สวัสดีครับคุณระนาดเอก ตื่นขึ้นมามองเห็นหัวข้อกระทู้ผมก็ตกใจ ที่ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พออ่านดูก็โล่งใจ แต่เกรงว่าคุณจะถูกตำหนิจากผุ้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของผม, ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาสู่คุณ แต่อย่างไรก็ตาม,ผมต้องขอ ขอบคุณ คุณระนาดเอก ที่มองการแสดงความคิดเห็นของผมในทาง Positive ข้อความที่ผมเขียนถึงคุณ นั้น เป็นการแสดงความเห็นด้วย กับความคิดเห็นของคุณ ในเรื่องสำคัญบางเรื่อง เพื่อไม่ให้เป็นที่ข้องใจของผู้ใด,ผมจึงขอนำมาโพสต์ให้เห็น To : ระนาดเอก 11:25] | | | สวัสดีครับ
ผมตามอ่านสองเรื่องใหญ่ๆ และเห็นด้วย กับคุณที่เด็กๆบางคนควรได้รับคำตักเตือน ให้รู้จักการแสดงความคิดเห็นในด้าน วิชาการและแยกเรื่องส่วนตัวออก โดยไม่ ล่วงเกินคู่สนทนาเป็นการส่วนตัว
ผมต้องขออภัยด้วยที่หลังไมค์ถึงคุณ | ประสบการณ์ของคุณที่เล่าเรื่องในสมัยนั้น ยังคงมีเหลืออยู่ในปัจจุบัน ในเขตนอกๆเมือง สุขาภิบาลสอง,และเขตทับช้าง ซึ่งผมมีประสบการณ์มาเร็วๆนี้ สังคมมุสลิมไทยเพิ่งเปลี่ยนแปลง มาเมื่อประมาน 20-30 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีผู้รู้ที่จบการศึกษาศาสนาอิสลาม จากประเทศมุสลิมในแถบต่างๆของโลก ได้นำวัฒนธรรมของประเทศเหล่านั้นติดตัวมาด้วยกับความรู้ทางศาสนา "ทำไมผมจึงไม่ค่อยได้การสนับสนุนจากมุสลิมในเวปบอร์ดแห่งนี้" ประการแรกคุณโซตานเข้าใจได้ถูกต้อง แต่ต้องขอ อธิบาย ให้ทุกๆท่านทราบว่า "อะฮาดีษไม่ใช่คัมภีร์", แต่เป็นเพียง หนังสือที่รวบรวม เรื่องบอกเล่าปากต่อปากว่าเป็นการสอนและการปฏิบัติของท่านศาสดามูฮัมมัด ซึ่งเขาเชื่อกันว่า เรื่องราวเหล่านั้นได้ถูกกลั่นกรองด้วยขบวนการที่เขาตั้งขึ้นมาซึ่งสามารถยืนยันได้ว่าเรื่องราวต่างๆนั้นเป็นเรื่องที่แท้จริง 100 % และมุสลิมส่วนใหญ่มีความเชื่อเช่นนั้น ในทัศนะของผมเห็นว่าถ้าเรื่องจาก อะฮาดีษเรื่องใด ที่ขัด หรือ ไม่ตรงตามบัญญัติในอัลกุรอาน หรือ ไม่มีในอัลกุรอาน แล้ว ถือว่าไม่ใช่คำสอนของ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ทั้งนี้เพราะท่านศาสนทูตมูฮัมมัดย่อมไม่ปฏิบัติหรือสอนสิ่งใดที่อยู่นอกบัญญัติในอัลกุรอาน เนื่องจากมีบัญญัติในอัลกุรอานกำชับไว้อย่างหนักแน่น โดยที่ห้ามท่านศาสดามูฮัมมัด บันทึก และบิดเบนข้อความที่พระเจ้าบัญญัติและมีคำสั่งให้ท่านท่องจำและจดบันทึกไว้ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ถ้าฝ่าฝืนคำสั่งของ อัลลออ์ตะอาลาแล้ว ในวันปรโลกท่านศาสดาจะถูกลงโทษอย่างสาหัส อีกประการหนึ่ง อะฮาดีษไม่ได้รับการรับรองจากท่านศาสนทูตมูฮัมมัดและจาก อัลลออ์ตะอาลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านศาสดามูฮัมมัดไม่รู้เรื่องราวว่าเขาเขียนหรือเล่าเกี่ยวกับตัวท่านอย่างไร? และฮาดีษบางเรื่องที่หาต้นตอไม่ได้แต่เชื่อว่าจริง โดยกลุ่มนักปราชญ์ร่วมตกลงกันว่านั้นเป็นเรื่องจริง นักปราชญ์ทางศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียง คือ ท่านอีมาม มาลิกี