CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    โต๊ะครู ฮูเซ็น อะห์หมัดซีรอญีมักกะห์ : บุคคลที่ชนะอย่างแท้จริงคือผู้ที่เอาชนะมารร้าย

    ก่อนอื่นต้องบอกว่า บทสัมภาษณ์นี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีมาก ผมอ่านแล้วจึงอยากแบ่งปันเพื่อนๆในห้องนี้ครับ

    จากhttp://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0410071048&srcday=2005/10/07&search=no

    สัมภาษณ์พิเศษ

    โต๊ะครู ฮูเซ็น อะห์หมัดซีรอญีมักกะห์ : บุคคลที่ชนะอย่างแท้จริงคือผู้ที่เอาชนะมารร้าย

    ความเป็นมา...

    สืบเนื่องจากโครงการ "ธรรมมะเพื่อสันติสุข" ที่จัดให้มีการเชิญผู้นำศาสนาในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาปรึกษาหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชน ซึ่งจัดขึ้น 2 ครั้ง ที่จังหวัดสตูล และจังหวัดนครศรีธรรมราช

    แต่ความรุนแรงยังไม่มีท่าทีว่าจะทุเลาลง กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ผู้สัมภาษณ์ได้มีโอกาสเดินทางไปยังนครมักกะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และได้เข้าพบเพื่อขอคำปรึกษาชี้แนะจากโต๊ะครูท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ทรงความรู้ทางศาสนาที่มุสลิมในภาคใต้โดยเฉพาะในกลุ่มครูสอนศาสนาอิสลามให้ความเคารพนับถือ และเป็นที่รู้จักในชื่อ "โต๊ะครู ฮูเซ็น มักกะห์"...

    โต๊ะครู ฮูเซ็นถือเป็นปรมาจารย์ด้านศาสนาอิสลามคนหนึ่งของไทย ที่เดินทางไปเรียนศาสนาที่นครมักกะห์เมื่อเกือบ 48 ปีที่แล้ว และตัดสินใจพำนักอยู่ที่นั่นเป็นการถาวรมาจนถึงทุกวันนี้

    ปัจจุบัน โต๊ะครูฮูเซ็น มักกะห์ มีกิจวัตรในการให้การอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ที่เดินทางมาร่ำเรียนศาสนา ณ นครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จนเป็นที่รู้จัก ทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย แม้แต่ในตะวันออกกลางเป็นจำนวนมาก

    ที่สำคัญโต๊ะครูท่านนี้คือผู้ที่ได้รับการยอมรับในหมู่ครูสอนศาสนาจำนวนมากรวมถึงผู้นำศาสนาอิสลามในประเทศไทย

    ด้วยความเป็นห่วงสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ โต๊ะครู ฮูเซ็น มักกะห์ จึงตอบรับให้ผู้สัมภาษณ์ในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่ง พร้อมทีมงานบันทึกเทปโทรทัศน์ ณ สถานที่พำนักซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่งในนครมักกะห์ โดยได้ฝากคำสอนถึงพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย โดยเฉพาะที่กำลังประสบกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้กรอบพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า (พระองค์อัลเลาะห์ ซบ.) และพระวจนะของท่านศาสดา (มูฮัมหมัด ซล.) ที่เน้นให้มนุษย์ทั้งหลาย รักใคร่ปรองดอง มีเมตตา...โดยหวังให้เกิดสันติสุขบนความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาอิสลามที่แท้จริง

    ความต่อไปนี้ถอดจากบันทึกเทปโทรทัศน์ความยาวกว่า 3 ชั่วโมง ที่ โต๊ะครู ฮูเซ็น มักกะห์ อนุญาตให้ทีมงานบันทึกภาพและเสียงเป็นครั้งแรก โดยตัดทอนเนื้อหาบางส่วนเพื่อความเหมาะสมในการเผยแพร่

    เอกองค์อัลเลาะห์ได้มีพระดำรัสให้เหล่าบรรดามนุษย์โลกทั้งหลาย จงพูดจากันด้วยวาจาที่ไพเราะเสนาะหู พร้อมทั้งมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มต่อกัน แสดงออกซึ่งกันและกันโดยไม่เลือกว่าใครอยู่ศาสนาใด เพราะความจริงพวกเราคือพี่น้องร่วมแผ่นดินและพี่น้องร่วมโลก สิ่งดังกล่าวนั้นคือการซอดาเกาะห์ (ให้ทาน) ที่ดีเลิศ และจะนำมาซึ่งความสมัครสมานสามัคคี รักใคร่ปรองดองกันของคนในชาติบ้านเมือง...

