ความคิดเห็นที่ 1 อพรหมจรรย์ มีองค์ ๔ คือ ๑. อชฺฌาจริยวตฺถุ         สิ่งที่พึงล่วงละเมิด ๒. เสวนจิตฺตํ               จิตคิดจะเสพ ๓. ปโยคํ สมาปชฺชติ      พยายามเข้าถึง ๔. สาทิยติ                  ยินดี เมถุนสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=1221&Z=1297 จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 23:04:35

ความคิดเห็นที่ 2 พรหมจรรย์ แปลว่าการประพฤติเยี่ยงพรหม ในชั้นพรหมนั้นเป็นภพที่ไม่มีเพศ ไม่มีการเสพกาม มีอายุขัยตามกำลังฌาณในภพของพรหม พอหมดกำลังฌาณแล้วก็ลงไปเกิด ใครที่ถือศีล 8 ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ต้องประพฤติในวิถีพรหม ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ห้าเสพกาม ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จากคุณ : kekzo เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 23:17:32

ความคิดเห็นที่ 3 ศีล 8 ในส่วนของข้อ 3 คือ อพรหมจริยา เวรมณี คือการเว้นจากการประพฤติอันมิใช่พรหมจรรย์ ระดับที่ทำให้ศีลขาดเลย คือ การมีเพศสัมพันธ์ ครับ ระดับที่ทำให้ศีลทะลุ ด่างพร้อย คือการช่วยตนเอง การยินดีในการสัมผัสเพศตรงข้าม ระดับที่ทำให้ศีลเศร้าหมอง คือ การที่มีจิตกำหนัดเรื่องกาม ดังนั้น แม่ชีไทย จึงไม่สัมผัสถูกตัวผู้ชาย เลยทำให้นิยมรักษามาตรฐานนี้กันในหมู่ผู้ปฏิบัติครับ จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 23:21:29

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนตัว ผู้มุ่งปฏิบัติธรรม มีศีลเดียว คือ "ศีลใจ" นั่นคือข้อปฏิบัติที่ ลด ละ เลิก จากกิเลสทั้งปวงครับ... ส่วนคำถามนั้น ลองใช้ตรรกกะคำณวนดูได้ครับ จากคุณ : สวรรค์รำไร เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 23:58:28

ความคิดเห็นที่ 5 ศีลไม่ได้ห้ามถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามครับ แต่ห้าม เรื่องการข้องแวะในเรื่องเพศ ไม่ว่าจะ คิด หรือปฏิบัติ จากคุณ : mamarine เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 00:17:07

ความคิดเห็นที่ 6 การถือศีลแปดนั้น เป็นการประพฤติตามพระอรหันต์ ดังที่ทรงแสดงไว้ว่า ดูก่อนวิสาขา อริยสาวกนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นด้วยตนเองอย่างนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย ละอพรหมจรรย์แล้ว เป็นพรหมจารี เว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้านตลอดชีพ แม้เราในวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น ตลอดคืนหนึ่งและวันหนึ่งนี้ ด้วยองค์อุโบสถนี้ เราชื่อว่า ปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลาย อย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว อย่างหนึ่ง ---------------------------------------------------------------------------------------------------- การช่วยตัวเองนี้ ทางวินัยสงฆ์จัดว่าเป็นกรรมหนักถึงระดับ "อาบัติสังฆาทิเสส" อาบัติที่มีโทษเป็นอันดับสองรองจากปาราชิก ดังนั้น ถ้ามีการช่วยตัวเองอยู่ ก็ไม่ควรถือว่าขณะนั้นกำลังรักษา ศีล ๘ ได้อยู่ (แต่ยังถือว่าอยู่ในกรอบของศีล ๕ ได้) ความตอนหนึ่งจากอรรถกถานั้นแสดงไว้ว่า ".....บทว่า ยนฺตํ ทุฏฐุลฺลํ ยนฺตํ โอทกนฺติกํ ยนฺตํ รหสฺสํ. ก็แล พึงทราบโยชนาใน ๓ บทนี้ อย่างนี้ว่า การเห็นก็ดี การจับก็ดี การลูบคลำก็ดี การถูกต้องก็ดี การเบียดสีก็ดี ซึ่งเป็นบริวารของกรรมนั้น จัดเป็นกรรมชั่วหยาบ แม้เพราะเหตุนั้น กรรมนั้น จึงจัดเป็นกรรมชั่วหยาบ กรรมชั่วหยาบนั้น ชื่อว่าเมถุนธรรม น้ำอันบุคคล ย่อมถือเอา เพื่อความสะอาดในที่สุดแห่งกรรมนั้น เหตุนั้น กรรมนั้น จึงชื่อว่า มีน้ำเป็นที่สุด กรรมมีน้ำเป็นที่สุดนั่นแล ชื่อว่าโอทกันติกะ กรรมมีน้ำเป็น ที่สุดนั้นชื่อว่า เมถุนธรรม กรรมนั้นชื่อว่าเป็นกรรมลับ เพราะความเป็น กรรมที่ต้องทำในที่ลับ คือ ในโอกาสอันปิดบัง กรรมนั้น ชื่อว่า เมถุนธรรม......." ------------------------------------------------------------------------------------ ส่วนการจับถูกต้องเพศตรงข้ามโดยเจตนา ถึงแม้เป็นเด็กเล็ก ก็ไม่ควรกระทำ ในระหว่างการถือศีล ๘ (พิจารณาง่ายๆว่า พระอรหันต์ท่านย่อมไม่จับต้องเพศตรงข้ามแม้เป็นเพียงเด็กเล็ก อย่างไร   แม้เราเองในระหว่างสมาทานประพฤติศีล ๘ ก็ต้องไม่กระทำในสิ่งนั้นๆ เช่นกัน) แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 55 00:51:50 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 55 00:38:59 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 00:19:12

