู้เลย วิชาสังคม วิชาภาษาไทย วิชาภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์ เลข วิทย์ แต่ละวิชาก็ใช้ท่วงทำนองภาษาในการอธิบายที่เหมาะสมและต่างกันออกไป เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมปราชญ์เหล่านั้นจะคิดกันไม่ออก แค่จริงๆเจตนาจะสื่ออีกอย่าง แต่ไม่กล้าพอ เหมือนคุณเซนนั่นก็เหมือนกัน เจตนาจริงๆน่ะอีกอย่าง แต่ไม่กล้่ารับ เลยต้องทำรำมวย ไปมา พอบอกไม่ต้องรำมาก รำคาญ ตอบๆมาให้จบจะได้เริ่ม ก็หายไปเลย จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 21:27:06

ความคิดเห็นที่ 46 สำหรับ ยุวพุทธอื่น ที่ไม่ใช่ จขกท พระอภิธรรมปิฎก "ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ" หมายความว่า? พิจารณา ตาม ข้อความต่อไปนี้  (สอดคล้องกับ ข้อความตามภาพที่ผมอ้าง) (๑) ปฐมสังคายนา ก่อน พ.ศ. 1  -- ยังไม่มี พระไตรปิฎก 45 เล่ม เช่นสมัยนี้ --- ใช่ไหม? (๒) พระสูตร  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา มุขปาฐะไว้ คือ "ธรรม (พระสุตตันตะ) วินัย (ปิฎก)" --- ใช่ไหม? (๓) พระเถระครั้งปฐมสังคายนา ไม่ได้ มุขปาฐะ  ไว้ ใน  "ที ม สํ อํ ขุ" ---ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย --- กุศลา ธัมมา  อกุศลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา ฯ --- ใช่ไหม? (๔) ใครหา พระพุทธภาษิตใน พระสุตตันตะปิฎก (๕ อาคม คือ ที  มะ  สํ อํ ขุ) -- หนึ่งใน พระไตรปิฎก45 เล่ม เช่นสมัยนี้  ---- ช่วย เสนอด้วย (๕) คำว่า --- กุศลา ธัมมา  อกุศลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา ฯ ตามที่ปรากฎใน พระอภิธรรมปิฎก --- ใครว่า  "อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ" เฉกเช่น ที่ตรัสไว้ในพระสุตตันปิฎก เช่น --- ดูก่อนิกษุทั้งหลาย ฯลฯ-- วิญญาณํ  โหติ ตทุปาทานํ--- สรุป ที่ผมเสนอ ๕ ข้อ -- อ่านง่าย รู้เรื่อง มีหลักฐาน สอดคล้องกับ "ข้อความที่" "เสฐียรพงษ์ วรรณปก" ถวายความรู้แก่พระนิสิตมหาจุฬาฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙   -- ใช่หรือไม่  (ไม่ใช่คำถามนะครับ) ยุวพุทธ กำหนดได้ เองไหมว่า คำว่า "พระอภิธรรมปิฎก ไม่อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ" --- มี ความหมาย อย่างไร? ตาม ที่ผม เสนอไว้ เป็น กรณีศึกษา *************************************************** หมายเหตุ ๑ "cantona_z" จะ  หักล้าง ด้วย หลักฐาน อะไรว่า (๑) ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ตามปัญญาของ "cantona_z" (๒) ถ้า "cantona_z" หักล้าง  ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ก็ เท่ากับ  หักล้าง ข้อความว่า "พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" -- (ผมพิมพ์ ตก คำว่า --ไม่--- ) อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ เฉกเฃ่น พระสูตร พระวินัย  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา รออ่าน ข้างบน และหวังว่า จะ ได้อ่าน ---- ตรงตาม ที่ เสนอไว้ จะเข้ามาอ่าน ถ้า "cantona_z" เสนอ ไม่ ตรงกับ (๑) (๒) -- ก็จะ ยุติ การเข้ามา อ่าน จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 21:59:29

ความคิดเห็นที่ 47 A brave man once requested me to answer questions that are key is it to be or not to be and I replied 'oh why ask me?' จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 22:15:09

ความคิดเห็นที่ 48 คุณเซน สรุปว่ายังไหว้ครู ติดชึ่งยังไม่เสร็จใช่มั้ยครับ ผมจะได้ไปนอนก่อน ผมขี้เกียจรอ รำมวยเสร็จปี่พาทย์ลงหลังเวทีเมื่อไหร่ หลังไมค์ไปบอกแล้วกันนะครับ จริงๆสายค่ายธารน้ำไหลนี้ท่ามวยเยอะ รำนานกันทุกคนเลยนะครับ คุณรถนั่นก็อีกคน รำซะล่อไปหลายกระทู้ เกือบสองพันความเห็นได้มั้ง จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 22:51:49