    การสลาม (จับมือทักทาย) ก็เช่นกัน เป็นสิ่งดีเลิศเพราะเมื่อท่านนบีมูฮัมหมัดจับมือกับใครก็ตามท่านไม่เคยดึงมือออกก่อนอีกฝ่ายหนึ่ง จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะดึงมือออกก่อน และการจับมือของท่านนบีมูฮัมหมัด จะมีหลักอยู่ 3 ประการ คือ (1) จับมือ (สลาม) นั้น รอซู้ล (นบีมูฮัมหมัด) จะจับสองมือ (2) ท่านจะหันหน้าไปยังผู้ที่จับมือนั้น (3) ยิ้มให้กันในขณะจับมือ

    หากทำได้ 3 ประการดังกล่าวประโยชน์ก็จะเกิดสูงสุด ความอบอุ่นก็จะเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ดีต่อกันก็จะหายไป ดังนั้น ขอฝากถึงบรรดาครูบาอาจารย์ในเมืองไทยด้วย ท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นถึงขั้นศาสดา ท่านจับมือกับใครยังจับ 2 มือ แล้วเราล่ะมีตำแหน่งแค่ครูอาจารย์ธรรมดา อย่าแสดงความเย่อหยิ่งด้วยการสลาม (จับมือ) แค่ข้างเดียว หรือลูบมือเฉยๆ เพราะประโยชน์ไม่เกิด ซ้ำร้ายอาจกลายเป็นผู้ทะนงตนอีกว่ามีความรู้มากกว่าบุคคลอื่น

    อิสลามสั่งให้บุคคลที่มีความรู้หรือมีฐานะนั้นต้องถ่อมตน เพราะการยกตัวเอง เย่อหยิ่งจองหองนั้นไม่ใช่คุณลักษณะของมนุษย์ แต่เป็นคุณลักษณะของพระเจ้า เพราะพระองค์อัลเลาะห์ตรัสว่า การยกตนนั้นเปรียบเสมือนเสื้อของฉัน และการเย่อหยิ่งจองหองคือผ้าของฉัน ใครเอาอาภรณ์ของฉันไปใช้ ฉันจะลงโทษเขา...

    นบีมูฮัมหมัดชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยการไม่เคยยกตน ว่าตัวเองเป็นถึงศาสดา ครั้งหนึ่งมีศัตรูเข้ามาประชิดตัวท่านนบี และยกดาบเพื่อจะฆ่าท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด บุคคลผู้นั้นถามท่านนบีว่าใครจะปกป้องเจ้าจากดาบของข้า นบีกล่าว เอกองค์อัลเลาะห์พระเจ้าของฉัน ชายดังกล่าวเมื่อได้ยินดาบก็หลุดจากมือ แล้วนบีก็นำดาบมาถือและถามตอบกลับไปว่า ใครจะปกป้องเจ้าจากดาบที่อยู่ในมือของฉัน ชายดังกล่าวไม่ตอบ นบีมูฮัมหมัดก็ไม่ได้ทำอะไรกลับมีใบหน้ายิ้มแย้มให้ ชายดังกล่าวจึงซึ้งต่อกริยาของท่านนบี จนทำให้บุคคลผู้นั้นเข้าอิสลามด้วยเหตุผลของความมีน้ำใจไม่ถือโทษโกรธเคือง

    อีกครั้งหนึ่ง บิดาผู้หนึ่งซึ่งบุตรของเขาเป็นทาสนบีมูฮัมหมัด ชื่อเซดบินฮาริษ เดินทางมาหาท่านนบีที่นครมักกะห์ เพื่อจะมาขอไถ่ตัวทาสซึ่งเป็นบุตรของเขา ท่านนบีก็กล่าวกับชายดังกล่าวว่าท่านไม่ต้องนำเงินมาไถ่บุตรของท่านหรอก แต่ท่านจงไปถามบุตรของท่านเองว่าเขาจะกลับไปกับท่านหรือไม่ ชายดังกล่าวจึงไปถามบุตรชายที่มีชื่อว่าเซดบินฮาริษ และได้รับคำตอบว่าฉันขออยู่ต่อกับท่านนบีมูฮัมหมัด เพราะท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี มิเคยทำกับฉันเหมือนฉันเป็นทาสเลย