กล่าวว่า อะฮาดีษเรื่องใดที่ขัดหรือไม่ตรงกับบัญญัติในอัลกุรอาน ท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้โยนทิ้งไป ซึ่งผมเรียนรู้มาจากผู้สอนศาสนาอิสลามในสมัยผมเด็กๆ ซึ่งผมจดจำมาจนทุกๆวันนี้ การที่ผมไม่ได้รับการสนับสนุนจากมุสลิมในเวปบอร์ดแห่งนี้ นั้นไม่สำคัญเท่ากับที่ผมได้แสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ผมเห็นว่าถูกต้อง ตามจริยาธรรมและคุณธรรมที่ผมได้เรียนรู้จากอัลกุรอาน โดยตรง โดยไม่มีสิ่งใดเจือปน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมุสลิม เมื่อมีความศรัทธาต่อ "เอกพลานุภาพ" อัลลอฮ์ตะอาลา แล้ว ความเข้าใจในบัญญัติของพระองค์จะมีเหตุผลมากกว่า ความรู้จากการอาศัยเรื่องบอกเล่าของมนุษย์มาช่วยอธิบายแทนสติปัญญาของเราเอง เช่นเรื่อง STONING, APOSTASY และเรื่อง HIJAB ว่าเป็นบัญญัติของพระเจ้า ได้ชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่ผู้รู้ทางอิสลามใช้ "อะฮาดีษ" มา อธิบายเรื่องเหล่านี้ ตามความต้องการที่พวกเขาจะใช้ออกเป็นกฏหมายทางศาสนานอกเหนือจากบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งผมบอกเสมอว่า สิ่งใดที่อยู่นอกขอบเขตของอัลกุรอานแล้วไม่ใช่หลักการของ อิสลาม เช่นเรื่องการจูบหินดำที่เมกกะ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่จูบก้อนหินดำหรือสัมผัสก้อนหินดำ นั้นไม่มีเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องจูบ หรือสัมผัสหินดำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มุสลิมหันเหไปจาก การมีศรัทธาต่อพระเจ้า ได้อย่างชัดเจน ไม่มีผู้รู้มุสลิมผู้ใดที่จะให้คำตอบในการจูบหินดำหรือสัมผัสหินดำ ได้อย่างมีเหตุผลที่ถุกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม, ทั้งๆที่ศาสนาอิสลามสอนให้ห่างไกลจากการ ยกฐานะของก้อนหินมาอยู่ในระดับที่ ทำให้มุสลิมหลงไหลในความสำคัญของมันดังเช่นที่เห็นอยู่ในปัจจุบันในพิธีการทำฮัจจฺ ที่เห็นมุสลิมทั่วโลก ตรงเข้าไปสัมผัสหรือ จูบ หรือ ชี้มือไปที่ก้อนหินดำ ซึ่งเขาอ้างกันว่าเป็น เครื่องหมายในการนับรอบในการเดินวน ตัวกะบะห์ เรื่องต่างๆที่ผมเขียนเป็นความคิดเห็นส่วนตัวในการศรัทธาต่ออิสลาม ซึ่งผมบอกอยู่เสมอว่าอย่าเชื่อผม และถึงแม้ว่าถ้า ไม่มีศาสนาอิสลาม ผมก็ยังมีความเชื่อมั่นในเอกพลานุภาพ ที่ทำให้บังเกิดสิ่งต่างๆบนโลกนี้และในจักวาลทั้งหมด ถ้ามุสลิมเข้าใจความหมายของคำว่ามุสลิมที่แท้จริงแล้ว จะต้องเข้าใจได้ว่า มุสลิมคือผู้ทีมีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างไม่ต้องมีข้อสงสัยและไม่พยายามที่จะยกหรือบูชาผู้ใดหรือสิ่งใดให้มีความสำคัญเทียบเท่าพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น อีกครั้งหนึ่งผมขอขอบคุณน้ำใจอันดีงามของเจ้าของกระทู้
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 55 07:39:37
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 55 07:29:02
จากคุณ |
:
แมทท์
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ย. 55 07:23:41
|
|
|
|