โต้ยิวเอื้องเรื่องฮิญาบ

    เนื่องจากมาช้า และไม่แน่ใจว่าสาวเอื้องเธอจะกลับเข้าไปดูในกระทู้เก่าอีกหรือไม่ เลยเอามาโพสต์ไว้ที่นี่ด้วยเลย แม้ว่ากระทู้เดิมจะเริ่มต้นเป็นกระทู้ต่างประเทศ

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าในที่นี้เราไม่ได้มาถกกันถึงเรื่องคุณค่าของฮิญาบ หรือ หญิงมุสลิมจะได้อะไรจากฮิญาบ ใครที่สนใจเฉพาะประเด็นนี้ ที่นี้มีบทความที่ดี

    http://www.sharif.org.uk/women.htm

    และใครที่คิดว่ามีเพียงอิสลามเท่านั้นที่สอนเรื่องคลุมผม และอาจไม่รู้ว่าทั้งยิวและคริสต์ก็มีสอนในเรื่องนี้

    http://www.usc.edu/dept/MSA/humanrelations/womeninislam/

    http://www.usc.edu/dept/MSA/humanrelations/womeninislam/womeninjud_chr.html

    เรื่องของเรื่องคือ เอื้องเธอบอกว่าฮิญาบนั้นไม่มีสอนอยู่ในอิสลาม หากแต่ฮิญาบเป็นเพียงเครื่องมือในการกดขี่สตรีที่มุสลิมสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลทางการเมือง แล้วเธอก็โต้แย้งมาดังนี้

    ทำไมมุสลิมะห์ดันอุตริมานิยมคลุมผมกันด้วยฮิญาบล่ะ?? แฟชั่นหรือเปล่า? ก็เป็นไปได้นะ
    เแต่รื่องนี้ไม่แปลกเลยค่ะเนื่องจากมุสลิมะห์ผู้น่าสงสารเหล่านี้ไม่รู้นัยแฝงของผ้าคลุมฮิญาบ
    ที่ถูกออกแบบโดย Sadr เลยว่ามันหมายถึงสัญญลักษณ์ทางการเมืองเพราะว่าถูกล้างสมองมา
    ตั้งแต่เด็กให้เชื่อว่าฮิญาบนั้นได้ถูกบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์โกราน ตลกมั๊ยล่ะคะ?? ลองมาดู
    เลยนะคะว่าบทบัญญัติในโกรานเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของสตรีได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไรบ้าง

    การนุ่งห่มของสตรีมุสลิมในศาสนาอิสลามนั้นมีบัญญัติไว้สามบทด้วยกัน

    หลักเกณฑ์อันแรกคือ จงเลือกสรรเสื้อผ้า เครื่องประดับหรือเครื่องแต่งกายที่ดีที่สุด
    หลักเกณฑ์ข้อสอง จงปกปิดเรือนร่างส่วนบน (หน้าอก) ของพวกนาง
    หลักเกณฑ์ข้อสาม จงสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ปกปิดอย่างมิดชิด

    สำหรับหลักเกณฑ์อันแรกในซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟโองการที่ (7:26) กล่าวไว้ว่า

    “ ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่มทีปกปิดสิ่งที่อัน
    น่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความสวยงาม และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง
    นั่นคือสิ่งที่ดียิ่งนั่นแหละคือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะ
    ได้รำลึก”

    (7:26)"O children of Adam, we have provided you with garments to cover your bodies,
    as well as for luxury. But the best garment is the garment of righteousness.These are some
    of GOD's signs, that they may take heed."

