ความคิดเห็นที่ 1 อะไร คือ สติ เข้าถึง สัมผัส ประจักษ์แก่ตน(คุณเอง) ได้มื่อไหร่ อย่างไร ปล.ขอมา จัดไป จากคุณ : นายไวรัส เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 12:06:54

ความคิดเห็นที่ 2 สติ คือการรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดจากอายตนะทั้งหลาย (เมื่ออายตนะภายนอกสัมผัสกับกับภายใน) สติที่สมบูรณ์คือเมื่อเกิดผัสสะขึ้นกับอายนตะสติจะจับอารมณ์ได้ทันที ไม่ก่อนหรือหลัง จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 12:23:49

ความคิดเห็นที่ 3 การเจริญสติ ต้องยึดหลักสติปัฎฐาน 4 กำหนดรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม กำหนดรู้อะไร กำหนดรู้ อนิจจัง ความไม่เที่ยง  กำหนดรู้ ทุกขัง ความเป็นทุกข์ กำหนดรู้ อนัตตา ความไม่ควรยึดมั่งถือมั่น จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 12:32:01

ความคิดเห็นที่ 4 กางตำรามาตอบ อย่ามาทำเป็นเก่งหน่อยเลย เฮ้อ จากคุณ : มาเล่นกันนะ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 12:50:52

ความคิดเห็นที่ 5 รักษาศีลอย่างไร อารมณ์ใจจึงเรียกว่าอยู่ในขั้นเกิดวิตก วิจารณ์ : ยกตัวอย่างประกอบด้วย ต้องทำอย่างไร การรักษาศีลจึงจะพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นเกิด ปีติ : ยกตัวอย่างประกอบด้วย ต้องทำอย่างไร การรักษาศีลจึงจะพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นเกิด สุข : ยกตัวอย่างประกอบด้วย ต้องทำอย่างไร การรักษาศีลจึงจะพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นเกิด เอกคตารมณ์ : ยกตัวอย่างประกอบด้วย จากคุณ : แมวเปอร์เซีย เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 12:56:09

ความคิดเห็นที่ 6 #4 เปล่าทำเก่งครับ แค่อยากสอบทานตัวเอง แต่ไม่รู้จะสอบทานกับใคร จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:08:57

ความคิดเห็นที่ 7 #5 คำถามทั้งหมด เป็นเรื่องสมาธิครับ และต้องเป็นสัมมาสมาธิด้วย ขอบคุณที่ช่วยตั้งคำถามครับ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:11:52

ความคิดเห็นที่ 8 โอเค ใช้ได้ จากคุณ : มาเล่นกันนะ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:20:47

ความคิดเห็นที่ 9 #8 ขอบคุณครับ ที่เข้าใจ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:21:22

ความคิดเห็นที่ 10 ข้อเล่นบ้าง !!   ขอตั้ง 3 ข้อพอง่าย ๆ  ให้ครบตติัยัมปิ..555 1.. การทำความดี  ควรทำอย่างไรในทางพุทธศาสนา ?  ถึงจะสมกับเป็นความดีที่แท้จริง 2.. ทำไมมนุษย์บนโลกใบนี้  จึงไม่นับถือศาสนาเดียวกัน  ให้เหมือนกันหมดทั้งโลกไปเลย ?  3.. ถ้าศาสนาพุทธดีจริง-ประเสริฐจริง ทำไมประชากรโลกจึงนับถือน้อย ? (ไม่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก) จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:29:59

ความคิดเห็นที่ 11 1 อะไรคื อาการของจิต สัมผัสได้ทางไหน 2 ท่านสามารถ บังคับเปลี่ยนแปลง อาการของจิตได้หรือไม่ 3  ท่านปฏิบัติอย่างไรเมื่อ สัมผัสอาการของจิต ข้อ 1คือ เบื้องต้นของการศึกษา ข้อ2 คื อ ปัญญาจากข้อ1 ข้อ3 คื อ ทางออก จากคุณ : ชื่ออะไรดี เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:37:05

ความคิดเห็นที่ 12 ที่สุดแห่งทุกข์ ท่านทำให้แจ้งได้แล้วหรือหนอ มีธรรมอันเป็นที่พึ่ง แทงตลอดในธรรมทั้งหลายด้วยมรรคผลเป็นประการใด จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:39:27

ความคิดเห็นที่ 13 #10 ข้อ 1 การทำความดี ต้องทำให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน        การทำความดีต้องถึงพร้อมในเบื้องต้นคือศีล เบื้องกลางคือสมาธิ และเบื้องปลายคือ ปัญญา        จึงจะสมกับเป็นการทำความดีที่แท้จริง ข้อ 2 มนุษย์มีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย       พระบรมศาสดาแบ่งมนุษย์ที่ีทรงสามารถบอกธรรมะได้เป็น 3 จำพวก กับอีก 1 จำพวก       เป็นจำพวกที่ไม่สามารถบอกธรรมะได้ คือ บอกยังไงๆ ก็ยังไม่มีทางเข้าถึงธรรมได้ ข้อ 3 นัยเดียวกันกับ ข้อ 2 และทรงรับสั่งว่า เขาโค ซึ่งเปรียบเหมือนผู้มีปัญญา(ในทางธรรม)        มีน้อยกว่าขนโค ซึ่งเปรียบเหมือนผู้ด้อยปัญญา (ในทางธรรม) หลายเท่านัก จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:45:19

ความคิดเห็นที่ 14 1. กุศลคืออะไร อกุศลคืออะไร จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:47:08

ความคิดเห็นที่ 15 #11 คำถามท่านเกือบหลุดกรอบกระทู้ เนื่องจากผมมุ่งหวังที่ความเข้าใจ ไม่ได้คิดจะสาธยาย เรื่องการปฏิบัติ ซึ่งยังไปไม่ถึงไหน แต่จะลองตอบดู ข้อ 1 เจตสิก คืออาการของจิต สัมผัสได้ทางอายตนะทั้งหลาย ข้อ 2 ไม่สามารถปรับเปลี่ยนอาการของจิตได้ แต่สามารถรู้เท่าทันได้ ข้อ 3 ก็แค่รู้ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:54:22

