บรรดานักวิชาการมุสลิม(อุละมาอฺ) ต่างก็ตอบโต้แนวคิดดังกล่าวพอสรุปได้ดังนี้
1. อัลกุรอานได้วางกรอบหลักคำสอนในภาพรวม ในขณะที่ซุนนะฮฺได้อธิบายรายละเอียดของศาสนบัญญัติ
การที่อัลลอฮฺได้กล่าวในอันกุรอานความว่า"และเราได้ประทานคัมภีร์ให้แก่เจ้าเพื่อชี้แจงและอธิบายในทุกสิ่งทุกประการ" (อันนะหลุ:89)
คำว่า ?ทุกสิ่งทุกประการ? ตามความหมายของโองการดังกล่าว หมายถึงหลักการสำคัญหรือรากฐานของศาสนาที่หมายรวมถึงหลักการศรัทธา หลักการปฏิบัติในภาพรวม และส่วนหนี่งของหลักศาสนา คือ ภารกิจของท่านนบีฯที่จะต้องให้คำอรรถาธิบาอัลกุรอานหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าภารกิจสำคัญของซุนนะฮฺ คือ การให้ความกระจ่างและอธิบายอัลกุรอาน
ดังที่อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ความว่า:"และเราได้ประทานอัลกุรอานแก่เจ้าเพื่อจะได้ชี้แจง(ให้กระจ่าง)แก่มนุษย์ซึ่งสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเขา" (อันนะหลุ:44)
ไม่มีคนใดในกลุ่มนักวิชาการมุสลิมทั้งอดีตและปัจจุบันที่ตีความว่า อัลกุรอานได้อธิบายสารัตถะของศาสนาอย่างละเอียดละออทุกประการ เพราะหากเป็นเช่นที่พวกเขาแอบอ้างแล้ว บรรดามุสลิมก็ไม่ทราบวิธีการละหมาดโดยแน่แท้
ทั้งนี้เพราะไม่เคยปรากฏในอัลกุรอานแม้แต่โองการเดียวที่อธิบายวิธีการและรูปแบบการละหมาดอันหมายรวมถึงจำนวนร็อกอ๊าต ช่วงเวลาเข้าละหมาด เงื่อนไขและสาระหลักของการละหมาด ตลอดจนบทดุอาและคำกล่าวต่างๆที่จำเป็นต้องอ่านทั้งในและนอกการละหมาด
ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ล้วนรับทราบโดยผ่านซุนนะฮฺแทบทั้งสิ้น เช่นเดียวกันกับซะกาต ฮัจญ และศาสนบัญญัติอื่นๆที่อัลกุรอานได้กล่าวบทบัญญัติในภาพรวม โดยที่ซุนนะฮฺได้ขยายความตลอดจนแจกแจงรายละเอียดบทบัญญัติดังกล่าวอย่างเป็นขั้นตอนจนสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
อิมามเอาซาอีย์(เสียชีวิตปี157ฮศ.)กล่าวว่า อัลกุรอานมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการอธิบายโดยซุนนะฮฺ มากกว่าซุนนะฮฺที่มีความจำเป็นได้รับการอธิบายโดยอัลกุรอานเสียอีก ในขณะที่อิมามเชากานีย์ได้กล่าวว่า โดยสรุปแล้ว
ซุนนะฮฺคือหลักฐานสำคัญในศาสนบัญญัติในอิสลาม และซุนนะฮฺเป็นสิ่งจำเป็นในศาสนา ไม่มีผู้ใดที่เห็นขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว เว้นแต่ผู้นั้นเป็นบุคคลที่ต้องสงสัยต่อการยึดมั่นในศาสนาอิสลาม
และเป็นสิ่งที่น่าขบขันตลอดจนเป็นสิ่งยืนยันของความโง่เขลาเบาปัญญาของกลุ่มนี้คือ พวกเขาไม่ยอมรับซุนนะฮฺของท่านนบี (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้อย่างเต็มอกว่าอัลกุรอานได้ถูกประทานลงมายังท่านนบีมูฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
