|
พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ :
297 วิญญาณอาศัยขันธ์ ๕ http://www.84000.org/true/297.html
ปัญหา วิญญาณจะมีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยขันธ์ ๕ ได้หรือไม่ ?
พุทธดำรัสตอบ .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้ายึดรูป พึงดำรงอยู่ได้ วิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง เข้าไปซ่องเสพด้วยความยินดี พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์... วิญญาณที่เข้ายึดเวทนา... สัญญา.... สังขาร...พึงดำรงคงอยู่ได้ วิญญาณที่มี รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...เป็นอารมณ์ มี รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร... เป็นที่ตั้ง เข้าไปซ่องเสพ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร ) ด้วยความยินดี พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราจักบัญญัติการมา การไป การจุติ การอุปบัติ หรือความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ โดยไม่ต้องอาศัยรูป เวทนา สัญญา สังขารดังนี้ ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุละราคะในรูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญาณธาตุได้แล้ว อารมณ์ (แห่งวิญญาณ) ก็เป็นอันตัดขาดเพราะละราคะนั้นได้ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณที่ไม่มีที่ตั้งย่อมไม่งอกงาม ไม่สร้างต่อ (อนภิสงฺขจฺจ) ย่อมหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงตั้งมั่นเพราะตั้งมั่นจึงอิ่มเอิบ (สนฺตุสิตํ) เพราะอิ่มเอิบจึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้งจึงดับเย็นสนิทเฉพาะตน ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ครบถ้วนแล้ว กิจที่ควรทำได้เสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อให้เกิดผลเช่นนี้ไม่มีอีกแล้ว
อุปายสูตร ขันธ. สํ. (๑๐๕) ตบ. ๑๗ : ๖๖ ตท. ๑๗ : ๕๙ ตอ. K.S. ๓ : ๔๕-๔๖
---------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
[๒๕๓] ปัญญาในความสำเร็จด้วยการกำหนดรูปกาย (ของตน) และจิต (มีฌานเป็นบาท) เข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งการตั้งไว้ซึ่งสุข สัญญาและลหุสัญญา เป็นอิทธิวิธญาณอย่างไร ฯ ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วย ฉันทะและสังขารเป็นประธาน ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วย วิริยะและสังขารเป็นประธาน ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วย จิตและสังขารเป็นประธาน ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วย วิมังสาและสังขารเป็นประธาน ภิกษุนั้นย่อมอบรมข่มจิต ทำให้เป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน ในอิทธิบาท ๔ ประการนี้ ครั้นแล้วย่อมตั้งกายไว้ในจิตบ้าง ตั้งจิตไว้ในกายบ้าง น้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งกายบ้าง น้อมกายไปด้วยสามารถ แห่งจิตบ้าง อธิษฐานจิตด้วยสามารถแห่งกายบ้าง อธิษฐานกายด้วยสามารถแห่ง จิตบ้าง ครั้นน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งกาย น้อมกายไปด้วยสามารถแห่งจิต อธิษฐานจิตด้วยสามารถแห่งกาย อธิษฐานกายด้วยสามารถแห่งจิตแล้ว ย่อม หน่วงสุขสัญญาและลหุสัญญาลงในกายอยู่ เธอมีจิตอันอบรมแล้วอย่างนั้น บริสุทธิผ่องแผ้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธญาณ เธอย่อมแสดงฤทธิ์ ได้เป็นอันมาก คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขา ไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินไปบนน้ำ ไม่แตกเหมือนเดินไปบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำ พระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ฯ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความสำเร็จด้วยการกำหนดรูปกาย (ของตน) และจิต (อันมีฌานเป็นบาท) เข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งการตั้งไว้ ซึ่งสุขสัญญาและลหุสัญญา เป็นอิทธิวิธญาณ ฯ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๒๗๙๗ - ๒๘๒๑. หน้าที่ ๑๑๔ - ๑๑๕. http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=2797&Z=2821&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=253
