|
เพิ่มเติมเรื่องรูป จากพระอภิธัมมัตถสังคหะ
ตามนัยแห่งภูมิ http://abhidhamonline.org/aphi/p6/080.htm
ในภูมิใดรูปจะเกิดได้กี่รูป หรือ ในภูมิใดจะมีรูปได้กี่รูป กล่าวโดยทั่ว ๆ ไป ยังไม่จำแนกตามนัยแห่งกาล และตามนัยแห่งกำเนิด ของสัตว์ในภูมินั้น ๆ แล้วมี ดังนี้
ในกามภูมิ ย่อมเกิดรูปได้ทั้ง ๒๘ รูป ในรูปภูมิย่อมเกิดรูปได้ ๒๓ รูป, ใน อสัญญสัตตภูมิ ย่อมเกิดรูปได้เพียง ๑๗ รูป, ในอรูปภูมิไม่มีรูปเกิดขึ้นเลย
อธิบาย
๑. ในกามภูมิ ๑๑ ภูมิ รูปทั้ง ๒๘ รูป เกิดได้ครบ แต่ถ้ากล่าวโดยบุคคล แต่ละบุคคลแล้ว ถ้าเป็นอิตถีเพศ ก็ต้องเว้นปุริสภาวรูป และถ้าเป็นบุรุษเพศ ก็ต้อง เว้นอิตถีภาวรูป เป็นอันว่าบุคคลในกามภูมิแต่ละบุคคล มีรูปบุคคลละ ๒๗ รูป
แต่บางบุคคลอาจจะบกพร่อง มีไม่ถึง ๒๗ รูปก็ได้ เช่น ตาบอด ก็ไม่มี จักขุปสาทรูป หูหนวกก็ไม่มีโสตปสาทรูป เป็นต้น ไม่เหมือนกับพรหมบุคคล
๒. ในรูปภูมิ ๑๕ ภูมิ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ) มีรูปเกิดได้เพียง ๒๓ รูป เท่านั้น โดยเว้น ฆานปสาทรูป ,ชิวหาปสาทรูป ,กายปสาทรูป ,อิตถีภาวรูป และ ปุริสภาวรูป
ที่เว้น ปสาทรูป ๓ และภาวรูป ๒ นั้น เพราะรูปทั้ง ๕ รูปนี้เป็นรูปที่เป็น ปัจจัยสนับสนุนก่อให้เกิดกามคุณอารมณ์เป็นส่วนมาก อันล้วนแต่เป็นโทษอย่าง เดียวพรหมบุคคลเป็นผู้ที่ปราศจากกามฉันทะดังนั้นรูปทั้ง๕จึงไม่เกิดมีแก่พวกพรหม
ส่วนจักขุปสาทรูปและโสตปสาทรูปเกิดมีแก่พวกพรหมได้ เพราะปสาทรูป ทั้ง ๒ นี้ มิใช่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดกามคุณอารมณ์ที่จะเป็นโทษแต่อย่างเดียว ย่อมมี คุณประโยชน์เป็นอย่างยิ่งได้อีกด้วย กล่าวคือ นัยน์ตาก็เป็นประโยชน์ในการที่ได้เห็น ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ หูก็มีประโยชน์ในการที่จะได้ฟังธรรมอันประเสริฐ ถึงกับได้ รับความยกย่อง เรียกว่าเป็นทัสสนานุตตริยคุณ และ สวนานุตตริยคุณ คือ เป็นคุณ อย่างล้นพ้นแก่การเห็น เป็นคุณอย่างล้นพ้นแก่การฟัง ดังนั้น พรหมจึงยังคงมี จักขุปสาทรูป และโสตปสาทรูปอยู่
พรหมในรูปภูมิทั้ง ๑๕ ภูมินี้ แต่ละบุคคลมีรูปครบทั้ง ๒๓ รูป ทั่วทุกบุคคล ไม่มีขาดตกบกพร่องเหมือนบุคคลในกามภูมิ ดังที่กล่าวแล้วในข้อ ๑ คือ ไม่มีพรหม ตาบอด พรหมหูหนวก แต่นัยน์ตาของพรหมทำให้เห็นใด้ไกลมากจนถึงขนาดเป็น ตาทิพย์ และหูของพรหมก็ทำให้ได้ยินได้ไกลมากจนถึงขนาดเป็นหูทิพย์
๓. ในอสัญญสัตตภูมิ ๑ ภูมิ นั้น มีรูปเกิดได้เพียง ๑๗ รูป คือ อวินิพ โภครูป ๘, ชีวิตรูป ๑, ปริจเฉทรูป ๑, วิการรูป ๓ และลักขณรูป ๔
๔. ส่วน อรูปภูมิทั้ง ๔ ภูมิ นั้น ไม่มีรูปเกิดขึ้นเลย ทั้งนี้เพราะท่านเจริญ รูปวิราคภาวนา คือ ไม่ยินดี และไม่ปรารถนาจะมีรูป
๕. ที่กล่าวตามข้อ ๑-๔ เป็นการกล่าวตามจำนวนรูปธรรมเรียงเป็นรูป ๆ ไป ข้อต่อไปจะกล่าวเป็นกลาป ๆ คือ เป็นกลุ่ม ๆ เป็นมัด ๆ แต่ในข้อนี้จะแสดง การเกิดขึ้นของรูปกลาปของมนุษย์ที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาก่อน ดังนี้
ปฏิสนธิจิต เป็นจิตดวงแรกที่สืบเนื่องต่อภพต่อชาติใหม่ ที่อุปาทขณะของ ปฏิสนธิจิตนี้ มี กัมมชกลาป ๓ กลาป ได้แก่
กายทสกกลาป
หทยทสกกลาป
ภาวทสกกลาป
ปฏิสนธิจิต ที่ฐีติขณะ มีอุตุชกลาป เริ่มเกิด
