ความคิดเห็นที่ 1 1. โรมันคาทอลิก (ไทยเรียกว่าคริสตัง) - เป็น 1 เดียวทั่วโลก 2. โปรเตสแตนท์ (ไทยเรียกว่าคริสเตียน) - มีนิกายย่อยแบบนับไม่หวาดไม่ไหว 3. ออธอดอกส์ (ไทยไม่ค่อยรู้จัก) - มีสองสายหลักๆ เท่าที่ทราบมี รัสเซียออธอดอกส์ กับ อะไรอีกอย่างนึงทางสายยุโรป จากคุณ : ดอส - [ 19 ก.ย. 46 20:57:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คาทอลิก กับ ออธอดอสก์ ค่อนข้างจะคล้ายกัน ในเรื่องของการสืบสาย บริหาร ต่างๆ มีนักบวช อะไรประมาณนั้น ส่วนโปรฯ จะมีแค่บางสายเท่านั้นที่มีนักบวช ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มี จากคุณ : ดอส - [ 19 ก.ย. 46 20:58:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คริสต์ตอนแรกมีแต่คาทอลิคสืบอำนาจทางการเมืองมาจากการที่เป็นศาสนาประจำชาติโรมันต่อมาอำนาจโรมันเสื่อม แต่คาทอลิคยังมีอำนาจเหนืออาณาจักรต่างๆ กษัตริญ์แต่ละอาณาจักรจะครองราชได้ต้องได้รับการยินยอมจากสันตปาปา ให้สันตปาปาสวมมงกุฏให้ ออโทดอกแยกไปตอนไหนจำไม่ได้ การแยกโปรแตสแตนท์สาเหตุที่บันทึกไว้คือลูเธอร์ไม่พอใจความเหลวแหลกของคาทอลิค เรื่องหนึ่งคือการขายใบไถ่บาป คนทำบาปจ่ายตังส์ก็พ้นความบาป แต่เหตุผลลึกๆอีกส่วนหนึ่งคือกษัตริย์อาณาจักรต่างๆต้องการพ้นจากอำนาจการเมืองของคาทอลิค อาณาจักรอีกหลายแห่งก็ยังภักดีต่อคาทอลิคจึงเกิดสงครามระหว่างนิกายเรื่อยมาหลายร้อยปีรบกันตายไปเป็นร้อยล้านคน ปัจจุบันยังตีกันอยู่ที่ไอแลนด์เหนือ การฆ่ากันดังๆ เช่นการที่คาทอลิคหลอกโปรฯเข้ามาสังหารในปารีสในวันฉลองนักบุญเซนท์บาโทโลมิว ฆ่ากันอยุ่สองสามวันและขยายออกไปรอบเมืองอีกนับสัปดาห์ ตามถนนหนทาง แม่น้ำ เต็มไปด้วยศพ แต่วันหลังๆไม่ใช่สาเหตุทางศาสนาเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการจลาจลปล้นสดมภืมั่วรวมไปด้วย หรือตอนนี้ไปดูตามร้านขาย VCD ตามห้างจะมีซีดีเรื่องอาลิซาเบธ 49 บาท ราชินีโปรแตสท์ครองราชที่อังกฤษ โป๊บไม่พอใจจึงมีหนังสือลับให้คาทอลิคอังกฤษทำการกบฎ โรมส่งบาทหลวงมือสังหารมาช่วยฆ่าพระนางอลิซาเบธ จากคุณ : ชาวบ้านตาดำดำ - [ 19 ก.ย. 46 22:11:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ในทางประวัติศาสตร์ศาสนา ของทางคริสต์แล้ว ทางคาทอลิก ก็บอกว่า ออธอดอกส์ แยกตัวออกไป แต่ทางออธอดอกส์ ก็บอกว่า คาทอลิกแยกตัวออกไป ผมก็เลยไม่รู้ว่าอันไหนถูกต้องแน่ แต่ที่แน่ๆก็คือ ท่านมาร์ติน ลูเธอร์ ซึ่งก็เป็นบาทหลวงในตอนนั้น เกิดไม่พอใจในความเหลวแหลก อย่างที่คุณชาวบ้านฯ บอกมานั่นแหละครับ ก็เลยแยกตัวออกมา เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.... เอ ลืม เวงกรรม เอาไว้ ถ้ามีโอกาส ผมจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการแยกตัว ของโปรเตสแตนท์ มาให้อ่านกันเป็นวิชาการ ก็แล้วกันครับ ส่วนชื่อ โปรเตสแตนท์นี้ ทางคณะโปรฯ ไม่ได้เป็นผู้ตั้งเอง แต่ทาง คาทอลิก ตั้งให้ เพราะมันแปลว่า "ผู้ทรยศ ผู้ต่อต้าน" อะไรประมาณนั้นครับ จากคุณ : ดอส - [ 19 ก.ย. 46 22:30:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณชาวบ้านตาดำดำ ไม่บอกหน่อยหรือว่า กว่าท่านมาร์ติน ลูเธอร์ จะตั้งนิกายโปรฯ ได้นะ ตัวท่านก็แทบแย่เหมือนกัน รายละเอียดของเรื่องนี้ หาอ่านแบบไม่ต้องลงทุน ก็ดูหนังสือของ มสธ. เรื่อง "ศาสนา และความเชื่อในสังคมไทย" ได้นะครับ ตามห้องสมุดคงมี จากคุณ : คนทะเล - [ 20 ก.ย. 46 11:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณมากครับ อยากทราบจริงๆคือข้อแตกต่างของนิกายหลักๆนี่ล่ะ ออธอดอกส์ นี่มีอีกอันอยู่กรีกรึเปล่า? จากคุณ : Mean Machine - [ 20 ก.ย. 46 21:07:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แล้ว Church of England ล่ะครับอยู่ฝ่ายไหน จากคุณ : Nexus - [ 21 ก.ย. 46 04:23:25 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ้อ ใช่ครับ เป็น รัสเซี่ยน ออธอดอกส์ กับ กรีก ออธอดอกส์ ส่วน Church of England เป็นนิกายย่อย ที่แยกออกมาจาก Catholic สมัยพระเจ้า... นั่นลืมอีกแล้ว เดี๋ยวผมค้นก่อน ถ้าเป็นไปได้ จะเอามาลงพร้อมกับประวัติ โปรเตสแตนท์ เลยแล้วกัน จากคุณ : ดอส - [ 21 ก.ย. 46 06:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เจอแล้ว อันนี้ประวัติ Church of England หรือที่รู้จักดีกว่าในนามของ Anglican แบบคร่าวๆ http://www.vcharkarn.com/magazine/issue4/issue004_worldhistory.php จากคุณ : ดอส - [ 21 ก.ย. 46 06:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ใกล้ๆบ้านผมเนี่ย มีโบสถ์อยู่ 4 โบสถ์ เป็น Catholic, Anglican, Baptist แล้วก็ Uniting Church (Presbiterian + คริสตจักรท้องถิ่นในออสเตรเลีย) แต่แหม อันว่าคริสตจักรเพนเทคอส แบบที่ผมร่วมนมัสการตอนอยู่เมืองไทย ก็อยู่ไกล๊ไกล พักหลังเลยเกเรใหญ่ คิคิ ตอนหลังใช้วิธี เข้าร่วมโบสถ์นั้นที โบสถ์นี้ที แต่แหม พิธีนมัสการของ โบสถ์ข้างบน ที่ว่ามา ผมไม่คุ้นเคยเลย แบบมันขลังเกินเหตุ (ความจริงจะหลับ อิอิ) จากคุณ : ดอส - [ 21 ก.ย. 46 06:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แล้วมีใครทราบเกี่ยวกับนิกาย มอร์มอนบ้างครับ เกี่ยวกับพวกลัทธิภราดรภาพอย่างไร(FREE MASON) จากคุณ : at - [ 21 ก.ย. 46 19:46:21 A:203.209.13.126 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ว่างๆคุณดอสหรือชาวคริสต์ท่านอื่นช่วยเล่าประวัตินิกายต่างๆอย่างละเอียดหน่อยนะครับ จากคุณ : ฮกเกี้ยน - [ 23 ก.