ความคิดเห็นที่ 1 เลขที่ออก หลักเขตที่ดิน 8616 (รู้นะ คิดอะไรอยู่  ....แบ่งกันบ้างเด้อ... สัญญาว่าจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับพระพุทธศาสนา..^^....พูดเล่น ทำจริงหรือเปล่าเนี้ย) ---- ปล ไม่ใช่มือผม อิอิอิ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 08:39:44 จากคุณ : เลขชัดๆ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 07:53:29

ความคิดเห็นที่ 2 เรื่องที่ยังไม่จบ ....การถอนวัดร้างจะคงจะเป็นเรื่องที่ยืดเยื้อต่อไป.. (ขออนุโมทนาและขอบคุณเพื่อนๆใน FB ตัดต่อเรียบเรียงประเด็นใหม่จากรายการหน้าที่พลเมือง ออกอากาศ 1 ต.ค.55 และเปิดปม 8 ต.ค.55   ย่อยประเด็นที่เกี่ยวกับความพยายามออกโฉนดบนเกาะดอนสวรรค์ จ.สกลนคร โดยอาศัยช่องทาง "วัดร้าง" ) ...ขอตั้งชื่อคลิปนี้ว่า  "เนียน" http://www.youtube.com/watch?v=KbKYfdHRgJ4 การเคลื่อนไหวทางการเมือง http://www.youtube.com/watch?v=KBBqdcyFJhY และ วิวาทะวัดร้าง http://www.youtube.com/watch?v=Ja342BP8ivo -------- จากคุณ : เนียนๆ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 07:54:57

ความคิดเห็นที่ 3 ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ สภาผู้แทนราษฎรรับมอบหนังสือ "ความเป็นจริงของโฉนดที่ดินดอนสวรรค์ : เรื่องที่คนสกลนครต้องรู้" ซึ่งประธานคณะกรรมาธิการยินดีรับฟังความเห็นของชาวสกลนครที่คัดค้านการออกโฉนดที่ดินและจะยกคณะมารับฟังความเห็นที่สกลนคร จากคุณ : อนุโมทนาด้วยครับ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 07:56:17

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อมูลจาก FB เล่าอดีต.. หนึ่งในสาเหตุว่าทำไมถึงเป็น ดอนสวรรค์   ก่อนหน้านั้น ผลการประชุมของอนุกรรมาธิการฯ จากคุณ : น่าสนใจ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 07:58:00

ความคิดเห็นที่ 5 ขออนุโมทนาครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 07:58:48

ความคิดเห็นที่ 6 ออกโฉนด จากคุณ : เร่งออก (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 07:59:07

ความคิดเห็นที่ 7 ย้อนอดีต นั่งไทแมชชีนย้อนเวลากลับไปอีก ข้อมูลจากคลิป ใน คห 2 จากคุณ : เลขสวย 333 (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:01:51

ความคิดเห็นที่ 8 อืมม  แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ----- เคยมีการสอนหรือบทเรียนนี้ไหม?ในพระไตรปิฏก แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 10:59:44 จากคุณ : เสื่อมเพราะคนในสังคม (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:03:44

ความคิดเห็นที่ 9 จากนั้น...เป็นที่มาของการตรวจสมบัติ เลขที่ออก.. No.1...:)...อืมม ...ที่  1 ในดวงใจ เลขสวยแยะนะครับ ^^ อย่างลืมนะครับ อย่าลืมแบ่งกันบ้าง  เอ๊ะ  จขกท หวังอะไรเนี้ย อิอิอิ -------- ปล...    เข้าอีสานปุ๊ป  เลยได้เรื่องเลย จากคุณ : ถิ่นพระดี อลัชชีเกรง (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:06:27

ความคิดเห็นที่ 10 ความจริงที่ปรากฎและคำเรียกร้องจากชาวสกลนคร จากคุณ : ข้อที่ 1 (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:09:13

ความคิดเห็นที่ 11 ดอนสวรรค์ไม่เคยมีวัด จากคุณ : ข้อที่ 2 (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:10:33

ความคิดเห็นที่ 12 ได้โปรดถอนทะเบียนวัดร้างออกไป จากคุณ : ข้อที่ 3 (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:12:08

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าไม่ถอนจะยืดเยื้อต่อไป และประชาชนจะได้ทราบข้อเท็จจริงต่อไป จากคุณ : ข้อที่ 4 (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:13:22

ความคิดเห็นที่ 14 ข้อเท็จจริงอื่นๆเกี่ยวกับเกาะดอนสวรรค์ จากคุณ : อ่านซะนะครับ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:14:59

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นบางส่วนจากพี่ๆน้องๆใน FB ในราชกิจจานุเบกษา เขียนไว้ชัดเจนว่า นายอำเภอธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร บริจาคทรัพย์ส่วนตัวและบอกบุญเรี่ยไรรวมเงินได้ 1,174 บาท 30 สตางค์ จัดการสร้างอุโบสถขึ้นที่วัดดอนสวรรค์ แสดงว่าบริจาค"เงิน" ไม่ได้บริจาค"ที่ดิน" เพราะที่ดินแห่งนี้ไม่มีเจ้าของมาตั้งแต่แรก จากคุณ : ไม่ใช่ที่ของวัด (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:16:18

ความคิดเห็นที่ 16 ขอเรียกสิ่งปลูกสร้างนี้ว่า วิหาร  ไม่ใช่โบสถ์ จากคุณ : วิหารครับ วิหาร (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:17:25

ความคิดเห็นที่ 17 ชาวพุทธร่วมแรงปกปักษ์รักษาสมบัติเพื่อใช้ประโยชน์กับพระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือ ไม่ใช่เพื่อการเก็บเกี่ยวดูดกินของลัทธิที่แอบแฝงเข้ามาเป็นเหลือบในพระพุทธศาสนา ...เรามีหลักการในพระพุทธศาสนามีคำสอนในเรื่องความสุจริต  ความโปร่งใส   อย่าให้ใครมากล่าวหาได้ว่า สำนักหรือวัดในพระพุทธศาสนาไม่มีความโปร่งใสในเรื่องเงินทอง สินทรัพย์ แม้ขนาดทางโลก บริษัทห้างร้านต่างๆ เขายังรณรงค์กันเพื่อให้มีการบริหารงานที่บริสุทธิ์ยุติธรรม...ชาวพุทธต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง... --- ปล แหม ถูกใจคำนี้จริงๆ..."ส่องวัด"... จากคุณ : เจ้าข้าเอ้ย ส่องวัดกันดีกว่า (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:19:05

ความคิดเห็นที่ 18 ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก จากคุณ : ไม่ใช่สงครามแต่ปกป้อง (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:20:15

ความคิดเห็นที่ 19 ความสามัคคีคือพลังของชาวพุทธ จากคุณ : ภาพประทับใจ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:22:51

ความคิดเห็นที่ 20 ความสามัคคีเป็นกำลัง จากคุณ : ใช่ บ่อ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:24:23

ความคิดเห็นที่ 21 ถามชาวบ้านเขาหรือยัง จากคุณ : อย่าให้อลัชชีครอบงำ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:26:24

ความคิดเห็นที่ 22 ...:)... จากคุณ : ดูเอาเอง (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:28:14

ความคิดเห็นที่ 24 อนุโมทนาครับ จากคุณ : ภาพประทับใจสามัคคี (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:30:47

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่เคยมีวัดที่ดอนสวรรค์ จากคุณ : จำไว้จ๊ะ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:32:13

ความคิดเห็นที่ 26 ให้เกียรติและเคารพคนท้องถิ่น ชาวบ้านคนสกลนคร จากคุณ : ให้เกียรติไม่ใช่เกลียด (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:35:03

ความคิดเห็นที่ 27 ป้ายสะท้อนความรู้สึก จากคุณ : หยุดซะนะครับ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:36:44

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่เฉพาะแต่อาหารพื้นเมือง  ส้มตำ ของชาวอีสานที่แซ่บ แต่คนอีสานทำอะไรนี้  แซ่บหลายๆเด้อ จากคุณ : สวรรค์ บ่อ มีโฉนด (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:38:07

ความคิดเห็นที่ 29 สมเป็นถิ่นพุทธศาสนาที่มีพระปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบอยู่จำนวนมาก เห็นภาพแล้ว ภูมิใจแทนพ่อแม่พี่น้องชาวสกลนครจริงๆ จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:39:25

ความคิดเห็นที่ 30 ขออนุโมทนาน้องต๋าวครับ ชาวสกลนครนี้ ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง สมแล้วที่เป็นถิ่นพระดีครับ ร่วมระลึกถึงพระเดชพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผ่านบทกลอนจากเพื่อนๆใน FB ------ ขอบูรพาจารย์คุ้มครองไทสกล สกลนครแดนดินพุทธธรรม ถิ่นงามล้ำพระเกจิอรหันต์ หลวงปู่มั่นทรงคุณอเนกอนันต์ อาจารย์ฝั้นผู้น้อมนำสานธรรมดี น้อมดวงจิตอภิวันท์ด้วยเบญจางค์ อัษฎางคิกมรรคผู้ทรงศรี ขอร่ายเรียงนามบูรพาจารย์นี้ ไทสกลจิตปรีดากราบบูชา “หลวงปู่วัน อุตตโม” วัดถ้ำพวง ประทีปดวงส่องสว่างกลางภูผา "หลวงปู่ปาน คุตฺตสติ" ลับลา ชาวประชาวัดกุดไผทร่ำไห้ “หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป” นี้ บารมีเผยแผ่ธรรมอันยิ่งใหญ่ ทิพยอำนาจจิตท่านเกริกไกร สานสายใยศรัทธาอากาศอำนวย วานรนิวาส พระอาจารย์ผู้กล้าแกร่ง “หลวงตาแตงอ่อน กลฺยาณธมฺโม”ช่วย พระอาจารย์ใหญ่ไทสกลเราด้วย ผู้ขวนขวยแสวงธรรมตามอาจารย์ “หลวงปู่บุญหนา ธมฺมทินโน” เถระ มุมานะวิรยะเพียรสืบสาน วัดป่าโสตถิผล ก้องกังวาน ถิ่นสถานงามธรรมเมืองสกล “หลวงปู่คำพัน” วัดบ้านหนองบัวสร้าง เป็นแบบอย่างชาวกุสุมาลย์ทุกหน จริยวัตรอันงดงามประพฤติตน สู่มรรคผลคู่สหธรรมิกหลวงปู่ปาน “หลวงปู่เคน เขมาสโย” วัดป่า หนองหว้า เด่นเจิดจ้าผู้เบิกบาน สว่างแดนดิน บอกเล่ามากล่าวขาน ก้มกราบกรานผ่านอักขราภาษาไทย พระอาจารย์ผู้ทรงธรรมค้ำแผ่นดิน พระคู่ถิ่นพุทธธรรมผ่องสุกใส พระผู้เปี่ยมเมตตาธรรมค้ำจิตใจ พระผู้จริยวัตรงามพิไลไทสกล อภิวาทวันทาครูบาศรี จิตฤดีสักการะบังเกิดผล จงคุ้มครองปกปักษ์พิทักษ์ชน ขอหลุดพ้นมารราวีย่ำยีเทอญ โดย ไทยสกลรักบ้านเกิด จากคุณ : มารกำลังผจญพระศาสนา (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 08:43:20

