ความคิดเห็นที่ 8
ความหมายของกระทู้คือ การศึกษาและปฏิบัติอยู่นั้น เป็นไปดังข้อความต่อไปนี้ หรือไม่? คือ :-
เป็นธรรมที่ผู้ปฏิบัติเห็นเอง (สันทิฏฐิโก). คือ เห็นได้เอง รู้สึกได้เอง ไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น. ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา (อกาลิโก). คือปฏิบัติเมื่อใดย่อมได้ผลเมื่อนั้น ไม่มีเวลามาคั่น. พึงเรียกกันมาดู (เอหิปัสสิโก). คือ มาให้ความสนใจซิ. พึงน้อมเข้ามาใส่ตน (โอปันนะยิโก). คือมาลองปฏิบัติดูซิ. เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ). คือ รู้ได้เฉพาะผู้ปฏิบัติ ไม่มีผู้อื่นมารู้มาเห็นแทน.
*การสิ้นกรรม ! ปฏิจจ.ในรูปปฏิบัติ* ดูก่อนวัปปะ ! ถ้าท่านจะพึงยินยอมข้อที่ควรยินยอม และคัดค้านข้อที่ควรคัดค้าน ต่อเรา. อนึ่ง ท่านไม่รู้ความแห่งภาษิตของเราข้อใด ท่านพึงซักถามเราในข้อนั้นให้ยิ่งขึ้นไปว่า ข้อนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตข้อนี้ เป็นอย่างไรเล่าท่านผู้เจริญ? ดังนี้แล้วไซร้ การสนทนาระหว่างเราทั้งสอง ก็จะพึงมีได้. วัปปะศากยะยินยอมแล้ว พระองค์ตรัสข้อความดังต่อไปนี้ :-
ดูก่อนวัปปะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใดเกิดขึ้นเพราะกายสมารัมภะเป็นปัจจัย แล้วทำความคับแค้นเร่าร้อน.เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจากกายสมารัมภะ อาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่ทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมกระทำกรรมเก่าที่ได้ถูกต้องมาแล้วให้สิ้นไปด้วย. "(สมารัมภะ คือปรารภการกระทำด้วยตัณหา(ความทะยานอยาก)".
ปฏิปทาเป็นกลไกให้สิ้นกรรมอย่างนี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่รู้จักเก่า ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน.
อาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปในเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านย่อมรู้ซึ่งฐานะนั้นหรือไม่? "ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า".
*ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใดเกิดเพราะวจีสมารัมภะเป็นปัจจัย แล้วทำความคับแค้นเร่าร้อน, เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจากวจีสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่ทำกระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมทำกรรมเก่าที่ได้ถูกต้องมาแล้วให้สิ้นไปด้วย.
ปฏิปทาเป็นกลไกให้สิ้นกรรมอย่างนี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่รู้จักเก่า ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมอันผู้รู้ทั้งหลายพึงรูได้เฉพาะตน.
อาสวะทั้ง อันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลต่อไปในเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านย่อมรู้ซึ่งฐานะนั้นหรือไม่? "ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า".
*ท่านจะสำคัญข้อนี้ว่าอย่างไร? คือ อาสวะทั้งหลายเหล่าใดเกิดขึ้นเพราะมโนสมารัมภะเป็นปัจจัย แล้วทำความคับแค้นเร่าร้อน, เมื่อบุคคลเว้นขาดแล้วจากมโนสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่ทำกระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมกระทำกรรมเก่าที่ได้ถูกต้องมาแล้วให้สิ้นไปด้วย.
ปฏิปทาเป็นกลไกให้สิ้นกรรมอย่างนี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่รู้จักเก่า ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายรู้ได้เฉพาะตน.
อาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษในกาลต่อไปเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านย่อมรู้ซึ่งฐานะนั้นหรือไม่? "ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า".
*ท่านจะสำคัญข้อนี้ว่าอย่างไร? คืออาสวะทั้งหลายเหล่าใด เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย แล้วทำความคับแค้นเร่าร้อน, เพราะการเกิดขึ้นแห่งอวิชชา เพราะความสำรอกออกเสียได้หมดซึ่งอวิชชา, อาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นเร่าร้อนเหล่านั้น ย่อมไม่มี. บุคคลนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมใหม่ด้วย และย่อมไม่กระทำซึ่งกรรมเก่าที่ได้ถูกต้องมาแล้วให้สิ้นไปด้วย.
ปฏิปทาเป็นกลไกให้สิ้นกรรมอย่างนี้ เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติพึงเห็นเอง ไม่รู้จักเก่า ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกกันมาดู พึงน้อมเข้ามาในตน เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน.
อาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปเพื่อทุกขเวทนา จะพึงไหลไปตามบุรุษ ในกาลเบื้องหน้า เนื่องมาแต่ฐานะใดเป็นเหตุ ท่านย่อมรู้ซึ่งฐานะนั้นหรือไม่? "ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า".
*ดูก่อนวัปปะ ! เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว สตตวิหารธรรมทั้งหลาย ๖ ประการ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นถึงทับแล้ว.
ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ฟังเสียงด้วยโสตะแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัม ปชัญญะอยู่.
รู้สึกกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัม ปชัญญะอยู่.
ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัม ปชัญญะอยู่.
ถูกต้องด้วยโผฏฐัพพะ(สัมผัสด้วยผิวกาย)แล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
รู้สึกธรรมารมณ์ด้วย มโน(อารมณ์กระใจ)แล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ภิกษุนั้น เมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุดรอบอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยซึ่งเวทนามีกายเป็นที่สุดรอบอยู่, เมื่อเสวยซึ่งเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่.