ย. 46 07:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนนี้ว่างอยู่เลยจะมาเล่าให้ฟัง เริ่มเลยก็คือภายหลังจากพระเยซูเจ้าทรงมอบอำนาจและตั้งพระศาสนจักรในโลกนี้โดยท่านนักบุญเปโตร พระสันตะปาปาพระองค์แรกแห่งพระศาสนจักรคาทอลิก แล้วพระองค์ทรงเสด็จขึ้นสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดาทรงสรรพานุภาพ(เริ่มจะสวดบทสัญลักษณ์อัครสาวกแล้ว) ก็เริ่มมีการประกาศพระวรสาร ในตอนแรกพระศาสนจักรก็มีศูนย์กลางที่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งที่นี้ท่านนักบุญสเทเฟน ได้ถวายเกียรติมงคลแด่พระเจ้าเป็นมรณสักขีองค์แรกของพระศาสนจักร ต่อมาภายหลังท่านนักบุญเปโตรและท่านนักบุญเปาโลได้เดินทางไปโรมเพื่อประกาศพระวรสารที่นั้น ณ.ที่นั้นท่านทั้ง 2 ได้ถวายเกียรติต่อพระเจ้าด้วยชีวิต น.เปาโลถูกตัดศีรษะ น.เปโตรถวายเกียรติด้วยการตรึงกางเขนกลับหัว(ท่านเป็นผู้ร้องขอให้ทำเช่นนั้น เพราะท่านว่าท่านไม่สมควรตายลักษณะเดียวกับพระอาจารย์เจ้า) ณ.เนินวาติกัน ซึ่งปัจจุบันเป็นรัฐวาติกัน ศูนย์กลางพระศาสนจักรคาทอลิก ถึงแม้น.เปโตรจะสิ้นพระชนม์ แต่ตำแหน่งพระสันตะปาปายังคงได้รับการสืบทอดอยู่ และก็ยังคงมีการเบียดเบียนพระศาสนจักรอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในรัชสมัยของจักรพรรดิ์เนโรผู้โหดเหี้ยม แต่แล้วเมื่อถึงรัชสมัยของจักรพรรดิ์คอนสแตนติน ในขณะที่พระองค์ทรงกรีธาทัพเข้าบุกโรม ท่านได้เห็นเครื่องหมายกางเขนบนท้องฟ้า และอักษร "IN HOC SIGNO VINCES" แปลว่า "อาศัยเครื่องหมายนี้ท่านจะชนะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ก็สามารถยึดโรมได้ และได้ครองอาณาจักรโรมันตะวันตก ซึ่งพระองค์ได้ประกาศพระราชโอการให้สิทธิเสรีภาพแก่บรรดาคริสตังในการนับถือศาสนา พร้อมทั้งคืนศาสนสมบัติทั้งหมดที่เคยถูกทางการยึดไป และภายหลังพระองค์ได้เข้ารับศีลล้างบาปเป็นคริสตัง จากคุณ : <<First>> - [ 24 ก.ย. 46 06:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เนื่องจากจะเล่าแบบย่อจึงขอข้ามไปหลายเรื่อง ไปเรื่องกำเนิดพระศาสนจักรออธอดอกส์ เลย เนื่องจากโรมันได้ถูกแบ่งเป็น 2ส่วนภายหลังการยึดครองของจักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งทำให้มีเมืองหลวง 2 แห่ง คือโรมและคอนสแดนติโนเปิล ซึ่งพระสันตะปาปาจะทรงประทับที่โรม ทำให้ทางคอนสแตนติโนเปิลรู้สึกเป็นรอง จึงมีการสถาปนาอารค์บิชอบแห่งคอนสแนติโนเปิลให้มีอำนาจเทียบเท่าพระสันตะปาปา นั้นทำให้เกิดการแตกแยกในพระศาสนจักรครั้งแรก ซึ่งคาทอลิกเรียกว่า"กิสมาติก" และโดยน้ำพระทัยดีพระสันตะปาปาได้ส่งพระคาดินัลนามว่า "ฮัมเบิต" เป็นผู้แทนพระองค์ไปยืนพระสมณสาร ต่อพระสังฆัยกากรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยพระองค์เชื่อในความเป็นปราชญ์ของพระคาดินัลฮัมเบิต แต่อนิจจา ท่านพระคาดินัลเป็นปราชญ์ก็จริงแต่ก็มีความหยิ่งและดูหมิ่นพระศาสนจักรตะวันออกมาก เมื่อท่านได้ไปยื่นพระสมณสาร ให้พระสังฆัยกา แล้วพระองค์ไม่ทรงรับ ท่านจึงได้เรียกประชุมบรรดาบาทหลวงทั้งหมด ตั้งแต่อาร์คบิชอบลงไปที่วิหารนักบุญโซเฟีย ท่านได้ปราศรัยประณามและดูหมิ่นพระสังฆัยกา และประกาศคว่ำบาตรตัดบุคคลที่นับถือพระศาสนจักรคอนสแตนติโนเปิลออกจากพระศาสนจักร ซึ่งถือว่าเป็นจุดแตกหักที่แท้จริงของพระศาสนจักรตะวันตกและตะวันออก จากคุณ : <<First>> - [ 24 ก.ย. 46 07:08:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ต่อมาเป็นเรื่องของการกำเนิดโปรแดสนแดนท์บ้าง ในสมณสมัยของพระสันตะปาปาเลโอที่10 มีการสร้างวิหารมากมายในกรุงโรม ทำให้ต้องใช้เงินมาก ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ พระสันตะปาปาแทนที่จะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างรัดกุม กลับทรงสัญญาว่าจะประทานพระคุณการุณให้แก่ผู้บริจาคเงินแทน ซึ่งทำให้มีนักเทศน์บางท่านได้เทศน์โดยขาดการยั้งคิด ออกไปเทศน์ว่าพระคุณการุญนั้นช่วยวิญญาณให้พ้นจากไฟชำระและได้ขึ้นสวรรค์ได้ ทำให้เกิดเหตุการณ์ซื้อบุญกันได้ และในตอนนั้นได้มีบาทหลวงชาวเยอรมันท่านหนึ่ง นามว่ามาร์ติน ลูเธอร์ ท่านได้เดินทางไปโรมและท่านได้พบความสะเทือนใจว่า บรรดานักเทศน์ไม่ได้กล่าวถึงพระวรสารแต่กลับการถึงแต่พระคุณการุญเท่านั้น ซึ่งท่านไม่เห็นด้วยเมื่อกลับประเทศแล้วท่านจึงปิดประกาศคัดค้านอย่างรุนแรงไว้ที่หน้าประตูโบสถ์ของท่าน แต่ประกาศของท่านได้กล่าวสิ่งที่ขัดกับคำสอนพระศาสนจักรคือ ท่าเชื่อว่าไม่มีไฟชำระ ดังนั้นพระคุณการุญจึงไม่มีความหมาย นั้นทำให้เรื่องร้ายแรงขึ้นจนพระสันตะปาปาทรงส่งหนังสือเตือนท่าน แต่ท่านกับเผาหนังสือของพระสันตะปาปาทิ้งที่ลานเมืองวิตเตอร์เบิร์ก ต่อมาท่านได้แปลพระคัมภีร์ออกเป็นภาษาเยอรมัน และที่ร้ายแรงคือท่านยกเลิกการถวายบูชามิสซา ให้เป็นการสวดภาวนาและอ่านพระคัมภีร์แทน ยกเลิกศีลอภัยบาป และศีลต่างๆ ห้ามนับถือแม่พระและบรรดานักบุญ และไม่ให้มีบาทหลวง นั้นหมายถึงว่าท่านเป็นปฏิปักษ์กับพระศาสนจักร ท่านและลูกศิสย์จึงถูกคว่ำบาตร และถูกเรียกว่า "โปรแตสแตนท์"แปลว่าผู้ต่อต้าน ซึ่งต่อมาได้แพร่ขยายสู่ประเทศอื่นๆอีก เช่น ฝรั่งเศสและอังกฤษ จากคุณ : <<First>> - [ 24 ก.ย. 46 07:32:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เดี๋ยวมาต่อเรื่อง"Anglican"เมื่อยแล้ว จากคุณ : <<First>> - [ 24 ก.