ความคิดเห็นที่ 7 ปราดเข้ามากระทู้เพราะเห็น เลข 18+ ^^ ตามข้างบนว่าล่ะครับ ไม่ขาดแต่พร่อง ควรละวางครับ แต่ถ้าทำได้ ระดับจิต เจริญปรู๊ดปร๊าดกันเห็นๆเลย เท่าที่ทราบมานะ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 00:29:21

ความคิดเห็นที่ 8 มีข้อยกเว้นถ้าต้องปรนนิบัติพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า และโดยนัยนี้ผมคิดว่าการสัมผัสเด็กหรือทารกที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากเรา เช่น ลูก หลาน น่าจะได้เช่นกัน จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 01:40:55

ความคิดเห็นที่ 9 แค่คิดก็ด่าง ถ้าเกินเลยไปถึงทำก็ขาด จากคุณ : Go2Better เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 07:33:04

ความคิดเห็นที่ 10 หอมแก้มก็ได้ ถ้าไำม่กำหนัด เอ่อ.. แก้มเด็กน้อยนะครับ จากคุณ : นายไวรัส เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 08:56:19

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับความเห็นที่หก ช่วยตนเองจนสำเร็จความใคร่ ควรเรียกได้ว่าศีลขาด ไม่ควรเรียกศีลพร่อง ไม่เช่นนั้น จะมีประโยชน์อะไร ที่ถือศีลแปด แล้วช่วยตนเองทุกครั้งที่ต้องการเสพกาม แล้วอ้างว่าศีลยังไม่ขาดนะ เทียบเคียงได้กับพระ เสพเมถุน กับคนหรือสัตว์ ปาราชิก ช่วยตนเองจนสำเร็จความใคร่ก็อาบัติหนัก จากคุณ : chum เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 10:02:15

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ จขกท ถือแค่ศีล 5 ค่ะ โดยที่ไม่ต้องบังคับกดข่ม รู้สึกเลยค่ะว่ามีสติมากขึ้น ศีลเหมือนเป็นเกราะป้องกันเราจริงๆ และหากเราถือแค่ศีล5 แต่ประพฤติพรมจรรย์ โดยไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องเพศเลย อันนี้ถือเป็นบุญด้วยไหมคะ จากคุณ : ศรารัศมิ์ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 10:56:55