ความคิดเห็นที่ 16 #12 กำลังงมโข่งหาทางอยู่เลยท่าน จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 13:56:57

ความคิดเห็นที่ 17 #14 กุศลคืออะไร    กุศลธรรม คือ ธรรมเพื่อ ละ วาง ปล่อย ถอน ออก ฯลฯ ปฏิบัติแล้วเกิด       ความเจริญ ความสุข สงบ สะอาด สว่าง ฯลฯ       อกุศลคืออะไร อกุศลธรรม คือ ธรรม เพื่อ ยึด ถือ เอา ไม่ละ ไม่ปล่อย ไม่วาง ฯลฯ       ปฏิบัติแล้วนำสู่ความเสื่อม ความมืด ความขุ่น ความทุกข์ ฯลฯ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 14:06:36

ความคิดเห็นที่ 18 วิธีจะสร้างสติตัวแท้ให้เกิดได้อย่างไร ต้องมีปัจจัยอะไรบ้าง วิธีสร้างปัญญาเพื่อการหลุดพ้นทำได้อย่างไร ต้องมีปัจจัยอะไรบ้าง จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 14:21:06

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อพระสิ้นกิเลสแล้ว ดับไปดุจไฟหมดเชื้อ ไม่หลงไปกับอารมณ์ เหตุใดบ้างครั้งเราจึงเคยเห็นภาพ พระที่เชื่อกันว่าเป็นพระอริยหัวเราะบ้าง หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีบันทึกว่า ทรงแย้มพระสรวลก็มี จากคุณ : DBM999 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 14:27:38

ความคิดเห็นที่ 20 #18 1. สติตัวแท้คืออย่างไร 2. เดินตามทางสายกลาง ไม่ปล่อยชีวิตจิตใจไหลไปตามโลก และไม่แอนตี้โลก    ทางสายกลางคืออริยมรรค 8 ประการ เริ่มต้นที่สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ    เห็นชอบชอบอย่างไร เช่น เห็นว่าโลกนี้มี โลกหน้ามี (ชื่อการเวียนว่ายตามเกิด)    เห็นว่ากรรมวิบากคือผลของกรรมมี เห็นว่าสัตว์ผุดเกิดมี เห็นว่ามีพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งมี เป็นต้น    จนถึงสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นชอบ เกิดวิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกกัคตา จิตทรงฌานตามลำดับ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 14:42:23

ความคิดเห็นที่ 21 #19 พระอรหันต์ ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ถึงสิ้นกิเลส จิตไม่มีกุศล และอกุศล       แต่เมื่อยังไม่ดับขันธ์ ก็ยังต้องมีการตอบสนองต่อโลกตามสมควร       ซึ่งการแสดงออกนั้นๆ (หรือการกระทำใดๆ)ก็ไม่ถือเป็นกุศล หรืออกุศล แต่เรียกว่าเป็น กริยา จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 14:53:17

ความคิดเห็นที่ 22 ร่วมสนทนา   จำได้ว่า เคยมีใคร ตั้งคำถามให้ถามตนเองอย่างนี้ ในกระทู้เก่า  น่าจะเป็น คุณชายเดียว   ไม่ทราบว่า ใช่หรือเปล่า?      ถ้าใช่ ถือว่า พัฒนาความรู้เชิงวิชาการทางพุทธศาสนา ไปมากเลยทีเดียว. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:01:18

ความคิดเห็นที่ 23 น่าสนุกฮะ ขอถามคำถามบ้านๆมั่ง 1. ทำไมต้องบวชพระ 2. เชื่อได้อย่างไรว่าพระพุทธเจ้ามีจริง 3. ผลของกรรมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 4. อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เทวดา บุญบาป นรกสวรรค์ ชาติหน้า มีจริงหรือไม่ จากคุณ : มาแจม^^ (zovoy) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:10:04

ความคิดเห็นที่ 24 1 ด้วยการฝึกเจริญมรรคทางพุทธศาสนา คนเราสามารถตัดกฏธรรมชาติได้หรือไม่ 2 เนื่องจากพุทธศาสนามักจะถูกกล่าวว่าเป็นศาสนาที่นำหน้าด้วยปัญญา ปัญญาคืออะไร และเราจะเข้าถึงปัญญาระดับสูงสุดได้อย่างไร 3 ในส่วนของการปฏิบัติสู่ที่สุดของทุกข์ หากใครซักคนปิดตำรา อะไรเป็นตัวค้ำยันให้เค้าเดินทางจนถึงที่สุด ในเมื่อคนส่วนใหญ่ให้ค่าว่าตำราเป็นที่สุดแห่งความถูกต้อง ขอบคุณครับ จากคุณ : koknam เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:20:20

ความคิดเห็นที่ 25 ผมคิดว่าเมื่อบรรลุโสดาแล้ว จะรู้ด้วยญาณหยั่งรู้อย่างหนึ่ง ผมพยายามคิดว่าญาณหยั่งรู้ อันนี้มีอาการอย่างไร คุณสมบัติอย่างไร บางทีผมก็ว่าเข้าใจแล้ว  บางทีก็งง   ช่วยอธิบายหน่อยสิครับ จากคุณ : หนึ่งปากว่า (ไปดูหนังกันนะ) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:25:52

ความคิดเห็นที่ 26 อาการ..วิตกวิจาร...ในฌาณ ๑...เป็นอย่างไร?..สัมพันธ์กันอย่างไร?....และเกี่ยวข้องกับองค์แห่งมรรคอย่างไร? จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:29:09