และการที่พวกเขาสามารถอ่านอัลกุรอานจนถึงวันนี้ก็เพราะการเผยแผ่และการถ่ายทอดคำสอนของท่านนบีมูฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) มายังประชาชาติ ถ้าหากจะให้สอดคล้องกับทฤษฎีอันจอมปลอมของพวกเขาแล้ว น่าจะปฏิเสธ อัลกุรอานให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย - ขออัลลอฮฺได้โปรดชี้ทางนำด้วยเทอญ -
2. การที่อัลลอฮฺปกป้องพิทักษ์รักษาอัลกุรอานย่อมแสดงว่าอัลลอฮฺ ทรงพิทักษ์รักษาซุนนะฮฺเช่นเดียวกัน
อุละมาอฺได้อธิบายความหมายของการปกป้องพิทักษ์รักษาอัลกุรอาน เป็น 2 นัย คือ
นัยแรก หมายถึง การรักษาตัวอักษร สำนวนและประโยคในอัลกุรอานจากการเพิ่มเติม ลบเลือน แก้ไขหรือสังคายนา
นัยที่สอง หมายถึง การรักษาความหมายอันดั้งเดิมหรือเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ของอัลกุรอาน มิให้ถูกตีความตามอำเภอใจโดยผู้ไม่หวังดี ทั้งนี้เพราะความหมายของอัลกุรอานทุกโองการได้รับการตีความจากท่านนบี (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
โดยผ่านการรายงานของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ (อัครสาวก) อย่างสมบูรณ์แล้ว และไม่มีใครที่มีอภิสิทธ์แอบอ้างหรือตีความโองการอัลกุรอานที่ขัดแย้งกับการตีความของนบี (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) โดยเด็ดขาด
ดังนั้น การที่อัลลอฮฺทรงปกป้องอัลกุรอานย่อมแสดงว่าอัลลอฮฺได้ทรงปกป้องซุนนะฮฺโดยทางอ้อมด้วย ทั้งนี้เพราะอัลลอฮฺได้ทรงยืนยันที่จะชี้แจงและอธิบายความหมายของอัลกุรอาน ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ความว่า ? ดังนั้นเมื่อเราอ่านอัลกุรอาน เจ้าจงติดตามการอ่านนั้น และแท้จริงหน้าที่ของเราคือการอธิบายอัลกุรอาน? (อัลกิยามะฮฺ : 18-19)
อัลลอฮฺได้กล่าวแก่นบีมูฮำหมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ในโองการดังกล่าวว่าเมื่อญิบรีลอ่านอัลกุรอานแล้ว เจ้าจงฟังและอ่านตามตลอดจนปฏิบัติตามข้อบัญญัติใน อัลกุรอาน แล้วอัลลอฮฺก็จะชี้แจงความหมายต่างๆที่เป็นข้อสงสัยของเจ้าต่อไป
และเป็นที่ประจักษ์ชัดตามประวัติศาสตร์ว่าอัลลอฮฺได้ทรงปกป้องซุนนะฮฺเช่นเดียวกันกับที่อัลลอฮฺได้ทรงปกป้องอัลกุรอาน
บรรดานักวิชาการมุสลิมในทุกยุคทุกสมัยต่างก็ยืนหยัดเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของอัลกุรอาน ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของท่านนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ที่กล่าวว่า
"ความรู้และวิทยาการอิสลามนี้จะได้รับการสืบทอดโดยผู้ทรงคุณธรรมจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง พวกเขาจะปฏิเสธการแอบอ้างของกลุ่มผู้สุดโต่ง จะตอบโต้ข้อกล่าวหาของบรรดามิจฉาชน และจะลบล้างการตีความของเหล่าผู้โง่เขลา"
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 55 09:52:04