    ท่านนบีนั้นชอบอยู่กับคนจน ไม่ชอบอยู่กับผู้ที่ร่ำรวย ฝากถึงครูอาจารย์ที่เมืองไทยด้วย ผู้รู้สมัยนี้ทำไมชอบอยู่กับคนร่ำรวย ความรู้ที่ท่านทั้งหลายศึกษามาอย่าเอาความรู้ไปหากินเอาตำแหน่ง หาผลประโยชน์ใส่ตัว ทำอะไรแล้วต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ เพราะมิเช่นนั้น ผู้รู้ศาสนาจะเข้าสู่ขุมนรกก่อนผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์เสียอีก

    บุคคลที่ร่ำรวยนั้นต้องมีหัวใจที่เมตตาสงสารกับคนยากจน ไม่เช่นนั้นทรัพย์จะอยู่กับเขาไม่นาน เพราะความร่ำรวยนั้นมาจากพระเจ้า พระเจ้ามอบความร่ำรวยให้เราผ่านไปยังคนจน ไม่ใช่เก็บไว้เป็นของตัวเองโดยไม่เคยแจกจ่ายให้กับคนยากจน ให้รู้จักการเผื่อแผ่ ท่านอนัส (สาวกของนบีมูฮัมหมัด) เคยกล่าวว่าคนรวยที่มาทำฮัจย์ (แสวงบุญ) ทุกปีนั้นน่าตำหนิ เพราะการทำฮัจย์นั้น วาญิบ (จำเป็น) กับมุสลิม ชีวิตหนึ่งครั้งเดียว ส่วนครั้งที่ 2 หรือ 3 ถือเป็นสุนัต (สมควรทำ) ไม่ใช่วาญิบ (จำเป็น) แต่ที่จำเป็นก็คือนำทรัพย์สินของตนแจกจ่ายให้กับคนยากจน นี้ต่างหากได้ผลบุญที่มากกว่า

    ถ้าเราทั้งหลายคิดจะอิจฉาใคร ควรต้องอิจฉาบุคคล 2 คนนี้ 1.บุคคลที่มีความรู้และปฏิบัติตามความรู้ของเขาอย่างเคร่งครัด และ 2.คนที่ร่ำรวยแล้วบริจาคทานให้คนยากจนอยู่ตลอดเวลา บุคคล 2 คนนี้ละที่เราต้องแข่งขันทำตัวให้ได้อย่างเขา

    พูดถึงบุคคลที่มีความรู้หากไม่ปฏิบัติตามความรู้ ชีวิตเขาก็เปรียบเสมือนกับลาที่แบกสัมภาระจะได้แค่ความหนักแต่คุณค่านั้นไม่มีเลย ผู้รู้คนที่อะเหล่ม (ผู้รู้ศาสนาอิสลาม) ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างกับมุสลิมและเหล่าบรรดามนุษยโลกทั้งหลาย ต้องวางตัวมีกิริยามารยาทที่ดีให้คนอื่นเห็น เขาจะได้เห็นถึงคำสอนของศาสนาอิสลามที่สอนให้คนมีมารยาทต่อกัน ไม่ใช่ความรู้ที่มีไปเก็บไปนอนทับ มันก็ไม่มีค่าไม่เกิดประโยชน์ ระวังนะผู้ที่รู้จะเข้านรกก่อนผู้ที่ไม่รู้เสียอีก

    ท่านทั้งหลาย ท่านนบีบอกว่า โลกนี้อยู่ได้ด้วยเด็ก คนชรา คนจน เพราะมีรายงานบอกว่าก่อนวันสิ้นโลก 17 ปี จะไม่มีทารกเกิดบนโลก คนสูงอายุก็จะทยอยตายจากไป คนจนในวันนั้นก็จะไม่มีเพราะทรัพย์ที่อยู่ในดิน ทองคำทรัพย์สินจะออกมาจากพื้นดิน

    เพราะต่อจากนี้ไปใกล้ๆ ยุคอวสาน แผ่นดินบนโลกจะไหวทุกวัน ทรัพย์สินเงินทองใต้แผ่นดินจะผุดขึ้นมา มนุษย์ก็จะไปเก็บเป็นเจ้าของจนกระทั่งคนจนก็จะไม่มีด้วยเหตุอันนี้ละ



