ความคิดเห็นที่ 54
เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อ พอล โอนีล อดีตขุนคลังของรัฐบาลอเมริกันออกมาเปิดโปง จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ว่า แผนการโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน เกิดขึ้นตั้งแต่ 3 เดือนแรกหลังรับตำแหน่ง นั่นหมายถึงห้วงเวลาก่อนเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 ที่ถูกใช้เป็น สาเหตุอ้างอิง ในการส่งทหารเข้าไปบุก อัฟกานิสถาน, อิรัก เป็นเวลา หลายเดือน รายละเอียดคงหาอ่านได้ทั่วไปในข่าวต่างประเทศทุกสำนัก เซี่ยงเส้าหลง คงไม่ต้อง ฉายซ้ำ อีกรอบ แต่ที่อยากจะขอ ฉายซ้ำ เพื่อ ตอกย้ำ ความเป็นเช่นนั้นเองของ ศูนย์กลางระบบทุนนิยมเสรี ก็คือสิ่งที่ เซี่ยงเส้าหลง กล่าวไว้เป็นปี ๆ มาแล้วว่า ยุทธศาสตร์สงคราม ของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ก็คือ การลงทุนภาครัฐ อย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า Military Keynesian เพื่อ สร้างงาน, สร้างรายได้ ให้กับ กลุ่มทุนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ที่ประสบภาวะ ชะงักงัน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลที่เคยรายงานไปแล้วคือ กำลังการผลิต ในปี 2546 ที่ผ่านมา หายไป 10 % กล่าวคือจากประมาณ 80 % ลดลงเหลือประมาณ 70 % เป็นปรากฎการณ์ ออกอาการ ของสภาวะที่เรียกได้ว่า การตีบตัน, การเสียสูญ แห่ง การทะลุทะลวงของระบบทุนนิยม และยังเป็นการเกิดขึ้นที่ ส่วนยอดของระบบ อันหมายถึง ทุนการเงิน, ทุนสื่อสารโทรคมนาคม และ ทุนบริการ (หมายรวมทั้ง ค้าปลีก, ค้าส่ง, บันเทิง, กีฬา, สาธารณูปโภค และ ก่อสร้าง) อันรวมกันแล้วเท่ากับ 80 % ของระบบเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และมีผลสะเทือนอย่างยิ่งต่อ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เพราะแทบทั้งหมดของ ส่วนยอดของระบบ นี้จดทะเบียนอยู่ใน NYSE, NASDAQ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบสถานการณ์ หุ้นตก ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ที่เคยทำสถิติถึง 33 % ถือว่า เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะขนาดช่วง The Great Depression เมื่อ ปี 1930 นั้น 2 ปีแรก แห่งการบริหารที่ไม่ประสบความสำเร็จระหว่าง ปี 1929 1933 ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 31 เฮอร์เบิร์ต ซี ฮูเวอร์ ยังตกลงสูงสุดแค่ ไม่ถึง 30 % เท่านั้น อาการของ ระบบทุนนิยม ในลักษณะ เส้นเลือดตีบตัน นี้หากเปรียบเป็น มนุษย์ ก็เสมือน เส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตันไปจำนวนหนึ่ง วิธีการรักษาก็ต้อง ทำบอลลูน คือ ทะลุทะลวงให้เลือดที่เกาะตัวตามผนังเส้นเลือดหลุดหายไป สงครามถล่ม อัฟกานิสถาน ก็คือ ทำบอลลูนเส้นเลือดเส้นเล็ก ที่ผลออกมา อาการไม่ดีขึ้น จึงนำมาสู่สงครามครั้งใหม่หนนี้ที่ อิรัก ก็คือ ทำบอลลูนเส้นเลือดเส้นใหญ่ นั่นเอง ตัวเลขง่าย ๆ อาจจะพอให้ ภาพ ได้บ้างว่าลำพัง ทำบอลลูนเส้นเลือดเส้นเล็ก ที่ อัฟกานิสถาน ไม่ทำให้ อาการดีขึ้น ก็คือ GDP ที่ขยายตัว 4.1 % ใน ปี 2542 ลดลงมาเป็น 3.8 % ใน ปี 2543 และลดต่ำลงมาเป็น 0.3 % ใน ปี 2544 ครั้นเยียวยาด้วยยุทธการ ไล่ล่าขบวนก่อการร้ายไปทั่วโลก รวมทั้ง อัฟกานิสถาน แม้จะส่งผลให้ GDP ของ ต้นปี 2545 ขยายตัวถึง 5 % แต่พอหลังสงครามไม่นานก็กลับสู่สภาวะ หดตัว อีกครั้งเมื่อโตแค่ 1.1 % จึงต้องตั้งเข็มมุ่งไปสู่ ทำบอลลูนเส้นเลือดเส้นใหญ่ ที่ อิรัก อย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุด เหตุผลที่ต้องเป็น อิรัก ไม่ใช่ เกาหลีเหนือ ก็มีอยู่ง่าย ๆ ว่า สหรัฐอเมริกาไม่มีความประสงค์จะลงทุนเอง กับ สงคราม เพราะในเมื่อตัวเองก็ ป่วยหนัก ไหนเลยจะลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาเพื่อ ผดุงความยุติธรรมให้โลก งานนี้จึงเป็นปฏิบัติการ จ่ายก่อน-เอาคืน(พร้อมดอกเบี้ยทบต้น)ทีหลัง แหล่งใหญ่ที่จะ เอาคืน(พร้อมดอกเบี้ยทบต้น) แหล่งแรกและแหล่งสำคัญที่สุดก็คือ อิรัก หรือนัยหนึ่ง บ่อน้ำมันอิรัก ที่ในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ดูดขึ้นมาผลิตเพื่อทำเงิน ไม่ถึง 50 % ของศักยภาพที่มีอยู่ ตรงนี้อย่าได้ลืมข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่สุดว่า อิรัก นั้นมี ปริมาณน้ำมันสำรอง เท่าที่ประเมินกันได้ มากกว่า 200 พันล้านบาร์เรล และในส่วนของ ก๊าซธรรมชาติ เชื่อกันว่ามีถึง 110 ล้านล้านคิวบิคฟุต หากสามารถเข้าไป ยึดครอง, จัดสรรผลประโยชน์ ได้ก็เท่ากับ ควบคุมกิจการน้ำมันกว่า 2 ใน 3 ของโลก และยังจะมีอิทธิพลเหนือ ยุโรป, จีน และ ส่วนที่เหลือของโลก ที่จะเป็นเสมือนแหล่งต่อ ๆ ไปของปฏิบัติการ เอาคืน(พร้อมดอกเบี้ยทบต้น) ที่จะมาพร้อม ๆ กับ กฎเกณฑ์ใหม่ ของ ระเบียบโลกใหม่หลังสงคราม ที่การเจรจาผลประโยชน์ระหว่างประเทศในลักษณะ พหุภาคี จะ เสื่อมสลายลงไป เพราะถูกทดแทนด้วยข้อตกลง ทวิภาคี กับ สหรัฐอเมริกา ในลักษณะที่ว่า ใครยินยอม-อยู่, ใครต่อต้าน-ตาย นี่ไม่ใช่ Conspiracy Theory แต่ประการใดเพราะเพียง 6 วันหลังสงคราม ก็ปรากฎ ใบเสร็จรับเงิน ออกมาทันทีเมื่อเริ่มเกิดปฏิบัติการ แบ่งเค้ก ชนิด ทะเลาะกันนัวเนีย แล้วหลายคู่ทั้งระหว่าง กลุ่มทุนในสหรัฐอเมริกาด้วยกัน และ กลุ่มทุนในสหรัฐอเมริกากับกลุ่มทุนในยุโรป ที่พูดมานี้หมายถึงกรณีที่ องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา หรือ USAID : United States Agency for International Development เสนอ แผนฟื้นฟูอิรัก ออกมาในรูปลักษณ์ โครงการใหญ่ที่สุดในรอบ 50 - 60 ปี นับแต่ยุค โครงการมาร์แชล หรือ Marshall Plan ที่มีอีกชื่อหนึ่งรู้จักกันในนาม โครงการฟื้นฟูยุโรป หรือ ERP : European Recovery Program เมื่อครั้งสิ้นสุด สงครามโลกที่ 2 เมื่อ ปี 2490 ที่ในทางหลักเศรษฐศาสตร์แล้วคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตามแนวทาง Keynesian ที่เริ่มต้น ยุคทอง ตั้งแต่นั้นมา อย่าลืมว่า ระบบทุนนิยม อยู่ด้วย ตลาด, การบริโภค เมื่อ 50 60 ปีก่อน ถ้าไม่ บูรณะฟื้นฟูยุโรป ก็ไม่มี ตลาด ไม่มี ผู้บริโภค จึงต้องมี ERP วันนี้ก็เช่นกันเมื่อ ตลาดเดิม ล้วน เต็ม, (ถูก)ปิดกั้น ก็ต้องเปิด ตลาดใหม่ แต่ครั้งนี้ที่ แตกต่าง คือตนเอง สร้างสงครามอย่างไร้เหตุผล ขึ้นมาก่อนแล้วจึง เปิดแผนบูรณะ ขึ้นมา คงจะจำกันได้ว่าพลันที่บุก อิรัก ไปไม่กี่วัน USAID เปิด แผนฟื้นฟูอิรัก ออกมาว่ามีทั้งการสร้างใหม่ ถนน, สนามบิน, ท่าเรือ, โรงพยาบาล, โรงเรียน, โรงไฟฟ้า, ประปา และ ระบบกำจัดน้ำเสีย โดยประกาศขั้นต้นว่าจะทำ สัญญา 7 ฉบับ มูลค่าประมาณ กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่จำกัดให้เฉพาะ บริษัทในสหรัฐอเมริกา และแน่นอนว่าที่ ได้เค้กก้อนแรก ๆ ไปคือบริษัทใกล้ชิด ประธานาธิบดี, รองประธานาธิบดี ที่โดดเด่นที่สุดคือเครือ ฮัลลิเบอร์ตัน : Halliburton Company ที่ ดิ๊ก เชนีย์ เคยไปนั่งเป็น ประธาน ใน ปี 2538 เป็นส่วนหนึ่งของช่วงระหว่าง 8 ปีที่เขาว่างงานใน ทำเนียบขาว หลังพ้นตำแหน่ง รัฐมนตรีกลาโหม ในยุคประธานาธิบดี จอร์จ บุช พ่อของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช งานใหญ่ ๆ ที่อยู่ในแผนงานคือ ก่อสร้างและบริหารงานบ่อน้ำมันในอิรัก, ก่อสร้างท่าเรือนำลึกที่เมืองอุมมุ้ล กอซร์ เฉพาะงานหลังนั้นเป็น งานเร่งด่วน ที่ ผู้รับเหมา จะมีเวลาทำงานเพียง 8 สัปดาห์ นับแต่ ได้รับการส่งมอบพื้นที่งาน จะเห็นได้ว่าในนามของ มนุษยธรรม ก็คือ นำวิถีชีวิตบริโภคนิยมส่งมอบให้ นั่นเอง ประเด็น นำวิถีชีวิตบริโภคนิยมส่งมอบให้ นั้นหากจะดู เฉพาะหน้า ก็จะพบเห็นว่าโครงการต่าง ๆ ล้วนกำหนดขึ้นบนพื้นฐานของ การทำให้ทันสมัย, การขยายเมือง หรือ Urbanization ที่มีลักษณะเป็น America Project คือเริ่มต้นด้วย การก่อสร้าง ตามมาด้วย การบริโภค ในนามของ ความทันสมัย และชัดเจนว่าตั้งแต่ต้นจนจบผู้ที่ได้รับ ผลประโยชน์สูงสุด คือ กลุ่มทุนใหญ่อเมริกัน เท่านั้น หากถอยออกมามอง ป่าทั้งป่า ก็จะเห็นว่านี่เป็น การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบอิสลาม ให้ คลายตัว, อ่อนลง เพื่อเปิดประตูกว้าง ๆ ให้แก่ ลัทธิบริโภคนิยม หัวใจของ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ และนี่คือประเด็นสำคัญที่สุดที่ ชนชาวมุสลิมจำนวนหนึ่งทั่วโลก ไม่อาจจะ ยอมรับ ได้เลย พูดโดยนัยเปรียบเทียบ สงครามอิรัก ที่เริ่มต้นเมื่อเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาก็คือ สงครามศักดิ์สิทธิ์ ของ ระบบทุนนิยม, ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ที่มีเป้าหมายเพื่อ แก้ปัญหาการหยุดชะงักของระบบทุนนิยมโลก โดยใช้ สงคราม เป็น การลงทุนภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้ ภาคการผลิตจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมอาวุธ ขึ้นมามี บทบาทนำ และเป็นการเปิดประตูเข้าไป จัดระเบียบตะวันออกกลางใหม่ โดยเริ่มก้าวแรกที่ อิรัก ไม่ใช่เพราะว่า ซัดดัม ฮุสเซน เป็น ผู้เผด็จการ หากแต่เพราะเขาเป็น ผู้เผด็จการที่ปฏิเสธทุนนิยม-เสรีนิยมใหม่ ต่างหาก
ขี้เกียจพิมพ์ยาว กีอปแปะล่ะกัน บทความตรงใจดี http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=4743080880045
จากคุณ :
ดาบจันทร์เสี้ยว
- [
13 ก.ค. 48 22:55:24
A:58.10.186.2 X: TicketID:075585
]
|
|
|