ความคิดเห็นที่ 13 ปรกติ เราถือศีล5 ถ้า self service หรือ อาบูดาบี้กับ ภรรยา/สามี ศีลไม่ขาด ก็จริง แต่จิตจะเกิดความเศร้าหมอง เพราะวิบากจากราคะจิตเข้าครอบงำ ในช่วงระยะเวลานึงครับ ต้องผ่านไปซักระยะจึงจะผ่องใสเหมือนเดิม สังเกตุง่ายๆตอน นั่งสมาธิ จะมีอาการจิตรวมยาก หรือแทบไม่ได้เลย ต้องผ่านไปซักวันนึง ถึงจะกลับมา -------------------- ถือศีล 5 ได้บุญมั้ย ได้ครับ ได้เยอะด้วยครับ บุญกิริยาวัตถุ (อ่านว่า บุน-ยะ-กิ-ริ-ยา-วัด-ถุ) แปลว่า เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หมายถึงเหตุเกิดบุญ, วิธีการทำบุญ, วิธีที่เมื่อทำแล้วได้ชื่อว่าทำบุญและจะได้รับผลเป็นความสุข บุญกิริยาวัตถุโดยย่อมี 3 ประการคือ ทานมัย การให้ทาน ศีลมัย การักษาศีล ภาวนามัย การอบรมจิตใจ บุญกิริยาวัตถุโดยพิสดาร มี 10 ประการ คือ เหมือนข้างต้น เหมือนข้างต้น เหมือนข้างต้น อปจายนมัย การอ่อนน้อมถ่อมตน เวยาวัจมัย การช่วยเหลือผู้อื่น ปัตติทานมัย การแผ่ส่วนบุญ ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนาบุญ ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรม ธัมมเทสนามัย การแสดงธรรม ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ถูกต้อง,ดีงาม พูดง่ายๆ การทำดี การประพฤติดี การคิดดี ได้บุญทั้งหมดครับ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 55 11:24:49 จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 11:24:29

ความคิดเห็นที่ 14 การประพฤติพรหมจรรย์ จุดประสงค์เพื่อให้ห่างจากกามราคะ เพราะเป็นเสมือนยางเหนียวที่ติดใจได้ง่าย ทำให้หลงไหลมัวเมา แต่กามราคะมิใช่บาป เพราะเป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ยังมีอยู่ แต่ถ้ามีอย่างพอเหมาะพอดี กามราคะคือธรรมะอย่างหนึ่งของปุถุชน ท่าน จขกท บรรลุแล้วหรือ ธรรมะ  คือความเป็นไปตามปกติธรรมดาของสรรพสิ่ง ความเป็นไปตามปกติธรรมดาของสรรพสิ่ง  คือธรรมะ ความเข้าใจในความเป็นไปตามปกติธรรมดาของสรรพสิ่ง คือการเข้าใจ ธรรมะ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 11:25:42

ความคิดเห็นที่ 15 จะเป็นศีล ต้องมีวิรตีเจตสิก คือมีเจตนาตั้งใจงดเว้น มี ทมะ ความข่มใจ อาศัยขันติ ความอดทน มีหิริ ละอายชั่ว มีโอตตัปปะ กลัวบาป มีวิริยะ ความพยายาม จึงจะสำเร็จเป็นศีลครับ จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 11:26:54

ความคิดเห็นที่ 16 จขกท ไม่ต้องกังวลเรื่องกามราคะครับ ตราบใดที่เรายังรักษาศีล5 ไม่ให้ด่างพร้อยได้ถือว่าโอเค โน่นครับ ต้องบรรลุพระอนาคามี ถึงจะละกามได้ ขนาดพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี ยังเสพกามได้อยู่ครับ นางวิสาขาเป็นโสดาบันตั้งแต่ 7 ขวบ มีลูกเป็นหลายสิบหลานเป็นร้อย ครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 11:55:16

ความคิดเห็นที่ 17 หลวงปู่ชา จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 11:56:09