ความคิดเห็นที่ 49 ส่วนจะหาทางลงว่าถ้าผมตอบไม่ตรงคำถามคุณเซนหรือไม่ ก็ตามสะดวกนะครับ ผมก็ไม่ได้จะคาดคั้นเอาให้ตายอย่างไร ไม่กล้าตอบก็ไม่กล้าตอบ จะหาทางลงอย่างไรก็ตามสะดวก ผมไม่ว่าอะไร แค่อย่าเสนอความเห็นกำกวมให้เด็กไม่รู้เรื่องมันอ่านแล้วตีความได้ว่า พระอภิธรรมไม่ใช่ธรรมะโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่ประทาให้แก่พระสาวก แค่นี้ผมก็โอเค กระทู้นี้ผมก็จะทำลืมๆไป ไม่ยกมาพูดถึงให้เจ็บช้ำน้ำใจซะปล่าวๆ ส่วนไทยมุงก็ม้วนเสื่อหอบหมอนกลับบ้านกันได้ นักมวยไม่ยอมชกก็อดดูกันไป ถั่วต้ม กล้วยทอด อย่าลืมเก็บไปด้วยนะครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 23:11:20

ความคิดเห็นที่ 50 อ่าน คคห 48 + 49 ไม่ตรงกับ ที่ผม เสนอว่า "cantona_z" จะ  หักล้าง ด้วย หลักฐาน อะไรว่า (๑) ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ตามปัญญาของ "cantona_z" (๒) ถ้า "cantona_z" หักล้าง  ข้อความในหนังสือ  ที่ผมอ้าง --- ไม่ถูกต้อง" ก็ เท่ากับ  หักล้าง ข้อความว่า "พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์" -- (ผมพิมพ์ ตก คำว่า --ไม่--- ) อยู่ในรูปเป็นพระพุทธวจนะ เฉกเฃ่น พระสูตร พระวินัย  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา เป็นอันว่า ---- "ยุติ การเข้ามา อ่าน" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 23:19:11

ความคิดเห็นที่ 51 "พระอภิธรรม ธรรมจากชั้นสาวก" "ศาสนาพุทธมาจากอารยธรรมฮาโมนิกา ปารับป้า ปาปริก้าาา.." ^^^ จินตนาการเอาเองทั้งนั้นแหละ ข้อมูลหลักฐานไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 23:47:30

ความคิดเห็นที่ 52 คุณเซน ตามสะดวกครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 23:50:25

ความคิดเห็นที่ 53 สาเหตุมาจากคำว่า "และ" นั่นเอง จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 00:06:30

ความคิดเห็นที่ 54 ก๊าก คุณนิแรนนี่แสบจริงๆ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 00:51:59

ความคิดเห็นที่ 55 ขออนุญาต #39 คุณสมถะ   --->>>  วิวาทะเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมาก  ยกมาเป็นตัวอย่างสองทรรศนะ  สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นใครพูดก็ตาม  ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ตะวันตกหรือตะวันออก  ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน  ต่างก็ลงรอยกันในประเด็นสรุปข้างท้ายนี้  คือ ๑. ที่พูดว่าอภิธรรมปิฎกมิใช่พุทธพจน์ทั้งหมด  หรือใช่พุทธพจน์เฉพาะบทมาติกาก็ดี  พระอภิธรรมไม่อยู่ในรูปพุทธพจน์ก็ดี  ผู้พูดมิได้ปฏิเสธว่าพระอภิธรรมปิฎกมิใช่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า  เพียงแค่ต้องการบอกว่าอภิธรรมปิฎก  เป็นเรื่องที่  "แต่งเพิ่มเข้ามาภายหลัง" <<ผมว่า>> ถ้าเปลี่ยน "แต่งเพิ่มเข้ามาภายหลัง" (ซึ่งทำให้เข้าใจว่าสาวกแต่งเอง) เป็น "เรียบเรียงขึ้นภายหลัง" (จากพุทธพจน์ หรือพุทธวจนะ) น่าจะลดข้อถกเถียงหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนถึงที่มาได้มาก จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 09:16:54