ย. 46 07:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ต่อๆๆ ในอังกฤษ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ต้องการจะหย่จากพระนางคัธริน แต่พระสันตะปาปาไม่ทรงอนุญาต เนื่องจากผิดพระบัญญัติ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ทรงไม่พอพระทัยอย่างมาก จึงประกาศตัดขาดกับสันตะสำนัก และตั้งพระองค์เป็นประมุขพระศาสนจักรอังกฤษ และยึดทรัพย์ของศาสนสถานต่างๆ แจกจ่ายแก่บรรดาเจ้านาย ต่อมาพระธิดาของพระองค์ ซึ่งก็คือพระนางอลิซาเบ็ธที่ 1 ได้จัดการศาสนจักรแอกลิกันใหม่ และในช่วงนี้คริสตังหลายคนในอังกฤษและไอร์แลนด์ต้องจบชีวิตลงจากการเบียดเบียน รวมไปถึงพระนางแมรี่แห่งสก็อตแลนด์ พระศาสนจักรอังกฤษ จะมีพีธีกรรมภายนอกเช่นเดียวกับทางพระศาสนจักรคาทอลิกและพระศาสนจักรออธอดอกส์ แต่การกำเนิดพระศาสนจักรอังกฤษนั้น ถือว่าขาดความต่อเนื่อง ไม่ได้สืบจากอัครสาวก เพราะเป็นกษัตริย์ตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านพระสันตะปาปา และบรรดาศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ไม่ถูกต้องด้วย ดังนั้นพระศาสนจักรคาทอลิกจึงไม่รับรองศีลศักดิ์สิทธิ์และนักบวชของพระศาสนจักรอังกฤษ แม้ว่าศาสนาคริสต์จะมีหลายนิกาย แต่เรามีศีรษะเดียวกันคือพระเยซูเจ้า เราจึงร่วมเป็นอวัยวะเดียวกันในองคค์พระผู้ไถ่ โดยเหตุนี้ ข้าแต่พระเป็นเจ้า ขอพระองค์โปรดรวบรวมประชากรของพระองค์ บรรดาพี้น้องที่แบ่งแยก ให้เข้าร่วมกัน เป็นฝูงแกะเพียงฝูงเดียวของพระองค์ด้วยเทอญฯ อาเมน จากคุณ : <<First>> - [ 24 ก.ย. 46 08:28:06 ]

ความคิดเห็นที่ 18 (OoO) อืม ไม่เคยรู้เรื่อง ออธอดอกส์ มาก่อนเลยนะนี่ ขอบคุณ คุณ First จากคุณ : Hoo - [ 24 ก.ย. 46 14:57:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณ คุณ first ที่เพิ่มเติมข้อมูลมากมายให้ทราบถึง การกำเนิดและเบื้องหลัง ของสิ่งต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นในยุคของพระศาสนจักร ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คุณ first เป็นผู้ที่รอบรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์ และระเบียบพิธีของ คาทอลิก มากจริง ๆ ดังนั้นผมจึงขอ ถามเพื่อต้องการทราบจริง ๆ สักเล็กน้อยครับว่า มีคำประกาศจากหนังสือ บางเล่มที่เป็น หลักในการยึดถือ ของ ศาสนจักรคาทอลิก ในเล่ม The Great Eneyclical Letter of Pope Leo XIII ในหน้าที่ 304 ได้กล่าวว่า "เรา (สันตะปาปา) มีตำแหน่งเป็นพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่ ในโลกนี้" การกล่าวดังนี้ ยังคงยึดถืออยู่ดังนั้นหรือเปล่าครับ และอีกตอนหนึ่ง ในหนังสือ Denzinger หน้า 457 ได้ประกาศไว้ดังนี้ว่า "คำสอนของคริสตจักรได้รับการดลใจจากพระเจ้า เมื่อสันตะปาปา ตรัส ก็หมายถึงพระองค์ทำหน้าที่เป็นศิษยาภิบาล และอาจารย์ของคริสเตียนทั้งหมด สันตะปาปามีอำนาจสูงสุดในการอธิบายหลักความเชื่อ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคริสตจักร และจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้" สิ่งที่ผมเรียนถามคือ คำกล่าวในลักษณะดังกล่าวนี้ ปัจจุบัน คริสตจักร โรมันคาทอลิก ยังคงยึดถือ และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยไม่เปลี่ยนแปลงหรือเปล่าครับ............... ช่วยกรุณาตอบด้วยนะครับ จากคุณ : พนา - [ 25 ก.ย. 46 16:42:05 A:203.144.143.250 X:203.118.105.161 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คาทอลิก ศาสนจักรฝ่ายตะวันตก ออธอดอกซ์ ศาสนจักรฝ่ายตะวันออก กรีก กรุงสแตนตินติโนเปิล (อิสตันบูล) อยู่ตุรกี โปรเตสแตนต์ คล้ายๆ กับพวกนอกรีต ในสมัยนั้น เชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ เป็นฝั่งโปรเตสแตนต์ เพราะไม่ขึ้นกับโป๊ป โปรเตสแตนต์ มีการปกครอง หลายรูปแบบ แบบสังฆาธิปไตย แบบพฤฒาธิปไตย แบบสมัชชาธิปไตย (ถ้าผิด ช่วยแก้ไขให้ด้วย) ต่างคนต่างอยู่ แล้วแต่ค่าย แต่อาจช่วยเหลือกัน เปลี่ยนหน้าช่วยกันเทศน์ แม้จะต่างคริสตจักรกัน เชิญกันไปเชิญกันมา เรื่องไฟชำระ ทางคาทอลิกเขาเชื่อ แต่ทางโปรเตสแตนต์ไม่เชื่อ โปรเตสแตนต์ เหลือแค่ สองพิธี คือ พิธ๊บัพติสมาคือการที่คนคนหนึ่งมารับเชื่อ ควรจะ ประกาศให้ทราบกัน กับอีกพิธีคือ พิธีมหาสนิท คือการระลึกถึง การวายพระชนม์ที่ไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า เพราะภารกิจของท่าน อ่ะนี้ เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ ท่านมาร์ติน ลูเธอร์ เน้นอยากให้ทุกคนสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้ด้วยตัวเอง เข้าถึงเอง ซึ่งสมัยก่อนพระเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ได้เห้นได้อ่านพระคัมภีร์ พันธกิจ mission ของฝั่งคริสเตียน(โปรเตสแตนต์) จึงชอบแปลพระคัมภีร์ ท่องจำพระคัมภีร์ เปิดพระคัมภีร์เป็นระวิง ที่เห็นฝรั่งสมัยนี้ บางคนที่เคร่ง เขาจะพกพระคัมภีร์พกติดตัวไปไหนมาไหน ของฝั่งคาทอลิก ค่อนข้างจะให้พระท่านเป็นคนกลาง ถ่ายทอดอีกที คริสเตียน สารภาพบาปเอง ตีความโดยส่วนตัวเอง ตรงดิ่ง ไม่มีคนกลาง ตามสบาย ตามสะดวก 555555 ไม่มีการสวดที่เป็นแบบฉบับ แต่จะเรียกว่า การอธิษฐานpray ร่ายเอง ไม่มีสคริปต์ ว่ากันสดๆ อ้อ อีกเรื่อง ที่ศาสนจักรสมัยโน้น เคืองโปรเตสแตนต์ ก็เรื่อง คิดดอกเบี้ย ตามพระคัมภีร์บอกให้พี่น้องยืมไม่ควรคิดดอก คุณธรรมนี้ยังตกทอดมาถึงพี่น้องอิสลาม ลองไปฝากเงินที่ธนาคารอิสลาม สิ ตอนนี้ (ดอกยิ่งต่ำติดดินอยู่แล้ว ) เปิดหลายแห่งแล้ว ไม่มีดอกเบี้ยเงินฝาก มีแต่การปันผล และห้ามบ่น ถ้าจะให้เป็นของขวัญแทนก็ได้ คริสเตียน หาเหตุผล ที่ว่าคิดดอกเบี้ยได้ เพราะคนที่ยืมเงินนั้น ไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ จึงควรใช้ดอกเบี้ยควบคุมไว้ให้ต้องจ่ายคืน จึงเกิดธนาคารขึ้น รวบรวมเงินที่ซุกใต้หมอน เสียบข้างฝา มารวบรวมไว้ที่กลาง แล้ว มีคณะกรรมการมาช่วยดูช่วยคิดค้นหาให้ดอกผลงอกเงย อนุมัติให้ยืม ฝั่งโน้น เขารู้ระบบทุนนิยมมาก่อน ประสบปัญหามาแล้ว แต่ฝั่งเรา เพิ่งรู้ แล้วยังไม่ซื่อ ไม่จ่าย ไม่หนี ไม่คืน แถม กรรมการเม้มลงกระเป๋าอีกต่างหาก จึงเกิดวิกฤติด้วยประการ ละฉะนี้ ระบบมันห่างๆ และซับซ้อนขื้น แต่มันก็ทำให้โลกกระตือรือร้น คิดๆแต่ เรื่องลงทุน ทำอะไรดีหว่า เผื่อรวย จอมเสนอโปรเจ็ก มิใช่นั่งดูฟ้าดูดินเช่นคนสมัยโบราณ ซึ่งกิจกรรมมีน้อย ต๊าย นี่ชั้น จาก ศาสนา ไปจนถึง วิชาเศรษฐศาสตร์จนด้าย จากคุณ : jiang_si@yahoo.com - [ 25 ก.