ภวังคจิต เป็นจิตดวงที่ ๒ ในภพใหม่ และเป็นภวังคจิตดวงแรก ในภพใหม่ นั้น ที่อุปาทขณะของปฐมภวังคจิตนี้ จิตตชกลาปเริ่มเกิด
๑. กลลสตฺตาห เป็นน้ำใส ๑ สัปดาห์ เกิด กายทสกกลาป, หทยทสก กลาป, ภาวทสกกลาป, อุตุชกลาป และจิตตชกลาป (เป็นหยาดน้ำใส เหมือนน้ำมันงา)
๒. อมฺพุชสตฺตาห เป็นฟองน้ำ ๑ สัปดาห์ (มีลักษณะเป็นฟอง สีเหมือน น้ำล้างเนื้อ)
๓. เปสิสตฺตาห เป็นเมือกไข ๑ สัปดาห์ อาหารชกลาปเริ่มเกิด (มีลักษณะ เหมือนชิ้นเนื้อเหลว ๆ สีแดง)
๔. ฆนสตฺตาห เป็นก้อนไข ๑ สัปดาห์ (มีลักษณะเป็นก้อน มีสัณฐาน เหมือนไข่ไก่)
๕. ปสาขสตฺตาห เกิดปุ่มทั้งห้า ๑ สัปดาห์ (ได้แก่ แขน๒ ขา๒ ศีรษะ๑)
๖. ปริปากสตฺตาห ขยายตัว ๕ สัปดาห์ สัปดาห์ที่ ๖ ชีวิตนวกกลาป เริ่มเกิด
๗. จกฺขาทิสตฺตาห อายตนะเกิด ๑ สัปดาห์ เกิดจักขุทสกกลาป, ฆาน ทสกกลาป, ชิวหาทสกกลาป
๘. ปริปากสตฺตาห เจริญเติบกล้า ๓๐ สัปดาห์
๙. เกสาทิสตฺตาห โกฏฐาสเกิด ๑ สัปดาห์ (ตั้งแต่สัปดาห์ที่ ๑๒ ถึง ๔๒ ผม ขน เล็บ ก็ปรากฏตามลำดับ)
รวม ๔๒ สัปดาห์ x ๗ วัน = ๒๙๔ วัน
๖. ในกามภูมิ ๑๑ ภูมิมีกลาปเกิดได้ครบทั้ง ๒๑ กลาปคือ กัมมชกลาป ๙, จิตตชกลาป ๖, อุตุชกลาป ๔, อาหารกลาป ๒
แต่ละบุคคลก็ต้องเว้น อิตถีภาวทสกกลาป หรือปุริสภาวทสกกลาป ตามควร แก่บุคคล และถ้าบุคคลใดมีความบกพร่อง เช่น ตาบอด หูหนวก ก็ต้องเว้นจักขุ ทสกกลาป โสตทสกกลาป ตามควรแก่ที่สัตว์นั้นบกพร่อง
มีข้อควรสังเกตอยู่ว่า ความบกพร่องนี้มีเฉพาะในกัมมชกลาปเท่านั้น
------------------------------------------------ หรือที่
http://www.thepathofpurity.com/พระอภ-ธรรม/พระอภ-ธ-มม-ตถส-งคหะ/ปร-จเฉทท-๖/
หน้า ๑๐๖
=================================
หรือจากการบรรยายของท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร
ปาฐกถาเรื่อง คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/how.doc
เรื่องรูปนี้พิสดารมาก ข้าพเจ้าจะขอกล่าวแต่โดยย่อเท่านั้น รูปที่เกิดขึ้นในขณะปฏิสนธิ คือ กรรมชรูป อันหมายถึงกรรมเป็นสมุฏฐานนั้นมี ๓๐ รูป (หมายถึงมนุษย์และสัตว์บางชนิด ที่เกิดในครรภ์หรือในไข่) ๑. กายทสกะ ๑๐ รูป ๒. ภาวทสกะ ๑๐ รูป ๓. วัตถุทสกะ ๑๐ รูป รวม ๓๐ รูป เฉพาะรูปที่เกิดจากกรรมแต่อดีตแท้ โดยมิได้รวมกับสมุฏฐานอื่นๆ ด้วย มี ๙ รูป คือ หทยรูป ๑ ภาวรูป ๒ ปสาทรูป ๕ ชีวิตรูป ๑ รวม ๙ รูป กรรมชกลาป ๙ คือ ๑. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ + จักขุปสาทรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก จักขุทสกะ ๒. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ + โสตปสาทรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก โสตทสกะ ๓. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ + ฆานปสาทรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก ฆานทสกะ ๔. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ +ชิวหาปสาทรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก ชิวหาทสกะ ๕. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ + กายปสาทรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก กายทสกะ ๖. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ + อิตถีภาวรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก อิตถีภาวทสกะ ๗. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ + ปุริสภาวรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก ปุริสภาวทสกะ ๘. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ + หทยวัตถุรูป ๑ รวม ๑๐ เรียก วัตถุทสกะ ๙. อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ รวม ๙ รูปนี้ เรียก ชีวิตนวกกลาป รวมกรรมชกลาป ๙ กลาป ข้าพเจ้าคิดว่า ได้นำท่านเข้าสู่ปัญหาที่ซับซ้อนเข้าอีก คำบางคำก็เป็นภาษาบาลี ซึ่งจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะได้คลี่คลายพอให้เข้าใจ คือ รูปต่างๆ อันเกิดจากกรรมนั้นมี ๓ ได้แก่
.. กายทสกะ
.. ภาวทสกะ
.. วัตถุทสกะ ๑. กายทสกะ กายในที่นี้หมายถึงประสาทของกายทั้งหมด คำว่าปสาทะ หรือปสาทนี้ ไม่เหมือนกับปสาทในวิชาทางโลก ซึ่งนายแพทย์อาจเอาคีมดึงออกมาได้เป็นเส้นๆ ปสาททางธรรมะ อันเป็นรูปที่ไม่สามารถ เห็นหรือจับต้องได้ แต่สามารถรับกระทบก่อให้เกิดความรู้สึก หมายถึงความใสดุจความใสของกระจกที่ก่อให้เกิดเงาขึ้นมาได้ มีอยู่ทั่วร่างกาย ๒. ภาวทสกะ ภาวะหมายถึงเครื่องแสดงเพศ แต่มิใช่อวัยวะเพศเท่านั้น มีอยู่ ๒ คือ อิตถีภาวะ เพศหญิง และปุริสภาวะ เพศชาย เครื่องเพศนี้ก็อีกเหมือนกัน ได้แก่ อวัยวะที่แสดงเพศหญิงเพศชายหมดทั้งร่างกายเลยทีเดียว จะเป็นหน้า ตา จมูก กล้ามเนื้อ แขนขา ก็แสดงเพสได้ เช่นเราเห็นมือหรือเท้าโผล่ออกมาเท่านั้น เราก็ทายได้ว่าเป็นมือเท้าของหญิงหรือชาย ๓. วัตถุทสกะ วัตถุในที่นี้ หมายถึงรูปอันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิตที่อยู่ภายในหัวใจ แต่เป็นสุขุมรูป คือ รูปละเอียด ไม่สามารถมองเห็นได้เหมือนกัน คำว่า ทส คือ ๑๐ ได้แก่ รูปรวมกันเข้าแล้วเป็น ๑๐ รูป มี อวินิพโภครูป ๘ คือ ธาตุดิน, น้ำ, ไฟ, ลม, รูป หรือ สี, กลิ่น, รส, โอชะ ดังได้กล่าวมาแล้วแต่ตอนแรก รวมกับ ชีวิตรูป ๑ กายปสาท ๑ ก็เป็น ๑๐ พอดี สำหรับ ชีวิตรูป นั้น มีคำอธิบายว่า ธรรมดารูปทั้งหลายย่อมมีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยว หรือควบคุมให้รูปทั้งหลายที่อยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน มิให้แตกแยกหลุดออกจากกัน ธรรมชาตินี้เรียกว่าชีวิตรูป เมื่อรวมกายทสกรูป ๑๐ ภาวทสกรูป ๑๐ วัตถุทสกรูป ๑๐ จึงเป็นรูปที่ถูกกรรมสร้างขึ้น ๓๐ รูป แต่เฉพาะที่ด้วยอำนาจของกรรมแต่อดีตแท้ๆ นั้น ได้ ๙ รูป คือ หทยรูป ๑ ภาวรูป ๒ (หญิง- ชาย) ปสาทรูป ๕ (ปสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย) แล้วเอาชีวิตรูปรวมเข้าไปอีก ๑ จึงเป็น ๙ รูป คำว่า กลาป หมายถึงหมวด หมู่ มัด กลุ่ม เช่น อวินิพโภครูป ๘ + ชีวิตรูป ๑ รวมเป็น ๙ เรียกว่า ชีวิตนวกกลาป กรรมชกลาป คือรูปที่เกิดด้วยอำนาจของกรรม มี ๙ จิตตชกลาป คือรูปที่เกิดด้วยอำนาจของจิต มี ๖ อุตุชกลาป คือรูปที่เกิดด้วยอำนาจของอุตุ มี ๔ อาหารชกลาป คือรูปที่เกิดด้วยอำนาจของอาหาร มี ๒ รวม ๒๑ กลาป หรือ ๒๑ หมู่
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/boonmee/boonmee-02-01.htm
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
วันลอยกระทง 55 16:59:31
|
|
|
|
|