3. การร่วมมือ
อัลลอฮ์ ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีรอัลกุรอ่านไว้ดังนี้
บทที่ 3 โองการที 159 มีความว่า
"และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย ครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงรักใคร่ผู้มอบหมายทั้งหลาย" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 153)
บทที่ 4 โองการที่ 35 มีความว่า
"และหากพวกเจ้าหวั่นเกรงการแตกแยกระหว่างเขาทั้งสอง (สามี-ภรรยา)ก็จงส่งผู้ตัดสินคนหนึ่งจากครอบครัวของฝ่ายชาย และผู้ตัดสินอีกคนจากครอบครัวฝ่ายหญิง หากทั้งสองปรารถนาให้มีการประนีประนอมกันแล้ว อัลลอฮ์ ก็จะทรงให้ความสำเร็จในระหว่างทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้รอบรู้ทรงสัพพัญญู(รอบคอบ)" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 186-187)
ขณะที่ต่วน สุวรรณศาสน์( มบป,5 : 354)ได้ให้ความหมายว่า และถ้าพวกเจ้ารู้ว่าเกิดมีความไม่ลงรอยกันระหว่างทั้งสอง(สามี-ภรรยา)นั้นแล้วไซร้ ก็จงตั้งตัวแทนขึ้นคนหนึ่งจากฝ่ายชาย และอีกคนจากฝ่ายหญิงหากตัวแทนทั้งสอง ปรารถนาจะไกล่เกลี่ยกันแล้ว อัลลอฮ์ จะทรงกำหนดให้ทั้งสอง(สามี-ภรรยา)นั้นปรองดองกัน เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ คือองค์ผู้ทรงรู้ยิ่ง ทรงรู้แจ้ง
และอรุณ บุญชม (2529, 3 : 413) ได้ให้ความหมายว่า และถ้าหากพวกเจ้ากลัวจะเกิดแตกแยกระหว่างคนทั้งสอง (สามี-ภรรยา) ก็ให้พวกท่านตั้งอนุญาโตตุลาการคนหนึ่งจากครอบครัวของเขา (สามี) และอนุญาโตตุลาการจากครอบครัวของหล่อน (ภรรยา) ถ้าหากคนทั้งสอง(อนุญาโตตุลาการ)ปรารถนาจะไกล่เกลี่ย อัลลอฮ์ ก็จะแนะแนวทางให้คนทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้ทรงรอบคอบ
บทที่ 42 โองการที่ 38 มีความว่า
"และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขา" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 1252)
ดังนั้นการร่วมมือเป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม อิสลามสนับสนุนส่งเสริมอย่างยิ่งให้ใช้วิธีการนี้ในการแก้ไขความขัดแย้งในลำดับต้นๆ เพราะเป็นการแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตย ให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น ได้เสนอแนะ ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา การมีส่วนร่วมถือเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติงานร่วมกัน
4. การขออภัย- การให้อภัย
อัลลอฮ์ ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านไว้ดังนี้
บทที่ 3 โองการที่ 134 มีความว่า
" คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบาย และในยามเดือดร้อน และบรรดาผู้ข่มโทษะ และบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ และอัลลอฮ์ นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 142)
บทที่ 7 โองการที่ 199 มีความว่า
"เจ้า(มูฮัมมัด) จงยึดถือไว้ด้วยการอภัย และจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ(ความดี) และจงผินหลังให้แก่ผู้โฉดเขลา(ดื้อรั้นบนความชั่ว)ทั้งหลายเถิด" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 406)
บทที่ 15 โองการที่ 85 มีความว่า
"ดังนั้นเจ้าจงอภัยด้วยการอภัยที่ดี" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 624)
บทที่ 24 โองการที่ 22 มีความว่า
"และพวกเขาจงอภัย และยกโทษ(ให้แก่พวกเขาเถิด) พวกเจ้าจะไม่ชอบหรือที่อัลลอฮ์ จะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ " (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 851)
อรุณ บุญชม (มบป, 2:58) กล่าวว่า ศาสดามูฮัมมัด ได้ทรงกล่าวไว้ว่า ใครที่ทุจริต(ละเมิด) สิ่งใดมาจากพี่น้องของเขา ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศของเขา หรือสิ่งใดก็ตามเขาจะต้องขอคำยินยอม(ขออภัย ขอโทษ)จากพี่น้องของเขาตั้งแต่วันนี้(ยังมีชีวิตอยู่)ก่อนที่จะไม่มีเหรียญทองและเหรียญเงิน(ก่อนสิ้นชีวิตลง)