ความคิดเห็นที่ 18 ก่อนอื่นขอแสดงจุดยืนก่อนว่าศีล8 ข้อ อพรัมจริยา นี้ไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้าม (ทั้งมนุุษย์และสัตว์) เพื่อหลีกเลี่ยงอารมณ์กำหนัดที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยไม่ตั้งใจ แต่ทั้งนี้พุทธบัญญัติท่านเน้นไปที่ความเป็นนักบวชก่อนเป็นสำคัญ ไม่ใช่ศีลของฆราวาส แต่พวกเรานำมาปรับใช้ในระหว่างการครองเรือนเป็นครั้งคราว ก็่ย่อมไม่สามารถทำให้ขาวบริสุทธิ์เหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้วอย่างเพศแม่ชี... การถูกต้องตัวลูกหลาน เพื่อนร่วมงาน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะยังอยู่กับโลก ก็ให้พึงสำรว มจิตให้ดี อย่าให้ซัดส่่ายไปในเรื่องนั้นก็พอครับ กระทั่งการช่วยตัวเองก็ตามควรนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม เพราะเรื่องมันไม่ผิดตามศัพท์บัญญัติ แต่ผิดที่เจตนาไม่มุ่งขัดเกลากิเลสราคะตัวนี้... แต่ถ้าเอาไปเทียบกับอาบัติหนักข้อ ทำให้อสุจิเคลื่อนของพระคงต่างกันนะครับ พระท่านเว้นขาด แต่เราเว้นเพียงหนึ่งวัน ถ้ามุ่งขัดเกลาจริง ๆแค่วันเดียวจะอดไม่ได้เชียวหรือ...^_^ จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 12:06:08

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณค่ะ คห 14 อธิบายได้เข้าใจดี เรายังไม่บรรลุค่ะ แค่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากคุณ : ศรารัศมิ์ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 12:07:17

ความคิดเห็นที่ 20 ผมว่าการบอกว่า  ห้ามคิดลามก มันยากเกินมนุษย์จะทำได้นะครับ ตอนผมวัยรุ่น ผมไปบวชเณรที่ วัดต่างจังหวัด อยู่ในวัยกำลังห้าวมาก ไปบวชอยู่เดือนนึง  บวชไปได้สัก 2 อาทิตย์ ขอโทษนะครับ  ผมฝันเปียก ผมหลับอยู่นะครับ แต่จิตมันลามก ควบคุมไม่ได้ แบบนี้จะให้ทำไงล่ะครับ คือ ร่างกายถูกสร้างมาให้มีความต้องการทางเพศ แต่เรากลับพยายามห้ามไม่ให้มี การต่อสู้กับธรรมชาติแบบนี้ มีแต่แพ้ครับ   แล้วยิ่งสมัยนี้ สื่อลามกเพียบ ผู้หญิงแต่งตัวยั่วยวน ดาราอวดแต่ความใหญ่โตของตัวเอง ไม่มองก็ไม่ได้ เดินไปเดี๋ยวก็เจอผู้หญิงใส่กางเกงเกือบเห็นตูด หนังสือพิมพ์ก็มีแต่รูปดาราอวดนมรูปใหญ่เต็มหน้า 1  ในทีวีก็มีแต่สื่อที่ส่อถึงเรื่องเพศเกือบทั้งนั้น ข้างถนนก็มีแต่บาร์ คาราโอเกะ บางแห่งมีผู้หญิงแต่งตัวโป๊มายืนริมฟุตบาธเรียกแขก สังคมเสื่อมทรามขนาดนี้  ศาสนาช่วยได้ไหม ? จิตใจคนมีกิเลสอยู่แล้ว เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งรอบตัวแบบนี้ จะไปเหลืออะไร สมัยนี้คนมีศาสนาแค่เปลือกเท่านั้น แต่ลึกๆแอบอะไรไว้เต็มไปหมด ผมขอโทษนะครับ  บ้านเราเมืองพุทธใช่ไหม แต่ทำไมความบาปเจริญเฟื่องฟูจังเลยครับ คนไทย กินเหล้าเก่ง ติดอันดับโลก  เล่นพนันก็เก่ง ยาเสพติดก็เยอะมาก โสเภณีก็เยอะ คอรัปชั่นทุกย่อมหญ้า  มีใครคิดบ้างว่า ศาสนาเจริญไปพร้อมกับความบาป มันเป็นเพราะอะไร ? เพราะศาสนา คือสิ่งที่พยายามกดกิเลส ไม่ใช่สิ่งที่กำจัด ยิ่งกดก็ยิ่งระเบิด ยิ่งเคร่งก็ยิ่งเป็น ศาสนาชนะกิเลสไม่ได้หรอก พระตบะแตกเยอะแยะไป  และคนธรรมดาจะเหลือรึ มนุษย์ถึงแม้จะไม่สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง มนุษย์ก็บาปอยู่แล้ว ความบาปที่มนุษย์มีมันเยอะแยะไปหมด ศีลมันขาดไปนานแล้ว ไม่มีทางรักษาได้หรอก เอาง่ายๆนะครับ แค่คิดลามก ยังไม่ได้ช่วยตัวเอง ศีลไม่ขาดหรือครับ ผมว่าวันนึงศีลขาดไม่รู้กี่รอบแล้ว  แม้วันนี้ไม่คิดลามก แต่ไปกินเหล้า ศีลไม่ขาดหรือครับ  ศีล 5 ข้อ มันขาดทุกวันแหละ ไม่ข้อไหนก็ข้อนึง   ผมไม่ใช่คนพุทธ  และผมก็ไม่ได้ว่าคนพุทธเท่านั้น คนศาสนาผมก็เป็นเหมือนคนพุทธ ก็เหมือนกัน ไม่ได้ดีกว่ากันเลย อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ ผมเห็นพวกอาจารย์ที่สอนอยู่ตามโบสถ์มากมายที่มีชู้  โกงเงินโบสถ์ หน้าซื่อใจคค เยอะแยะไป ผมเองก็ไม่ได้ดีกว่าใคร แต่เวลาผมเห็นคนที่ถามคำถามแบบนี้ ผมว่ามันเป็นคำถามโลกแตกน่ะครับ   ทำหรือไม่ทำก็เหมือนเดิม ไม่ใช่หรือครับ ? เอาแค่ว่า ไม่ต้องเอาคำตอบ  แต่ลองถามตัวเองดูซิครับว่า  ที่ผมพูดมา มันจริงหรือไม่ ? จากคุณ : เคราติน เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 12:20:43