ความคิดเห็นที่ 27 ด้วยคน ^_^ 1 กามสัญญาคืออะไร 2 ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กามสัญญาของผู้เข้าปฐมฌานย่อมดับไป 3 บุคคลที่อ้างว่าตนได้ฌาน แต่สภาวะไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชาวพุทธที่มีสัมมาทิฏฐิควรเชื่อถือคำตรัสของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก หรือควรจะเชื่อมั่นประสบการณ์ของตนและ/หรือ คำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ โดยไม่สนใจคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:29:22

ความคิดเห็นที่ 28 พระอภิธรรม. อยูในรูป. บทสนทนา หรือไม่ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:34:31

ความคิดเห็นที่ 29 พระพุทธเจ้าสอนเราว่า..."ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา".....เมื่อมีสภาวธรรมเกิดขึ้นในจิต...เราจะเห็นสภาวะ..ความเป็นอนัตตา..ของธรรมเหล่านั้น...ได้อย่างไร? จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:39:49

ความคิดเห็นที่ 30 ในมิจฉาสังกัปปะ..เมื่อเราเกิดอกุศลจิตขึ้น.. สมมุติว่าเรากำลังปฎิบัติ..มรรคหรือสติปัฎฐาน๔..เราได้ตามรู้ได้(สัมมาสติ)...เราได้เพียรบรรลุสัมมาสังกัปปะ(สัมมาวายามะ)...ซึ่ง ในขณะที่จิตเกิด..มิจฉาสังกัปปะ..เราต้องดับ..ทำให้สิ้น..ซึ่งอกุศลจิตนั้นๆ...ต้องดับก่อนให้เกิดธาตุในจิตชื่อว่าอะไร...จึงจะไม่เกิดกรรมขึ้น? จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:48:41

ความคิดเห็นที่ 31 วันนี้ เมียทำ ส้มตำปู ของโปรดให้ผมกิน ถามว่า ผม่ บาปหรือไม่ อย่างไร ครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:55:09

ความคิดเห็นที่ 32 การพิจารณา..เวทนาในเวทนา..ในสติปัฎฐาน ๔ และ พระพุทธเจ้าแบ่ง..เวทนาเป็น ๑๐๘ ในกลุ่มที่เป็น..เคหสิกตเวทนา..จัดเข้าอยู่ในธรรม..ที่ชื่อว่า..อปริหานธรรมหรือว่าปริหานธรรม?....เพราะเหตุใด? จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 15:56:32

ความคิดเห็นที่ 33 ๑. อะไรเอ๋ยชื่อว่า เป็นหนึ่งไม่มีสอง ๒. พ่อกับแม่ ใครมีคุณมากกว่า ๓. คนสองคน หากทำกรรมเรื่องเดียวกัน ใครจะบาปมากกว่า... จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 16:21:10

ความคิดเห็นที่ 34 # 22 ผมเป็นสมาชิกรุ่นเก่า แต่น้อยครั้งที่จะตั้งกระทู้ หรือออกความเห็นอะไร ส่วนมากได้แต่อ่านอย่างเดียว คนที่น่าจะจำผมได้น่าจะเป็น คุณโชติ ช่วงนี้งานรัดตัวมาก ค่อยจะหาเวลามาไล่ตอบที่หลังนะครับ พรุ่งนี้ มท.1 มาตรวจภัยแล้ง 6 จังหวัดภาคอิสาน คงยุ่งทั้งวัน ขอบคุณทุกคำถามครับ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 16:35:18

ความคิดเห็นที่ 35 คำถามยอดฮิต จัดให้ครับ -นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา...? หรือเป็นอื่นจากทั้งสองฝั่งที่ว่ามา...? -พระพุทธองค์สอนเรื่องงดเว้นการฆ่าและการเบียดเบียนสัตว์ แต่ทำไมไม่ห้ามฆราวาสกินเนื้อสัตว์...? -การนับถือพระรัตนตรัย และการให้อภัยฯ เป็นบุญในหมวดไหน...? -การกำหนดรู้ กับการระลึกรู้ตามความเป็นจริง เหมือนหรือต่างกันอย่างไร...? ปล.กระทู้นี้ควรโหวตอย่างยิ่ง^_^ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 55 17:07:42 จากคุณ : ถามจขกท.เท่านั้นนะ (Up_To_You) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 17:05:58

ความคิดเห็นที่ 36 ขนมจีนน้ำเงี้ยว กับ ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ อะไรอร่อยกว่ากัน จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 17:25:11

ความคิดเห็นที่ 37 ถามมั่ง เห็นเจ้าของกระทู้ตอบได้ดีในหลายๆข้อ จึงอยากนำความไม่รู้และอยากรู้ของตัวเองมาถาม สิ่งที่ถามคือสิ่งที่สงสัยจริงๆ คือ นิพพานเป็นอย่างไรมีสภาวะธรรมอย่างไร ไม่รู้จักนิพพานไปนิพพานได้หรือไม่ นิพพานเป็นอนัตตาหรืออัตตา เมื่อจะไปนิพพานเราเอาอะไรไปนิพพาน สิ่งที่ถามคือสิ่งที่อยากรู้นะครับ ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ ขอบคุณครับ ปล. โหวตให้นะครับ เวลากลับมาตอบจะได้หาง่ายๆ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 55 18:35:55 จากคุณ : ธรรมสถิต เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 18:26:49

ความคิดเห็นที่ 38 1. ทำไมถึงเรียก ศาสนา นี้ ว่า ศาสนาพุทธ ? 2. พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น   ถามว่า ตื่นจากอะไร ? จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 19:12:00

ความคิดเห็นที่ 39 ใครเขาถามกันเป็นชุดๆภูเขาเลากา ยังงี้เล่าครับ น่าจะรอถามตอบเป็นรายๆ แค่อ่านก็เห็นใจ จขกท แล้ว อีกอย่าง ถามที่เราติดจริงจะดีกว่า จากคุณ : มึนแทน (HeavenMoon) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 19:21:15