    นี่เป็นหลักเกณฑ์อันแรกของเครื่องนุ่งห่มของสตรีมุสลิมที่ได้บัญญัติไว้ในโกราน

    ก่อนที่จะกล่าวถึงหลักเกณฑ์ข้อสองนั้นมีคำศัพท์ที่สำคัญสองคำที่ถูกเอ่ยไว้ในกฎข้อนี้คือคำว่า
    "Hijab" and "Khimar"

    คำว่า "ฮิญาบ" ในโกราน คำว่าฮิญาบถูกใช้โดยสตรีมุสลิมเพื่อบรรยายถึงเครื่องคลุมผมซึ่ง
    อาจจะคลุมหรือไม่คลุมหน้าก็ได้ยกเว้นดวงตาและบางครั้งก็อาจรวมไปถึงการปิดลูกตาให้
    เหลือข้างเดียว คำอาระบิก “ฮิญาบ” นี้อาจจะหมายถึง veil หรือ yashmak ในภาษา
    อังกฤษนอกจากนี้ฮิญาบยังอาจหมายถึงฉาก ที่กำบัง เครื่องปกคลุม เสื้อคลุมไม่มีแขน ม่าน
    เป็นต้น

    แล้วคำว่า "ฮิญาบ" มีอยู่ในโกรานหรือเปล่า??

    คำว่าฮิญาบนั้นปรากฎอยู่ในโกรานเจ็ดครั้ง ห้าครั้งปรากฎในชื่อฮิญาบ (Hijab )และสองครั้ง
    ปรากฎในชื่อ ฮิญาบาน (Hijaban) ซึ่งปรากฎในบทบัญญัติที่ 7:46, 33:53, 38:32, 41:5, 42:51,
    17:45 & 19:17. ในโกรานทั้งคำว่าฮิญาบและฮิญาบานที่ปรากฏในบทบัญญัติเหล่านั้นไม่มี
    แม้แต่คำเดียวที่ถูกใช้เป็นแหล่งอ้างอิงถึง ประเพณีการคลุมผมของสตรีมุสลิมแบบที่เป็นอยู่
    ในปัจจุบันนี้(neo-islamist hijab) นั่นก็หมายถึงว่าคำว่าฮิญาบที่ปรากฎในบทบัญญัติของ
    โกรานนั้นไม่มีความหมายใดๆที่เกี่ยวข้องในเรื่องเครื่องแต่งกายของสตรีมุสลิมเลยแม้ว่า ฮิญาบ
    ถูกเป็นที่เข้าใจจากมุสลิมหลายๆคนว่าเป็นหลักเกณฑ์ว่าด้วยเรื่องเครื่องแต่งกายของอิสลาม
    แต่มุสลิมเหล่านี้คงมองข้ามหรือละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าฮิญาบที่ถูกมองว่าเป็นหลักเกณฑ์ว่าด้วย
    เรื่องเครื่องนุ่งห่มของสตรีมุสลิมนั้นไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามและโกรานแม้
    แต่นิด

    คำว่า "Khimar" ในโกรานเป็นคำในภาษาอาระบิกที่สามารถหาอ่านเจอได้ในโคราน
    โองการ (24:31) เป็นคำศัพท์ที่นักแปลภาษาหรือนักภาษาศาสตร์ใช้อธิบายถึงที่คลุมศีรษะในคัมภีร์
    โกราน “คิมาร์( Khimar)” หมายถึง สิ่งใดก็ได้ที่ใช้ปกคลุม ม่าน เสื้อผ้า ก็คือ Khimar ผ้าห่ม
    ก็ถือว่าเป็น Khimar ผ้าคลุมโต๊ะก็ถือว่าเป็น Khimar ด้วยเช่นกัน นักภาษาศาสตร์ที่แปล คำว่า
    "Khimar" เป็น VEIL หรือ สิ่งที่ปกคลุมศีรษะ (head cover) ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจาก
    ฮะดีษฉบับปลอมแปลง(fabricated Hadith) ดังนั้นจึงนำพาทำให้คนส่วนใหญ่หลงเข้าใจผิด
    เชื่อว่าบทบัญญัติบทนี้ได้พูดถึงหรือสนับสนุนการคลุมผมหรือการคลุมศรีษะ(the covering of
    the head)

    ทีนี้มาดูบทบัญญัติว่าไว้ยังไงบ้าง สำหรับหลักเกณฑ์ข้อสองในซูเราะฮฺ อันนูรฺโองการที่ (24:31)
    กล่าวไว้ว่า

