ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เราไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายใดก็ตาม ความคิดต่าง คือมูลเหตุแห่งความขัดแย้ง บ้านหลังใหญ่ของ พ่อ รังอุ่นที่สู้อุตส่าห์อาบเหงื่อต่างน้ำสร้างมาด้วยความยากลำบาก เริ่มคลอนแคลน ทำให้บรรยากาศความเป็นอยู่ภายใน บ้าน สับสนอลหม่าน ส่อแววถึงความไม่ปกติ ชายคาแห่งความอบอุ่นดูจะไม่เพียงพอที่จะยื่นล้ำนำพาความสันติปรองดองไปสู่ลูกๆ ซึ่งบัดนี้เลือกข้าง เพราะถูกอำนาจแห่งความเกลียดชังเข้าครอบงำ
ความสุข จึงค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากสังคมไทย ความวิตกกังวล หวาดกลัว ความโกรธ กัดกร่อนคำว่า สันติวิธี จนแทบไม่เหลือรูปรอย ถึงวันนี้ไม่ว่าสถานการณ์จะลุกลามบานปลายไปเพียงใดก็ตาม ข้อธรรมของ พระไพศาล วิสาโล แห่งวัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งท่านจะบรรยายให้ฟังต่อไปนี้ก็น่าที่จะรั้งสติของพุทธศาสนิกชนผู้รักสงบให้รู้สึกสร่างโศกและผ่อนคลายลงได้บ้าง การรุ่มร้อนไปตามกระแสไม่เกิดประโยชน์รังแต่จะสร้างความทุกข์ ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูตัวร้ายที่คอยประหัตประหารตัวเราเองให้ย่อยยับลง
- ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นปัจจุบันคนเราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุขคะ
ตามหลักพระพุทธศาสนาคนเราจะมีความสุขได้อยู่ที่ ใจ อากาศ สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งสุขภาพก็มีส่วน แต่ไม่ใช่เรื่องหลัก เพราะว่าคนที่เจ็บป่วยเขาก็มีความสุขได้ อาตมาเองรู้จักผู้ที่เจ็บป่วยหลายคน บางคนบอกว่าโชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เขาเห็นคุณค่าของชีวิต รู้จักและเข้าถึงธรรมะ ถ้าไม่ป่วยเขาก็ยังคงใช้ชีวิตแบบปล่อยปละละเลย ขาดการเรียนรู้ อยู่อย่างประมาท
มีนักศึกษาคนหนึ่งเป็นลิวคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) หลังจากที่ป่วยด้วยโรคนี้แกบอกว่าโรคมะเร็งได้นำพาสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตของแกมากมาย เพราะทำให้ได้รู้จักกับพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ได้เห็นความรักที่บริสุทธิ์แท้จริงจากพ่อแม่ ทำให้มีเวลาอ่านหนังสือ และมีเวลาหยุดคิด แกบอกว่า หากไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาในชีวิตนั้น ผมจะเป็นเพียงแค่เด็กผู้ชายอายุ ๒๑ ปีที่ใช้ชีวิตที่หอพัก ตื่นเวลาบ่ายสามโมง รอเวลากินเหล้ากับเพื่อน หลับ และตื่นขึ้นมาใหม่ ใช้ชีวิตอย่างไม่นึกถึงคนอื่น ไม่มองคนรอบข้าง ใช้ชีวิตอย่างประมาท และไม่รู้จักระวัง
อาตมาเคยพาอาสาสมัครไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะสุดท้าย มีคนหนึ่งได้พบเด็กหญิงอายุ ๑๔ เป็นมะเร็งสมอง หน้าตาแกสดใสมาก แต่ศีรษะไม่มีผมแล้วเพราะถูกฉายแสง คุยไปคุยมาแกก็บอกว่าโชคดีนะที่ไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็งในมดลูก มีญาติคนหนึ่งป่วยด้วยโรคนี้ เจ็บปวดทรมานอย่างมาก แกว่าแกโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง แกไม่มีท่าทางทุกข์ร้อนเลย เห็นไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่มุมมอง
มีอีกตัวอย่างหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ป่วยเป็นธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด หมอวินิจฉัยว่าน่าจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 20 ปี แต่ตอนที่ให้สัมภาษณ์อายุเกือบ 30 ปีแล้ว ผู้ป่วยคนนี้ให้แง่คิดที่ดีว่า ถึงแม้ว่าเลือดเธอจะจาง แต่เธอก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งสวยงาม ยังมีจมูกไว้ดมกลิ่นหอม ยังมีปากไว้กินอาหารอร่อยๆได้ แล้วยังมีร่างกายที่ทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เธอจะมีความสุข
ความสุข จึงเป็นเรื่องของใจและมุมมอง ตราบใดที่เรายังมองไม่เป็น ก็จะไม่เห็นความสุข อาตมาอยากจะบอกว่าความสุขนั้นอยู่กับเราตลอดเวลา แต่เรามองไม่เห็นเพราะชอบมองและจดจ่อกับสิ่งที่เรายังไม่มี หรือสิ่งที่เราเคยมีแต่เสียไป
- พระอาจารย์คะนอกจากไม่มองไม่เห็นความสุขแล้วคนเรายังทุกข์กับเรื่องใดบ้าง
คนเรามักจะมีความทุกข์อยู่กับ 2 เรื่อง 1) ทุกข์เพราะอยากได้สิ่งที่ไม่มี 2)ทุกข์เพราะอาลัยในสิ่งที่เคยมีแล้วเสียไป แต่ถ้าเราหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เรามี เราก็จะพบว่าความสุขนั้นอยู่กับเราแล้ว อย่างผู้หญิงคนที่เป็นธาลัสซีเมีย เธอมองเห็นว่าตัวเองยังมีสิ่งดี ๆ อยู่ในตัวมากมาย มีอวัยวะครบพอที่จะรับรสแห่งความสุขได้อย่างครบถ้วน เธอจึงมีความสุข ไม่มัวเป็นทุกข์กับโรคภัยไข้เจ็บ ขณะเดียวกันเธอก็ไม่มัวสนใจความสุขที่เธอไม่มี เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหันมาชื่นชมและเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีเราก็จะมีความสุข แต่ถ้าเราไปสนใจสิ่งที่เรายังไม่มี เราจะทุกข์ทันที
คนที่ยังมีพ่อมีแม่ ยังมีลูกหลาน ยังมีสุขภาพดี ยังไปไหนมาไหนได้ คุณเคยรู้สึกไหมว่านี้แหละคือความสุขอย่างหนึ่ง คุณเคยรู้สึกไหมว่าตัวเองมีโชคที่ยังมีมือและเท้าเหมือนคนอื่นเขา ผู้คนไม่ค่อยตระหนักว่าการที่เรามีมือสองมือ มีเท้าสองเท้า เป็นความสุข แต่เราจะเริ่มรู้สึกก็ต่อเมื่อเราเสียมือเสียขาไป ถึงตอนนั้นเราจึงตระหนักว่าสองสิ่งนี้มีค่า และตอนที่เรามีสองสิ่งนี้เราก็มีความสุขแล้ว เราไม่เคยรู้สึกว่าการที่เราเดินไปไหนมาไหนได้นั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่พอเดินไม่ได้จะรู้เลยว่าตอนที่เราเดินเหินได้นั้นเป็นความสุขมาก ๆ
ตอนที่เรายังมีพ่อแม่อยู่กับเรา เราไม่เคยตระหนักเลยว่าเรามีความสุข ต่อเมื่อสูญเสียท่านไปจึงหวนระลึกได้ว่าตอนที่ท่านยังอยู่กับเรานั้นเป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขมาก ถึงตอนนี้เราจะอิจฉาคนที่ยังมีบุพการีอยู่ครบ อาตมาถึงได้บอกว่าความสุขมีอยู่กับเราแล้วเพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็นเอง