บทว่า อาวิภาวํ คือ ทำให้ปรากฏ. บทว่า ติโรภาวํ - ทำให้ปกปิดก็ได้. พึงเชื่อมด้วยบทก่อนว่า อาวิภาวํ ปจฺจนุโภติ. ติโรภาวํ ปจฺจนุโภติ - แสดงให้ปรากฏก็ได้. แสดงให้หายไปก็ดี. ในบทนี้ผู้มีฤทธิ์ประสงค์จะทำให้ปรากฏ ย่อมทำความมืดให้สว่างได้. หรือทำที่ปกปิดให้เปิดเผยได้. หรือทำที่ไม่ใช่คลองสายตา ให้เป็นคลองสายตา. ถามว่า อย่างไร? ตอบว่า เหมือนอย่างว่า ภิกษุนี้แม้อยู่ในที่กำบัง หรือแม้อยู่ในที่ไกล ก็ปรากฏได้ฉันใด. ประสงค์จะแสดงตน หรือผู้อื่นให้ปรากฏก็ฉันนั้น ครั้นออกจากฌานเป็นบาทแล้วคำนึงว่า ขอที่กำบังนี้จงเปิดเผย. หรือขอที่มิใช่คลองจักษุ นี้จงเป็นคลองจักษุเถิดดังนี้ แล้วทำบริกรรมอธิฏฐานโดยนัยดังกล่าว แล้วนั่นแหละ. พร้อมกับอธิฏฐานย่อมเป็นไปตามที่อธิฏฐาน. ผู้อื่นแม้ยืนอยู่ในที่ไกลก็เห็นได้. ประสงค์เห็นแม้ตนเองก็เห็นได้. ประสงค์จะทำให้หายไป? ย่อมทำแสงสว่างให้มืดได้ หรือทำที่ไม่ปกปิดให้ปกปิดได้. หรือทำที่เป็นคลองจักษุ มิให้เป็นคลองจักษุได้. ถามว่า อย่างไร? ตอบว่า เหมือนอย่างว่า แม้อยู่ในที่ปกปิด หรือแม้ยืนอยู่ในที่ใกล้ก็ไม่ปรากฏฉันใด. ภิกษุประสงค์จะแสดงตน หรือผู้อื่นก็ฉันนั้น ครั้นออกจากฌานเป็นบาทแล้ว คำนึงว่า ขอที่ไม่ปกปิดนี้จงปกปิด. หรือขอที่เป็นคลองจักษุนี้ จงมิใช่คลองจักษุ แล้วทำบริกรรมอธิฏฐานโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. พร้อมกับอธิฏฐาน ย่อมเป็นไปตามอธิฏฐานทีเดียว. ผู้อื่นแม้ยืนอยู่ใกล้ก็ไม่ปรากฏ. แม้ประสงค์จะไม่เห็นตนเองก็ไม่เห็น. อีกอย่างหนึ่ง ปาฏิหาริย์ที่ปรากฏแม้ทั้งหมด ชื่อว่าทำให้ปรากฏ. ปาฏิหาริย์ที่ไม่ปรากฏ ชื่อว่าทำให้หายไป. ในปาฏิหาริย์ทำให้ปรากฏนั้น ฤทธิ์ก็ดี ผู้มีฤทธิ์ก็ดี ย่อมปรากฏ. พึงแสดงปาฏิหาริย์ที่ปรากฏนั้นด้วยยมกปาฏิหาริย์. ในปาฏิหาริย์ที่ไม่ปรากฏ ฤทธิ์เท่านั้นย่อมปรากฏ ผู้มีฤทธิ์ไม่ปรากฏ. พึงแสดงปาฏิหาริย์ที่ไม่ปรากฏนั้นด้วยยมกสูตรและด้วยพรหมนิมันตนิกสูตร.๕-
--------------------------------------
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
อทิสสมานกาย กายที่มองไม่เห็น, ผู้มีกายไม่ปรากฏ, ไม่ปรากฏร่าง, มองไม่เห็นตัว กล่าวคือ เป็นวิสัยของผู้มีฤทธิ์บางประเภท (วิกุพพนฤทธิ์) อาจทำการบางอย่างโดยไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นร่างกาย;
____________________________
ความคิดเห็นที่ 3
....
แสดงว่า ที่หลวงพี่หลวงพ่อเกจิบางองค์บอกว่าถอดจิตได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริง สิครับ เข้าข่ายเป็น อันตรภาวะทิฏฐิ ใช่ไหมครับ และการที่เห็นสิ่งต่างๆได้ในขณะนั่งสมาธินั้น เป็นเพียงแค่นิมิตใช่ไหมครับ ทั้งๆที่ สามารถรับรู้ ความร้อนเย็นของลมที่พัดมาในสถานที่นั้น เหมือนมีกายไปสัมผัส จริงๆนั่นก็เป็นเพียง นิมิต ใช่ไหมครับ คือปรุงแต่งไปเองตามสภาพที่เห็น เช่น นิมิตเห็น ไฟไหม้ ก็ร้อนไปเพราะปรุงแต่ง ตามจริงแล้วไม่ได้ไปสัมผัสด้วยจิตจริงๆ อย่างนี้หรือ เปล่าครับ
จากคุณ : สองนิ้วชี้ --------------------------------------------------
ผมเห็นว่าน่าเกี่ยวกับ อทิสสมานกาย ที่เป็น รูปขันธ์ ประเภทหนึ่ง ที่เกิดจาก อภิญญาจิต ที่จะทำให้รูปหยาบ ที่ตาเนื้อเห็นได้ กลายเป็น รูปขันธ์ที่ละเอียด ยิ่งกว่า ปรมาณู จนไม่ปรากฏแก่ตาเนื้อได้
แต่ การเกิดของจิต นั้นย่อมต้องอาศัย รูป เสมอ ครับ เกิดขึ้นลอย ๆ ไม่ได้ หรือ ที่เรียกว่า วิญญาณล่องลอยไปเกิด
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
10 พ.ย. 55 11:33:52
|
|
|
|
|