ความคิดเห็นที่ 40 ใช้ได้ ๆ !!  จขกท..มีความพยายามตั้งใจตอบดี  และเป็นคำตอบที่เข้าท่าซะด้วย.. จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 20:04:59

ความคิดเห็นที่ 41 มาอนุเคราะห์ จขกท กันใหญ่ จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 21:12:23

ความคิดเห็นที่ 42 คำถามที่ผมถามทั้งหมด...ไม่ได้ติดอะไรหรือต้องการรู้คำตอบอะไรนะครับ... แต่เห็น จขกท. บอกว่าอยากทดสอบภูมิธรรมของตน... ก็เลยถามการปฎิบัติว่าเข้าไป...อนุปัสสี(ตามเห็น)...สภาวะธรรมได้ละเอียดขนาดไหนนะครับ...(หากยังไม่เห็นไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ).... จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 07:04:31

ความคิดเห็นที่ 43 #17 ยังเข้าใจกุศลไม่ค่อยจะถูกต้อง ถ้าเข้าใจกุศลให้ถูกต้องจะเข้าใจพระธรรมมากกว่านี้นะครับ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 09:23:30

ความคิดเห็นที่ 44 เจตนากระทู้นี้เหมือน"โยนกระเบี้องล่อหยก"นะครับ^_^ จากคุณ : เอ๊ะชื่อนี้คุ้น ๆ (Up_To_You) เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 09:56:08

ความคิดเห็นที่ 45 เอาชื่อผมมาล้อ  5555  ขอบคุณที่คิดถึง  ผมไม่ได้หายไปไหน  ช่วงนี้ขับรถเยอะ   และก็มั่วไปเข้ากระทู้  ราชดำเนิน  สะ 2- 3 วัน จากคุณ : โยนกระเบื้องล่อหยก เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 18:54:13

ความคิดเห็นที่ 46 อยากจะถาม  จขกท  จะเอาเรื่องสั้นเรามาให้อ่าน  ก็ติดว่ามันยาว   ทำไงดี  จะแตกประเด็นดี  หรือหาคำถามง่ายๆ   ปกติไม่ค่อยได้ถาม  ลองภูมิใคร   มีแต่ถามด้วยความสงสัยตัวเอง งั้นขอคิดก่อน   เอาเรื่องนี้ดีกว่า         ถ้าคุณไปเจอ  สภาวะ  หนีเสือ  ปะ  จรเข้  คุณจะทำยังไง จากคุณ : โยนกระเบื้องล่อหยก เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 18:57:03

ความคิดเห็นที่ 47 ช่วยตอบได้ไหม  จขกท  จะว่าเราหรือป่าว   555  ขออนุญาตก่อนดีกว่า จากคุณ : โยนกระเบื้องล่อหยก เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 18:59:27

ความคิดเห็นที่ 48 #43 แล้วกุศลคืออะไรล่ะครับ อธิบายเพิ่มเติมเลยสิครับ ผมก็อยากรู้ ขอบคุณครับ จากคุณ : ไม่มีตรรกะ มีแต่กระ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 19:53:10

ความคิดเห็นที่ 49 #14 กุศลคืออะไร    กุศลธรรม คือ ธรรมเพื่อ ละ วาง ปล่อย ถอน ออก ฯลฯ ปฏิบัติแล้วเกิด      ความเจริญ ความสุข สงบ สะอาด สว่าง ฯลฯ      อกุศลคืออะไร อกุศลธรรม คือ ธรรม เพื่อ ยึด ถือ เอา ไม่ละ ไม่ปล่อย ไม่วาง ฯลฯ      ปฏิบัติแล้วนำสู่ความเสื่อม ความมืด ความขุ่น ความทุกข์ ฯลฯ เกือบใช่ทั้งหมด แต่มันไม่ขาดตรงคำว่า "กุศลธรรมคือความสุข" นี่แหล่ะ เพราะคำว่า "ความสุข" ของพุทธมี 2 นัย แต่ความสุขของกุศลธรรมมีนัยยะเดียว แต่พอเห็นจขกท.สรุปว่าอกุศลคือ "ความทุกข์" เป็นธรรมคู่ตรงกันข้ามกับความสุขจึงเข้าใจได้ว่า จขกท.ยังไม่เข้าใจกุศลธรรม นั่นคือความสุขที่เกิดจากกามกิเลส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ชอบใจ ที่น่าใคร่ ที่น่าปรารถนานั้นเป็นกิเลส เป็นอกุศลธรรม ไม่ใช่กุศลธรรม อกุศลธรรมที่ละเอียดขึ้นไปกว่านั้นคือ ความยินดี ความพอใจ ความพึงใจ ความใคร่ในอารมณ์ต่างๆ เป็นอกุศลธรรม ความยินดีในฌาน ความยินดีพอใจในสมาบัติ ความยินดีในความนิ่งความว่าง ความยินดีในความสงบภายในเป็นอกุศลธรรม แต่ลักษณะของความสุขที่เกิดจากความไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกนั้นเป็นกุศลธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้เจริญธรรมฝ่ายกุศล และละธรรมฝ่ายอกุศล ธรรมฝ่ายกุศลที่ยังไม่เกิด ให้ทำให้เกิด ที่เกิดแล้วให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป ธรรมฝ่ายอกุศลที่ยังไม่เกิด ให้ทำให้ไม่ให้เกิด ถ้าเกิดแล้วให้ทำให้เสื่อมไป เมื่อเข้าใจกุศลธรรม, อกุศลธรรมแล้วลองกลับไปอ่านพระสูตรที่ท่านสอนเรื่องการเจริญมรรค, ไตรลักษณ์, ขันธ์ 5 อีกครั้งจะเข้าใจพุทธมากขึ้นกว่านี้ครับ จากคุณ : oiooo เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 01:02:09