ย. 46 17:14:47 A:203.157.14.246 X:203.157.2.205 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณพนา The Great Eneyclical Letter of Pope Leo XIII ผมไม่เคยอ่านอ่ะครับ แต่เท่าที่รู้ เราเชื่อว่าพระสันตะปาปาเป็นตัวแทนพระเยซูเจ้าในแผ่นดินนี้ครับ แต่ไม่ใช้พระเจ้าครับ อันนี้ต้องลองแปลดูดีๆ ส่วนหนังสือ Denzinger ผมก็ไม่เคยอ่านอีก แต่หากเป็นเมื่อก่อน พระราชอำนาจของพระสันตะปาปาจะมากมายครับ แต่ปัจจุบัน นับแต่การสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 รู้สึกจะมีการออกกฤษฏีกาว่าด้วยเรื่อง พระสมณสารออกมานะ(หากผมจำไม่ผิด) ซึ่งตรงนี้จะเน้นไปเรื่องพระราชอำนาจ ไม่รู้ผิดพลั้งในการสอนคำสอนของพระสันตะปาปาเลย คือนอกจากเรื่องคำสอน(ซึ่งจะออกเป็นพระสมณสาร)แล้ว และเรื่องการรับรองในสิ่งศรัทธา(เช่น แม่พระ นักบุญและการอัศจรรย์ต่าง) ทุกอย่างไม่ถือตามเอกสิทธิ์นี้ครับ และเอกสิทธิ์นี้ครับ และปัจจุบัน พระสันตะปาปาไม่ใช่ผู้เดียวในการสั่งการครับ ทรงมีพระคาดินัล บิชอปช่วยเหลือในการกลั่นกรอง คำสั่งอีกครับ จากคุณ : <<First>> - [ 25 ก.ย. 46 18:01:50 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ คุณ First ที่กรุณาตอบข้อสงสัย แต่คงจะต้องขออภัยด้วยนะครับ ถ้าผมจะยังมีคำถามบางคำถามที่ขอเรียนถามอีกสักเล็กน้อย แต่จะต้องขอเรียนชี้แจงให้ทราบก่อนเลยนะครับว่า มิได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งใด ๆ เพียงแต่เป็นข้อสงสัย และข้อสังเกต เพื่อจะได้มีการเรียนรู้ร่วมกันมากกว่าครับ ผมได้อ่านหนังสือบางเล่ม (ซึ่งก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด) ได้กล่าวว่า คริสตจักรโรมันคาทอลิก เป็นผู้เปลี่ยนแปลงพระบัญญัติของพระเจ้า ตามที่ตนเองต้องการ โดยที่ไม่ได้มีข้อสนับสนุนจากพระคัมภีร์ เช่นพระบัญญัติ 10 ประการ ที่ปรากฏ อยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่ง ก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป............ และการกำหนดวันบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นวันอาทิตย์ โดยการประชุมที่เกิดขึ้นที่เมือง ลาโอดิเซีย ค.ศ. 364 ซึ่งปรากฏอยู่ในคำอ้างของ บิชอป ปีเตอร์ เกียร์แมน ในหนังสือ The Convert’s Catechism of Catholic Doctrine ในหน้าที่ 50 ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ปี ค.ศ. 1910 โดยอ้างว่า “เป็นสิทธิพิเศษ ที่พระคริสตจักรสามารถกระทำได้ โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้” ทั้ง ๆ ที่ ความจริงวันบริสุทธิ์ (วันสะบาโต) ที่ปรากฏตามพระคัมภีร์คือ วันเสาร์ มิใช่วันอาทิตย์แต่อย่างใด (ถ้าศึกษาดี ๆ ) และสามารถพบได้อีกจากหนังสือ The Faith of Our Fathers หน้า 111 . ซึ่งจะว่าไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ แม้แต่การกราบไหว้รูปเคารพ (บัญญัติข้อที่ 2) ก็ถูกยกเลิกไปโดย มิได้มีข้อสนับสนุน จากพระคัมภีร์เลยแม้แต่น้อย ผมไม่ทราบว่า การประชุม สังคยานาวาติกัน ครั้งที่ 2 ได้มีการประชุมเพื่อแก้ไข สิ่งที่ผิดพลาดเหล่านี้ด้วยหรือเปล่าครับ และถ้าไม่ อำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เหล่านี้ สามารถกระทำได้โดยการสนับสนุน หรือการให้อำนาจจากพระเจ้าในส่วนใดครับ จากคุณ : พนา - [ 26 ก.ย. 46 09:59:00 A:203.144.143.250 X:203.118.105.249 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตุณพนาครับ จริงๆแล้วคำถามแบบนี้พวกผมเคยตอบไปแล้ว ไปค้นดูในคลังกระทู้ได้ครับ แต่เอาเหอะผมจะโพสใหม่ ----------------------------------------------------------- สิทธิอำนาจของพระศาสนจักร 17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ 18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร zภาษากรีกว่า (เปโตร)และบนศิลานี้ (ภาษากรีกว่า เปตรา) เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้น หามิได้ 19 เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย" (มัทธิว 16 : 17-19) ----------------------------------------------------------- นี้คือสิทธิอำนาจของศาสนจักรครับ ซึ่งทุกอย่างที่พระศาสนจักรได้บัญญัติ แก้ไขเปลี่ยนแปลง ถือว่าพระเยซูเจ้าทรงยอมรับ และนอกจากนี้การดำเนินการใดๆ โดยส่วนใหญ่ พระศาสนจักรจะรอสิ่งที่เรียกว่าการรับรองจากเบื้องบนก่อนครับ จึงจะประกาศเป็นทางการ เช่นเรื่องการนับถือแม่พระซึ่งคาทอลิกนับถือมาตั้งแต่ศตวรรตที่ 1 แต่เพิ่งประกาศเป็นทางการไม่กี่ศตวรรตนี้เอง หรือการสถาปนานักบุญแต่ล่ะองค์ ก็ต้องรออัศจรรย์ที่เชื่อได้ว่าเบื้องบนรับรอง บางองค์ก็กินเวลาไป 5-6ศตวรรตก็มี ส่วนเรื่องวันสะบาโต เราคงเห็นจากพระคัมภีร์ข้อนี้ครับ ----------------------------------------------------------- 1 ในคราวนั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต {เป็นวันหยุดพัก และนมัสการพระเจ้า ตั้งขึ้นตามพระบัญญัติ ดู อพยพ.