ความคิดเห็นที่ 56 เห็นด้วยกับ คห. คุณสมถะ ถ้าปัญหามันจบแค่นั้น ผมเชื่อว่า คุณ จขกท cantona_z คงไม่ต้องเสียเวลามาตั้งกระทู้ในลักษณะนี้ แต่ปัญหาอยู่ว่าในกลุ่มคนที่ปฏิเสธพระอภิธรรมปิฏก คนเหล่านั้นปฏิเสธหลักคำสอนในพระอภิธรรมไปด้วย เท่ากับปฏิเสธหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ซ้ำยังกล่าวปรามาสด้วยคำกล่าวไม่สมควร เช่น ควรนำพระอภิธรรมปิฏกไปโยนลงทะเล หรือ สมควรเอาไปฝั่งลงดิน เป็นต้น แถมคนที่กล่าวถ้อยคำทำนองนี้ กลับเป็นคนที่อ่านเนื้อความในส่วนของพระสูตรไม่รู้เรื่องอีกด้วย อ่านจากน้ำเป็นไฟ อ่านจากมืดเป็นสว่าง ตีความผิดๆ เข้าใจผิดๆ จากความเป็นจริงไปไกล (มาก) แสดงให้เห็นว่า แม้พระสูตร ตนเองก็ยังไม่เคยศึกษาจริงๆ จังๆ หรืออาจไม่ได้ศึกษามาก่อนเลย แต่กลับกล่าวปรามาสพระอภิธรรม ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เหมือนคนไม่รู้จัก บาป-บุญ คุณ-โทษ .. ไม่มีความละอายใจในคำพูดตนเอง ไม่มีความเคารพในพระรัตนตรัย =============================================== พระอัสสชิเถระแสดงธรรม ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แก่สารีบุตรปริพาชก ว่าดังนี้:- "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรม เหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ ทรงสั่งสอนอย่างนี้." จากคำกล่าวของท่านพระอัสสชิเถระ สอดคล้องกับพระอภิธรรมดังนี้ 1. ในปัฏฐานคัมภีร์ ของพระอภิธรรมปิฏก ว่าด้วยปัจจัย 24 ท่านก็ได้แสดงเหตุปัจจัยเอาไว้อย่างครบถ้วน 2. ตลอดจนหลักธรรมของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นกระบวนการของรูปนาม ที่ดำเนินไป เกิดดับโดยอาศัยเหตุปัจจัยและเงื่อนไข 3. ส่วนปัฏฐานคัมภีร์ เป็นตำราที่พระพุทธองค์แสดงให้เห็นกระบวนการของรูปนามที่ดำเนินไปนั้น ให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง ดังนั้น สรุปคือ หลักธรรมในพระอภิธรรมปิฏก ไม่มีส่วนไหนเลย ที่ขัดกับส่วน พระสูตร พระวินัย .. อีกทั้งเนื้อหายังล้อไปกับส่วนของ พระสูตร พระวินัย อีกด้วย ย้ำอีกครั้งนะครับ "พระพุทธเจ้าทรงมีปกติสั่งสอนแบบนี้ และที่สอนมากที่สุดคือ เรื่องขันธ์ห้า .. เนื้อหาโดยละเอียดก็คือส่วนของพระอภิธรรมปิฏกนั่นเอง" =============================================== สำหรับใครที่กล่าวว่า พระธรรมไม่เสื่อม แต่คนศึกษานั่นแหละเสื่อม การพูดเช่นนี้ ย่อมเป็นการพูดขัดกับ ความเป็นจริง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘             สังยุตตนิกาย นิทานวรรค             สัทธรรมปฏิรูปกสูตร (ยกมาบางส่วน)             [๕๓๓] ดูกรกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษ ในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือน เรือจะอัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น พระสัทธรรมยังไม่เลือนหายไป ด้วยประการฉะนี้ ฯ             [๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรง ในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ ๑             เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ จากพระสูตรข้างต้น กล่าวโดยสรุปคือ การที่คำสอนพระพุทธเจ้าจะตั้งอยู่ได้นาน หรือ จะล่มสลายเร็วขึ้น ขึ้นกับเหตุปัจจัยอะไรบ้าง .. มีทั้งหมด 4-5 ประการครับ หนึ่งในนั้นคือ "โมฆะบุรุษ ที่ไม่เคารพพระธรรม และนำคำสอนพระพุทธเจ้าไปสอนผิดๆ ให้คนอื่น เชื่อตาม" =============================================== ผมจึงไม่แปลกใจว่า ถ้าหากส่วนที่จะหายไปก่อนอันดับแรก คงไม่พ้นส่วนของพระอภิธรรม โดยเฉพาะส่วนของปัฏฐานคัมภีร์ ดังปรากฏเนื้อความใน อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค พหุธาตุกสูตร หน้าต่างที่   ๒ / ๒. (ยกมาบางส่วน) อันตรธาน ๓                             เพราะชื่อว่า อันตรธานมี ๓ อย่าง คือ 1. ปริยัติอันตรธาน 2. ปฏิเวธอันตรธาน 3. ปฏิบัติอันตรธาน. ในอันตรธาน ๓ นั้น - ปิฏก ๓ ชื่อว่าปริยัติ. - การแทงตลอดสัจจะ ชื่อว่า ปฏิเวธ. - ปฏิปทา (เครื่องดำเนิน) ชื่อว่า ปฏิบัติ.               ใน ๓ อย่างนั้น ปฏิเวธและปฏิบัติมีบ้าง ไม่มีบ้าง. เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ทรงปฏิเวธ ย่อมมีมากในกาลครั้งเดียว เป็นอันชี้นิ้วแสดงได้ชัดเจนว่า ภิกษุนี้เป็นปุถุชน. ขึ้นชื่อว่า ภิกษุผู้เป็นปุถุชน ไม่ใช่จะมีได้ครั้งเดียวในทวีปนี้เท่านั้น. แม้ผู้บำเพ็ญการปฏิบัติทั้งหลาย บางคราวมีมาก บางคราวก็มีน้อย. "ด้วยเหตุนี้ ปฏิเวธและปฏิบัติจึงชื่อว่ามีบ้าง ไม่มีบ้าง. แต่ว่าปริยัติ (ถือว่า) เป็นสำคัญของการดำรงอยู่แห่งพระศาสนา."               อธิบายปริยัติอันตรธาน               "ก็เมื่อใดปริยัตินั้นอันตรธานหายไป เมื่อนั้นพระอภิธรรมจักเสื่อมก่อน. ในพระอภิธรรมนั้น คัมภีร์ปัฏฐานจะอันตรธานก่อนกว่าทุกคัมภีร์." =============================================== ทราบเนื้อความ ตั้งแต่ต้น จนที่มา-ที่ไป กันแบบนี้แล้ว หากเรายังไม่เคารพพระธรรมกันแบบนี้ ยังกล่าวปรามาสหลักคำสอนพระพุทธเจ้า ให้ดูไร้ค่า ดูด้อยค่า และไม่ช่วยกันรักษาพระธรรมไว้ เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา บุคคลนั้นก็ชื่อว่า "โมฆะบุรุษ" ตามความหมายของพระพุทธเจ้า ดังที่แสดงไว้แก่พระมหากัสสปะเถระ ครั้นสมัยพุทธกาล ตามสัทธรรมปฏิรูปกสูตร (โดยมีใจความว่า "การที่พระธรรมจะเลือนหายไป ไม่ใช่เหตุเพราะ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่เพราะ โมฆะบุรุษ ที่ไม่เคารพในพระรัตนตรัย และนำคำสอนพระพุทธเจ้าไปสอนผิดๆ ให้คนอื่น เชื่อตาม") ทราบเรื่องราวแบบนี้แล้ว เหตุใดจะยังเสียเวลาเป็น "โมฆะบุรุษ" กันอยู่? แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 14:56:52 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 14:55:37 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 14:43:41 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 14:41:46