    "และจงประกาศ แก่มวลสตรีผู้มีความศรัทธาทั้งหลาย ให้พวกนาง ยับยั้งสาย ตาของพวกนาง
    ( อย่างมองสิ่งต้องห้าม) และให้พวกนางรักษาสิ่งพึงสงวน (อวัยวะเพศ)ของพวกนางไว้ และ
    พวกนางจะต้องไม่เปิดเผย (ร่างกายส่วนที่สวมใส่) สิ่งประดับของ พวกนาง (ให้ปรากฏแก่สาย
    ตาเพื่อนต่างเพศ) ยกเว้นส่วนที่เปิดเผยจากมัน (คือบาง ส่วนของร่างกายที่อณุญาติให้เปิดเผย
    ได้) และให้พวกนางดึงผ้าคลุมศรีษะของพวกนาง ลงมาปิดไว้บนคอเสือ(หน้าอก)
    ของนาง และอย่าให้พวกนางเปิดเผยเครื่องประดับของ พวกนาง ยกเว้นสามีของนางเอง หรือ
    บิดาของพวกนาง หรือบิดาของคู่ครองของพวก นาง"

    (24:31)"And say to the believing women that they should lower their gaze and guard their
    modesty; that they should not display their beauty and ornaments ....... . . that they should
    draw their KHIMAR (แต่เรามักจะเห็นคำว่า VEIL แทน) over their bosoms and not
    display their beauty except to their husbands.........."

    ซึ่งคำว่าคิมาร์ในที่นี้อาจหมายถึงชุดเสือผ้า เสื้อโค้ท ผ้าห่มคลุมไหล่ เสื้อเชริ์ท ผ้าพันคอ เสื้อครึ่งตัว
    ของสตรี อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าคิมาร์คือสิ่งใดก็ได้ที่ใช้ปกคลุม การตีความหมายในบท
    บัญญัตินี้ว่าพระองค์ทรงตรัสให้ผู้หญิงคลุมผมหรือว่า คลุมศีรษะถือว่าตีบทบัญญัตินี้ผิดประเด็น
    ไปเพราะบทบัญญัตินี้เขียนไว้ชัดเจนว่าให้สตรีแต่งกายปกปิดหน้าอกของพวกเธอ (their upper
    chest or bosoms ) บทบัญญัตินี้ไม่ได้สั่งให้สตรีคลุมหัวหรือผมของพวกเธอถึงแม้ว่าคำว่าคิมาร์
    ที่หมายถึงสิ่งที่ใช้ปกคลุมอาจจะถูกตีความหมายไปว่าสิ่งที่ใช้คลุมศีรษะแต่บทบัญญัติในโองการ
    นี้ไม่ได้สั่งให้สตรีคลุมศีรษะแต่สั่งให้สตรีแต่งกายปกปิดหน้าอกของพวกเธอให้มิดชิดไม่ให้ปรากฎ
    แก่สายตาคนภายนอกต่างหากจ้า แล้วทำไมถึงได้แปลความหมายผิดไปจากที่องค์อัลเลาะห์ที่
    ท่านได้บัญญัติไว้ล่ะอย่างนี้ต้องบอกว่าคำแปลในเว็ปไซท์ที่คุณยกมาให้ดิฉันดูน่ะรู้ดีกว่าพระเจ้าน่ะสิ
    (ดิฉันทำตัวหนาไว้ข้างบน)

    หรือถ้าจะดูความหมายของคำว่า “VEIL” คำว่า "veil" ในอายะหฺเองก็ไม่เคยปรากฎอยู่ในภาษา
    อาระบิกด้วยเช่นกันและถ้าจะแปลให้ถูกตามหลักภาษาอาระบิกจริงก็ตรงกับคำว่า "cloak" (from labas)
    ในภาษาอังกฤษมากกว่าซึ่งก็คือเสื้อคลุม คล้ายๆเสื้อโค้ทนั่นเองแต่ไม่มีแขนหรือคำที่ใกล้เคียง
    คำว่า veils ที่สุดในภาษาอาระบิกก็คือคำว่า niqab หมายถึง หน้ากาก "the mask" นั่นเองซึ่งไม่
    เคยถูกเอ่ยถึงว่าเกี่ยวพันหรือเชื่อมโยงกับผู้หญิงเลย

    สำหรับหลักเกณฑ์ข้อสามในซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบโองการที่ (33:59) กล่าวไว้ว่า

    “โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิง
    ของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนางนั่น
    เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺ
    ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ”

    (33:59)"O prophet, tell your wives, your daughters, and the wives of the believers that
    they shall LENGTHEN their garments. Thus, they will be recognized and avoid being
    insulted. God is Forgiver, Most Merciful."

