วันนี้แกงเลียงขอหยิบยกเรื่องนี้มาเล่า.. และเรื่องค่อนข้างจะยาวหน่อยจึงขอลงสองครั้งค่ะ..ปุพพัณหสมัยวันหนึ่ง สมเด็จพระนางมหาปชาบดีเถรีเจ้าเข้าไปเที่ยวบิณฑบาตในพระนครไพศาลี ครั้นได้อาหารบิณฑบาตพอประมาณ ก็กลับมายังภิกขุณูปัสสยารามอันเป็นที่อยู่ เมื่อกระทำภัคกิจพอเป็นยาปนมัตสำเร็จแล้ว จึงเข้าไปยังสถานที่พักผ่อนยับยั่งอยู่ในสมาบัติจนสิ้นสุดกาลที่อธิษฐานไว้ ครั้นออกจากสมาบัติด้วยความชื่นชมโสมนัสปรีดาแล้ว จึงหันมาเพิ่งพินิจพิจารณาดูอายุสังขารแห่งตนว่าจักยั่งยืนไปอีกนานเท่าใด ก็เห็นชนมายุสังขารจะไม่เป็นไป คือจะสิ้นลงในวันนี้เสียแล้ว จึงทรงพระดำริว่า " ถ้ากระไร เราควรจะไปยังพระวิหารในกาลบัดนี้ กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้พระองค์ทรงพระอนุญาตการปรินิพพานและเพื่อจะถือโอกาสกราบลาพระมหาเถระกับทั้งเพื่อนสพรหมจารีบรรดาที่รักที่ชอบใจกันมานานแล้วก็จะกลับมาปรินิพพาน ณ ภิกขุณูปัสสยารามอันเป็นที่อยู่แห่งเรานี้ จึงจะเป็นการดี" ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าซึ่งมีคุณใหญ่ตัดสินพระทัยที่จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานนี้ ก็ให้มีอันเกิดมหัศจรรย์ ภูมิภาคปฐพีกำหนดหนาได้แน่นสองแสนสีหมื่นโยชน์มีน้ำรองมหาปฐพีเป็นที่สุด ก็แสดงอาการดุจดังว่าจะมีมีความอาลัย เกิดกัมปนาทป่วนปั่นหวั่นไหวอยู่ไปมา บรรดาพระภิกษุณีทั้งหลายในภิกขุณูปัสสยาราม เฉพาะที่ได้บรรลุธรรมวิเศษ สำเร็จเป็นพระอรหันต์จำนวน ๕๐๐ รูป เมื่อเห็นเหตุอัศจารรย์ดังนั้น ต่างพากันเข้าไปหาสมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงซบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องบาทมูลองค์พระพุทธมาตุจฉาทูลถามถึงความเป็นไปว่า
จากคุณ : แกงเลียง - [ 12 ม.ค. 47 10:59:43 ]
แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 47 17:13:11
แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 47 17:08:53