๒๐:๘-๑๑} และพวกศิษย์ของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2 เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า จึงทูลพระองค์ว่า "นั่นแนะ ศิษย์ของท่านทำการซึ่งต้องห้ามในวันสะบาโต" 3 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือ ซึ่งดาวิดได้กระทำ เมื่อท่านและพรรคพวกอดอยาก 4 ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า รับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งท่านหรือพรรคพวกไม่มีสิทธิ์จะรับประทาน ควรแต่ปุโรหิตพวกเดียว 5 ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือ ที่ว่า พวกปุโรหิตในวิหารย่อมละเมิดกฎวันสะบาโตแต่ไม่มีความผิด 6 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งหนึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก 7 ถ้าท่านทั้งหลายได้เข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด 8 เพราะว่า บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต (มัทธิว 12 : 1-8) ----------------------------------------------------------- ในข้อนี้เราจะเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงตรัสชัดว่าพระองค์ใหญ่กว่าข้อกำหนดสะบาโต และพระองค์ก็ทรงรับรองคณะสาวกของพระองค์ด้วย ซึ่งเราเชื่อว่าพระศาสนจักรสืบต่อมาจากพวกท่านอัครสากเหล่านั้นแต่เราไม่คิดว่าวันที่เราจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าไม่สำคัญ ในความจริงยังคงถกเถียงกันว่า ชาวยิวสมัยนั้น นับวันจันทร์เป็นวันที่1 หรือนับวันอาทิตย์เป็นวันที่1 ตามคตินิยมสากลในปัจจุบัน ซึ่งหากเรานึกย้อยดู แต่ก่อนเราก็นับวันจันทร์เป็นวันแรกของสัปดาห์และวันอาทิตย์คือวันที่ 7 ใช่ไหมครับ จากคุณ : <<First>> - [ 26 ก.ย. 46 23:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 24 วันสะบาโต คือ ขอให้มีวันหยุดพักหนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์ก็เท่านั้น จะให้ทำงานทุกวัน คงไม่ไหว จากคุณ : jiang_si@yahoo.com - [ 28 ก.ย. 46 08:34:01 A:203.157.14.246 X:203.157.29.228 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ที่ชาวคริสต์ เลือกวันอาทิตย์เป็นวันหยุด เพราะเป็นวันที่ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันนี้ สามวันหลังจากที่ถูกตรึงให้ตายบนไม้กางเขน จากคุณ : jiang_si@yahoo.com - [ 30 ก.ย. 46 01:36:04 A:203.157.14.246 X:203.157.29.150 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ Frist ครับ ผมไม่ได้เข้ามาเสียนานเพราะไปต่างจังหวัด และไม่ทราบว่าการตอบครั้งนี้ของผมคุณจะได้อ่านหรือเปล่า เท่าที่ได้เห็นคุณตอบคำถามบ่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่มีความรู้และเข้าใจอะไร ลึกซึ้งมากทีเดียว แต่การตอบครั้งนี้ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะเข้าใจและ เชื่อ ตามที่คุณโพสมาจริง ๆ เพราะ ประการแรก คำว่าศิลาที่ปรากฏอยู่ใน พระธรรมมัทธิว 16 : 18 เป็นคำคนละความหมายกัน กับคำว่า เปโตร และศิลาคำนี้ ในภาษารากศัพท์ เป็นภาษากรีก นั้นเป็นคำ ๆ เดียวกับคำที่ใช้พระธรรมมัทธิว 24 : 42 (ศิลามุมเอก) ซึ่งหมายถึงพระคริสต์ และในพระคัมภีร์ คำว่าศิลาที่เป็นคำอุปมาเปรียบเทียบนั้น ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่หมายถึง เปโตร เช่น สดด. 62 : 6 พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลา และเป็นความรอดของข้าพเจ้า เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว สดด 62 : 7 ความช่วยกู้และเกียรติของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า ศิลา อันทรงมหิทธิฤทธิ์และที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าคือ พระเจ้า 1 คร. 10 : 4 และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลาที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือ พระคริสต์ และยังมีข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นจึงพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า ศิลา ที่พระเยซูหมายถึงนั้น คือ ตัวพระองค์เอง และถ้าจะว่าไปแล้ว ผู้ที่นำพระกิตติคุณไปประกาศกับชาวต่างชาติ คือ เปาโล ไม่ใช่เปโตรครับ...... ประการที่สอง การใช้เวลาอันยาวนานในการพิสูจน์ สิ่งที่คริสตจักรกำหนดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เสมอไป “ถ้าสิ่งนั้นมิได้รับการพิสูจน์จากพระวจนะของพระเจ้า” เพราะไม่มีทางที่มนุษย์จะรู้และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ถ้าสิ่งนั้นมิได้มีบันทึกไว้ในพระวจนะของพระองค์ ประการที่สาม การที่พระคริสต์ทรงให้อำนาจแก่คริสตจักร มีชัยชนะต่อความตาย มิได้หมายความว่าจะทำให้คริสตจักรสามารถทำในสิ่งที่ขัดแย้ง หรือ มิได้มีการบันทึกไว้ในพระวจนะของพระเจ้า (พระคัมภีร์) ได้ ตรงกันข้ามคริสตจักรจะต้องกระทำในสิ่งที่สนับสนุนความเชื่อในพระคัมภีร์ และสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงสอนไว้ ประการที่ สี่ พระคริสต์ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว ที่จะยกย่องนักบุญ หรือ แม้แต่สนับสนุนให้กระทำรูปเคารพขึ้นมากราบไหว้ หรือ ขอพร ผู้เดียวเท่านั้นที่จะประทานพระพรได้คือ พระบิดา ซึ่งได้ทรงมอบสิทธิอำนาจทั้งหมดนั้น ให้กับพระเยซูแล้ว ผมเชื่อว่า ผู้ทรงความรู้และสติปัญญา เช่น คุณจะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ยาก กรุณาเถอะครับ อย่าได้กระทำในสิ่งที่พระคริสต์ทรงตำหนิคือ “พระองค์ทรงตรัสแก่เขาว่า เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามคำสอน ที่ตนได้รับมาจากบรรพบุรุษ” มก. 6 : 9 ผมเชื่อว่า คุณ First จะลองใช้สติปัญญา และความรอบคอบ รวมทั้งเหตุผล ในแง่ของ ศาสนศาสตร์ ที่จะทำความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ด้วยนะครับ........... ผมไม่รู้เหมือนกันว่า คุณจะได้อ่านหรือเปล่า จากคุณ : พนา - [ 6 ต.