    ในบทบัญญัตินี้ องค์อัลลอฮฺทรงตรัสกับนบีอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าให้พวกนางทั้งหลาย
    จงสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ปกปิดร่างกายของพวกนางอย่างมิดชิดแต่ไม่ได้ระบุไว้ว่ายาว
    แค่ไหนถึงจะเรียกว่ายาว องค์อัลลอฮฺอาจกล่าวแก่พวกนางทั้งหลายว่าให้สวมใส่เสื้อผ้า
    ที่ยาวลงมาปกปิดถึงข้อเท้าหรือถึงครึ่งน่อง โอ้แต่ได้โปรดเถอะองค์อัลลอฮฺท่านไม่ได้
    กล่าวเช่นนั้นเลยสักนิด he did not! ไม่ใช่เพราะว่าพระองค์ทรงลืมไปหรอกนะคะแต่ด้วย
    ฐานะขององค์อัลลอฮฺไม่มีทางลืมอยู่แล้ว จริงมั๊ยคะ?อัลลอฮฺทรงทราบดีว่ามนุษย์เราอา
    ศัยอยู่ต่างชุมชนต่างวัฒนธรรมและเป็นการยืนยันว่าท่านได้ทิ้งรายละเอียดเหล่านี้ไว้ใน
    บทบัญญัติเรื่องการแต่งกายของสตรีไว้อย่างครบถ้วนในทุกชุมชนเพื่อตอกย้ำให้พวกนาง
    ได้ปฎิบัติตามตามความเหมาะสม

    จากบทบัญญัติข้างบนเห็นได้ชัดเจนเลยว่าหลักเกณฑ์การแต่งกายของสตรีมุสลิมตามที่
    บัญญัติไว้ในโกรานนั้นบ่งบอกไว้สองอย่างคือ righteousness และ modesty
    ซึ่งคำว่า modesty นี้อาจจะถูกแปลความหมายไปตามวัฒนธรรมหรือประเพณีของแต่
    ละเชื้อชาติ องค์อัลลอฮฺได้ทิ้งคำนี้ไว้ให้สตรีทั้งหลายตัดสินใจด้วยตัวของพวกนางเอง
    (He left it to them to decide what modesty would be)

    ดังนั้นการประดิษฐ์คิดขึ้นใหม่การแปลงไปจากของเดิมที่ได้บัญญัติไว้เป็นเวลานับพันปี
    เกี่ยวกับการแต่งกายของสตรีก็คงไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าถูกมองว่าเป็น idol-worship
    และสมควรที่จะถูกปฎิเสธจากอิสลามิกชนมิใช่หรือและนี่คือเหตุผลที่เสริมกับบทความ
    ที่ดิฉันได้นำมาให้อ่านกันว่าแท้จริงแล้วฮิญาบ(neo hijab)ก็เป็นเพียง political ideology
    ของกลุ่ม militant Islam เท่านั้นเองไม่ได้เป็นตัวแทนในนามของศาสนาอิสลามอย่างที่เข้า
    ใจกันแม้แต่นิด

    เที่ยวมาด่าคนอื่นว่าบ้องตื้นอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือโดยหารู้ไม่ว่าตัวเองนั่นแหละบ๊องส์ตกกระป๋อง
    หลงด่าพี่น้องเรือนร่างเดียวกันเองซะเต็มเปา









    จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 27 ธ.ค. 46 22:08:21 ]

    http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P2591023/P2591023.html#66

    จากคุณ : Zeitgeist aka bAdkArmA - [ 4 ม.ค. 47 01:51:21 A:202.44.8.98 X:10.21.2.233 ]