ความคิดเห็นที่ 57 พระอภิธรรม  ไม่อยู่ในรูป  บทสนทนา แต่อยู่ในรูป การบรรยายทางวิชาการ ไม่ใช่ปัญหา ว่าใครเขียน   เพราะข้างในคือธรรมะ ขององค์พระศาสดา แต่คำของพระศาสดา จากพระโอษฐ์   ไพเราะจับใจที่สุด   (  สำหรับเฉพาะ ผู้ที่เข้าถึงได้ ) จากคุณ : สาวกพระพุทธองค์ (กระบี่นางฟ้า)     เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 16:22:22     มีบางสำนัก ไม่เชื่อฟังคำสอนแท้ ๆ  จากพระโอษฐ์ เพราะเห็นเป็นเรื่องล้าสมัย สาวกที่ไม่มีความจริงใจมีมากมายจริงๆครับ ถ้าไม่รักษาคำจากพระโอษฐ์เอาไว้ พระพุทธศาสนา   ไม่เหลือถึงลูกหลานแน่ จากคุณ : สาวกพระพุทธองค์ (กระบี่นางฟ้า) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 15:10:05

ความคิดเห็นที่ 58 ขอนุยาด เพิ่มเติม คห. คุณกระบี่นางฟ้า นะครับ "ถ้าไม่รักษาคำจากพระโอษฐ์เอาไว้ พระพุทธศาสนา ไม่เหลือถึงลูกหลานแน่" เป็นเรื่องจริงครับ อย่างน้อยตอนนี้เลยกึ่งอายุพระพุทธศาสนามาแล้ว ยิ่งต้องช่วยกันรักษาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากในอนาคต จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 15:20:03

ความคิดเห็นที่ 59 อกุศลจิตดวงที่ ๑๑           [๓๕๔] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน           อกุศลจิต สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉา มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด ในสมัย นั้น สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย นาม เกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ เกิดเพราะนามเป็นปัจจัย ผัสสะเกิด เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย วิจิกิจฉาเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ภพเกิดเพราะวิจิกิจฉาเป็นปัจจัย ชาติเกิดเพราะภพ เป็นปัจจัย ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้ง มวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้           [๓๕๕] ในปัจจยาการเหล่านั้น อวิชชา เป็นไฉน           ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ อันใด นี้เรียกว่า อวิชชา ฯลฯ           เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เป็นไฉน           ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย           วิจิกิจฉาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย เป็นไฉน           การเคลือบแคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ความคิด เห็นไปต่างๆ นานา ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้ ความเห็นสองแง่ ความเห็น เหมือนทางสองแพร่ง ความสงสัย ความไม่สามารถจะถือเอาโดยส่วนเดียวได้ ความคิดส่ายไป ความคิดพร่าไป ความไม่สามารถจะหยั่งลงถือเอาเป็นยุติได้ ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ อันใด นี้เรียกว่า วิจิกิจฉาเกิดเพราะเวทนา เป็นปัจจัย           ภพเกิดเพราะวิจิกิจฉาเป็นปัจจัย เป็นไฉน           เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เว้นวิจิกิจฉา นี้ เรียกว่า ภพเกิดเพราะวิจิกิจฉาเป็นปัจจัย ฯลฯ           ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย ประการอย่างนี้ ฯลฯ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 16:52:47