ความคิดเห็นที่ 31 ขออนุโมทนาด้วยครับ อยากให้ลองติดตามกลุ่มพระสงฆ์ที่บวชช่วงพรรษา ออกพรรษาแล้วท่านไปจำวัดที่ไหนต่อกลับยานแม่หรือว่าลาสึกไปเลย สงสารพระหลายรูปที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์(ก็ต้องขออนุโมทนาศรัทธาในการบวชของท่านนั้นๆด้วย) จากคุณ : zovoy เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:11:45

ความคิดเห็นที่ 32 ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีคะ เป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวสกลนคร ใครทำอะไรไว้ก็ได้รับผลของกรรมเอง จากคุณ : ให้ดูจิต ที่จิต เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 09:16:11

ความคิดเห็นที่ 33 ก็จดทะเบียนเป็นวัดให้ถูกต้องสิ ให้พระฝ่ายธรรมยุติ ไปจำพรรษา เืรื่องก็จบแล้ว แต่ถ้ารื้อวิหาร หรือรื้อโบสถ์ นี่สิ เรื่องแปลก หรือกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งจับปลา ทำร้ายชีวิตสัตว์ ก็ไม่ดี ควรให้เป็นเขตอภัยทาน ร่วมกันจัดตั้งเป็นวัด ไม่ึควรเป็บแหล่ง ค้าขายชีวิตสุนัข หรือทำเรื่องผิดศีลธรรม พระจะมาจากวัดไหนไม่สำคัญ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 10:20:50 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:08:57

ความคิดเห็นที่ 34 เรียนคุณ venture คห 33 คุณเข้าใจผิดแล้วครับเรื่องที่จะรื้อวิหารหรือโบสถ์  ไม่มีเรื่องนี้ในการพูดกันครับ ผมคิดว่าคุณคงจะเข้าใจเรื่องที่เขาคุยกันนะครับ  เห็นคุณพูดเรื่องนี้หลายทีแล้ว คิดเอง เออเอง... ส่วนเรื่องแหล่งท่องเที่ยว หรือ แก้ปัญหาแหล่งมั่วสุม แหล่งจับปลา   จะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของชาวสกลนครเขาตัดสินใจ แก้ปัญหาต่อไปครับ (เรื่องแหล่งมั่วสุม ทางชาวบ้านเขาก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เป็นปรกติของเมืองที่มีพระดี )  คืนให้เขาไปครับ ชาวบ้านเขาเรียกร้องขอคืน  เ็ป็นสิทธิ์ของพวกเขา  หรือ เขาจะสรุปกันยกที่ดินให้กับใครก็เป็นเืรื่องของเขาครับ   ให้พวกเขาตัดสินใจ   ส่วนเราต้องให้ความยุติธรรมกับพวกเขา venture อย่าหลงประเด็นนะครับ   -----   ใ้ห้สำนักที่คุณชื่นชอบไปรักษาพระธรรมวินัยก่อนดีกว่าครับ ก่อนที่จะไปเรียกร้องศีลธรรมกับสังคม แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 21:48:14 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:21:25 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:01:32 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 10:53:00 จากคุณ : กลับไปดูตนเองครับ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 10:51:30

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าไม่มีความคิด จะเปลี่ยนวิหารเป็นวัด ก็เก็บปากไว้เงียบๆดีกว่าครับ เรื่องต่อต้านวัดเนี่ย มีแต่สมุนพญามารเท่านั้น ต้องย้อนกลับไปดูว่าคนยุคก่อน เจตนาเป็นกุศล สร้างโบสถ์สร้างวิหาร เพื่อเป็นวัดโดยสมบรูณ์ ่กอนกฏหมายที่ดินอีกนะ แต่คนยุคสมุนพญามาร บอกว่า ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อทำลายวัด แทนที่จะคิด ช่วยกันสร้างให้เป็นวัดโดยสมบรูณ์  พวกที่สนับสุนน ปากก็อ้่างว่าพระธรรมวินัย แต่ทำผิดพระธรรมวินัยเสียเอง แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:06:25 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:01:43

ความคิดเห็นที่ 36 เรียนคุณ venture คห 35    ผมได้แจ้งประเด็นให้คุณทราบแล้ว  และ ถ้าเงียบแล้วต่อไปอลัชชีก็ครอบงำได้ง่าย  เรื่องพวกนี้ต้องป้องกันไว้ก่อนครับ  เพราะต่อไป ทางภาคอีสานน่าจะเป็นสถานที่ที่เผยแพร่พุทธธรรมที่สำคัญอีกแห่งในโลกนี้ (ส่วนสถานที่ที่คุณบอกให้นิกายธรรมยุติเข้าไปอยู่  อันนี้ก็ต้องให้ทางชาวบ้าน ชาวสกลเขาตกลงกันเอง เพราะมีพระธรรมวินัยอยู่แ้ล้วว่าสถานที่แบบไหน สัปปายะหรือไม่ต่อพระภิกษุสงฆ์  ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมนำเสนอไป คุณอย่านำมา  "แถ" ตามสไตล์สาวกของลัทธิฯ) ...ส่วนเรื่องพญามารนั้น  ผมจำได้ว่าเคยคุยกับคุณไปแล้ว คุณลองตรวจสอบดูว่าลักษณะพญามารเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมเป็นอย่างไร แล้วคุณจะเข้าใจว่า ผู้ที่เป็นพญามารนี้ คือใคร   และก็อย่าเพิ่งไปกล่าวอะไรแบบนี้ จะเป็นบาปกรรมกับตัวคุณเองเปล่าๆนะครับคุณ venture --- ย้ำคิด ย้ำทำ ระวังนะครับ ----- เรื่องเป็นวัดที่สมบูรณ์ย่อมมาจากการรักษาพระธรรมวินัยให้เคร่งครัด  หากยังมีการจาบจ้วงพระธรรมวินัยก็ถือว่ายังเป็นวัดที่ไม่สมบูรณ์...:)....เข้าใจ บ่อ  venture แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:19:27 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:10:47 จากคุณ : สงสารคุณจัง (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:09:02

ความคิดเห็นที่ 37 เรียนคุณ venture อีกครั้ง    ใช่แล้วครับ คุณพูดถูกแล้ว  ตอนนี้เป็นยุคสมุนพญามาร(ซึ่งชำนาญกว่ายุคก่อนพุทธกาล  เหมือนเชื้อที่พัฒนาตนเอง พยายามหลอมตนเองเข้าสู่พระศาสนา ใช้การแพร่พันธุ์โดยใช้ความ "เนียน") ตอนนี้ สมุนพญามารกำลังสยายปีกอยู่  เหมือนเชื้อมะเร็งที่กำลังรุกลาม ชาวพุทธกำลังปกป้องพระศาสนาครับ  และเหตุปัจจัยเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในโลกใบนี้  ให้คุณคอยติดตามดูกันต่อไป ถ้ายังมีลมหายใจอยู่นะครับ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 21:31:06 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:14:14 จากคุณ : เป็นกำลังใจให้ชาวพุทธนะครับ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:13:34

ความคิดเห็นที่ 38 สิ่งที่เป็นกุศล สนุนพญามาร เขาก็จะพยายามโพสกระทู้ปลุกระดม นั่นแหละ วิสัยของ สมุนพญามาร โบสถ์วิหาร ที่สร้างแล้ว แทนที่จะปลุกระดมช่วยทำให้เป็นวัดโดยสมบรูณ์ แส่จะทำลาย ขัดขวาง ทุกวิถีทาง จิตสกปรก น่ารังเกียจ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:19:53

ความคิดเห็นที่ 39 เรียนคุณ venture  ขอบคุณครับที่บอกว่าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล   เรื่องสมุนพญามาร   ..ก็แล้วแต่ คห ของคุณครับ  ผมได้สนทนากับคุณหลายครั้งแล้ว (ให้คุณไปอ่านในพระไตรปิฎกจะดีที่สุดครับว่าลักษณะพญามารเป็นอย่างไร) ..และย้ำว่าไม่ได้มีใครทำลาย หรือ ขัดขวางครับ  แต่เป็นความจริงที่ปรากฎ ในสังคมควรมีความยุติธรรมครับ   เราต้องรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้บริสุทธิ์เท่าที่จะทำได้ โดยต้องทำตัวอย่างให้กับสังคมได้เห็น อะไรที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ชาวพุทธไม่ควรทำครับ  ต้องหันหน้าเข้ามามาคุยความจริงกัน...ปล่อยวาง อย่าไปยึดติดกับที่ดินอะไรแบบนี้  มันน่าละอาย ไม่ควรเรียกว่าชาวพุทธที่แท้ อย่าหน้ามืด ตามัวไปหลงกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะครับ จะเป็นภัยแก่ตัว แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:27:07 จากคุณ : อย่าหลงอลัชชี (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:25:30

ความคิดเห็นที่ 40 น่าสงสาร ต่อ icu จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:29:46

ความคิดเห็นที่ 41 เรียนคุณ venture  ขอบคุณครับ ผมคงทำงานรับใช้ให้พระศาสนาจนเหนื่อย จนคุณต้องสงสาร ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก  เป็นกำลังใจให้ผมนะครับ --- ปล  ถ้าได้เข้าไปนอน icu ก็ดีเหมือนกันนะครับ จะได้พักผ่อนด้วย รอเวลานั่นเหมือนกัน  ขอบคุณครับที่ให้ความหวังสู่ความพักผ่อน แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:31:57 จากคุณ : ขอบคุณมากครับ คุณventure (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:30:58

ความคิดเห็นที่ 42 คนสมัยโบราณบันทึกใน จดหมายว่า จัดการสร้างอุโบสถขึ้นที่วัดดอนสวรรค์ กำหนดเป็นแหล่งอภัยทาน แต่คนยุคกิเลสหนา สมุนพญามาร แบบต่อ icu บอกว่า ไม่ได้ขึ้นทะเบัยนเป็นวัดตามกฏหมาย แทนที่จะปลุกระดมให้ขึ้นทะเบียนเป็นวัด แต่จะเอามาเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นที่จับปลา ทำลายชีวิตสัตว์ โอ้ย รักษาพระธรรมวินัยอย่างไร ศีลข้อหนึ่ง ยังไม่ยอมอนุโมทนาเลย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:43:42

ความคิดเห็นที่ 43 เรียนคุณ venture ครับ     แม้ไม่ขึ้นทะเบียนเป็นวัด ถ้าชาวบ้านเขากำหนดว่า เขตนี้เป็นอภัยทาน  พวกเขาก็ทำได้ครับ เขตอภัยทานไม่จำเป็นต้องเป็นที่ที่วัดเสมอไป ใช่ไหม? -------   ที่ดินเขาจะไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของชาวบ้านเขาครับ ผมไม่มีความเกี่ยวข้องหรือกำหนดอะไร   ส่วนใครจะจับปลา หากิน  เขาก็ต้องได้รับวิบากกรรมของเขาเอง  พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เบียดเบียนชีวิต  เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา  เรื่องนี้คนละประเด็นกับการเรียกร้องของชาวสกลนคร เข้าใจที่ผมเขียนนะครับ   ..:).. ถ้าคุณเห็นว่าไม่ถูกต้อง คุณก็ไปทำกิจกรรมได้ครับ  เรียกร้องได้   แม้ไม่ใช่เป็นเขตของวัดหรือที่ดินวัด  ถ้าคุณไปเรียกร้องเรื่องอภัยทานในเขตดอนสวรรค์ ผมจะสนับสนุนด้วยครับ   ผมไม่เห็นด้วยกับการเบียดเบียนสัตว์เช่นเดียวกับคุณ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 11:49:09 จากคุณ : แถอีกแล้ว (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:47:31