ความคิดเห็นที่ 50 จขกท ตอบได้ดีมากเลยครับ ผมขอเล่นด้วยคน ไม่มีเพื่อนเล่น >.<"/) 1. เหตุใด ทาน จึงไม่จัดอยู่ในมรรคแปด (ศีล สมาธิ ปัญญา)? 2. ธรรมใด เป็นยอดธรรมของธรรมทั้งปวง? 3. ภิกษุที่เป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นไฉน? จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 01:03:30

ความคิดเห็นที่ 51 ขออนุญาตกลับเข้ากระทู้อีกครั้ง #35 1. พระพุทธองค์ทรงบอกทางไว้ว่า ธรรมทั้งหลายไม่พึงยึดมั่นถือมั่น  ธรรมเหล่านั้นได้แก่ธรรมอันมีเครื่องประกอบหรือปัจจัยปรุงแต่ง กับธรรมอันอยู่ตรงข้างกับธรรมอันแรก 2. พระพุทธองค์ไม่ทรงขวางโลก แต่โลกต่างหากที่ขวางพระองค์ 3. ไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยจัดหมวดบุญ 4. แตกต่างกันที่กาล ประการแรกระยะฝึกฝน ประการหลังเริ่มได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาบ้าง จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:58:10

ความคิดเห็นที่ 52 # 36 ใส่อะไรมาก็ฉันอันนั้นแหละ (ถ้าเป็นพระ) ไม่พึงยึดมั่นในรสชาติ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:01:08

ความคิดเห็นที่ 53 #37 1 ไม่ทราบครับ 2 ไม่รู้จักชื่อ แต่รู้สภาวะ น่าจะไปได้ 3 ตอบแล้วใน #35.1 4. ไม่รู้จะใช้คำว่าไปได้หรือเปล่า แต่น่าจะแจ้งนิพพานที่จิต จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:06:21

ความคิดเห็นที่ 54 # 38 1. คำตอบอยู่ในข้อ 2 2. ตื่นจากความหลงในวัฎฎะ รู้ทางออกจากวัฎฎะ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:08:49

ความคิดเห็นที่ 55 #39 ไม่เป็นไรครับ เพราะนี่ไม่ใช่กระทู้ไขปัญหาธรรม และขอความกรุณาผู้รู้เข้ามาแก้ไขข้อที่ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ตรงให้ด้วย จะเป็นพระคุณ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:12:01

ความคิดเห็นที่ 56 #40 ขอบคุณครับ แต่ตัวเองคิดว่า น่าจะยังไม่ดีพอ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:13:34

ความคิดเห็นที่ 57 #41 นับเป็นบุญของผมครับ ที่มีหลายท่านกรุณา จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:16:09

ความคิดเห็นที่ 58 #42 ขอบคุณครับ เพียงแต่ไม่ได้ทดสอบภูมิอะไร เป็นการทดสอบความเข้าใจเบื้องต้นว่าตรงหรือไม่ ก่อนที่จะ....... จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:18:44

ความคิดเห็นที่ 59 ไม่แน่ใจว่าข้ามคำถามข้อไหนบ้างหรือไม่ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:19:36

ความคิดเห็นที่ 60 เอ้อ....ข้ามไปจริงๆ #23 1.บวชพระเพื่อสืบต่อพระธรรมวินัย และเจริญรอยตามพระบรมศาสดา ทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง 2. พระผู้ตรัสรู้อริยสัจจ์ คือพระพุทธเจ้า และมีคำสอนเรื่องอริยสัจจ์เป็นหลักฐานอยู่ 3. อจินไตย 4 ถ้า ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 จริง ข้อนี้ก็จริงด้วย จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:29:52

ความคิดเห็นที่ 61 #24 1. ตัดไม่ได้ แต่หนีออกไปได้ 2. ปัญญา คือความรู้แจ้ง ซึ่งทำให้พ้นทุกข์ได้ การเข้าถึงได้โดยการเจริญสัมมาสติ และสัมมาสมาธิในองค์มรรค (ก่อนจะถึงขั้นนี้ได้ก็ต้องมีเบี้ยใบ้รายทางตามสมควร) 3 การปิดตำรา นั่นหมายถึงว่า เขาคนนั้นได้ศึกษาแผนการเดินทางในตำรา จนรู้จักเส้นทางกระจ่างแจ้งแล้วนั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุว่าผมหรือข้าพเจ้ากำลังหาทางทดสอบว่า ตัวเองรู้เส้นทางดีพอหรือยัง จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:38:46

ความคิดเห็นที่ 62 #25 ถึงเวลาแล้วจะรู้เองครับ เปรียบเหมือนเรากินอาหาร เมื่อถึงจุดที่เราอิ่ม เราจะรู้เอง รู้เองกระทั่งว่า อิ่มมาก อิ่มน้อย หรืออิ่มพอดีๆ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:41:58

ความคิดเห็นที่ 63 #26 ทราบเพียงว่าเป็นสัมมาสมาธิในองค์มรรค (ถ้าตอบก็จะเป็นการลอกตำรามาตอบ...ซึ่งไม่ใช่จุดประสงค์) จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:45:37

ความคิดเห็นที่ 64 #27 1 กามสัญญา คืออารมณ์ความข้องเกี่ยวกับกาม ( ความจำความต้องการใน รูป รส กลิ่น เสียง ฯ) 2. เพราะจิตตั้งมั่น 3 ชาวพุทธที่มีสัมมาทิฎฐิ ควรจะเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า เพียงแต่คำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ที่กล่าวถึงนั้น ไม่ตรงจริงหรือ หรือผู้ฟังมาถ่ายทอดไม่ตรงเอง จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:53:58

ความคิดเห็นที่ 65 #28 พระอภิธรรม เป็นการแจกแจงสภาวะธรรมตามอาการที่เกิดขึ้นกับรูปและนาม จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:07:01

ความคิดเห็นที่ 66 #29 เห็นได้ที่จิตนั่นเอง  เพราะสภาวะธรรมทั้งหลายมั่นก็เกิดที่จิตเราๆ ท่านๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จิตประเภทไหนถึงจะเห็นได้ เข้าใจเอาเองว่าถ้าจิตไม่เกิดสัมมาสมาธิ น่าจะไม่มีทางเห็นหรือรู้ตามสภาวะธรรมใดๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:12:37