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ เคราติน นับถือ พระพุทธศาสนารึเปล่าครับ น่าจะนะ เห็นว่าบวชเณรด้วย แต่ "เพราะศาสนา คือสิ่งที่พยายามกดกิเลส ไม่ใช่สิ่งที่กำจัด ยิ่งกดก็ยิ่งระเบิด ยิ่งเคร่งก็ยิ่งเป็น ศาสนาชนะกิเลสไม่ได้หรอก พระตบะแตกเยอะแยะไป  และคนธรรมดาจะเหลือรึ" ศาสนาพุทธเบื้องต้นอาจต้องกดข่มบ้า แต่ที่สุดแล้วไม่ได้ให้กดกิเลสไว้ครับ ไม่ใช่แน่ๆครับ (อธิบายต่อยาวแน่) "เอาง่ายๆนะครับ แค่คิดลามก ยังไม่ได้ช่วยตัวเอง ศีลไม่ขาดหรือครับ" ศีลไม่ขาดครับ  จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 12:41:18

ความคิดเห็นที่ 22 ศาสนาพุทธเบื้องต้นอาจต้องกดข่มบ้า ขอแก้เป็น ศาสนาพุทธเบื้องต้นอาจต้องกดข่มบ้าง (ตก งอ งู ไป) จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 12:45:21

ความคิดเห็นที่ 23 พึ่งฟังธรรมมาเรื่อง กามฉันทะ ถ้ามีการโยนิโสมนสิการ คือหมั่นพิจารณาถึงความไม่สวยไม่งาม หรือพิจารณาความเป็นอสุภะแล้วเอามาเทียบกับเรากับเขา กามมันลดลงได้ดีเหมือนกัน  ฉนั้นผู้ที่ อโยนิโสมนสิการหรือไม่หมั่นพิจารณาโดยแยบคาย มักโดนกามราคะเล่นงาน... จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 12:59:51