ความคิดเห็นที่ 44 ถาม ไปไหนมา แต่ตอบ สามวาสองศอก จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:50:12

ความคิดเห็นที่ 45 เรียนคุณ venture   ถามว่า ไปไหนมา ควรตอบว่า ไปดอนสวรรค์มา ไม่ใช่สามวาสองศอก จากคุณ : เขตอภัยทาน (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:52:31

ความคิดเห็นที่ 46 ได้รับข้อมูลจากพี่ๆใน FB จึงนำมาให้อ่านกันครับ อ้างอิง http://www.learners.in.th/blogs/posts/338578 วัดร้าง : สัญลักษณ์ “ล่ม” ของระบบการจัดการองค์กรคณะสงฆ์ไหม ? โมไนย พจน์           ข้อมูลและสถิติวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย แบ่งออกเป็นวัดที่มีพระสงฆ์พำนักมีประมาณ 33,902 แห่ง (มหานิกาย 31,890 แห่ง ธรรมยุต 1,987 แห่ง จีนนิกาย 12 แห่ง อนัมนิกาย (ญวน) 13 แห่ง) เป็นพระอารามหลวง 272 แห่ง (มหานิกาย 217 แห่ง ธรรมยุต 55 แห่ง) วัดราษฎร์ 33,630 แห่ง (มหานิกาย 31,673 แห่ง ธรรมยุต 1,932 แห่ง จีนนิกาย 12 แห่ง อนัมนิกาย (ญวน) 13 แห่ง) โดยวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมามีจำนวน 20,281 แห่ง วัดที่ไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา 13,621 แห่ง และวัดร้างทั่วประเทศ 6,815 แห่ง  ข้อมูลและสถิติในปี 2551 พบว่า จ.เชียงใหม่ มีวัดร้างมากที่สุด โดยมีวัดร้างที่ขึ้นทะเบียนแล้วแต่ยังไม่ได้รับการบูรณะมากกว่า 948 แห่ง จากทั้งหมด 2,201 แห่ง (หมายเหตุ : ข้อมูลล่าสุด สนง.พุทธศาสนาแห่งชาติ 1 มิ.ย.2552 ยังคงมีวัดร้าง 5,937 วัด)                               วัดร้างอาจจำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม            ๑).วัดร้างในอดีต  ตั้งอยู่บริเวณเมืองประวัติศาสตร์ในอดีต อาทิ วัดร้างในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และเมืองทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง อาทิ เชียงใหม่ ลพบุรี  เป็นต้น          ๒.) วัดร้างในปัจจุบัน  เป็นวัดที่ถูกยกขึ้นเป็นวัด แต่ไม่มีพระภิกษุสามเณรพักอยู่อาศัย อันเนื่องด้วยหลายสาเหตุ เช่น ห่างไกลความเจริญ  บิณฑบาตโปรดญาติโยมได้ไม่สะดวก พระ สามเณรเข้าไม่ถึงการศึกษาเล่าเรียน ทำให้การละทิ้งวัด และกรณีอื่น ๆ อาทิ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเนื่องด้วยปัญหาโจรภัย เป็นต้น ปัญหาการทิ้งวัด จนเป็นวัดร้างอาจเป็นเหตุผลเฉพาะในแต่ละพื้นที่  แต่เหตุผลการทิ้งวัดอาจเป็นปัญหาปลายเหตุ  เพราะวัดร้างยังคงเป็นปัญหา และจะเป็นปัญหาตลอดไป ตราบเท่าที่การ “อนุญาต” ให้ตั้งวัดยังคงเป็นอำนาจของ “สภาตราประทับ” ที่อำนาจสูงสุดของการปกครองสงฆ์  ที่มีอำนาจใน “กลั่นกรอง” เพียงแค่ “เห็นสมควร” แล้วทุกอย่างผ่านกระบวนการของความเป็นวัด โดยไม่ได้กำหนดเป็น “นโยบาย” อย่างชัดเจนในการตั้งวัด  ก็หมายความว่ากระบวนการตั้งวัดเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ถ้าคนพร้อม สถานที่พร้อม (พร้อมช่วงก่อนตั้งวัด) แต่ไม่ได้กำหนดเป็นนโยบาย ยุทธศาสตร์ ด้วยวิธีการอันเหมาะสม  ว่าตั้งแล้วมีเขตบริการแค่ไหน รองรับชุมชนกี่ชุมชน  มีกิจกรรมเชิงกลุ่มเพื่อส่งเสริมความเป็นชาวพุทธเป็นอย่างไร เป็นต้น แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?          ๑.จัดตั้งวัด ให้เป็นไปตามลักษณะภูมิประเทศ คืออยู่ในชุมชน  ใกล้ชุมชน  โดยกำหนดเขตบริการตามสัดส่วนของชุมชน  เพื่อควบคุมจำนวนวัดในปริมาณที่เหมาะสม  คล้ายการกำหนดเขตบริการของธนาคาร หรือโรงเรียนกำหนดพื้นที่ในการให้บริการ   วัดส่วนใหญ่อยู่ในชุมชนไม่ได้ไกลกันจนชนิดที่ว่า เกินกว่าจะสัญจรหรือเดินทางได้ เช่น กรณีวัดคนละฝั่งคลองมีสะพานข้าม แต่เป็นวัดร้างแล้วยกเป็นวัด มองมุมหนึ่งกลายเป็นการแย่งชิงมวลชน   ส่งเสริมความแยกต่างไปสู่ชุมชนโดยวัดและศาสนา หรือบางวัดกำแพงติดกันด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งประชาชนก็กลุ่มเดียวกัน เช่นนี้จะถือว่าเป็นเขตบริการเชิงชุมชนที่ทับซ้อนได้หรือไม่            ๒. กำหนดให้มีการปรับเปลี่ยนผู้ที่จะดูแลวัดให้เป็นระบบมากขึ้น  อาจกำหนดเป็นโครงการเฉพาะแล้วจัดกลุ่มวัดร้าง ให้เป็นวัดเฉพาะที่อยู่ในโครงการ มีการกำจัดหาพระอาสาสมัครเข้าไปอยู่อาศัย สับเปลี่ยนกันตามช่วงเวลาที่กำหนด กำหนดนิตยภัตตอบแทน และมีการประเมิน รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ต่อการรักษาวัด และยุบวัดให้มีปริมาณในจำนวนที่เหมาะสมกับพื้นที่และระยะทาง            ๓. การหาบุคลากรในวัยเกษียณจากระบบต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาศาสนสมบัติ เช่น นำข้าราชการบำนาญ คนวัยเกษียณจากองค์กรต่าง ๆ  ผู้สูงอายุ (การจัดการผู้สูงอายุเชิงพุทธ) ที่มีวุฒิภาวะ ความสามารถ (ที่มิใช่ปริมาณ) มาบวชโดยมีเป้าหมายเพื่อการดูแลรักษาวัดร้าง ๆ โดยมีการกำหนดพื้นที่ แนวทางและวัตรปฏิบัติที่เหมาะสม  โดยอาศัยทักษะและประสบการณ์ของท่านเหล่านั้นจากหน่วยงานต่าง ๆ (เดิม) ที่เคยทำในสมัยเป็นฆราวาส ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยในการดูแลรักษาวัด รวมไปถึงมีความสามารถในการจัดการวัด และองค์กรคณะสงฆ์ได้                                                                                                                                     ๔. จัดการควบคุมวัดร้างหรือวัดที่ห่างไกลให้เป็นเพียงศาสนสมบัติ(กลาง) ประหนึ่งยุบวัด และกำหนดพื้นที่แบ่งโซน และกำหนดพื้นที่บริการของวัดต่อการทำกิจกรรมสาธารณะ กิจกรรมการกุศลได้  ซึ่งย่อมจะเป็นประโยชน์มากกว่าปล่อยให้ดำรงอยู่ต่อไป  เพราะถ้ายังคงไว้จะเป็นภาระและกลายเป็นปัญหาเชิงชุมชนนั้น อาทิ การดูแล ค่าบำรุงรักษา และผลประโยชน์อันเป็นผลได้ ที่เกิดขึ้นกับวัดในขณะไม่มีผู้ดูแลทั้งในส่วนของพระและชุมชน            ๕. การทำให้ชุมชนเข้ม เพื่อรองรับต่อการจัดองค์พุทธ โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง รวมถึงทำกิจกรรมทางศาสนา  ส่งเสริมให้ชาวพุทธมีความเข้าใจต่อการทำหน้าที่ของชาวพุทธมากขึ้น เช่น มิใช่เป็นเพียงผู้มีส่วนร่วมในพิธิบุญ โดยมีพระเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรม  ให้ชาวพุทธในฐานะ “บริษัท ๔” มีส่วนต่อการกำหนด “กิจกรรมเชิงพุทธ” ที่สอดรับกับชุมชนและสังคมมากขึ้น ไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาที่สัมพันธ์กับชีวิตในฐานะเป็นกระบวนการขับเคลื่อนเชิงโครงสร้าง และชุมชนในสังคมนั้น ๆ              7. จัดให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา  โดยอาจกำหนดเป็นหลักสูตรชัดเจนมากขึ้นโดยมุ่งที่ไปที่วัดร้าง  เช่น พระนิสิตปฏิบัติงานของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง  หรือพระที่จบหลักสูตรเปรียญในระดับสูง (ป.๙) อันเป็นที่สิ้นสุดของการศึกษาแล้ว ให้ไปปฏิบัติศาสนกิจยังชนบทหรือถิ่นทุรกันดาร คล้ายแพทย์ชนบท ที่ส่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลท้องถิ่นในต่างจังหวัด แต่ต้องเป็นการส่งไปเรียนรู้งานชุมชนที่จัดทำอย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่องในเชิงองค์กร            8.ให้มีการส่งพระ หรือพระอาสาสมัครจากส่วนกลาง เป็นคล้าย “ธุดงค์กลุ่ม” เข้าไปทำกิจกรรมเชิงกลุ่มในชุมชนสลับกันไปเพื่อมิให้วัดกลายวัด “ร้าง” เป็นการสร้างเครือข่าย และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างชุมชนและสังคมอื่นในภาพกว้าง ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มในกิจกรรมเชิงพุทธ เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนระหว่างกัน รวมไปถึงอาชีพ การจัดชุมชนเชิงพุทธ การค้าชุมชน  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในเชิงลึกและกว้างได้  ซึ่งมีผลให้วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนและศาสนามากขึ้น  มิใช่ที่พักสงฆ์ ทำบุญ  พอไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ ชาวพุทธก็ไม่มาร่วมกันทำกิจกรรมกลุ่มอันจะก่อให้เกิดความไม่ยั่งยืนในการดำเนินชีวิตด้านอื่น  ๆ  ได้ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงการดำเนินชีวิตในฐานะ “ชีวิต” ก็จะยังดำเนินไปอยู่            วิธีการทั้งหมดเป็นเพียงทัศนะ ซึ่งผู้เขียนคิดว่ายังมีวิธีการอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ต้องค้นหาและศึกษาเพิ่มเติมเอาเพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมภาพของความเป็นวัดในฐานะเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรสงฆ์ และเป็นหน่วยในการส่งเสริมภาพลักษณ์แห่งความเป็นพุทธศาสนา และสร้างเสริมคุณภาพชีวิตให้กับชุมชน เพราะมิฉะนั้นแล้ว วัดจะยังคงร้างต่อไป เมื่อผู้ปกครองเป็นได้แค่สภาตรายางรอประทับว่าวัดสร้างได้ เป็นได้  และคณะผู้ปกครองแย่งกัน สวาปามกับวัดที่มีผลประโยชน์ เช่น วัดโสธรวราราม เป็นต้น คิดกันง่าย ๆ ทำไมผู้ปกครองไม่ยักไปแย่งกันเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดร้างห่างไกลชนบท ก็แปลว่าท่านเองก็ไม่พร้อมจะไปอดอยากอยู่ในป่าในเขาเช่นเดียวกัน  ดังนั้นยุทธศาสตร์  หรือนโยบายคณะสงฆ์ ต้องอยู่บนฐานของสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่นั่งอยู่ในห้องประชุมติดแอร์ ที่ไม่ได้ตอบสนองความจริงในเชิงบริบททางสังคมแต่ประการใด            วัดร้างส่วนหนึ่งเพราะเราสร้างวัดขึ้นมา โดยอนุญาตให้ยกวัด ตั้งวัด สร้างวัด เรามองแต่ปริมาณของวัด แต่ในเวลาเดียวกับเราไม่ไดส่งเสริมศาสนธรรม และศาสนบุคคลให้มีคุณภาพต่อการรักษาศาสนา ทั้งในมิติของคน และหลักการ  เราส่งเสริมให้เกิดการสร้างวัด สิ่งก่อสร้างศาสนาสถานที่ใหญ่โต หากคนมิเข้าใจเจตนารมณ์แห่งศาสนาแล้ว วัดก็จะยังคงร้างต่อไป  ผู้เขียนเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าการกระจายตัวของหลักธรรมย่อมมีผลต่อการขับเคลื่อนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามากกว่า  สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โต..พระโสณะ พระอุตระเดินทางมาสุวรรณภูมิเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา มิได้มาในฐานะนักก่อสร้าง แต่มาในฐานะนักเผยแผ่ ผลคือพระพุทธศาสนามั่นคงอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ  หลวงพ่อชา  ส่งศิษย์ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ ดาไล ลามะ ผู้ส่งสาสน์แห่งพุทธะ ไปทุกหย่อมหญ้าทั่วโลก  ล้วนไปด้วย “หลักแห่งพุทธะ” มิใช่หรือ ?            วัดร้าง..ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับ..คนร้างหลักธรรม..และร้างความดีงามในสังคม..ชาวพุทธร้างความเข้าใจต่อพระพุทธศาสนา  พระสงฆ์ผู้สืบทอดร้างอุดมการณ์แห่งความเป็นพุทธ..!!!!!          หยุดและทบทวน...คำว่า...”ร้าง” กันก่อนดีไหม....? แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 12:12:34 จากคุณ : ชื่นชมในบทความครับ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 12:11:36