ความคิดเห็นที่ 67 #30 ตอบแบบเอาตัวเองเป็นฐานว่า ยังไม่สามารถแจกแจงได้ครับ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:15:33

ความคิดเห็นที่ 68 #31 เรื่องบาปหรือไม่ เป็นเรื่องซับซ้อน มีพุทธพจน์หนึ่งตรัสไว้ว่า "เรากล่าวว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:19:27

ความคิดเห็นที่ 69 #32 ผมยังไม่มีสติปัญญาพอจะลงรายละเอียดครับ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:21:34

ความคิดเห็นที่ 70 #33 1. พุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ชื่อว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง 2. บิดา มารดา เป็นดุจพรหมของบุตร 3 บาปเท่ากัน แต่ใครจะได้รับผลก่อนหลังเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สั่งสมมา จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:27:01

ความคิดเห็นที่ 71 # 43 ขอบคุณครับ จะพยายามต่อไป ผมเองไม่ถนัดในการแจกแจงข้อธรรม จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:31:56

ความคิดเห็นที่ 72 #44 ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังใดๆ ทั้งสิ้นครับ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:33:37

ความคิดเห็นที่ 73 #45 ขอบคุณครับ ที่เข้ามาแจม จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:34:37

ความคิดเห็นที่ 74 #46 ผมจะอยู่ตรงจุดเกรงใจ (ตรงกลาง) ที่เศือ(ทำไมติดกรองคำ)ก็ไม่กล้าเข้ามา จระเข้ก็ไม่กล้าเข้ามา จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:44:46

ความคิดเห็นที่ 75 #47 ได้ครับ จะได้ถือโอกาสเรียนรู้ไปด้วย จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:45:39

ความคิดเห็นที่ 76 #49 ขอขอบคุณในความกรุณา และจาก "นั่นคือความสุขที่เกิดจากกามกิเลส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ชอบใจ ที่น่าใคร่ ที่น่าปรารถนานั้นเป็นกิเลส เป็นอกุศลธรรม ไม่ใช่กุศลธรรม" ผมเองไม่ได้หมายว่านั่นเป็นความสุข ในความหมายของกุศลธรรมอยู่แล้วครับ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:53:11

ความคิดเห็นที่ 77 #50 1 เพราะเขาจัดไว้คนละหัวข้อ แต่ทั้งหมดก็จัดอยู่ในบุญกิริยาวัตถุ 2. ธรรมอันเป็นเครื่องสำรอกกิเลส (หมายเอาวิราคะธรรม) เป็นยอดของธรรมทั้งปวง 3 ภิกษุที่เป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือภิกษุผู้เจริญสติ เป็นอยู่ด้วยสติ พิจารณารูปนามให้เห็น  ตามความเป็นจริง  และเจริญปัญญาเพื่อมุ่งทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:10:00

ความคิดเห็นที่ 78 ขอถาม ชาติที่ 0 ทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งใด  สัตว์ที่ต่ำกว่ามนุษย์สามารถเข้าถึงนิพพานได้หรือไม่ ? จากคุณ : กบินทร์บุรี เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 00:14:10

ความคิดเห็นที่ 79 #78 1. สังสารวัฎ ยาวนานจนยากจะหาเบื้องต้นเบื้องปลาย 2. ถ้าหมายเอาถึงนิพพานในชาตินี้ น่าจะยัง แต่ถ้าพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ในชาติภพต่อไป ก็มีทาง จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 12:37:18

ความคิดเห็นที่ 80 คคน #25 # 62 ก็พอเข้าใจ ตามตัวอักษร แต่ผมกลัวว่าตนเองจะหลงผิด สำคัญตนผิด เข้าใจว่า การตัดกิเลส ไม่ได้ตัดด้วยเหตุผล ตามตรรกกะ แต่ต้องตัดด้วยปัญญา จากคุณ : หนึ่งปากว่า (ไปดูหนังกันนะ) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 13:51:55

ความคิดเห็นที่ 81 #80 ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมเพื่อละ วาง ปล่อย ถ้าเกิดอาการยึดเมื่อใด (ต้องใช้สัมมาสติในการจับ) ก็ไม่ใช่แล้ว อย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์  สหธรรมมิก และกัลยาณมิตร จะช่วยได้มากในการเตือนให้มีสติ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 14:06:59

ความคิดเห็นที่ 82 ถึงตอนนี้ ชักอยากทราบแล้วละซิว่า   คุณ ชายเดียว เข้าใจ  สัมมาทิฐิ ข้อที่ว่า มารดา  มี  (อัตถิ มาตา)       บิดา  มี  (อัตถิ ปิตา)   อย่างไร จากกระทู้พุทธมารดา จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 14:23:23

ความคิดเห็นที่ 83 #82 ออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่มีภูมิพอจะสาธยายธรรมโดยพิสดาร เข้าใจผิดอะไรก็ให้ช่วยอนุเคราะห์ ชี้ทางสว่างด้วย ตามความเข้าใจโดยทั่วไป อัตถิ มาตากับอัตถิ ปิตา คือเชื่อในการมีอยู่ของมารดา บิดา แต่ เชื่อแบบไหนกันดี เพราะคนเราทุกคนก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ต่างคนต่างมีบิดามารดา เบื้องต้น เชื่อว่ามารดา บิดา มีคุณต่อบุตร และบุตรควรทดแทนคุณบิดามารดา ต่อมา เชื่อว่า ภพชาติน้อยใหญ่ทั้งหลาย ส่วนหนึ่งมีกำเนิดจากมารดา บิดา ที่สุด ต้องไม่ลืมว่า มารดาบิดา เป็นสมมติบัญญัติ ...เราจะจัดการกับสมมติบัญญัติแบบไหนกันดี... จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 14:57:42