ความคิดเห็นที่ 24 มักจะมีคนยกข้อความว่า คนที่ละกามได้มีแต่อนาคามีเท่านั้น และโสดาบันยังมีลูกมีผัวได้ โดยชี้นิ้วไปที่นางวิสาขาเสียทุกที ที่ว่ามามันก็ถูกล่ะนะ แต่อันที่จริง การละกามของพระอนาคามี นั่นหมายถึงละอย่างสิ้นเชิง แบบเดียวกับพระอรหันต์ ส่วนขั้นอื่นๆแม้ยังละไม่ได้ ก็มีความหนักเบาต่างๆกัน โสดาบัน เริ่มเห็นโทษของกาม เริ่มมีความคิดเรื่องละกามเข้ามาบ้างแล้ว แม้ไม่สามารถละได้อย่างสิ้นเชิง แต่การจะพยาม ปรุงแต่งกาม กระตุ้นกาม จะไม่มีแบบคนทั่วไป โสดาบันจึงมักอยากถืออุโบสถศีลในวันพระ ยิ่งสกิทาคามี ก็เช่นกัน ยิ่งอยากถือศีลแปดเสียร่ำไป เพราะในจิตของท่านมันเบื่อหน่ายกามเสียเต็มประดา มันเป็นลำดับเป็นขั้นๆไปอย่างนี้ มิใช่ว่า พอพูดเรื่องนี้ทีไร มักจะพูดกันแต่ว่า พระอนาคามีโน่น ถึงไม่ต้องคิดเรื่องกาม เราปุถุชน เสพๆมันไปเลย ทีพระโสดาบัน เช่นพระนางวิสาขา ยังมีลูกเป็นโหลๆเลย แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 55 13:48:03 จากคุณ : chum เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 13:47:20

ความคิดเห็นที่ 25 รีบเข้ามาเพราะ "กระทู้ติดเรท" จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 14:35:29

ความคิดเห็นที่ 26 เห็นด้วยกับ ความคิดเห็นที่ 18 ...คุณ Up_To_You ค่ะ และขอเพิ่มความเห็นว่า... ศีล ที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสาร(ความไม่ร้อนใจ) เป็นผล มีอวิปปฏิสาร เป็นอานิสงส์ บาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔ ข้อที่ ๑ ----- ศีล รักษา เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อดับกิเลส ฯ พรหมจริยสูตร [๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้ เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชน ก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะ ก็หามิได้ เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเรา ด้วยอาการดังนี้ ก็หามิได้ โดยที่แท้ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อดับกิเลส ฯ   พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์อัน เป็นการละเว้น มีปรกติยังสัตว์ให้หยั่งลงภายในนิพพาน เพื่อสังวร เพื่อละ หนทางนี้อันท่านผู้ใหญ่ ผู้แสวงหาคุณ อันใหญ่ดำเนินไปแล้ว อนึ่ง ชนเหล่าใดย่อมดำเนินไปสู่ทางนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่าทำตาม คำสั่งสอนของศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑ ข้อที่ ๒๕ จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 17:42:49