ความคิดเห็นที่ 47 ได้รับข้อมูลจากพี่ๆใน FB นำมาลงไว้ให้ทราบทั่วกัน การขอขึ้นทะเบียนวัดร้างหรือตั้งวัด(ยังไม่ขอขึ้นทะเบียนวัด) ในที่ดินที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดิน มีกำหนดไว้ในการขึ้นทะเบียนอยู่ด้วย -------- อนุโมทนาพี่ๆเพื่อนๆน้องๆครับ จากคุณ : ชื่นชมยินดีในความพยายาม (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 13:05:42

ความคิดเห็นที่ 48 ลงมาเป็นข้อมูลให้อ่านกันครับ(เป็นความเ็ห็นของพี่ท่านหนึ่งนะครับ  อ่านแล้วมีวิจารณญาณด้วยครับ) อ้างอิง ข้อมูลใน นสพ ไทยโพสต์  วัดกับชาวบ้าน http://www.thaipost.net/x-cite/140912/62373 เอ้า..คุณชัยมงคล..3 จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ใช่ที่โยนของเสียของเน่านา กรุณาเอาความหวังดีคืนกลับไปเถอะ และขอบอกวัดแถวบ้านผมไม่ได้ร้าง อย่างน้อยแต่ละวัดก็ยังมีพระสงฆ์องค์เจ้าให้ชาวบ้านได้ทำบุญใส่บาตรอยู่แห่งละรูปสองรูป อย่าให้เป็นภาระต้องลำบากลำบนอะไรใครเขาเลย ลำพังแค่เสียงปืนเสียงระเบิดก็เกรงใจเขาจะแย่อยู่แล้วที่ต้องคอยเป็นห่วงเป็นใย เรื่องพระเรื่องวัดปล่อยให้พี่น้องชาวใต้เขาตัดสินใจเองเถอะ!    สงสัยใช่มั้ยล่ะว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร?..ก็เรื่องที่นายชัยมงคล ไชยรบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สกลนครและชาวบ้าน ได้ออกมาโวยกรรมาธิการการศาสนา ว่ารีบด่วนสรุปที่ดินเกาะดอนสวรรค์เป็นที่ธรณีสงฆ์ ทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเชื่อว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง ตามหน้า 3 ไทยโพสต์ฉบับวานนี้ (13 ก.ย.) ได้รายงานข่าวนั่นแหละ    โดยท้ายข่าวนายชัยมงคลบอกว่า.. “กรรมาธิการการศาสนาฯ มีความประสงค์ มีความพยายามที่จะออกโฉนดบนดอนสวรรค์ อยากถามกรรมาธิการการศาสนาฯ ว่าท่านมีผลประโยชน์อะไรอยู่เบื้องหลังดอนสวรรค์แห่งนี้หรือไม่ หากประสงค์จะพัฒนาวัดร้าง ในประเทศไทยมีวัดร้างมากมาย ท่านสมควรที่จะไปพัฒนา โดยเฉพาะที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้..”    ก็เพราะความคิดแบบนี้..ความคิดที่ข้าราชการไม่ดี ตำรวจชั่ว ต้องถูกทำโทษด้วยการส่งลงไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้นี่แหละ ถึงได้เพาะบ่มเชื้อความเคียดแค้นให้กับคนในท้องถิ่น และได้เป็นปัญหาเรื้อรังมาอย่างที่เห็นอยู่ ณ วันนี้    ผมไม่ได้มองการพัฒนาวัดร้างเป็นเรื่องเสียหายน่าขยะแขยง แต่ผมห่วงใน “วิธีการพัฒนา” เกรงว่าจะพัฒนาออกไปนอกลู่นอกทางของความเป็น “พุทธศาสนา” ดั้งเดิม ยิ่งได้เห็นบางลัทธิขยายเครือข่ายไปตามวัดในถิ่นชนบทก็ให้ยิ่งห่วง..สักวันวัด (แท้) จะถูกกลืน!    การที่คุณชัยมงคลและชาวสกลนครแสดงออกถึงความหวงแหน “เกาะดอนสวรรค์” ก็เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม ด้วยเห็นอยู่ไม่ได้เป็นการต่อสู้แย่งชิงที่ “ธรณีสงฆ์” มาเป็นสมบัติหรือประโยชน์ส่วนตัวเหมือนกับกรณีสนามกอล์ฟอัลไพล์    คำถาม..ธรณีสงฆ์มีแค่ 6 ไร่ แต่เหตุใดขอยื่นออกโฉนดฮุบทั้ง 85 ไร่บนเกาะ? หนำซ้ำกรรมาธิการการศาสนาฯ ก็เร่งรีบด่วนสรุปคล้ายมีเงื่อนงำ และมีผลประโยชน์อะไรอยู่เบื้องหลังเกาะดอนสวรรค์แห่งนี้หรือไม่? อาจฟังดูแรง    แต่คุณลีลาวดี วัชโรบล อดีตนางเอกในดวงใจผม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ จะต้องไม่ถือโกรธ และต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของคนในพื้นที่ที่มีความรักความหวงแหนเกาะดอนสวรรค์    พวกเขาคงมองว่า 6 ไร่สำหรับธรณีสงฆ์ก็น่าจะพอเหมาะพอควรต่อการอยู่ของสมณเพศ ที่จะประกอบกิจทางศาสนาแล้ว เขาคงไม่อยากให้วัดรุกล้ำพื้นที่เกินความจำเป็น เพื่อจะได้กันที่ดินนั้นเอาไว้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ส่วนรวม    เมื่อชาวบ้านในพื้นที่เขาต้องการเช่นนั้น ก็ไม่เห็นมีเหตุผลอันใดที่จะต้องดันทุรัง หรือกระทำทุกวิถีทางทางกฎหมายที่จะเอามาเป็นที่ธรณีสงฆ์    อย่าลืมวัดกับชาวบ้านต้องพึ่งพาอาศัยกัน หากชาวบ้านไม่เข้าวัดเสียแล้วก็เปล่าประโยชน์ที่วัดจะมีอาณาจักรใหญ่โต นอกเสียจากตั้งใจ ต้องการจะฮุบที่.. ยังงั้นก็สำแดงฤทธิ์เอาให้ได้เถอะ!                                                สันต์ สะตอแมน แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 13:17:14 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 13:14:08 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 13:13:04 จากคุณ : อย่าลืมปักษ์ใต้ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 13:11:45

ความคิดเห็นที่ 49 เราเเชร์ให้ ในเฟสเราน๊า..... จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 15:21:31

ความคิดเห็นที่ 50 เรื่องนี้ขอ 2 ข้อก็พอ 1. รับฟังความเห็น เคารพการตัดสินใจของคนในพื้นที่ 2. ไม่เอาลัทธิธรรมกาย จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 16:58:59