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณครับ สำหรับคำตอบของจขกท. ๑. อะไรเอ๋ยชื่อว่า เป็นหนึ่งไม่มีสอง 1. พุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ชื่อว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง ถูกครับ ข้อนี้เป็นการถามตอบระหว่างพระสารีบุตรกับนางปริพาชิกาชื่อว่านางชัมพุกา... ๒. พ่อกับแม่ ใครมีคุณมากกว่า 2. บิดา มารดา เป็นดุจพรหมของบุตร ข้อนี้ จขกท.ตอบไม่ตรงคำถามครับ ๓. คนสองคน หากทำกรรมเรื่องเดียวกัน ใครจะบาปมากกว่า... 3 บาปเท่ากัน แต่ใครจะได้รับผลก่อนหลังเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สั่งสมมา ข้อนี้ไม่ถูกนะครับ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านว่า บาปมากหรือน้อยขึ้นอยู่ที่เจตนา แทบไม่มีทางได้รับผลเท่ากันเลย แม้กระทั่งตัวเราทำกรรมอย่างเดียวกันแค่ต่างเวลา ผลวิบากที่ได้รับยังต่างกัน นักปราชญ์ท่านว่า เราไม่สามารถข้ามแม่น้ำสายเดียวกันได้สองครั้ง... สำหรับเรื่องการตอบคำถามของจขกท.นั้น เห็นด้วยว่า ควรตอบในเรื่องที่เรารู้และได้ตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ไม่งั้นบางคนที่เขาไม่รู้ อาจจำและนำไปปฏิบัิติในทางที่ผิดได้ จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 18:13:00

ความคิดเห็นที่ 85 #83 ถ้าเชื่อแค่นั้น  ผมว่าไม่ต้องอาศัย ปัญญาระดับพระพุทธองค์ ก็พอรู้ได้ ไม่ทราบว่าคุณ ชายเดียวเคยได้ยิน "ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ"ไม้ครับ ยังมีธรรมอีกหลายคู่ที่มีสภาพเป็น อิตถีภาวะ, ปุริสภาวะ และเคยได้ยิน "พระสาลีบุตร เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด พระโมคคัลลาเป็นแม่เลี้ยง"ไม้ครับ เมื่อถึงกาล มีพระภิกษุมาจำพรรษาจำนวนมาก น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะเทศน์สอน จะเป็นไปได้ไม้ว่าพระพุทธองค์อยู่สั่งสอนสาวกที่พระอารามตลอดพรรษาสามเดือน และเป็นธรรมขั้นปรมัตถ์  ถึงขั้น อภิธรรม  เพื่อให้สาวกมีธรรมมากพอที่จะเป็นแม่ ไปให้กำเนิดโอปปาติกะในจิต สาธุชนอุบาสก อุบาสิกาบรรลุธรรมในระดับต่างๆ ตามเหตุปัจจัย           แล้วสงสัยไม้ครับว่าขนาดพระสาลีบุตรยังเป็นแม่(อิตถีภาวะ) แล้วใครจะเป็นพ่อ(ปุริสภาวะ) จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 21:33:44

ความคิดเห็นที่ 86 #82,83,84,85..... เห็นพวกท่านคุยกัน ทำให้ผมรู้ว่าอะไรที่ผมไม่เข้าใจมีอีกเยอะเลย ขอตอบนิดๆว่า  พ่อมีคุณ21อย่าง แม่มีคุณ12อย่าง  จะถูกไหมเนี่ย? จากคุณ : หนึ่งปากว่า (ไปดูหนังกันนะ) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 08:11:41

ความคิดเห็นที่ 87 ไหนๆแล้ว ก็ไหนๆเลย  ความรู้ทางโลก(โลกียะ)  กับ ความรู้ทางธรรม(โลกกุตระ) เป็นคนละส่วนกัน พระอรหันต์บางองค์ก็บรรลุโดยไม่มีอภิณญาหรือความรู้ทางโลกเลย แต่ก็คู่ควรต่อการเคารพเสมอกัน จากคุณ : หนึ่งปากว่า (ไปดูหนังกันนะ) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 08:21:45

ความคิดเห็นที่ 88 #84 #85 #86 #87 ขอบคุณครับ จะเร่งศึกษาเพื่อให้รู้ตรงยิ่งขึ้น แต่ พยายามจะไม่ยึด จนปล่อยวางไม่ได้ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 14:08:21

ความคิดเห็นที่ 89 ความคิดเห็นที่ 88     พยายามจะไม่ยึด จนปล่อยวางไม่ได้ ดี ครับ  แต่  ถ้าเมื่อเรามันใจว่าถูกตรง  ก็ต้องยึดไว้ก่อน เพื่อศึกษาปฏิบัติ ต่อเมื่อชัดเจน แจ่มแจ้งแล้วว่าที่เรายึดไว้ ไม่ถูกตรง  มีอื่นที่ถูกตรงกว่า ก็ต้องรีบเปลี่ยนโดยเร็ว   อย่างนี้จะดีไม้ครับ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 17:02:57

ความคิดเห็นที่ 90 #89 ขอบคุณครับ ผมเข้าใจง่ายๆ ว่า ทางนั้นมีอยู่ พระพุทธองค์เป็นผู้บอก "ทาง" เดินหรือไม่เดิน เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล สัมมาทิฎฐิ ก็เป็นทางที่พระองค์บอกไว้ และไม่ได้บังคับให้ใครต้องเชื่อและเดินตาม แต่ ถ้าไม่เชื่อในสัมมาทิฎฐิ "ทาง" ที่เราจะเดินไป เชื่อได้ว่าไม่ใช่ทางที่พระองค์ชี้บอกแน่นอน ฉะนั้น ใครก็ตามที่บอกว่านับถือพุทธ ถ้าไม่เชื่อในสัมมาทิฎฐิ ก็เชื่อได้ว่านับถือพุทธแต่ปาก อาจมีคนแย้งว่า ต้อง กาลามสูตร ซึ่งผมเห็นว่า กาลามสูตร ใช้กับข้อธรรมที่ควรสงสัยเท่านั้น ถ้า สงสัยในข้อธรรมสัมมาทิฎฐิ ก็เท่ากับสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ด้วยเช่นกัน ก็ต้อง กาลามสูตร ตั้งแต่การตรัสรู้ของพระองค์แล้ว ซึ่งเรา กาลามสูตรแล้วไง ถึงนับถือพุทธ จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 08:28:42

