หลักการที่ แมทท์อ้าง เป็นหลักการที่ไม่อาจจะใช้จริงได้ กล่าวคือ การปฏิเสธฮะดีษนั้นเป็นหลักการที่นำมาใช้จริงไม่ได้ เราจะพบว่า บกพร่อง และช่องโหว่มากมายถ้ามีการปฏิเสธแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ในการปฏิบัติศาสนาอิสลาม
ยกตัวอย่างที่มักใช้ประจำคือการละหมาด หรือการปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ ถ้าเราไม่ใช้ฮะดีษ เราย่อมไม่สามารถทำละหมาดได้อย่างถูกต้องหรอกนะครับ เพราะกุรอ่านไม่ได้ลงรายละเอียดการปฏิบัตินี้ไว้ แต่บอกถึงให้ทำ เน้นย่้ำให้ทำ แสดงถึงความสำคัญของการละหมาด
ดังนั้น รายละเอียดเรื่องนี้เราจึงหาได้จากฮะดีษ
แต่ถ้าเราปฏิเสธฮะดีษจะเกิดอะไรขึ้น ความโกลาหลจะตามมา เพราะไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครละหมาดได้ถูกต้องกันแน่ คนที่อยากจะ ละเลงความมั่วก็สามารถบอกได้เลยว่า จะตีลังกาละหมาดก็ได้ วิดพื้นไปละหมาดไป ก็ยังได้ ก็ถ้าเขาจะอ้างบรรพบุรุษ ในการทำละหมาด เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าบรรพบุรุษใคร ทำละหมาดได้ถูก เนื่องจากตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย
นี่แค่เริ่มต้นความโกลาหลนะครับ แล้วการปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ ล่ะ ยังมีอีกมาก
และมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกระดานสนทนาแห่งนี้ แมทท์เคยกล่าวทำนองว่า ไม่ควรกล่าวนามใครในการทำละหมาด ซึ่งมุสลิมทั้งหลาย เวลาละหมาดก็ขอพรให้กับท่านนบีอยู่แล้ว แต่แมทท์กลับบอกว่า นั่นเป็นการต่อเติมศาสนา แบบนี้เป็นต้น แล้วแมทท์อ้างใคร ก็อ้างบรรพบุรุษ ที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน รู้ได้อย่างไรว่า ห้ามการกล่าวนามผู้อื่นนอกจากอัลลอฮ์ในการละหมาด
เริ่มต้นที่ละหมาด แมทท์ก็โกหก บิดเบือน มั่วนิ่มได้ขนาดนี้แล้ว
แล้วถ้าวันนึง มีคนอ้างว่า สามารถก่อการร้าย หรือตัดคลิตอริส สตรี ได้ ในการขลิบ โดยอ้างบรรพบุรุษ จะว่าอย่างไร คำตอบก็คือ หลักการของแมทท์ ทำอะไรไม่ได้ครับ เพราะการปฏิเสธฮะดีษ แล้วอาศัยบรรพบุรุษในการใช้เป็นหลักปฏิบัตินั้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครผิดใครถูก
หลักการของแมทท์ จึงใช้ไม่ได้จริง แถมยังโดนจับได้ว่าโกหก และบิดเบือนกุรอ่านหลายครั้งด้วย แต่ทำไม แมทท์ถึงยังคงพยายามเผยแพร่ หลักการที่มันใช้ไม่ได้นี้ต่อไปล่ะ
ผมจึง คาดว่าน่าจะเป็นการพยายามบ่อนทำลายอิสลามในรูปแบบหนึ่ง โดยการทำให้มุสลิมง่ายต่อความเหลวแหลก มั่วซั่ว มั่วนิ่ม และยากต่อการปฏิบัติศาสนาโดยเคร่งครัดนั่นเองครับ ลองสังเกตุดูได้