ความคิดเห็นที่ 51 ชาวสกลฯ น่านับถือจริงๆ  แบบนี้เรียกว่าพระรัตนตรัยได้ตั้งมั่นแล้ว ไม่ใช่ หนึ่ง หรือ สอง  แต่เป็นคนหมู่มาก  สิ่งใดที่จะทำให้ศาสนา เสื่อมถอย  บุคคลผู้กล่าวถ้อยคำขัดแย้งคำสอนพระพุทธองค์   เขาก็ไม่ยอมรับ  ถ้าชาวบ้านไม่ยอมรับ  วัดจะไปตั้งอยู่ได้อย่างไร จะไปเอาปืนมาขู่ชาวบ้านหรือ  ต่อให้เจริญเช่น  อินเดียมาก่อน เป็นวัดมาก่อน  แต่ชาวบ้านเขาไม่เอาจะไปทำอะไร  หรือ  ปฏิบัติ มาเพื่อจะเอา  จะเอาให้ได้  นี่แหละ  ปฏิบัติเพื่ออัตตา.... ว่าไปแล้วเหมือนเคยได้ยินว่า  ที่ดินดอนสวรรค์ไม่เกี่ยวกับวัดธรรมกาย แล้วลูกศิษย์วัดธรรมกาย  เดือดร้อนเพื่อ................   ไม่ยึดมั่นในอุดมการณ์เล้ยยย   พูดไว้อย่าง  แต่กระทำอีกอย่าง ปล่อยให้คนในพื้นที่เขาตกลงกันเองเถอะ  บ้านของเขาจะปลูกต้นไม้ตรงไหน วางศาลเจ้าไว้ที่ไหน  ย้ายวัดจากไหนไปไหน  จะเอาที่เดิมเชิญพระไปอยู่ หรือไม่เอาตรงนั้น  หาวัดใหม่ให้พระดีๆอยู่  ต่อให้มันเคยเป็นวัด  แต่ตอนนี้เขาจะ เก็บเอาไว้ให้ธรรมชาติ  เขาจะไปสร้างวัดที่อื่นก็ได้  พระจะไปยึดติดทำไม หรือจะบวชเพื่อเอาเรือน  เอาวัด  ต่อให้เขาไม่ให้อยู่วัด  ก็ต้องไปอยู่ป่า ข้าวยังต้องบิณฑบาตร  ยังจะเลือกที่อยู่อีก  ที่จะอยู่ก็มี  มีวัดเยอะแยะ ไปทะเลาะ กับญาติโยมเพื่อจะเอาวัดไม่ใช่วิสัยนักบวช  ให้ญาติโยมเขาจัดการเถอะ   นรก สวรรค์อะไรก็ช่างเขาเถอะ  พวกพระไม่จริง  ลัทธิอัตตาอะไรนี่   ก็ระวังนรกของตนเองไว้ให้ดี  นี่ขนาดเขาไม่ให้เกาะเล็กกระจิ๋วหริ๋ว ยังทำเป็นจะเป็นจะตาย  อดอยากทนไม่ได้  ยังจะมีน้ำหน้าจะไปดุสิตบุรีอะไรอีก ความโลภยังละขาดไม่ได้  ปล่อยวางไม่เป็น  ไอ้ที่ขยายมโหราน ดาวล้านดวง เท่าไหร่ๆก็ยังไม่พออีกหรือ   มันจะได้ทุกอย่างหรือ  มันก็ต้องมีสักที่  สักที สักหน สักคน ละน่า  ที่กิเลสทำอะไรไม่ได้   ทำไม่สำเร็จ  ชาวสกลเขาก็รู้ศาสนาดีแล้วนี่ ไปพัฒนาอะไรเขาละ  เก็บเอาที่จะอยากจะพัฒนา  ไปพัฒนาตนเองให้ไม่ อยากได้ของ  ในสิ่งที่เจ้าของเขาดูแลรักษา  ไม่อยากให้ดีกว่า  มันเรียกว่า "โขมย"  ข้อหาโขมย  ไม่ใช่ข้อหาทางโลก  ของอะไรที่มีเจ้าของดูแล   และรักษา  แม้แต่ต้นไม้ข้างทาง  มันจะเป็นของสาธารณะหรืออะไรก็ตาม   แต่ถ้ามีคนดูแลรักษา  และหวงแหนมีเจ้าของ  ถ้าเจ้าของเขายังหวงแหน ไม่ให้แล้วเราไปเอา  ศาสนาพุทธเขาเรียกว่า โขมย  มีเจตนาจะโขมย   แล้วถ้าพระอยู่เบื้องหลัง  มันเรียกว่าปราชิก  อย่าได้ขวยขวายเลย อย่าขวนขวายเพื่อจะโขมย  ในสิ่งที่คนเขาไม่ให้เลย  ถึงว่าสมัยก่อนจะคืออะไร   แต่สมัยนี้ตอนนี้  คนแถวนั้นเขาไม่เอา  อดีตที่ไหนก็ช่วยอะไรเท่าปัจจุบันไม่ได้ ถ้ามันทำได้  ไม่แห่ไปเรียกร้องให้ทั้งอินเดีย  เป็นของชาวพุทธเลยมิดีกว่าหรือ ไม่ไปรื้อของเขาดู  ว่าวัดฮินดูอะไรก็ตาม  มีหลักฐานเคยเป็นวัดมาก่อน   แล้วตอนนี้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น  หัดรู้จัดกาล  รู้จักสมัยเสียบ้าง   รู้จักปัจจุบัน  และยอมรับการอยู่ร่วมกันในสังคม  เสียบ้าง   ไม่ใช่   กูจะเอา  กูตัดสินใจแล้ว  กูจะเผยแผ่อะไรก็ไม่รู้ และมันต้องได้ เจริญในธรรมคะ  ชาวพุทธ  มีอย่างชาวสกลฯ ไม่ต้องมาก  ศาสนาก็อยู่รอด คุณคือผู้ที่เข้มแข็งจริงๆ  สมัยนี้มีแต่เขาเลยตามเลย  ไม่ออกแรงลุกมาทำอะไร กับคนพวกนี้หรอก  แค่พูดด้วยยังเวียนหัว  แต่นี่คุณลุกขึ้นมาเป็นจริงเป็นจัง แค่ต้องการปกป้องศาสนาของคุณ  ปกป้องสถานที่ที่ไม่ต้องการให้ใครก็ตาม มาทำสิ่งที่คุณไม่ต้องการ  คนที่สนใจปกป้องศาสนาขนาดนี้  ต่อสู้ขนาดนี้ ในยุคสมัยนี้ แค่จะมีวัดนอกคอกสักวัดหนึ่ง  คุณยังเข้มแข็งได้ขนาดนี้ ชนกลุ่มใดที่ทำได้ขนาดนี้  ชนกลุ่มนั้นไม่ธรรมดา เจริญในธรรมจริงๆคะ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 23:27:15 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 20:14:46 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 20:07:24 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 20:00:25 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 19:52:31 จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 19:35:55

ความคิดเห็นที่ 52 เยี่ยมครับ ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวสกลด้วยครับ ที่ได้รับความยุติธรรม จากคุณ : Arkkara เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 20:04:03

ความคิดเห็นที่ 53 ..ขอบอกว่าโดนครับคุณ goodsthailand คห 51...อ่านแล้วขนลุก..ยกกิฟท์ให้ทั้งปีเลยดีไหมเนี้ย อิอิอิ คห แห่งปีเลยว่างั้น .ผมนำไปให้ชาวสกลนครอ่านแล้วนะครับทาง FB...คงมีคนร่วมอนุโมทนากันแยะครับ... แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 20:53:19 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 20:51:03 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 20:47:53 จากคุณ : ชื่นชมยินดีใน คห ดีๆ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 20:47:36

ความคิดเห็นที่ 54 แล้วเรื่องที่ดินเป็นธรณีสงฆ์หละครับต่อICUขอชี้แจงเรื่องนี้ด้วย จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 06:12:33

ความคิดเห็นที่ 55 อนุโมทนาบุญครับ ปล. ขโมยรึป่าวครับ^^ จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 06:26:25

ความคิดเห็นที่ 56 เรียนคุณพัดลมร้อนๆ คห 54    ถ้าพูดกันตรงๆ  คำว่าธรณีสงฆ์นี้  ต้นกำเนิดเกิดจาก การที่ชาวบ้านเขายกที่ดินให้กับพระพุทธศาสนาเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์กับพระพุทธศาสนาครับ  ส่วนต่อมาจะมีกฎหมายอะไรควบคุมต่อไป นั้นเป็นเรื่องของรัฐที่ช่วยคุ้มครอง โดยมีชาวบ้านเป็นคนช่วยดูแลทำนุบำรุงครับ  ถ้าชาวบ้านไม่เห็นด้วย แล้ววัดจะอยู่ได้อย่างไร ลองอ่าน คห 51 ของคุณgoodsthailand นะครับ เป็นการแสดง คห ที่ดีมาก      ในกรณีดอนสวรรค์นี้   ไม่มีประวัติว่าเคยเป็นธรณีสงฆ์มาก่อน  ผู้เฒ่าผู้แก่ที่สกลนครก็บอกว่าไม่เคยมีวัดมาก่อน ณ ที่แห่งนี้  เราไม่เชื่อคนท้องถิ่นแล้วเราจะมานั่งเดากันจะเกิดประโยชน์อะไร   ได้ข่าวว่าล่าสุด มีคนของรัฐที่ไม่ได้เป็นคนในท้องที่มาบอกว่าเขาเคยบวช เคยไปที่ดอนสวรรค์แล้วฟันธงว่าเป็นวัด  อันนี้ก็เป็นหลักฐานเลื่อนลอย เพราะอ้างคำพูดตนเองแต่ไม่มีหลักฐานอะไรที่เป็นรูปธรรม     ส่วนสิ่งปลูกสร้างที่เห็น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นวัดอะไร  ถ้าคุณยังคิดว่ารูปทรงแบบนี้เป็นโบสถ์ ต้องแบบนี้แน่นอนเป็นโบสถ์ในวัด       ก็แล้วลักษณะของโบสถ์ที่สำนักที่คุณชื่นชอบเป็นแบบเดียวกันหรือไม่?      จะเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ครับ จากคุณ : พัดให้เย็นไม่ใช่ให้ร้อน (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 08:00:24