ความคิดเห็นที่ 91 ความคิดเห็นที่ 90     ถ้าไม่เชื่อในสัมมาทิฎฐิ "ทาง" ที่เราจะเดินไป เชื่อได้ว่าไม่ใช่ทางที่พระองค์ชี้บอกแน่นอน ฉะนั้น ใครก็ตามที่บอกว่านับถือพุทธ ถ้าไม่เชื่อในสัมมาทิฎฐิ ก็เชื่อได้ว่านับถือพุทธแต่ปาก ถ้า สงสัยในข้อธรรมสัมมาทิฎฐิ ก็เท่ากับสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ด้วยเช่นกัน นั่น ขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจ สัมมาทิฏฐิที่พระองค์ตรัสในมหาจัตตารีสะสูตร ของแต่ละคน         ว่าใครเชื่ออย่างไร  อาจมีคนเข้าใจสัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างอื่น ที่ไม่ตรงกับคนส่วนมาก ก็ไม่ได้แปลว่า  เขานับถือพุทธแต่ปาก  หรือสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ด้วย พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์ความเห็นต่าง แต่ให้แต่ละฝ่ายเร่งปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ต่อไป จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 11:56:26

ความคิดเห็นที่ 92 #91 ไม่เชื่อ ก็อย่างหนึ่ง เห็นต่าง หรือ เข้าใจเป็นอย่างอื่น ก็อย่างหนึ่ง ใน #90 ประสงค์จะสนทนาเรื่อง ความเชื่อ ซึ่งด้วยตัวผมเอง เชื่อ อย่างแน่นอน และไม่เห็นต่าง (จากที่ตรัสไว้)อย่างแน่นอน แต่ ด้วยภูมิปัญญาอันจำกัด อาจ เข้าใจเป็นอย่างอื่น ซึ่งเมื่อมีกัลยาณมิตรชี้แนะ อาจทำให้เข้าใจตรงขึ้นได้ ท่านกล่าวถูกที่บอกว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงตัดสิทธิใคร แต่ ถ้าใคร เห็นต่าง จากที่พระองค์ตรัสไว้ ก็เชื่อได้ว่า ผู้นั้น น่าจะหมดสิทธิ์ ยิ่งถ้าใครไม่เชื่อ นี่ไม่ต้องกล่าวถึงเลย (มีชาวพุทธมากมายที่ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด และโอปปาติกะ) จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 16:40:49

ความคิดเห็นที่ 93 ขอทำความเข้าใจอีกที จาก     ความเห็นต่าง ซึ่งผมหมายถึงเห็นต่างจากบุคลอื่นๆ  ดังในสามบรรทัดบน นั่น ขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจ สัมมาทิฏฐิที่พระองค์ตรัสในมหาจัตตารีสะสูตร ของแต่ละคน         ว่าใครเชื่ออย่างไร  อาจมีคนเข้าใจสัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างอื่น ที่ไม่ตรงกับคนส่วนมาก ก็ไม่ได้แปลว่า  เขานับถือพุทธแต่ปาก  หรือสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ด้วย พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์ความเห็นต่าง แต่ให้แต่ละฝ่ายเร่งปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ต่อไป ซึ่งเป็นคนละความหมายกับ ถ้าใคร เห็นต่าง จากที่พระองค์ตรัสไว้ ก็เชื่อได้ว่า ผู้นั้น น่าจะหมดสิทธิ์ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 20:35:51

ความคิดเห็นที่ 94 #93 ขอบคุณที่ชี้แนะ ขออนุญาตสรุป สิ่งที่ได้จากกระทู้นี้ จากการสนทนาธรรมในนี้ ทำให้ได้รู้ว่่าตัวเอง เข้าใจพุทธศาสนาแบบองค์รวม ประมาณว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา ขันธ์ อันประกอบด้วย รูป และ นาม เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ประกอบด้วยทุกข์ ทางอันเป็นเหตุให้ไปสู่ความพ้นทุกข์ ได้แก่ ทางสายกลาง หมายถึง การดำรงชีวิตที่ไม่ไปสุดโต่งทั้งสองทาง อันได้แก่ การลุ่มหลงมัวเมาในโลกียสุข กับ การประพฤติธรรมโดยการทรมานตัวเอง เพื่อหวังจะพ้นทุกข์ ทางสายกลางที่กล่าวถึงนั้น ได้แก่ มรรค มี แปดอย่าง ในทางสายกลางนั้น ยังมีทางอันเป็นเอกอยู่สายหนึ่ง ได้แก่ สติปัฎฐาน อยู่ใน สัมมาสติ เป็นต้น แต่  ถ้าเป็นการแจกแจงสภาวะะธรรม ว่า ธรรมอันนี้ มีสภาพแบบนี้ มีองค์ประกอบแบบนี้ ไม่สามารถแจกแจงออกมาได้ สรุป ใน สรุป จริตของข้าพเจ้าควรปฏิบัติไปพร้อมๆ กับศึกษาธรรมจากพระสุตตันตปิฎก จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 08:49:21

ความคิดเห็นที่ 95 ขอบคุณทุกความคิดเห็น ขอบคุณทุกคำชี้แนะ ขอบคุณทุกคำถาม หวังว่าจะได้สนทนาธรรมกันอีกในโอกาสต่อไป ขอทุกท่่านเจริญในธรรม จากคุณ : ชายเดียว เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 08:51:22