ความคิดเห็นที่ 60 อกุศลจิตดวงที่ ๑๒           [๓๕๖] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน           อกุศลจิต สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยอุทธัจจะ มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด ในสมัย นั้น สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย นาม เกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ เกิดเพราะนามเป็นปัจจัย ผัสสะเกิด เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย อุทธัจจะเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย อธิโมกข์เกิดเพราะอุทธัจจะเป็นปัจจัย ภพเกิดเพราะ อธิโมกข์เป็นปัจจัย ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็น ปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้           [๓๕๗] ในปัจจยาการเหล่านั้น อวิชชา เป็นไฉน           ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือ โมหะ อันใด นี้เรียกว่า อวิชชา ฯลฯ           เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เป็นไฉน           ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย           อุทธัจจะเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย เป็นไฉน           ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุ่นวายใจ ความพล่าน แห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย           อธิโมกข์เกิดเพราะอุทธัจจะเป็นปัจจัย เป็นไฉน           การตัดสินใจ กิริยาที่ตัดสินใจ ความตัดสินใจในอารมณ์นั้น อันใด นี้เรียกว่า อธิโมกข์เกิดเพราะอุทธัจจะเป็นปัจจัย           ภพเกิดเพราะอธิโมกข์เป็นปัจจัย เป็นไฉน           เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เว้นอธิโมกข์ นี้เรียกว่า ภพเกิดเพราะอธิโมกข์เป็นปัจจัย ฯลฯ           ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ฯลฯ อกุศลนิเทส จบ           เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕  บรรทัดที่ ๔๑๐๘ - ๕๐๑๕.  หน้าที่  ๑๗๗ - ๒๑๕. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=4108&Z=5015&pagebreak=0           สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๓๕ http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_35 จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 16:59:36

ความคิดเห็นที่ 61 ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ฯลฯ อกุศลนิเทส จบ จากคุณ : สาธุ... (กระบี่นางฟ้า) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 17:00:17

ความคิดเห็นที่ 62 มันดันตลกตรงที่หนึ่งภิกษุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ กับอีกหนึ่งวัดที่มีผู้ศรัทธามากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศเรา ต่างมีส่วนร่วมในการบ่อนทำลายพุทธศาสนาจากภายในทั้งคู่ มันแสดงให้เห็นเลยว่า วิธีคิดของคนเราในการเลือกอาจารย์หรือคำสอนต่างๆมีปัญหาจริงๆ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 23:06:12 จากคุณ : cantona_z (cantona_z) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 17:01:00

ความคิดเห็นที่ 63 อันอริยสาวก นั้นย่อมละได้ อริยสาวกนั้นมีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุมไม่ได้ อันวิจิกิจฉาครอบงำไม่ได้อยู่ และ เมื่อวิจิกิจฉาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง วิจิกิจฉาพร้อม ทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้. จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 17:09:41

ความคิดเห็นที่ 64 ทำไมพวกคุณไม่ยอมเรียนพระอภิธรรมปิฏกครับ ผมนับถือ พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม เท่าชีวิต จากคุณ : สาวกพระพุทธเจ้า (กระบี่นางฟ้า) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 17:11:57

ความคิดเห็นที่ 65 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 55 01:23:55 แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 23:05:23 จากคุณ : cantona_z (cantona_z) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 17:35:36

ความคิดเห็นที่ 66 ตกลงพวกคุณปฏิบัติธรรม ไม่ได้หวังพระนิพพาน ไม่เรียน พระวินัย พระสูตร           พระอภิธรรม เพียงแต่หวังเกิดอีกไปเรื่อยๆ     หลงอยู่ในอวิชชา เพื่อความสุขจอมปลอมหรือครับ   สาวกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ย่อมปฏิบัติธรรมเพื่อความไม่เกิดอีกต่อไป เพื่อพระนิพพานครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 20:50:36 จากคุณ : สาวกพระพุทธองค์ (กระบี่นางฟ้า) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 17:59:08

ความคิดเห็นที่ 67 กรรมของสัตว์   ถ้าเรายังมีสัมมาทิฏฐิอยู่  ก็ให้กรุณาเขา เพราะเขาจะยังเสียชาติเกิด(ใหม่)อยู่ จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 19:11:33

ความคิดเห็นที่ 68 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔  พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑ ธรรมสังคณีปกรณ์ อุปาทานโคจฉกะ             [๙๕๖] อุปาทานธรรม เป็นไฉน?             อุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน.             กามุปาทาน บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง             ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน บังเกิดในจิตตุปบาท ที่สัมปยุต ด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อุปาทานธรรม.             ธรรมที่ไม่เป็นอุปาทาน เป็นไฉน?             อกุศลที่เหลือ เว้นอุปาทานทั้งหลายเสีย กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยา- *กฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ไม่เป็นอุปาทาน.             [๙๕๗] ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?             กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน.             ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน.             [๙๕๘] ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน เป็นไฉน?             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะสัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะ วิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง เว้นโลภะที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน.             ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน เป็นไฉน?             โลภะซึ่งเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคต ด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา จิตตุปบาทที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน.             [๙๕๙] ธรรมเป็นอุปาทาน และเป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?             อุปาทานธรรมเหล่านั้นแล ชื่อว่าธรรมเป็นอุปาทาน และเป็นอารมณ์ของอุปาทาน.             ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทาน เป็นไฉน             อกุศลที่เหลือ เว้นอุปาทานทั้งหลายเสีย กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤต ในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน แต่ไม่เป็น อุปาทาน.             ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน จะกล่าวว่า ธรรมเป็นอุปาทาน และเป็นอารมณ์ของ อุปาทานก็ไม่ได้ ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทานก็ไม่ได้.             [๙๖๐] ธรรมเป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน เป็นไฉน?             ทิฏฐิและโลภะ บังเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็น อุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน.             ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทาน เป็นไฉน?             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง เว้นอุปาทานทั้งหลายที่บังเกิดในจิตตุปบาท เหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทาน.             ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน จะกล่าวว่า ธรรมเป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน ก็ไม่ได้ ว่าธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทานก็ไม่ได้.             [๙๖๑] ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?             โลภะที่บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่ สหรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา จิตตุปบาทที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน.             ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม วิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน.             ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน จะกล่าวว่า ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน แต่เป็นอารมณ์ของ อุปาทานก็ไม่ได้ ว่าธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็ไม่ได้. อุปาทานโคจฉกะ จบ -----------------------------------------------------             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔  บรรทัดที่ ๘๒๗๑ - ๘๓๒๒.  หน้าที่  ๓๒๙ - ๓๓๑. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v.php?B=34&A=8271&Z=8322&pagebreak=0             สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๓๔ http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_34 ทำไมพวกคุณไม่เรียน พระอภิธรรมปิฏกครับ   มีเหตุผลมั้ยครับ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 19:20:55

ความคิดเห็นที่ 69 จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 20:26:33

ความคิดเห็นที่ 70 ถามข้อเดียว  ถ้าอภิธรรม  เป็นการเอามาจาก  การเทศบนสวรรค์  ของพระพุทธเจ้า  แล้วใครจด  จดยังไง  ใช้อะไรจด  แล้วการ ปฐม สังคยนา ครั้งแรก 300 ปี ( รู้สึกว่าครั้งแรกจะไม่มีพระอภิธรรม ) หลังจากพระพุทธเจ้านิพพาน   แถม  อภิธรรม  เป็นการเทศ  บนสวรรค์ด้วย ( สุดท้ายไม่เคยมีใครตอบว่าดับทุกข์ยังไง  ถามมาหลายกระทู้มาก  แต่ละคนที่โพสน่าจะเกิน 7 ปี แล้วทั้งนั้น  แต่ไม่เคยตอบ )       แล้วที่ผมหวงก็คือ  เรื่องความเยอะ   มันทำให้หลง  แล้วก็มีให้หลง  ให้เห็นจริงๆ  จนคุณ Contra ถึงกับดูถูก  วิทยาศาสตร์ ซะแล้ว  หาว่าการไม่เชื่อ  พระอภิธรรม  เป็น การเดินตามตูด  วิทยาศาสตร์          อย่าไปทำอย่างนั้นดิครับ  ถึงคุณจะด้อยปัญญา  คุณ ก็อย่าไปพูดไปเขียน  ว่า วิทยาศาสตร์  กับ  พุทธศาสนาไปด้วยกันไม่ได้   ถ้าคุณสื่อความหมายอย่างนี้  แย่เลย บาปไม่บาปไม่รู้  แต่แย่เลย   เพราะ การศึกษา  ธรรมมะ  กับ วิทยาศาสตร์  มันคือเรื่องเดียวกัน  มันเป็นจุดเด่นของศาสนาพุทธ  คำว่า  พุทธ  แปลว่า ความรู้  แต่คุณมาเขียนมาพูด  ทำนองว่า   วิทยาศาสตร์  ไป  กับ ศาสนาพุทธไม่ได้  มันเสียหาย  มันเสียหายเยอะ มันยิ่งกว่า  "การพูดว่าเอาอภิธรรมไปทิ้งทะเล"       แล้วสิ่งที่ผมเตือน  ท่านพุทธทาสก็เตือน  มันก้เห็นผลชัดแจงแล้วว่า  ถ้าคนเราหลงไปกับความเยอะ  ศรัทธา  จน งมงาย  คนเราก็จะปฎิเสธทุกอย่าง  ที่มันขัดกับอีโก้ตัวเอง       ด้วยความหวังดี  คุร Contra  ถ้าศึกษา อภิธรรม  แล้ว ทำให้คุณ รังเกียจวิทยาศาสตร์  ความมีเหตุผล  ผมว่าคุณต้องเริ่มศึกษาใหม่  แม้จะเสียเวลา  แต่ไม่เสียของหรอกครับ  ขนาดพระพุทธเจ้าท่านหลง ทาง  ทรมานตัวเองมา 7 ปี ท่านยังว่างได้  กลับตัวกลับใจมาหาวิทยาศาสตร์   แต่ตัวคุณ  จะทิ้ง วิทยาศาสตร์ซะแล้ว  หวังดีจริงๆครับ จากคุณ : โยนกระเบื้องล่อหยก เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 01:21:22