ความคิดเห็นที่ 57 เรียนเพื่อนสมาชิก ผมเพิ่มเติมให้อีก 2 ประการ 1.เรื่องดอนสวรรค์ ถ้าเปรียบได้ก็เปรียบเหมือนกับยอดน้ำแข็งที่คนทั่วไปในสังคมมองเห็น แต่ยังมีส่วนก้อนน้ำแข็งที่ใต้น้ำที่ยิ่งใหญ่อยู่อีก ....ให้รอดูกันว่า  แล้วสุดท้าย ท้ายสุดเรื่องราวพวกเราชาวพุทธในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25-26 นี้ จะทำอะไร  มีผลเกิดอะไรขึ้นบ้าง.....ปัญญาชาวพุทธมีเพียงใด พอที่จะเป็นตัวอย่างให้กับชาวพุทธรุ่นหลังหรือไม่ อย่างไร  น่าติดตามครับ 2.แม้สุดท้าย ท้ายสุด ออกหัวหรือก้อย ก็มีประโยชน์กับชาวพุทธทั้งสิ้น     ถ้าเป็นธรณีสงฆ์ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี(และต้องเหมาะกับสมณะด้วย เืรื่องการบิณฑบาตร เป็นต้น ถ้าต่อไปมีชุมชนเข้ามาอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากอยู่เพราะมีกฎหมายไม่ให้ผู้ใดครอบครองที่ดิน โดยรอบหนองหาร รวมทั้งเกาะดอนสวรรค์ด้วย) เพราะเชื่อมั่นได้ว่าชาวสกลฯ(ที่มีหลักในพระพุทธศาสนาจริงๆ แต่ก็คงมีบ้างที่ยังหลงทางอยู่)ทราบดีว่าแนวทางใดเป็นแนวทางที่ถูกหลักพระพุทธศาสนาก็เป็นประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา(ผมเชื่อว่าชาวพุทธแท้ไม่แบ่งแยกพระจากธรรมยุติหรือมหานิกาย เพราะ เป็นนิกายเถรวาทเช่นเดียวกัน คำสอนใช้หลักในพระไตรปิฎก  ส่วนหากสำนักใดไม่ปฏิบัติตามคำสอนในพระไตรปิฎกเถรวาท แล้วยังไม่แยกตัวออกไป  ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลัทธิ หาใช่พระพุทธศาสนาไม่)       ส่วนถ้าไม่ใช่ธรณีสงฆ์  ตกเป็นของชาวบ้าน  ชาวพุทธก็ต้องอนุโมทนาสาธุ เห็นประโยชน์กับความเสียสละให้ทานที่ยิ่งใหญ่กับชาวบ้านต่อไป  สังคมก็ไม่แตกแยก  ชาวบ้านก็ประกอบอาชีพส่วนหนึ่งบำรุงครอบครัวเขา อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อนำมาบำรุงพระศาสนาต่อไป (อย่าไปติดว่าเขาจะประกอบอาชีพหาปลาอย่างเดียว  ดอนสวรรค์อาจจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีสัมมาอาชีพเกิดขึ้นอีกมาก)    และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นการย้ำเตือนว่า อย่าให้เหมือนอดีตที่ผ่านมา ที่พระถือกรรมสิทธิ์ หรือ อยู่เบื้องหลังเรื่องที่ดิน     พระออกบวชแล้วก็เป็นผู้สละแล้วซึ่งสมบัติทางโลก  อย่าอ้างว่ากฎหมายให้สิทธิ์    ถ้าเป็นพระที่แท้จริงต่อให้ชาวบ้านยกถวายมาทั้งประเทศ ท่านก็ไม่รับเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว แม้จะอ้างว่ามีเจตนาต่อพระศาสนา รู้ทั้งรู้ว่าไม่เป็นความเหมาะสมก็ยังกระทำ     เป็นพระภิกษุต้องถือพระธรรมวินัย จึงจะเป็นพระที่สมควรได้รับการกราบไหว้บูชาจริงๆ  ไม่ใช่เกิดจากการโฆษณาหรือสร้างภาพ เพื่อให้คนมานับถือ   ขอยกข้อมูลในพระไตรปิฎกมาลงไว้นะครับ เพื่อให้เกิดประโยชน์  ส่วนภาพนั้นเป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์(แม้ปัจจุบันไม่ได้เป็นของเขาแล้ว) แต่ขอภาพโฉนดมาให้เป็นตัวอย่างว่าสมควรหรือไม่ อย่างไร (นำมาเฉพาะบางข้อ) พระไตรปิฎก เล่มที่ 9 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 1 ข้อ 103 อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=1435&w=%A8%D8%C5%C8%D5%C5&pagebreak=1 จุลศีล [๑๐๓] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล... .... ๒๑. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน... -------- มัชฌิมศีล ..... [๑๑๓] ๑๐. ภิกษุเว้นขาดจากการพูดหลอกลวง และการพูดเลียบเคียง เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูด เลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง. ---- [๑๒๑] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลยเพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล. แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 11:55:25 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 10:17:21 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 10:12:53 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 10:11:00 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 10:09:23 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 10:09:01 จากคุณ : หมองูตายเพราะงู (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 10:07:21

ความคิดเห็นที่ 58 ความต้องการที่อยากจะถือครองที่ดินของเจ้าสำนักจานบิน ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยลดจางลง ยิ่งพวกสาวกออกมาโวยวายมากเท่าไร ยิ่งเป็นการตอกย้ำความต้องการมากเท่านั้น ถึงจะอ้างธรณีสงฆ์หรือเขตอภัยทานอย่างไร ก็ไม่สามารถปกปิดความต้องการที่อยากจะถือครองเป็นเจ้าของได้ ขออนุโมทนาคุณต่อและคุณgoodsthailand และขอนำข้อมูลในกระทู้นี้ออกเผยแผ่ต่อไป จากคุณ : อยากได้ที่ดินจนตัวสั่นเลยหรือ (ad law) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 15:21:19

ความคิดเห็นที่ 59 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ ทุติยปาราชิกสิกขาบท เรื่องพระธนิยะ กุมภการบุตร พระปฐมบัญญัติ             ๒. อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็น ขโมย พระราชาทั้งหลาย จับโจรได้แล้วพึงประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศ เสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของ ไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6087&Z=6234&pagebreak=0 ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ พระอนุบัญญัติ             ๒. ก. อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ด้วย ส่วนแห่งความ เป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลาย จับโจรได้แล้ว ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็น ปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6235&Z=6282&pagebreak=0 ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ สิกขาบทวิภังค์             [๘๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด  มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็น   เถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด             บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุโดยสมญา ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้ว ด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสาระธรรม ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะว่า อรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียง กันให้อุปสมบทแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ บรรดาผู้ที่ชื่อว่าภิกษุเหล่านั้น ภิกษุนี้ใด ทั้งสงฆ์พร้อมเพรียงกันให้อุปสมบทแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ ภิกษุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์ว่า ภิกษุ ในอรรถนี้             ประเทศที่ชื่อว่า บ้าน มีอธิบายว่า บ้านมีกระท่อมหลังเดียวก็ดี มีกระท่อม ๒ หลังก็ดี มีกระท่อม ๓ หลังก็ดี มีกระท่อม ๔ หลังก็ดี มีคนอยู่ก็ดี ไม่มีคนอยู่ก็ดี แม้ที่เขาล้อมไว้ก็ดี  แม้ที่เขาไม่ได้ล้อมไว้ก็ดี แม้ที่เขาสร้างดุจเป็นที่โคจรเป็นต้นก็ดี แม้หมู่เกวียนหรือต่างที่อาศัยอยู่ เกิน ๔ เดือนก็ดี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บ้าน             ที่ชื่อว่า อุปจารบ้าน กำหนดเอาที่ ซึ่งบุรุษขนาดกลาง ผู้ยืนอยู่ ณ เสาเขื่อนแห่งบ้านที่ล้อม โยนก้อนดินไปตก หรือกำหนดเอาที่ซึ่งบุรุษขนาดกลาง ผู้ยืนอยู่ ณ อุปจารเรือนแห่งบ้าน ที่ไม่ได้ล้อม โยนก้อนดินไปตก             ที่ชื่อว่า ป่า มีอธิบายว่า สถานที่ที่เว้นบ้านและอุปจารบ้าน นอกนั้นชื่อว่า ป่า ********************************************************             ที่ชื่อว่า ทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ มีอธิบายว่า ทรัพย์ใดอันเจ้าของไม่ได้ให้ ไม่ได้ละวาง ยังรักษาปกครองอยู่ ยังถือกรรมสิทธิอยู่ว่าเป็นของเรา ยังมีผู้อื่นหวงแหน ทรัพย์นั้นชื่อว่า ทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ********************************************************             บทว่า ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย ได้แก่มีจิตคิดขโมย คือมีจิตคิดลัก.             [๘๖] บทว่า ถือเอา คือ ยึดเอา เอาไป เอาลง ยังอิริยาบถให้กำเริบ ให้เคลื่อนรากฐาน ให้ล่วงเลยเขตหมาย.             [๘๗] ที่ชื่อว่า เห็นปานใด คือ หนึ่งบาทก็ดี ควรแก่หนึ่งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ่งบาทก็ดี             ที่ชื่อว่า พระราชาทั้งหลาย ได้แก่พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าผู้ปกครองประเทศ ท่านผู้ปกครองมณฑล นายอำเภอ ผู้พิพากษา มหาอำมาตย์ หรือท่านผู้สั่งประหารและจองจำได้ ท่านเหล่านี้ ชื่อว่า พระราชาทั้งหลาย             ที่ชื่อว่า โจร มีอธิบายว่า ผู้ใดถือเอาสิ่งของอันเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา ๕ มาสกก็ดี เกินกว่า๕ มาสกก็ดี ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย ผู้นั้นชื่อว่า โจร             บทว่า ประหารเสียบ้าง คือ ประหารด้วยมือหรือด้วยเท้า ด้วยแส้หรือด้วยหวายด้วยไม้ค้อนสั้นหรือด้วยดาบ             บทว่า จองจำไว้บ้าง คือ ผูกล่ามไว้ด้วยเครื่องมัดคือเชือก ด้วยเครื่องจองจำคือขื่อคา โซ่ตรวน หรือด้วยเขตจำกัดคือเรือน จังหวัด หมู่บ้าน ตำบลบ้าน หรือให้บุรุษควบคุม             บทว่า เนรเทศเสียบ้าง คือ ขับไล่เสียจากหมู่บ้าน ตำบลบ้าน จังหวัด มณฑล  หรือประเทศ             คำว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย นี้เป็นคำบริภาษ.             [๘๘] ที่ชื่อว่า เห็นปานนั้น คือ หนึ่งบาทก็ดี ควรแก่หนึ่งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ่งบาทก็ดี             บทว่า ถือเอา คือ ตู่ วิ่งราว ฉ้อ ยังอิริยาบถให้กำเริบ ให้เคลื่อนจากฐาน ให้ล่วงเลยเขตหมาย.             [๘๙] คำว่า แม้ภิกษุนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุรูปก่อน ********************************************************             คำว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ใบไม้เหลืองหล่นจากขั้วแล้ว ไม่อาจจะเป็นของเขียวสดขึ้นได้ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแหละ ถือเอาทรัพย์อันเขาไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความ เป็นขโมย หนึ่งบาทก็ดี ควรแก่หนึ่งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ่งบาทก็ดี แล้วไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก             บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่า สังวาส ได้แก่กรรมที่พึงทำร่วมกัน อุเทส  ที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกันนั่นชื่อว่า สังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุนั้น  เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6283&Z=6335&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=85 ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ อาณัตติกประโยค             [๑๒๑] ภิกษุสั่งภิกษุว่า ท่านจงลักทรัพย์ชื่อนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักเข้าใจทรัพย์  นั้นแน่ จึงลักทรัพย์นั้นมา ต้องอาบัติปาราชิกทั้ง ๒ รูป             ภิกษุสั่งภิกษุว่า ท่านจงลักทรัพย์ชื่อนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักเข้าใจทรัพย์นั้นแน่  แต่ลักทรัพย์อย่างอื่นมา ภิกษุผู้สั่ง ไม่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลัก ต้องอาบัติปาราชิก             ภิกษุสั่งภิกษุว่า ท่านจงลักทรัพย์ชื่อนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักเข้าใจทรัพย์อย่างอื่น  แต่ลักทรัพย์นั้นมา ต้องอาบัติปาราชิกทั้ง ๒ รูป http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6582&Z=6610&pagebreak=0 ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ อาการแห่งอวหาร อาการ ๕ อย่าง             [๑๒๒] ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑             ถุลลัจจยาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคาเกินกว่า ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑             ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่าน้อย ได้ราคา ๑ มาสกหรือหย่อนกว่า ๑ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ อาการ ๖ อย่าง             [๑๒๓] ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง  คือ มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑             ถุลลัจจยาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคาเกินกว่า ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑             ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคา ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๑ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑. อาการ ๕ อย่าง             [๑๒๔] ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง  คือ ทรัพย์มิใช่ของอันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสกหรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑             ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ทรัพย์มิใช่ของอันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคาเกิน๑ มาสก หรือหย่อน ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑             ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ทรัพย์มิใช่ของอันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคา ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๑ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6611&Z=6650&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=122 ----------------------------------------------------------------------------------------- ขอมอบความรู้ให้ขาวพุทธนะคะ  ในฐานะที่เรามีตัวอย่างให้ศึกษา ถูกผิด  มีพระธรรมวินัยเป็นของที่ชาวพุทธทุกคนที่จะศึกษาได้ กรรมและผลของกรรม รองรับผู้กระทำได้  หากไม่ระวัง อาจก้าวล่วงสิกขาบทได้ ผู้ใดจะตัดสินกรรมของผู้นั้นได้ นอกจากตนและตนรู้อยู่แก่ใจตนว่า   ได้ล่วงสิกขาบทใดไปแล้วบ้าง   พระท่านหนึ่งท่านสอนว่า  หากแม้ผู้นั้นไม่ยอมรับ  ก็ปล่อยให้คนๆนั้น ตัดสินตนเองนั่นแหละ  ยกไว้ให้คนๆนั้น  ที่กระทำนั่นแหละรับผิดชอบตนเอง แต่ชาวพุทธเราสามารถศึกษาพระวินัย  เพื่อการวางท่าทีที่ถูกต้อง  และการรักษา พระวินัยของเราได้  และที่สำคัญเพื่ออุปการะแก่พระภิกษุผู้ประพฤติปฏิบัติตาม พระวินัย  อันเป็นความประพฤติอันดีงามที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ ดิฉันเพียงมีวัตถุประสงค์เพียงกล่าวไปตามธรรม  ตามความรู้เท่าที่มี เท่านั้น  ส่วนวิจารณญาณของชาวพุทธ  ก็สุดแล้วแต่ทุกท่านจะวินิจฉัย แต่ไม่ได้มีพวกพ้อง  หรือฝ่ายไหน  บุคคลใดทั้งสิ้น  มีเพียงว่าไปโดยธรรมเท่านั้นคะ ฝากพระสูตรให้ศึกษานะคะ   เมื่อกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับโขมย  ชาวพุทธก็ควรมีความรู้ เรื่องนี้ไว้ว่า  การรักษาสิกขาบทข้อนี้ละเอียดอ่อนกับพระภิกษุมาก  แม้แค่ทำให้ไหว หรือเคลื่อนออกจากฐาน  คือยกออกจากที่เดิมนิดหน่อย  ก็ถึงแห่งความปราชิกได้ เมื่อผู้ใดคิดจะบวช  จะได้ระมัดระวังกายใจของตนให้ดี  สิ่งใดที่ไม่แน่ใจ  ยังสงสัย ว่าจะเป็นของตนหรือไม่  ยังไม่มีผู้ประเคนให้  ก็จะได้ระมัดระวัง  เผื่อว่ามีผู้จะบวช ก็ขอให้มีความรู้นี้ติดตัวไป  มากกว่าได้เข้ามาอ่านข้อความเฉยๆ  ดิฉันมุ่งหวัง เพียงแค่นั้น  เพียงแค่มีผู้ตั้งใจรักษาพระธรรมวินัยเพิ่มขึ้นแม้เพียงหนึ่งองค์ก็ยังดีคะ การมีพระภิกษุผู้รักษาพระวินัยเพิ่มแม้เพียงหนึ่งองค์  แค่นี้ก็เป็นบุญ ในพระบวรพุทธศาสนาแล้วคะ   เจริญในธรรมคะ จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 20:22:00