ค. 46 16:29:31 A:203.144.143.250 X:203.118.105.196 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ jiang_si@yahoo.com ครับ ผมไม่ทราบว่า คุณเอาข้อพระคัมภีร์ตอนใด มาสนับสนุน ความเชื่อทางศาสนศาสตร์ของคุณในข้อนี้ว่า "ที่ชาวคริสต์ เลือกวันอาทิตย์เป็นวันหยุด เพราะเป็นวันที่ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันนี้ สามวันหลังจากที่ถูกตรึงให้ตายบนไม้กางเขน" หรือเป็นเพียงเพราะว่า เขาทำก้นอย่างนี้มานาน ก็เลยทำอย่างนี้ เท่าที่ผมทราบ ไม่มีพระคัมภีร์แม้แต่ตอนเดียว ที่สนับสนุน ในเรื่องที่ให้นมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ และถือรักษาไว้เป็นวันบริสุทธิ์ ขออภัยครับ ถ้าผมอาจจะไม่เข้าใจถ่องแท้ ถ้าคุณ jiang_si@yahoo.com สามารถยกข้อพระคัมภีร์ใด สนับสนุนได้บ้าง ก็จะเป็นพระคุณครับ จากคุณ : พนา - [ 6 ต.ค. 46 16:42:47 A:203.144.143.250 X:203.118.105.196 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเชื่อว่าคุณพนาต้องเป็นโปรแตสแตนท์แน่ๆ ไม่ทราบว่าเป็นมอรมอนหริอปล่าว หรือเป็นเซเว่นเดย์ คือเรื่องศิลาในพระธรรมที่ผมเอามาอ้าง ระบุชัดว่าพระเยซูทรงกล่าวกับเปโตรว่า ท่านคือศิลา และบนศิลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักร ข้อความสมบูรณ์โดยไม่ต้องไปอ้างอิงพระธรรมใดอีก เพราะพระองค์ตรัสชัดเจนว่าใครคือศิลาที่พระองค์ทรงใช้ตั้งพระศาสนจักร ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นศิลามุมเอก ตามที่พระคัมภีร์เดิมทำนายไว้ แต่ไม่ใช่พระองค์ในข้อพระธรรมที่เราอ้างถึงนั้น ส่วนเรื่องสิทธิอำนาจของพระศาสนจักร ทุกอย่างที่พระศาสนจักรประกาศสอน มีข้องความอ้างอิงจากพระคัมภีร์เสมอ แม้แต่เรื่องของพระนางมารีอา พระนางถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ตั้งแต่พระธรรมปฐมกาลจนถึงพระธรรมวิวรณ์ ซึ่งหากจะให้อ้างอิงผมคงต้องขอยกไว้วันหลังเนื่องจากตอนนี้ผมไม่ได้พกติดตัวอยู่ และประการสุดท้าย เรื่องบรรดานักบุญ หากคุณไปอ่านพระธรรมวิวรณ์ จะเห็นว่าได้มีการกล่าวถึงบรรดาผู้ชอบธรรม หน้าบัลลังก์พระเจ้า ซึ่งคนเหล่านนี้ไม่ใช่เหล่าทูตสวรรค์ แต่ก็คือบรรดานักบุญทั้งหลายนั้นเอง สุดท้าย ขอยืนยันครับ ว่าเราไม่ได้ละทิ้งพระคัมภีร์ เพราะอาศัยการดลบันดาลพระจิตเจ้า พระศาสนจักรจึงสั่งสอน อย่าลืมพระวาจาที่พระเยซูเจ้าทรงกล่าวรับรองไว้ในสิทธิอำนาจของพระศาสนจักรและทรงย้ำรับรองว่าพระจิตเจ้าจะนำพระศาสนจักร ไม่ใช่พระสันตะปาปาที่ทรงนำแต่เป็นพระจิตเจ้าครับ จากคุณ : <<First>> - [ 6 ต.ค. 46 19:02:05 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สวัสดีครับ คุณ First มีเหตุผลอยู่บางประการที่ผมได้ เลือกที่จะสนทนากับคุณ เพราะเท่าที่ผมติดตามการตอบคำถามในแนวทางคริสตศาสน์ ของคุณมาพอสมควร ผมเห็นได้ว่า คุณ First น่าจะเป็นผู้ที่มีความรู้ และใฝ่หาความรู้ทางศาสนศาสตร์ผู้หนึ่ง และผมเชื่อว่า การสนทนาในเชิงสร้างสรร เพื่อการค้นหาความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถสนทนากับคุณได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผมเชื่อว่า ผมสามารถที่จะคุยกับคุณ First ในลักษณะของสุภาพชนที่จะร่วมกันในการค้นหาความจริง จากขุมทรัพย์อันนิรันดร์ ของพระวจนะของพระเจ้าได้ โดยไม่มีคำว่า อัคคติ หรือ อัตตา เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นไม่ว่าผมจะเป็นโปรแตสแตนหรือไม่ เป็นมอร์มอน หรือเปล่า หรือเป็นเซเว่นธ์เดย์ หรืออาจจะเป็น คาทอลิกก็ได้ สำหรับผมแล้วมิได้สลักสำคัญอะไร เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าบนสวรรค์ สิ่งเหล่านี้มิได้มีผลที่จะนำให้มนุษย์สามารถไปสู่สวรรค์ได้ ประชากรของพระเจ้ามีอยู่ในทุกหนแห่งละครับ แม้แต่ในสถานที่ ที่ชั่วช้าที่สุดอย่าง เมือง สะโดม โกโมรา ก็ยังมี โลต อยู่ ดังนั้นการสังกัดอยู่ในคริสตจักรใด ๆ ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ไม่มีผลหรอกครับ ความเชื่อในการไถ่ให้รอดขององค์พระเยซูคริสต์ต่างหาก ที่มีผลต่อความรอดพ้นจากบาป แต่ถ้าคุณ First กำหนดว่า คนที่จะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณได้ จะต้องมีความเชื่อในแบบเดียวกับคุณเท่านั้น ผมก็คงจะต้องขออภัย ที่ผมเข้าใจคุณผิด และคงจะไม่ถามหรื อแสดงความคิดเห็นใด ๆ อีก และคุณก็ไม่จำเป็นต้องตอบข้อความของผมอีกก็ได้ครับ อันที่จริงแล้ว อายุของผมคงจะน้อยกว่าคุณ First อยู่มาก และผมไม่ประสงค์ที่จะให้คุณเข้าใจว่าผมเข้ามาก่อกวน โดยปราศจากเหตุผลที่ตรวจสอบได้จากพระวจนะของพระเจ้า จากคุณ : พนา - [ 7 ต.