ความคิดเห็นที่ 71 ตอบ ความคิดเห็นที่ 68 ที่ผมไม่เรียน  อภิธรรม  เพราะมันเยอะ  มันเกิน  มันหลงง่าย 1. เยอะด้วยเนื้อหา  รายละเอียด  มันเหมาะเป็น  พจนานุกรม  แต่ไม่ใช่หนังสือเรียน  ใครอยากรู้ความหมายไหนก็ไปเปิดดู 2. มันเกินในเนื้อหา  สรรค์ วิมาน  ซึ่งไม่น่าใส่เข้าไป 3. มันหลงง่าย  ด้วยความที่มันเยอะ  ถ้าเรียนไปด้วยใจหลง  มันจะทำให้คิดว่า  ถ้าเราเรียนความเยอะทั้งหมดนี้เราจะตรัสรู้  ทั้งที่ควมจริงเราตรัสรู้ได้  ด้วยความเข้าใจ  ไม่ใช่รู้เยอะ  จำตัวหนังสือได้เยอะ   ดังคำกล่าวที่ว่า       "แม้ธรรมข้อเดียวก็บรรลุได้  แล้วต้องไปเสียเวลากับความเยอะของอภิธรรม" จากคุณ : โยนกระเบื้องล่อหยก เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 08:03:41

ความคิดเห็นที่ 72 แล้วสิ่งที่ผมเตือน  ท่านพุทธทาสก็เตือน  มันก้เห็นผลชัดแจงแล้วว่า  ถ้าคนเราหลงไปกับความเยอะ  ศรัทธา  จน งมงาย  คนเราก็จะปฎิเสธทุกอย่าง  ที่มันขัดกับอีโก้ตัวเอง      ด้วยความหวังดี  คุร Contra  ถ้าศึกษา อภิธรรม  แล้ว ทำให้คุณ รังเกียจวิทยาศาสตร์  ความมีเหตุผล  ผมว่าคุณต้องเริ่มศึกษาใหม่  แม้จะเสียเวลา  แต่ไม่เสียของหรอกครับ  ขนาดพระพุทธเจ้าท่านหลง ทาง  ทรมานตัวเองมา 7 ปี ท่านยังว่างได้  กลับตัวกลับใจมาหาวิทยาศาสตร์   แต่ตัวคุณ  จะทิ้ง วิทยาศาสตร์ซะแล้ว  หวังดีจริงๆครับ --------------------- ผมว่าคุณหยกมีปัญหากับการอ่านจับใจความแล้วล่ะครับ ปัญหาใหญ่มากๆด้วย จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 14:53:34

ความคิดเห็นที่ 73 บุคคลใด หรือ กลุ่มบุคคลใดบอกว่า ข้อนี้พวกเขาได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเราไม่ควรชื่นชมไม่พึงคัดค้านคำกล่าวนั้น ครั้นแล้วควรฟังบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ ก็ถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และเขาเหล่านั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย หรือถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ จึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และเขาเหล่านั้นจำมาถูกต้องแล้ว พระไตรปิฎก เล่มที่ 10  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 2  ทีฆนิกาย มหาวรรค http://84000.org/tipitaka/read/?10/112-116 พระไตรปิฎก เล่มที่ 21  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 13 อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต http://84000.org/tipitaka/read/?21/180 ดังนั้น หากใครพบเห็นว่าข้อความใดในพระอภิธรรมปิฎกไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ควรยกข้อความนั้นมาแสดงให้เห็นว่าลงในพระสูตรไม่ได้ และหรือเทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ อย่างไร พิจารณากันเป็นข้อความ ๆ ไป ไม่ควรเถียงกันแบบไม่รู้จบครับ จากคุณ : nirota เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 17:02:44