ความคิดเห็นที่ 60 ..:)...มีแว่วๆว่าจะส่อยืดเยื้อในเรื่องที่ดินที่ดอนสวรรค์..ยิ่งยืดเยื้อยิ่งดี..จะได้ยกภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำออกมาแสดง และ ปั้นแต่งให้เพื่อให้เหมาะสมกับชาวพุทธต่อไป ------ ขออนุโมทนาคุณ ad law , goodsthailand, สาธุ คุณzimฯ,เวย์คุง, ให้ดูจิต ที่จิต(แม้ไม่ได้แสดงคห แต่เห็นกิฟท์แล้ว) ------ และ เรียนท่านสมาชิกทุกท่านครับ  หลังการทำบุญกิริยาวัตถุ  หรือ การนั่งภาวนาทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ท่านจะอธิษฐานสิ่งใดก็ตามแต่ที่ท่านอธิษฐาน ผมขอให้ท่านช่วยอธิษฐานให้ชาวพุทธสามัคคีร่วมใจกันสร้างเหตุปัจจัยปกป้องพระพุทธศาสนาที่แท้จริงให้ประดิษฐานต่อไปอีก ผ่านพ้นกึ่งพุทธกาลนี้ไปให้จงได้ครับ (ชาวพุทธรุ่นหลังจะได้ศึกษาและปฏิบัติกันต่อไป คงยังมีเวไนยสัตว์ที่จะได้มาสร้างบารมีในพระพุทธศาสนาก่อนสิ้นยุคพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม) แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 55 09:21:09 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 55 21:36:14 จากคุณ : เพื่อชาวพุทธรุ่นหลัง (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 21:35:49

ความคิดเห็นที่ 61  ความคิดเห็นที่ 38    สิ่งที่เป็นกุศล สนุนพญามาร เขาก็จะพยายามโพสกระทู้ปลุกระดม นั่นแหละ วิสัยของ สมุนพญามาร โบสถ์วิหาร ที่สร้างแล้ว แทนที่จะปลุกระดมช่วยทำให้เป็นวัดโดยสมบรูณ์ แส่จะทำลาย ขัดขวาง ทุกวิถีทาง จิตสกปรก น่ารังเกียจ จากคุณ : venture   youteesud.bloggang.com/" target="_blank"> เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:19:53  ถูกใจ : รัตนมาลี ผมว่า คุณ venture เองนั่นแหละครับที่เป็นสมุนพญามารตัวจริง http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12894059/Y12894059.html#13 จากคุณ : ทวนทอง เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 07:40:11

ความคิดเห็นที่ 62 ....ฝ่ายสำนักลัทธิฯ เขาสอนเรื่อง มาร มานานมากแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่คิดว่าตนเองไม่ใช่เป็นมาร    มีภาคขาว ภาคดำ อะไรของเขา ซึ่งไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ผมอยากให้ทุกท่านทำใจเป็นกลางลองพิจารณาดู   สาระสำคัญในพระธรรมวินัยนี้ ที่มีปรากฎในพระไตรปิฎกนั้น   พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระสาวกพ้นจากความทุกข์ ไม่หมุนเวียนมายังสังสารวัฎฎ์นี้อีก (ซึ่งคือการ ลด เลิก ละ กิเลสทั้งหยาบและละเอียด) ทรงไม่ประสงค์ให้พระสาวกปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งไปสวรรค์ หรือ ภพภูมิใดๆ    แม้เกิดภพภูมิที่สุขสบายพระองค์ก็ทรงไม่ให้พระสาวกปรารถนาไป (แต่การไปจุติที่สุคติภูมิของพระสาวกที่ยังไม่หลุดพ้นสิ้นเชิง เพราะ ท่านได้ทำเหตุปัจจัยไว้ จึงได้รับผลเช่นนั้น    )   ------  ...ภพภูมิใดๆที่ไปจุติ ถ้าเปรียบกับอุจจาระ  แม้เพียงเล็กน้อย ก็เหม็นละคลุ้ง ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปจุติ....เพียงแต่ความพยายาม บารมีของแต่ละคนยังไม่เท่ากัน จึงไม่ใช่ว่าทุกๆคนจะสิ้นทุกข์สิ้นเชิงในชาตินี้....แต่จะไม่มีคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ให้ปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ภพภูมิใดๆ.... ....."ลด  เลิก ละ กิเลส"ต่างหากที่เ๋ป็นสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา... แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 55 11:20:40 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 55 09:20:45 จากคุณ : มารชอบสังสารวัฎฎ์ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 09:19:42

ความคิดเห็นที่ 63 ...ไม่รู้ว่าจะกระตุ้นสามัญสำนึกกันได้หรือไม่...:) จากคุณ : เข้าใจไหมจ๊ะ (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 12:27:47

ความคิดเห็นที่ 64 ต่อ ต่อ ออกแรงให้มากๆที่สุด กว่าทุกเรื่องที่ ต่อ เคยทำมา ช่วยคัดค้านการทำลาย Mes Aynak โบราณสถานพระพุทธศาสนา อายุกว่า 2600 ปี ในอัฟกานิสถาน ด้วยนะครับ จากคุณ : cheewarat เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 12:49:37

ความคิดเห็นที่ 65 ขออนุโมทนาครับคุณ cheewarat ขอให้ประสบความสำเร็จทั้งสองเรื่อง ช่วยๆกันครับ -------- กรณีพระพุทธรูปที่จะถูกทำลายที่อัฟกานิสถาน    หากเรียกร้องแล้วประสบความสำเร็จ  ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อชาวพุทธ ได้เห็นพระพุทธรูปซึ่งทำให้เราได้ระลึกถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค และ ในทางโลกก็เป็นสมบัติล้ำค่ามีอายุหลายร้อยปีโลกต่อไป แต่ถ้าการเรียกร้องล้มเหลวโดยพยายามถึงที่สุดแล้ว   ชาวพุทธก็ถือเสียว่า พระพุทธรูปท่านได้ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์บอกพวกเราให้ชาวพุทธปล่อยวาง  ให้อภัย  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์  ซึ่งเป็นการยกระดับจิตใจของชาวพุทธได้อีกทาง ----- กรณีดอนสวรรค์ ถ้าเป็นธรณีสงฆ์ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี(และต้องเหมาะกับสมณะด้วย เืรื่องการบิณฑบาตร เป็นต้น ถ้าต่อไปมีชุมชนเข้ามาอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากอยู่เพราะมีกฎหมายไม่ให้ผู้ใดครอบครองที่ดิน โดยรอบหนองหาร รวมทั้งเกาะดอนสวรรค์ด้วย) เพราะเชื่อมั่นได้ว่าชาวสกลฯ(ที่มีหลักในพระพุทธศาสนาจริงๆ แต่ก็คงมีบ้างที่ยังหลงทางอยู่)ทราบดีว่าแนวทางใดเป็นแนวทางที่ถูกหลักพระพุทธศาสนาก็เป็นประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา(ผมเชื่อว่าชาวพุทธแท้ไม่แบ่งแยกพระจากธรรมยุติหรือมหานิกาย เพราะ เป็นนิกายเถรวาทเช่นเดียวกัน คำสอนใช้หลักในพระไตรปิฎก  ส่วนหากสำนักใดไม่ปฏิบัติตามคำสอนในพระไตรปิฎกเถรวาท แล้วยังไม่แยกตัวออกไป  ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลัทธิ หาใช่พระพุทธศาสนาไม่)      ส่วนถ้าไม่ใช่ธรณีสงฆ์  ตกเป็นของชาวบ้าน  ชาวพุทธก็ต้องอนุโมทนาสาธุ เห็นประโยชน์กับความเสียสละให้ทานกับชาวบ้านต่อไป  สังคมก็ไม่แตกแยก  ชาวบ้านก็ประกอบอาชีพส่วนหนึ่งบำรุงครอบครัวเขา อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อนำมาบำรุงพระศาสนาต่อไป (อย่าไปติดว่าเขาจะประกอบอาชีพหาปลาอย่างเดียว  ดอนสวรรค์อาจจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีสัมมาอาชีพเกิดขึ้นอีกมาก) ------------------ จะหมู่หรือจ่า  ชาวพุทธก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น จากคุณ : มองโลกอย่างช่ำชอง (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 13:02:33