ถ้าเรามัวใส่ใจกับสิ่งที่เรายังไม่มี จะไม่มีประโยชน์เลยเพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต ถ้าเรามัวเสียใจกับสิ่งที่เราเคยมีแต่เสียไป สูญไป อันนั้นเรียกว่ายังหมกมุ่นอยู่กับอดีตซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นกัน เพราะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเราหันมาใส่ใจปัจจุบัน ชื่นชมปัจจุบัน เห็นคุณค่าของสิ่งทีเรามี เช่น สุขภาพ ร่างกายที่เป็นปกติ เราจะมีความสุข
พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าหากเราต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วนไปเราจะทุกข์ มันไม่แน่เสมอไป ทั้งนี้เพราะว่าเราก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จะให้ความสุขกับเราได้ แม้ว่าเราจะไม่มีแขนไม่มีขาก็ตาม มีชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ โอโตทาเกะ แกเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อว่า ไม่ครบ 5 ไม่ครบ 5 ในที่นี้คือ ไม่มีแขน ไม่ขา เมื่อเกิดมามีแต่ตัวกับหัว หนังสือเล่มนี้ขายดีมากในประเทศญี่ปุ่น มีคนแปลเป็นภาษาไทยแล้ว มีตอนหนึ่งเขาเขียนว่า ถึงแม้ว่าผมจะเกิดมาพิการ แต่ผมก็มีความสุขและสนุกทุกวัน เขาสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง กินข้าว แต่งตัว เขียนหนังสือ และสามารถเล่นบาสเกตบอลได้ด้วย เพราะทั้งหลายทั้งมวลมันอยู่ที่ใจ แต่เป็นเพราะเราไม่เปิดใจยอมรับมากกว่า เราจึงเป็นทุกข์ นี่คือสิ่งที่อาตมาอยากจะเน้น
แม้เราจะอยู่ท่ามกลางอากาศร้อนเราก็ยังมีความสุขได้ มีคนหนึ่งเขาเล่าว่า วันหนึ่งอากาศร้อนมาก เขาจึงนั่งพักผ่อนในห้องแอร์ ขนาดอยู่ในห้องแอร์ก็ยังรู้สึกอ้าว ตอนบ่าย เขาได้ยินเสียงบุรุษไปรษณีย์ตะโกนเรียกที่หน้าบ้าน เขารู้สึกหงุดหงิดมากเพราะไม่อยากออกไปรับจดหมาย เนื่องจากอากาศข้างนอกร้อนมาก แต่บุรุษไปรษณีย์ก็ยังคงรออยู่ที่หน้าบ้าน ไม่ได้รอเฉย ๆ แต่ร้องเพลงไปเรื่อยๆ เพราะเขารู้ว่าในบ้านมีคนอยู่ ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ต้องออกมารับจดหมายด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ บุรุษไปรษณีย์ยื่นจดหมายให้อย่างอารมณ์ดี เจ้าของบ้านถามไปว่าอากาศร้อนอย่างนี้ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกหรือ? บุรุษไปรษณีย์ตอบว่าอย่างไร เขาตอบว่า ถ้าโลกร้อน แต่ใจเราเย็น มันก็เย็นครับ ร้องเพลงเป็นความสุขของผมอย่างหนึ่ง ส่งไปร้องไป
เห็นไหม อากาศร้อนก็จริงแต่ถ้าใจเราเย็น เราก็รู้สึกเย็น อากาศแม้รุ่มร้อนแต่ใจเย็น ก็เป็นสุขได้ การเมืองแม้มันจะรุ่มร้อน แต่ใจก็มีความสุขได้
จากคุณ |
:
eurekraft
|
เขียนเมื่อ |
:
15 พ.ย. 55 06:04:37
|
|
|
|