ความคิดเห็นที่ 74 #71 "แม้ธรรมข้อเดียวก็บรรลุได้  แล้วต้องไปเสียเวลากับความเยอะของอภิธรรม" ^^^ พระพุทธเจ้ากล่าวกับองคุลีมาลย์ว่า "เราหยุดแล้วท่านยังไม่หยุด" เพียงเท่านี้ ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นแก่องคุลีมาลย์ ด้วยตรรกะเดียวกันกับความเห็นของคุณ พระธรรมวินัยทั้งหลายเอาไปทิ้งเสียให้หมด เพราะ 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นเยอะ คำสอนของพระพุทธศาสนา เหลือไว้เพียงคำสอนง่ายๆสั้นๆก็พอ เพราะแค่นี้ก็ดับทุกข์ได้แล้ว เอาอย่างนี้ดีไหมครับ . แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 55 21:45:20 จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 13:51:10

ความคิดเห็นที่ 75 #71 ต่อนะครับ ที่คุณบอกว่าพระอภิธรรมเยอะเกิน หลงง่าย นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของคุณ ก็แล้วแต่คุณ เป็นเรื่องของปัจเจก อย่างไรก็ตาม ขอให้คุณพิจารณาให้ดีว่า ที่คุณเห็นเป็นอย่างนั้นเป็นเพราะปัญหาของพระอภิธรรม หรือเป็นเพราะคุณปัญญาน้อย จึงไม่อาจเข้าถึงพระอภิธรรมได้ และแน่นอน สำหรับพุทธบริษัทจำนวนมาก พระอภิธรรมคือธรรมสูงสุดที่เป็นมรดกตกทอดมาจากพระศาสดาและพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเครื่องมือเข็มทิศชี้นำหนทางสู่พระนิพพาน ย่อมมีค่าหาเปรียบประมาณได้ เรื่องนรกสวรรค์ ที่คุณเห็นว่าเกิน ไม่ควรใส่เข้าไป อันนี้เป็นเพราะคุณไม่เข้าใจพระไตรปิฏก คุณศึกษาไม่รอบคอบ ทำนองฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ถ้าคุณศึกษาและปฏิบัติ จนมีความรู้ความเข้าใจพอสมควร คุณก็จะเข้าใจได้เองว่า ทำไม นรก สวรรค์ จึงมีอยู่่ในพระไตรปิฏก และที่สำคัญ อยากจะบอกให้รู้ว่า การรู้และเข้าใจในเรื่องนรกสวรรค์ ทำให้ดับทุกข์ได้ ถึงนิพพานได้ ซึ่งนิพพานในที่นี้คือนิพพานในแบบที่พระพุทธเจ้าสอน คือหมดสิ้นภพชาติ หลุดพ้นจากวัฎสงสาร จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 22:02:21

ความคิดเห็นที่ 76 และถ้าคุณ  โยนกระเบื้องล่อหยก ยังไม่เห็นคุณค่า ยังสงสัยในพระอภิธรรม วิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณรู้และเข้าใจ คือขอให้คุณปฏิบัติให้ถึง ฌาน เมื่อคุณพอจะเข้าใจเรื่องฌาน คุณจะเข้าใจพระอภิธรรม เมื่อคุณต้องการยกระดับจากสมถะ เป็นวิปัสสนา คุณจะเข้าใจพระอภิธรรม เมื่อคุณเจอปัญหาเรื่องวิปัสสนูกิเลส คุณจะเข้าใจพระอภิธรรม และเมื่อคุณ"พอจะ"มองเห็นเส้นทางสู่พระอริยะบุคคลขั้นแรกอย่างพระโสดาบัน คุณจะเห็นคุณค่าของพระอภิธรรม ถามคุณอีกครั้ง ตัวคุณเองปฏิบัติได้แค่ไหนแล้ว ถึงมีความเห็นต่อพระอภิธรรมในลักษณะนั้น . แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 22:51:26 จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 22:12:23

ความคิดเห็นที่ 77 เท่าที่สังเกตคุณ  โยนกระเบื้องล่อหยก ศึกษางานของท่านพุทธทาส ปฏิเสธ ไม่เห็นความสำคัญของพระอภิธรรม สนใจ อ้างอิง อ้างถึง วิทยาศาสตร์ เปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา เมื่อมีการอธิบาย ชี้แจง ก็ไม่มีประโยชน์ ลักษณะเช่นนี้ใกล้เคียงกับท่าน What am I นะนี่นะ.. แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 55 22:49:31 จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 22:36:23

ความคิดเห็นที่ 78 เข้ามากดถูกใจ คห. คุณทุกวินาทีครับ และอีกหลายๆ คห. เช่นคุณ น๊อตอันดู ไนโตล่า คันโตน่าอันเดอร์สกอร์ซี (จขกท) กระบี่นางฟ้า เรียลฟาย ชายเดียว สมถะ เป็นต้น และอื่นๆ .. แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 55 05:03:48 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 05:02:44