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นที่ 20     ผมว่าการบอกว่า  ห้ามคิดลามก มันยากเกินมนุษย์จะทำได้นะครับ * ถ้าห้ามคนอื่นมันยากครับ.. แต่ถ้าฝึกตัวเองให้มีสติ ให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ฝึกให้เป็นนิสัย... จะอารมณ์ไหนๆมันก็แค่ ขึ้นๆลงๆของมันอย่างนั้นเอง ....ทีนี้มันยากอีกไหมหละครับ...มันก็ยากน้อยลง ก็เพียรฝึกไปเรื่อยๆ ยิ่งมีสติรู้เท่าทันในระดับละเอียด มันก็ยากน้อยลงอีกเรื่อยๆและเหนื่อยกับการฝึกน้อยลงเรื่อยๆ ....คือ ร่างกายถูกสร้างมาให้มีความต้องการทางเพศ แต่เรากลับพยายามห้ามไม่ให้มี การต่อสู้กับธรรมชาติแบบนี้ มีแต่แพ้ครับ   *คุณไม่เคยทำสำเร็จคุณก็บอกว่าไม่มีทาง...แต่คนที่เขาฝึกตัวเองจนทำได้สำเร็จเขาก็บอกว่าทำได้จริง และใครก็ตามที่ฝึกถูกวิธีอย่างเขาก็มีโอกาสทำสำเร็จได้สูงอีกด้วย.. แบบนี้มันแปลกตรงไหนหละครับ เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อคำสอนครับ ผมดื้อ... แต่เมื่อวันหนึ่งผมลองปฏิบัติดูและได้อาจารย์ดี เข้ากับนิสัย ไม่ยึดติดพิธีกรรม ผมก็ทำจนเห็นผลบางส่วน...จึงได้เชื่อ.. ว่าการจัดการกับกิเลสต่างๆนั้นนอกจากการกดข่มเอาใว้แล้ว ยังสามารถละวางได้ด้วยโดยไม่ต้องเดือดร้อนใจเลย แถมสบายกว่าการกดข่มเอาใว้ตั้งเยอะ... เห็นผลต่างได้ชัดเจนทั้งที่ผมก็ยังเป็นปุถุชนเหมือนคุณนี่หละ   พุทธสอนทั้งกดข่มและละวาง ไม่ใช่แค่กดข่มอย่างเดียวแบบศาสนาอื่นๆสอนครับ คำว่าสติในศาสนาพุทธ เรียกว่าสัมมาสติ ต้องฝึกฝนให้มีขึ้นครับ ไม่ใช่แค่สติรู้ตัวว่าเป็นใครตามอย่างคนทั่วไปมี 1. การกดข่มทำได้แค่ชั่วคราว และทำได้กับกิเลสระดับหยาบถึงระดับกลาง ถ้ามีกำลังจิตสูงก็ทำได้สบายๆ แต่กิเลสละเอียดกดเอาไม่ได้หรอกครับ มองก็ไม่เห็น และไม่รู้ตัว จะไปกดได้อย่างไร   2.ที่เด็ดขาดคือ พุทธสอนวิธีละวางเป็นทางหลักด้วย คือมีวิธีฝึกให้คนทั่วไปพัฒนาจิตไปเรื่อยๆจนเห็นความจริงและในที่สุดละวางได้ทั้งหมด สำหรับคนทั่วไปนั้นเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก ว่าคนเราสามารถละกิเลสได้ แต่สำหรับคนที่ฝึกฝนแนววิปัสสนาจนเห็นผลระดับหนึ่งจะรู้ตัวเองดีว่า มีสติตามทันอยุ่แทบตลอดเวลา และหลายๆเรื่องไม่มีเผลอใจคิดชั่วเลย แต่ก็ใช่จะบรรลุธรรมกันง่ายๆนะ ต้องฝึกไปเรื่อยๆ ยิ่งสติละเอียดยิ่งเห็นละเอียด ก็เป็นโอกาสที่จะละกิเลสส่วนที่ละเอียดได้มากขึ้น ถ้าฝึกถูกทางย่อมเห็นผลชัดเจน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ... ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยตามนั้นครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับจริตนะครับ บางคนเรื่องอาหารทำให้สติแตกซ่านได้เยอะ บางคนก็เรื่องเสียง.. บางคนก็เรื่องเซ็กซ์... แต่เรื่องเซ็กซ์มักนำหน้า เพราะรวมสัมผัสทุกด้านใว้ครบทำให้ติดใจหลงเพลินไปได้ง่าย... แม้ทำไปเพราะเป็นสามีภรรยา..ก็ไม่ยกเว้นได้หรอก ..สามีภรรยาแค่โลกสมมุติ ไม่ว่าจะไปทำกะใครหรือแม้แต่คิดเอาเองก็ส่งผลใว้สติขาดช่วงยาวๆได้ทั้งนั้น  ยิ่งแอบกินแอบทำยิ่งไปกันใหญ่ เสพไปแล้วต่อให้ไม่มีปัญหาอะไรทางสังคม ยังไงก็หนีไม่พ้นอาการจิตหมองอยู่ดี กว่าจะนั่งสมาธิหรือเจริญสติได้ดีอีกครั้งก็ผ่านไปเป็นวันๆ ถ้าตายไปตอนนั้นหละ น่าสยอง คิดดูแล้วประมาทมากไปจริงๆ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 05:40:55

ความคิดเห็นที่ 28 27 เออ ใช่ จริงด้วย ไม่ใช่แค่สมาธิ แต่สติด้วย ผมลืมคิดเรื่องเจริญสติจริงๆ มิน่า หลังจากถูกใช้บริการนี่ รู้สึกหลงๆลืมๆ จำอะไรไม่ค่อยได้จริงๆด้วย 555 จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 10:07:18