เธอย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
*(สตตวิหารธรรมคือ มีสติสัมปชัญญะติดต่อไม่ให้เผลอ เมื่อการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เกิดยินดี ยินร้าย. การควบคุมอายตนะ ๖ เมื่อทำหน้าที่อยู่อย่างนี้ เรียกว่า "สตตวิหารธรรม").
*เปรียบเหมือนเงาย่อมปรากฏเพราะอาศัยเสาสดมภ์(ถูนะ) ลำดับนั้น บุรุษถือเอาจอบและตะกร้า เขาตัดซึ่งเสานั้นที่โคน ครั้นตัดที่โคนแล้ว พึงขุด ครั้นขุดแล้ว พึงรื้อซึ่งรากทั้งหลาย ไม่ให้เหลือแม้ที่สุดเท่าต้นแฝก.
บุรุษนั้นพึงตัดซึ่งเสานั้นให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ครั้นตัดซึ่งเสานั้นให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่แล้ว พึงผ่า ครั้นผ่าแล้ว พึงจักให้เป็นซีกเล็กๆ ครั้นจักให้เป็นซีกเล็กๆแล้ว พึงผึ่งให้แห้งด้วยลมและแดด ครั้นผึ่งให้แห้งด้วยลมและแดดแล้ว พึงเผาด้วยไฟ ครั้นเผาด้วยไฟแล้ว พึงทำให้เป็นผงเถ้าถ่าน ครั้นทำให้เป็นผงเถ้าถ่านแล้ว พึงโปรยไปในกระแสลมอันพัดจัด หรือว่าพึงให้ลอยไปในน้ำอันเชี่ยวแห่งแม่น้ำ.
เงาอันใดที่อาศัยเสาสดมภ์ เงาอันนั้นย่อมถึงซึ่งความมีมูลเหตุอันขาดแล้ว ถูกกระทำเหมือนตาลมีขั้วยอดด้วน กระทำให้ถึงความไม่มี มีอันไม่บังเกิดขึ้นต่อไป เป็นธรรมดา นี้ฉันใด.
ข้อนี้ก็ฉันนั้น กล่าวคือ เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว สตตวิหารธรรมทั้งหลาย ๖ ประการ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นถึงทับแล้ว. ภิกษุนั้น เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ฟังเสียงด้วยโสตะแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
รู้สึกกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ถูกต้องโผฏฐัพพะ(สัมผัสด้วยผิวกาย)แล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยมโน(อารมณ์กระทบใจ)แล้ว ไม่เป็นผู้ดีใจ ไม่เป็นผู้เสียใจ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่.
ภิกษุนั้น เมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุดรอบอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุดรอบอยู่, เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดรอบอยู่,
เธอย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
*เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วัปปะ สาวกแห่งนิครนถ์ ได้กราบทูลว่า - ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เปรียบเหมือนบุรุษผู้ต้องการกำไร พึงเลี้ยงลูกม้าไว้ขาย เขาไม่ได้กำไรด้วย เป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากเดือดร้อนอย่างยิ่งด้วย นี้ฉันใด. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือข้าพระองค์ต้องการด้วยประโยชน์ ได้เข้าไปคบหาซึ่งนิครนถ์ทั้งหลายผู้อ่อนด้วยปัญญา.
ข้าพระองค์ผู้เจริญ ! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์ขอโปรยเสียซึ่งความเลื่อมใสในนิครนถ์ทั้งหลายผู้อ่อนด้วยปัญญา ในกระแสลมอันพัดจัด หรือว่าลอยเสียซึ่งความเลื่อมใสนั้น ในกระแสอันเชี่ยวแห่งแม่น้ำ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! วิเศษนัก พระเจ้าข้า ! วิเศษนัก พระเจ้าข้า ! ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำอยู่ หรือว่าเปิดของที่ปิดอยู่ หรือว่าบอกทางให้แกบุคคลผู้หลงทาง หรือว่าจุดประทีปอันโพลงขึ้น ด้วยน้ำมันไว้ในที่มืด ด้วยความหวังว่า ผู้มีจักษุทั้งหลาย จักได้เห็นรูปทั้งหลาย ฉันใด. ธรรมอันพระผู้มีพระภาคประกาศแล้ว โดยปริยายเป็นอเนก ก็ฉันนั้น.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคด้วย ซึ่งพระธรรมด้วย ซึ่งพระสงฆ์ด้วย ว่าเป็นสรณะ. ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงถือว่า ข้าพระองค์เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะแล้ว จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป จนตลอดชีวิต, ดังนี้แล. (-จตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย ไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑/๒๖๘/๑๙๕(ปฏิจจ. ๒๐๒). ตรัสแก่วัปปะศากยะ ที่นิโครธาราม.
*พึงสังเกต การสิ้นกรรมที่แท้จริง เป็นการสิ้นกรรมในกระแสปฏิจจสมุปบาท คือ ไม่มี กาย วาจา ใจ สมารัมภะ หรืออวิชชาเป็นเหตุให้เกิด อาวสะ อันเป็นการเห็นได้ รู้สึกได้ ด้วยตนเองในทิฏฐธรรม(ปัจจุบัน) เมื่อกระแสปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นอีกไม่ได้ในคราวหนึ่ง คือ ๑๑ อาการ กรรมก็สิ้นไปคราวหนึ่ง เมื่อปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นอีกไม่ได้อย่างถาวร ก็เป็นอันว่า กรรมสิ้นไปโดยถาวร*
อนุโมทนา สาธุ กับเจ้าของกระทู้.
จากคุณ :
หลวงตาเฟื่อง (หลวงตาเฟื่อง)
- [
2 ต.ค. 46 16:55:58
]
|
|
|