ความคิดเห็นที่ 66 คำเดียวสั้นๆสำหรับอลัชชีคนนี้ "กระสัน" จากคุณ : กุ้งบก เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 00:38:49

ความคิดเห็นที่ 67 ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๑ บัญญัติว่า   วัดมีสองอย่าง  (๑) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และ (๒) สำนักสงฆ์  โดยให้วัดมีฐานะ เป็นนิติบุคคล ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่า วัดที่จะมีฐานะเป็นนิติบุคคลได้ต้องได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว วิสุงคามสีมา หมายถึง เขตที่พระราชทานแก่สงฆ์ เพื่อใช้เป็นที่สร้างพระอุโบสถ หรือเขตที่พระสงฆ์ใช้ประกอบสังฆกรรม พระมหากษัตริย์ผู้เป็นองค์ศาสนูปถัมภก มีพระราชประสงค์อำนวยความสะดวกแก่สงฆ์ จึงทรงออกประกาศพระราชทานที่ตั้งวัดเป็นวิสุงคามสีมา  การยกที่ดินเป็นเขตวิสุงคามสีมาถือว่าได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตั้งวัด แต่การขอพระบรมราชานุญาตนั้น กำหนดเฉพาะบริเวณที่ตั้งอุโบสถเท่านั้น ปัจจุบันการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัด ดำเนินการตามกฎกระทรวง ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.  ๒๕๓๕ คือ วัดที่สมควรได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ต้องปรากฏว่าได้สร้างขึ้น หรือได้ปฏิสังขรณ์ เป็นหลักฐานถาวร และมีพระภิกษุอยู่ประจำไม่น้อยกว่า ๕ รูป ติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี แต่ระยะเวลา ๕ ปีมิได้ใช้บังคับแก่วัดที่สร้างอุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้ว และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นสมควรขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา วิธีการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ให้เจ้าอาวาสเป็นผู้เสนอรายงานต่อผู้บังคับบัญชาฝ่ายสงฆ์ ขอความเห็นชอบและปรึกษาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองตามลำดับชั้นจนถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาเห็นสมควรแล้วก็จะกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเพื่อทรงอนุมัติ แล้วนำความกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ความหมายของวิสุงคามสีมาดูได้จากหนังสือคู่มือชาวพุทธ ฉบับพูดจาภาษาวัด ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิมพ์แจกอยู่ในขณะนี้ ไปขอรับได้ที่กองพุทธสารนิเทศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งอยู่ ณ พุทธมณฑล โทร ๐ ๒๔๔๑ ๔๕๑๕, ๐ ๒๔๔๑ ๕๑๔๐ ท่านที่ไม่สะดวก ไปรับด้วยตัวเอง สามารถส่งแสตมป์ ๙ บาท พร้อมซองจดหมาย ขนาด ๖ x ๑๐ นิ้ว อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ๗๓๑๗๐ ขั้นตอนการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา              การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา มีขั้นตอนและวิธีดำเนินการตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ดังนี้             ๑. เจ้าอาวาสเสนอรายงานขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ตามแบบ (ศถ. ๗) ต่อเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ             ๒. เมื่อเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ เห็นสมควรให้นำปรึกษานายอำเภอ แล้วเสนอเรื่องและความเห็นไปยังเจ้าคณะจังหวัด             ๓. เมื่อเจ้าคณะจังหวัดเห็นสมควร ให้นำปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วเสนอเรื่องและความเห็นไปยังเจ้าคณะภาค             ๔. เมื่อเจ้าคณะภาคเห็นสมควรแล้ว ให้ส่งเรื่องและความเห็นไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ             ๕. เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นสมควรแล้ว จะกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเพื่อทรงอนุมัติแล้วเสนอ เพื่อนำความกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาต่อไป             ๖. เมื่อพระราชทานวิสุงคามสีมาแก่วัดใดแล้ว ให้นายอำเภอท้องที่ที่วัดนั้นตั้งอยู่ดำเนินการปักหมายเขตที่ดินตามที่ได้พระราชทานต่อไป   เอกสารประกอบการพิจารณาการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา             ๑.สำเนาหนังสือตั้งวัด ในกรณีสร้างหลัง พ.ศ. ๒๔๘๖ หรือใบรับรองสภาพวัดในกรณีที่สร้างก่อน พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่กรมการศาสนาออกให้             ๒.แผนที่บอกให้รู้ว่าวัดตั้งอยู่ที่ใด             ๓.แผนผัง ที่ตั้งวัดและอาคารเสนาสนะในวัดให้ได้มาตราส่วนและรูปที่ดินจะต้องเหมือกันทุกรูป ที่ดินในเอกสารสิทธิ์ (พิมพ์เขียว)             ๔.ภาพถ่ายอุโบสถ (ที่สร้างเสร็จแล้ว หรือกำลังก่อสร้าง) จำนวน ๔ ภาพ ด้านหน้า, ด้านหลัง ด้านซ้าย และ ด้านวา             ๕.ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องที่ จากตำบลและอำเภอใหม่ ขอให้แนบสำเนาเอกสารการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ประกอบด้วย             ๖.สำเนาหนังสือสุทธิเจ้าอาวาสพร้อมเซ็นชื่อสำเนาถูกต้อง             ๗.สำเนาคำสั่งแต่งตั้งเจ้าอาวาสพร้อมเซ็นชื่อสำเนาถูกต้อง หมายเหตุ.- การจัดทำแบบรายงานขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ขอให้จัดทำ ๔ ชุด ดังนี้             ๑.สำเนาไว้ที่วัดเพื่อเป็นหลักฐาน จำนวน ๑ ชุด             ๒.เก็บไว้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อเป็นหลักฐาน จำนวน ๑ ชุด             ๓.ถวายเจ้าคณะภาค เพื่อเป็นหลักฐาน จำนวน ๑ ชุด             ๔.ส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน ๑ ชุด ที่มา.- สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีไรก็สอบถามคุณราชมัลเพิ่มเติมน่ะครับคุณ venture คุณ bigjinbook คุณกลางกาย และคุณดอกไม้รัตน-รัตนมาลี สอบถามให้ละเอียดว่า วัดร้างดอนสวรรค์  ขึ้นทะเบียนเป็นวัด และรับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่เมือใด ? ? ? ก็ถ้ามือคุณ ๆ สาวกอลัชชีธัมมี่ทั้งหลายยังถือสากอยู่ล่ะก็  ปากคุณ ๆ ทั้งหลายก็อย่าได้พร่ำบอกว่าเป็นคนถือศีลถือสัตย์ให้ป่วยการเลยครับ และป่วยการที่จะอ้างว่า เป็นสาวกเป็นสานุศิษย์ของพระพุทธเจ้า นรกจะกินกบาล บอกว่าเป็นสาวกสานุศิษย์อลัชชีธัมมี่ยังพอไหว เพราะคุณ venture เที่ยวปรามาสว่าคนโน้นก็เป็นสมุนพญามาร  คนนี้ก็เป็นสมุนพญามาร  โดยหลงลืมไปว่า อลัชชีธัมมี่ศาสดาของคุณดอกไม้รัตน-รัตนมาลี, คุณ venture นั้นเองได้ปรามาสพระพุทธเจ้าไว้มากมาย อลัชชีธัมมี่หัวหน้าของคุณ venture และพรรคพวกจึงสมควรเป็นพญามารอย่างที่สุดครับ คุณ venture กรุณาหยุดการก้าวล่วงละเมิดต่อการนำเสนอกระทู้ของคุณต่อ mcu เถอะครับ จากคุณ : ทวนทอง เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 21:09:21

ความคิดเห็นที่ 68 ...ถ้าชาวบ้านไม่เอาด้วย ....คุณก็ไม่มีทางที่จะได้วัดร้างเพื่อไปสยายปีกดอกพวกเหล่าสาวกลัทธิฯทั้งหลาย... ----------- และเมื่อปีที่แล้วทุกคนคงจำได้ ที่หัวหน้าลัทธินี้ "ออกอากาศ" จาบจ้วงพระผู้มีพระภาคฯ ว่าพระองค์ "สะดุ้ง" มาร...... ....ระวังวิบากกรรมจะส่งผลให้เจ้าลัทธิฯ และเหล่าสาวกฯ จะ  "สะดุ้งสุดตัว"  นะจ๊ะ... ติดตามสถานการณ์ต่อไป และ อีกไม่นาน "ติดอาวุธทางปัญญา" กรณีธรรมกาย..soon... แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 12:03:46 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 12:03:13 จากคุณ : บาปนะจาบจ้วงพระพุทธเจ้า (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 12:02:43

ความคิดเห็นที่ 69 โมทนาสาธุครับ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 17:48:12

ความคิดเห็นที่ 70 ธรรมกายนี่เก่งนะคะ สอนคนให้พูดอะไรออกมาก็ดู "น่ารังเกียจ แต่ น่าสงสาร" ได้ ในคราวเดียวกัน ไม่รู้เค้าทำได้ยังไง ที่แน่ๆ คือ อ่านทีไร สัมผัสได้แต่กิเลส ความโลภ ความยึดมั่นถือมั่น ในทุกประโยคของสาวกธรรมกายจริงๆ นายธัมมชโยนี่คงเก่งจิตวิทยามาก แต่ดันใช้ความเก่งสนองตัณหาตัว แทนที่จะทำประโยชน์ น่าสงสารคนแบบนี้ แย่กว่าคนไม่มีศาสนาอีก... จากคุณ : เมื่อไหร่จะมีชื่อที่ใครพอใจ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 13:38:42

ความคิดเห็นที่ 71 ...สำนักทำมะกลายไม่ใช่สำนักในพระพุทธศาสนา... จากคุณ : ย้ำเตือน (ต่อmcu) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 15:04:41

ความคิดเห็นที่ 72 เห็นสมุนพญามารชุดนอนออกมาดีดดิ้นแล้วคงอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวมาเป็นของพวกตนเอง จนตัวสั่นซินะพอไม่ได้จึงออกอาการ ผิดศีลลักทรัพย์ชัดๆทางพระวินัยแล้วถือว่า ปราชิกขาดจากความเป็นพระการกราบไหว้บูชาภิกษุที่อาบัติปาราชิก นอกจากจะไม่เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ยังผิดมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ที่ว่า บูชาบุคคลที่ควรบูชาอีกด้วย วัดกับบ้านต้องมีความเกื้อหนุนกันถ้าวัดกับบ้านขัดแย้งกันพระพุทธศาสนาไปไม่รอดหรอกครับ แถมยังพูดปดว่าคนอื่นจะเอาไว้จับสัตว์อีกผมดูแล้วคุณต่อไม่ได้หาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาแน่ๆ ผมสงสารบุคคลผู้ลุ่มหลงนี่เหลือเกินปฏิบัติผิดหลงในอวิชชาแล้วสรรเสริญว่านั่นคือคุณ หลงในภาพมายากิเลส เฮ้อน่าเวทนายิ่งนัก...เสียแรงเปล่า จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 55 03:36:15

ความคิดเห็นที่ 73 ออกตัวน่ะครับว่าเป็นเด็กวัด ผมจะรอดูที่ตรงนั้นกลายเป็นรีสอร์ทครับ จากคุณ : ArthuZ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 02:55:00