ดังนั้นการขออภัย - การให้อภัยเป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลาม อันแสดงถึงการรู้จักแยกแยะระหว่างความผิดกับความถูกต้องโดยผู้กระทำผิดเป็นฝ่ายขออภัยและขอโทษผู้ถูกกระทำเป็นฝ่ายให้อภัยและไม่เอาผิด ไม่มีการขออะไรที่น่ายกย่องน่าชมชยและน่าสรรเสริญยิ่งกว่าการขออภัยและการขอโทษ ไม่มีการให้สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่าทางจิตใจมากกว่าการให้อภัยและการยกโทษภายใต้ความเป็นพี่เป็นน้องร่วมศาสนาเดียวกัน
5. การนิ่งเฉย
อัลลอฮ์ ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านไว้ดังนี้
บทที่ 7 โองการที่ 199 มีความว่า
"และเจ้า มูฮัมมัด จงผินหลังให้แก่ผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด" (สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย,1419 : 406)
จารึก เซ็นเจริญและมูฮำมัด พายิบ(2539, 2 : 40) กล่าวว่ามีรายงานที่ถูกบันทึกไว้สรุปได้ว่า เมื่อครั้งที่ศาสดามูฮัมมัด กลับจากการทำศึกกับกลุ่มชนหลายเผ่าที่รวมตัวกัน(อัลอะห์ซาบ) ท่านได้กล่าวกับพวกเราไว้ว่า ใครคนใดอย่าได้ละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)เว้นแต่เมื่อเดินทางไปถึงตำบลหนึ่งที่มีชื่อว่าบนีกูรอยซะฮ์ แต่แล้วได้มีคนส่วนหนึ่งละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ในระหว่างการเดินทางเพราะได้เข้าเวลาของการละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งยืนยันที่จะไปละหมาด ณ สถานที่ที่ศาสดามูฮัมมัด สั่งไว้ ซึ่งทั้งสองกลุ่มโต้แย้งกันและยืนยันว่าสิ่งที่ตนเองทำคือสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อศาสดามูฮัมมัด ทราบเหตุการณ์ดังกล่าว ท่านได้นิ่งเฉย
สรุปได้ว่า
การผินหลังนั้นมิได้หมายถึง การหลีกเลี่ยงปัญหาโดยไม่มีการดำเนินการใดๆ หากแต่เป็น การแสดงออกถึงความไม่เห็นดีเห็นงามและไม่เห็นชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการยับยั้งห้ามปรามและตักเตือนไปก่อนหน้านี้แล้ว
และการโต้แย้งที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนสองกลุ่มเกิดจากการเข้าใจที่แตกต่างกันถึงจุดประสงค์ของศาสดามูฮัมมัด ที่สั่งไว้ กลุ่มหนึ่งเข้าใจว่าคำสั่งของศาสดามูฮัมมัด ดังกล่าวจุดมุ่งหมายคือให้ทุกคนรีบเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อจะได้ละหมาดอัสริ(ตอนเย็น) พร้อมกันที่นั่นทันทีที่ได้เวลาละหมาดอัสริ(ตอนเย็น) แต่แล้วทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คาดคิดเพราะการเดินทางยังไม่ถึงที่หมายก็ได้เวลาละหมาดอัสริ(ตอนเย็น) คนกลุ่มนี้จึงตัดสินใจละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ทันที โดยไม่มีเจตนาที่จะขัดขืนคำสั่งของศาสดามูฮัมมัด แต่อย่างใด อีกกลุ่มเข้าใจว่าคำสั่งของศาสดามูฮัมมัด จุดมุ่งหมายคือให้ทุกคนไปละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)พร้อมกันที่นั่น ถึงแม้ว่าจะได้เวลาการละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ระหว่างการเดินทาง เพราะทุกคนก็ยังสามารถไปละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ที่นั่นได้ เนื่องจากยังมีเวลาเหลือพอที่จะละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)กันที่นั่น ดังนั้นสองกลุ่มจึงเกิดการโต้แย้งกัน ต่างฝ่ายยืนยันสิ่งที่ตนเองทำนั้นคือเจตนาที่แท้จริงของศาสดามูฮัมมัด แต่การนิ่งเฉยของศาสดามูฮัมมัด ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองกลุ่มนั้น แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครกระทำผิดแต่อย่างใด เพราะอย่างน้อยทั้งสองกลุ่มก็ได้ละหมาดอัสริ(ตอนเย็น)ในเวลาที่อนุญาตให้ละหมาดแล้ว การเข้าใจเจตนาของคำสั่งดังกล่าวที่แตกต่างกันนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ ถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ
ดังนั้นการนิ่งเฉยเป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้แก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางของอิสลามคือ การเอาความเงียบสยบความเคลื่อนไหว ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจประเด็นที่ขัดแย้งกันนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่สาระสำคัญที่ต้องนำมาถกเถียงเพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