|
ขออธิบายแบบบ้านๆอิงตำรานิดหน่อย เป็นสามระดับนะครับ แต่ตอนทำจริงๆลืมไปเลยครับไม่ต้องไปแยกหรอก แค่มีสติและปัญญาก็จัดการสภาวะตรงหน้าได้เอง
*การนั่งสมาธิคือการพิจารณาทำอุบายต่างๆเพื่อให้จิตหันกลับไปจับอารมณ์จิต แทนที่จะจับความคิดตามความเคยชิน จิตก็ดิ้นบ้างเป็นธรรมดาๆ ดังนั้น ต้องใช้ปัญญาไปด้วย อาจต้องใช้ไม้อ่อนบ้างหรือบังคับกันบ้างครับ
1. ขณิกะสมาธิ คือการมีสติตั้งมั่นอยู่ในความคิดเรื่องเดียว.. อันนี้คล้ายๆที่คุณสองนิ้วชีบอกนะครับ แต่ขั้นแรกแค่ตั้งมั่นในความคิด ยังไม่ใช่ตั้งมั่นในอารมณ์จิต เพราะสติยังหยาบ จับอารมณ์จิตไม่ได้ สามารถเห็นการเกิดดับของความคิดได้แบบหยาบๆ
คือปกติเราคิดเยอะใช่ไหมครับ มันก็คิดเพ้อไปหลายเรื่อง อาจจะมีสติรู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้บ้าง เผลอเหม่อบ้าง อย่างตอนที่เพลินไปกับเพลงหรือดูหนังมันก็เป็นสมาธินะครับ เพราะตั้งมั่นอยู่ในความคิดเรื่องเดียว แต่มันเป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ เพราะเผลอตัวหลงไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความคิด ไม่ได้เอาสติไปด้วย...เมื่อจิตตั้งมั่นในความคิดได้แล้ว มันก็คิดแค่คำบริกรรมหรือตามอุบายที่ทำนั่นหละ ..ไม่มีอะไรให้คิดอีก ประมาณว่า รับงานใว้น้อย..จึงว่างมากหน่อย ทำให้รู้สึกสงบ สะอาด..ว่าง..โล่ง..สามารถหันกลับมารู้ตัวเองได้ ประมาณนั้น
*สรุปอุบายในการปฏิบัติ เช่น บริกรรม, ดูลมหายใจ, เพ่งกสิณ เป็นต้น ปฏิบัติเพื่อละนิวรณ์หยาบๆทิ้งไป
2. อุปจารสมาธิ คือการมีสติรู้การเกิดดับของอารมณ์หยาบๆ ทีนี้มันก็จะเบื่อๆไปเอง เพราะคิดเรื่องเดียวมันก็นิ่งอยู่ตรงนั้น ตอนที่ย้อนกลับมารู้ตัวเองนี่หละ จะเห็นว่า ความคิดอื่นพยายามแทรกอยู่นะ อารมณ์กำลังเกิดนะ..อารมณ์กำลังดับนะ อารมณ์นี้แข็งขึ้นมานะ...อารมณ์นี้กำลังดับนะ จากที่เห้นอารมณ์จิตและพิจารณาไปเรื่อยก็จะละวางไปได้เลย เพราะมันก็มีแค่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โลกทั้งโลกไม่มีอะไรใหม่เลย มันมีแค่นี้เอง อารมณ์จิตที่จะดผ่ลมาให้พิจารณาก็จะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ สติละเอียดมากขึ้น รู้ทันแล้วละไป ไม่เอาใจใส่กับการปรุงแต่ง อารมณ์ใหม่ๆมันก็เลยเกิดไม่ได้ อารมณ์จิตของอุปจารสมาธิ จะค่อยๆเกิดเด่นชัดขึ้นมาแทนที่ เช่น ปิติ สุข จิตก็จะหันมาพิจารณา และรู้อารมณ์สมาธิแนบแน่น
**สรุปอุบายในการปฏิบัติ คือ คือเอาสติมารู้อารมณ์จิตตามที่คุณสองนิ้วชี้บอกนั่นหละ ปฏิบัติเพื่อ ละอารมณ์จิตหยาบๆ ละนิวรณ์อย่างละเอียด
3. อัปนาสมาธิ เมื่อละอารมณ์จิตไปจนดับนิวรณ์ได้หมด เกิดเป็นสติเยอะๆ จิตจะรวมวูบเป็นหนึ่งเดียว แล้วไปจับอารมณ์ฌาณเห็นหลัก ซึ่งละเอียดกว่าอารมณ์อุปจารสมาธิ (เพราะละนิวรณ์ 5 ได้หมดแล้ว).. ทีนี้เหลือแต่อารมณ์ฌานเด่นชัด... ก็พิจารณาอารมณ์ฌานต่อไปจนสุดท้ายเหลือแต่ เอกัคตาและอุเบกขา ดับความรับรู้ทางกายหมด ในองค์ฌานไม่มีความคิดแบบธรรมดาๆ จะเหลือแต่ตัวเอง และสติที่เกิดสูงมากๆ โลกภายนอกหายไปทั้งหมด.. ไม่รู้จะเปรียบยังไง คาดเอาว่าสัตว์เซลล์เดียวคงมีการคิดเยอะมากกว่าคนเข้าฌาณเสียอีก... จะเหลือแค่ 1. รู้อารมณ์ฌาน 2. ไป 3. ถอย
**สรุปอุบายในการปฏิบัติ คือ พิจารณาอารมณ์จิต ปฏิบัติเพื่อ ละอารมณ์องค์ฌานที่หยาบ ให้จิตไปจับอารมณ์องค์ฌานที่ละเอียดกว่า
ถ้าผิดพลาดอย่างไรแนะนำได้นะครับ
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 55 14:41:16
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 55 14:37:42
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 55 14:36:30
จากคุณ |
:
BlueDelphi
|
เขียนเมื่อ |
:
24 พ.ย. 55 14:24:38
|
|
|
|
|