ค. 46 16:49:04 A:203.144.143.250 X:203.118.105.204 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อย่างไรก็ดี ผมจะแสดงความเห็นของผมอย่างสุภาพ โดยนำพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นหลักฐาน ถ้าคุณ First ประสงค์ที่จะแสดงความคิดเห็น หรือ พิจารณาร่วมกันในลักษณะของผู้ประสงค์จะเรียนรู้ในสิ่งที่แตกต่าง เราก็คงจะสนทนากันต่อไปได้ครับ ประการแรก พระเยซูคริสต์มิได้กล่าวว่า พระองค์จะสร้างคริสตจักรขึ้นบนเปโตร หรือ ตัวของเจ้า (ถึงแม้ในขณะนั้นกำลังพูดอยู่กับเปโตรก็ตาม) แต่พระองค์ตรัสว่า “บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้” ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลอันควรว่า เราต้องมาศึกษาอย่างรอบคอบว่า คำว่า “ศิลา” นี้หมายถึงใคร หรืออะไร ซึ่งอาจจะหมายถึง ตัวเปโตรเอง จริง ๆ ก็ได้ ***หมายเหตุ*** เพราะบ่อยครั้งที่พระเยซูตรัสถึงในเรื่องอื่น ในขณะที่พระองค์กำลังพูดอยู่กับอีกสิ่งหนึ่ง เช่น มัทธิว 12 : 46 ขณะที่พระเยซูตรัสกับประชาชน มารดาและพวกน้องชายของพระเยซูมาพบ แต่ พระองค์กลับตรัสว่า ใครเป็นมารดา และพี่น้องของเรา พระองค์ทรงชี้ไปที่พวกสาวกแล้วตรัสว่า นี่เป็นมารดา และพี่น้องของเรา ถ้าสิ่งที่พระองค์ ตรัสนั้นเป็นจริงตามคำพูดทุกอย่างและทุกครั้ง ก็แสดงว่า พระองค์ได้ตัดขาดความเป็นแม่ลูกกับมารดาของพระองค์แล้วเช่นกัน ****** ประการที่สอง พระเยซูคริสต์เรียกเปโตรเมื่อครั้งที่พบกันครั้งแรกว่า “เคฟาส” ที่แปลว่า ศิลา เช่นกัน (ยน. 1 : 42) พระองค์มิได้เรียกเปโตรว่า “เปตรา” ประการที่สาม หลังจากที่พระเยซูคริสต์ตรัสกับสาวกในครั้งนั้นแล้ว ต่อมาไม่นาน พระองค์ก็เรียกเปโตรว่า “อ้ายซาตาน” (ข้อ 23) และเปโตรก็เป็นผู้เดียวในกลุ่มของสาวกที่ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระองค์ เมื่อคราวที่พระองค์ถูกจับ และเมื่ออยู่ที่โคนไม้กางเขน อัครสาวกยอห์น เป็นผู้ที่อยู่และดูแล มาเรีย มารดาพระเยซู มิใช่เปโตร ประการที่สี่ เปโตรมิได้เป็นผู้ดูแลคริสตจักรเมืองเยรูซาเล็มในยุคเริ่มแรก แต่เป็นยากอบ แต่อย่างไรก็ตามครับ เอาเหอะ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรในยุคเริ่มแรก ไม่สำคัญหรอกเพราะ พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรอยู่ดี หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ พระองค์ต่างหากที่เป็นเจ้าของคริสตจักร และกุญแจแห่งสวรรค์ แต่ถ้าจากข้อมูลที่ผมแสดงให้เห็นนั้น ไม่เพียงพอ และครอบคลุม ผมก็ขอให้ คุณ First ศึกษาเพิ่มขึ้นจากพระวจนะของพระเจ้า ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จากคุณ : พนา - [ 7 ต.ค. 46 16:50:47 A:203.144.143.250 X:203.118.105.204 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่า คำสอนทุกอย่างของคริสตจักรนั้นจะต้องมีข้อความอ้างอิงจากพระคัมภีร์ และจะต้องได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง โดยการทรงนำของพระจิต หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งครับว่า เรื่องราวของ หญิงในพระคัมภีร์ได้รับการบันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาล จนถึงวิวรณ์ ซึ่ง ถ้าการตีความหมายว่าหญิงที่ปรากฏนั้นคือ พระนางมารีอา ผมก็ไม่มีข้อขัดแย้งหรอกครับ ผมเพียงแต่ขอแสดงความคิดเห็นเท่านั้นครับว่า ถ้าหญิงที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ หมายถึงพระนางมารีอาจริง ผมก็ยังไม่เห็นว่าที่ใดที่พระเยซูได้ทรงตรัสว่า ให้สร้างรูปปั้นพระนางขึ้นมา เพื่อเคารพกราบไหว้ ตรงกันข้ามพระบิดา พระบุตร และพระจิต (ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) ต่างก็ปฏิเสธที่จะให้สร้างรูปปั้นขึ้นมาเพื่อการกราบไหว้นมัสการ ซึ่งปรากฏมาตั้งแต่ปฐมกาล จนถึงวิวรณ์ หรือ คุณ First จะกรุณาอธิบาย โดยอาศัยหลักฐานจากพระคัมภีร์ว่าพระคริสต์ทรงอนุญาต ณ ที่ใด และอีกประการหนึ่งก็คือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง การมาบังเกิดในครรภ์พระนางมารีอา ของพระเยซูคริสต์ สามารถทำให้พระเจ้าเปลี่ยนจากพระเจ้าที่เกลียดการกราบไหว้รูปเคารพ มาเป็นพระเจ้า ที่ยอมรับการกราบไหว้รูปเคารพด้วยหรือครับ..?? ถึงแม้รูปเคารพนั้นจะแทนตัวของพระองค์ก็ตาม เพราะเมื่อชาวยิวสร้างรูปวัวทองคำขึ้นมานมัสการ พวกเขาก็บอกว่า นี่แหละคือพระเจ้าที่นำเขาออกมาจากอิยิปต์ มิได้บอกว่าคือ พระบาอัล หรือ พระอื่นใด แต่พระเจ้าก็หาได้ยอมรับไม่ ผมมิได้มีเจตนาที่จะขัดแย้งใด ๆ หรือก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในการสนทนานี้ ผมเพียงคาดหวังว่า คุณ First จะมีวิจารณญาณ ที่จะพิจารณาและ แสดงความคิดเห็นที่มีหลักฐานชัดเจน เพื่อเราจะได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อย่างสุภาพชน แต่ถ้าการสนทนานี้ ทำให้คุณ First ขัดเคืองใจ ผมก็ขออภัยด้วยครับ .. จากคุณ : พนา - [ 7 ต.ค. 46 16:52:06 A:203.144.143.250 X:203.118.105.204 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โอ้ๆๆ ใครจะไปเคืองขัดใจเล่า เรามาแลกเปลี่ยนสนทนา ไม่ใช่มาฟาดฟันกัน ที่ผมถามและคาดการว่าคุณอยู่ในสังกัดไหน ก็เพื่อเป็นข้อมูลในการสนทนา เพราะผมต้องวิเคราะห์ก่อนว่าคุณได้รับการสอนพระวาจามาในลักษณะใดครับ ไม่ได้รังเกียจรังงอนหรอกครับ ส่วนเรื่องที่คุณอ้างถึงว่า บ่อยครั้งที่พระเยซูตรัสถึงในเรื่องอื่น ในขณะที่พระองค์กำลังพูดอยู่กับอีกสิ่งหนึ่งนั้น ต้องดูดีๆครับว่า พระองค์ทรงตรัสตามสถานการณ์ไม่ใช่ทรงดำริจะตรัสก็ตรัส อย่างเรื่องมารดาและพี้น้องของพระองค์ หากพระมารดาไม่เสด็จมา พระองค์ก็คงไม่ตรัสถึง แล้วในเรื่องนี้การที่คุณจะมองว่าพระองค์ตัดขาดจากพระมารดา คุณคงมองแคบไป คุณคิดว่าพระอาจารย์จะทรงไม่ยอมรับพระมารดาของพระองค์ต่อหน้าธารกำนัลได้หรือครับ ทำไมพระองค์ต้องทำเช่นนั้น พระนางมารีอาทรงมีความผิดอะไรขนาดที่พระองค์ต้องตัดเยื่อใย เปล่าเลยแต่พระองค์ไม่ได้ทรงตรัสว่าพระนางไม่ใช่พระมารดา แต่พระองค์ทรงชี้ไปที่พวกสาวกแล้วตรัสว่า นี่เป็นมารดา และพี่น้องของเรา ถ้าสิ่งที่พระองค์คุณมองดีๆนะ พระองค์ทรงตรัสเปรียบผู้ที่พระองค์ทรงสั่งสอนว่าเหมือนแม่และพี่น้องของพระองค์ไม่ใช่ตรัสว่า หญิงนั้นไม่ใช่พระมารดาพระองค์ พระธรรมข้อนี้สอนให้เรารู้จักรักผู้อื่นประดุจญาติมิตรของเรา ไม่ใช่ต้องการแสดงว่าพระองค์ปฏิเสธพระมารดา ส่วนเรื่องรูปเคารพ แน่นอนหากคุณมองด้วยตาคุณย่อมเห็นว่าเรากราบไว้รูปปั้น แต่คุณรู้ไหมว่าหัวใจของสิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหน คำสอนพระศาสนจักรและบรรดาบทเสก เน้นย้ำว่ารูปปั้นเหล่านี้ไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์ที่จะดลบรรดาพระคุณพิเศษหรือความรอดแต่เป็นสิ่งที่เมื่อเราได้เห็นจะได้ระลึกถึงท่านเหล่านั้น การภาวนาต่อหน้ารูปปั้นไม่ได้ภาวนาให้รูปปั้นแต่เราภาวนาให้พระเจ้า ต่อให้เป็นรูปปั้นนักบุญ แต่การภาวนาเราก็ยังให้ท่านเสนอขอพระเจ้าแทนเราไม่ใช่ดลบันดาลให้เรา นี้คือหลักคาทอลิกต่อรูปเคารพ ส่วนเรื่องท่านนักบุญเปโตร ในส่วนตรงนี้ผมยืนยันได้ว่า พระเยซูทรงกล่าวถึงท่านเปโตรอย่างชัดเจน พระคัมภีร์ที่เรายกมาอ้างนั้นเป็นภาษาไทยครับ ได้รับการแปลมาเสร็จจึงยากที่จะมาอธิบายได้ แต่ว่าหากไปดูในฉบับต้นฉบับ พระวรสารเหล่านี้ถูกบันทึกด้วยภาษาที่ต่างกัน กรีซ ฮิบรู ฯลฯ ดังนั้น บางครั้งการพระดำรัสของพระองค์ทรงกล่าวในสิ่งเดียวกัน แต่ก็ถูกแปลไม่เหมือนกัน อย่างที่คุณว่า เคฟา ส และเปตรา หรือเปโตร แปลได้ว่า ศิลาเหมือนกัน ดังนั้นศิลาที่พระองค์กล่างถึงก็ย่อมเป็นท่านนักบุญเปโตรแน่นอน ส่วนในกรณีที่พระองค์ตรัสบริภาษท่านนักบุญ ว่า "อ้ายซาตาน" คุณลองมองตนเองว่า ชีวิตคุณเองนับตั้งแต่รู้จักพระเยซูเจ้า คุณเองน่าจะโดนพระองค์ตรัสเรียกว่า "อ้ายซาตานสักกี่ครั้ง" สำหรับผมนับไม่ถ้วนครับ เพราะว่าผมเป็นมนุษย์ ซึ่งมีความอ่อนแอต่อบาป ที่พระเยซูตรัสว่าท่านนักบุญเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะท่านนักบุญเป็นซาตาน แต่เพื่อดึงสติให้ท่านตระหนักว่านี้น้ำพระทัยพระบิดา เราไม่ควรปฏิเสธ ส่วนเรื่องปฏิเสธพระองค์ 3ครั้งและการไม่เข้าไปเฝ้าพระองค์เมื่อพระองค์รับพระมหาทรมาน คุณรู้ไหมในพระคัมภีร์ระบุชัดว่าท่านนักบุญเสียใจเพียงใดที่ทำเช่นนั้น ไม่ใช่ท่านนักบุญหรอกหรือที่เป็นอุครสาวกคนแรกที่เชื่อถึงการคืนพระชนม์ของพระอาจารย์เจ้าในวันที่ 3 ไม่ใช่ท่านหรือที่พระจิตทรงดลใจให้ท่านลุกขึ้นประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ต่อหน้าคนทั้งมวลหลังการเสด็จลงมาของพระจิต ไม่ใช่ท่านนักบุญหรือที่พระเยซูทรงบันดาลนิมิตสำแดงให้ทราบว่า ประชาชาติทั้งมวลทั้วโลกนั้นพระองค์รงไถ่ให้พ้นจากบาปและความไม่บริสุทธิ์แล้ว(สำแดงในลักษณะของอาหารที่มีมลทิน) แน่นอนท่านอาจไม่ได้เป็นสังฆราชในกรุงเยรูซาเร็ม แต่ไม่ใช่เพราะท่านไม่สำคัญแต่เพราะ พระเจ้าทรงเตรียมภาระกิจของท่านไว้ที่กรุงโรม ในวาระสุดท้าย ท่านก็สำแดงออกถึงความรักต่อพระอาจารย์โดยการรับการตรึงกางเขนกลับศีรษะ โดยเหตุผลว่าท่านไม่สมควรตายแบบพระอาจารย์(เพราะท่านยังรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่ท่านปฏิเสธพระเยซูอยู่) เราลองคิดดูสิว่าหากเราจะตายเราจะเลือกตายอย่างทรมานแบบท่านไหมเพียงเพื่อไม่ต้องการตีเสมอพระอาจารย์ แน่นอนเราคิดไม่ถึง เพราะใจเราไม่สุภาพพอ อีกอย่างลักษณะนิสัยของพระเจ้า พระองค์ทรงชอบเลือกคนที่อ่อนแอเป็นคนทำงานให้พระองค์ ดูอย่างโนอาห์ โยเซฟ โมเสท โยบ .....จนถึงพระนางมารีอาและท่านนักบุญโยเซฟ ท่านเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เลย แต่เป็นคนสามัญ โมเสทจริงอยู่ที่เคยเป็นเจ้าชายอียีปห์ แต่ตอนที่พระเจ้าทรงเลือกท่าน ท่านเป็นอาชญากร โยเซฟก่อนเป็นอัครเสนาบดีอียีปย์ก็คือทาสและอาชญากร โยบขัดน้ำพระทัยพระองค์จนต้องโดนทิ้งกลางทะเลแต่พระองค์ก็ยืนยันที่จะใช้โยบ พระนางมารีอาเป็นเพียงหญิงพรหมจารีชาวบ้าน ไม่ราชินีหรือธิดาชนชั้นสูง นักบุญโยเซพก็เป็นเพียงช่างไม้ แต่ท่านเหล่านี้คือผู้ที่พระองค์ทรงเลือกให้แบกรับภาระที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น ขอเสริมเรื่องรูปเคารพอีกนิดในพระคัมภีร์กล่าวชัดว่า พระเจ้าทรงพิโรธที่ชาวยิวไปเคารพนับถือพระที่ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงสื่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่คาทอลิกไม่ใช่เราไม่ได้บูชารูปแต่อาศัยรูปเป็นเครื่องหมายเท่านั้น เหมือนที่พระเจ้าทรงใช้ให้โมเสทยกเสางูขึ้นในกลางถิ่นทุรกันดาร และใครที่ได้สัมผัสเสานั้นก็จะหายจากพิษงู(แน่นอนเสานั้นไม่ได้มีอำนาจพิเศษแต่เป็นสัญลักษณ์แทนพระเดชานุภาพพระเจ้าเท่านั้น) ผมไม่เคยคิดไม่พอใจผู้ที่กล่าวถึงพระวาจาพระหรอกครับ เพราะโดยพระวาจาทำให้ผมอิ่มหนำ และทำให้ผมมีความสุขในชีวิต กป.เรื่องปัญหาว่าทำไมท่านนักบุญเปโตรถึงเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก ผมเคยโพสถามใน issara.comมาแล้ว เหตุผลคล้ายของคุณ คุณสามารถเข้าไปอ่านคำอธิบายได้ซึ่งคงจะลัเอียดกว่านี้ครับ จากคุณ : <<First>> - [ 7 ต.ค. 46 22:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขออนุญาตไปขึ้นกระทู้ใหม่ครับ เพื่อไม่ให้กระทู้ตกไปซะก่อน ถึงคุณพนาครับ ประเด็นนี้แตกไปยังกระทู้ K2487412 จากคุณ : <<First>> - [ 7 ต.ค. 46 22:43:09 ]