    โต๊ะครูและครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านต้องซื่อสัตย์ในหน้าที่ของท่าน ต้องนึกถึงลูกศิษย์ที่ให้โอกาสท่านนำความรู้นั้นมาถ่ายทอด เพราะความรู้ที่ท่านมีอยู่เปรียบเสมือนเมล็ดพืช และลูกศิษย์ที่มาเรียนกับท่านเปรียบเสมือนพื้นดินที่ว่างเปล่ารอการหว่านเมล็ด เพื่อต้นไม้จะได้งอกงามขึ้นเป็นผลผลิต ณ พื้นดินอันว่างเปล่าตรงนั้น

    อัล-อิสลาม เป็นศาสนาที่จะให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่ร่วมกันในโลกอย่างสันติสุข ไม่ใช่แค่มนุษย์อย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึง สัตว์ ต้นไม้ และสรรพสิ่งต่างๆ ในโลก มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านนบี (ศาสดา) อิบรอฮีม หลังจากสร้างวิหารกะอ์บะห์เสร็จแล้ว ท่านนบีอิบรอฮีม ได้วิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้ส่งปัจจัยยังชีพแก่บรรดามุสลิมในนครมักกะห์ แต่พระองค์อัลเลาะห์ทรงปฏิเสธและบอกกับนบีอิบรอฮีมว่า ฉันจะประทานปัจจัยยังชีพให้กับมุสลิมและผู้ที่มิใช่มุสลิม สิ่งดังกล่าวนี้เองเป็นหลักฐานระบุได้ว่าเราต้องมีเมตตาธรรมกับมุสลิมและพี่น้องร่วมโลกทุกคนไม่เลือกศาสนา เพราะอัลเลาะห์ได้เน้นในคัมภีร์กุรอ่าน โดยให้มุสลิมทำความดีกับเพื่อนบ้านไม่ว่าจะอยู่ศาสนาใดก็ตาม และจงให้เกียรติกับแขกผู้มาเยือนแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ที่นับถืออิสลาม

    สังคมที่เกิดเหตุร้ายๆ เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เนื่องมาจากอุลามาอ์ (ผู้รู้) ไม่ได้นำเอาความรู้นั้นมาแจกจ่ายให้ผู้ไม่รู้ แต่สิ่งดังกล่าวกับไปตกอยู่ในมือของศาสนาอื่น ดูศาสนาอื่นเขามีการแก้ไขปัญหาสังคม ตักเตือนเยาวชนเรื่องยาเสพติด แหล่งอบายมุขต่างๆ และสิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ อุลามาอ์ (ผู้รู้) กลับทำตัวเป็นมารศาสนาเสียเอง นำคำสอนใดๆ มาให้แก่เยาวชนวัยรุ่น เพียงเพื่อหวังผลตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ เพราะอาวุธที่ดีเลิศที่จะชักชวนคนอื่นเข้าศาสนาอิสลามคือ การมีเมตตาอ่อนน้อมถ่มต้น มีกิริยามารยาทที่ดี

    พี่น้องทั้งหลาย บุคคลที่ชนะอย่างแท้จริงก็คือ ผู้ที่เอาชนะมารร้ายไม่ใช่ชนะบุคคลหรือมนุษย์ด้วยกัน คนที่ข่มเหงคนอื่นอาจจะมีชัยชนะ แต่เขาเป็นผู้แพ้มารร้ายนะ แพ้ใจตัวเอง ผู้ที่ถูกข่มเหงต่างหาก เขามีความอดทนอดกลั้น เขานั้นแหละเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะอย่างถาวร

    ในสงคราม "ตะบูค" (เมืองหนึ่งในนครมาดีนะห์) สงครามครั้งนั้นถือเป็นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด แต่นบีได้บอกกับเหล่าสาวกว่าเรากำลังเดินจากสงครามเล็กไปสู่สงครามที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะสงครามกับมนุษย์เป็นสงครามที่เล็ก แต่สงครามกับอารมณ์ ตัณหาต่างหากเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่

    ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความร่มเย็นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งมุสลิมและมิใช่มุสลิมโดยเฉพาะประเทศไทยนี้ เป็นประเทศที่มีทูต มีสถานทูตกงสุลในประเทศมุสลิมในกลุ่มตะวันออกกลางทุกประเทศ คนกาเฟร (ผู้ที่มิใช่มุสลิม) ในประเทศไทยถือว่าเป็นกาเฟรที่เรียกว่า "กาเฟรมุอาฮัด" (ผู้มิใช่มุสลิมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน) ท่านนบีกล่าวว่าใครฆ่า "กาเฟรมุอาฮัด" ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานั้น บุคคลดังกล่าวจะไม่ได้กลิ่นสวรรค์

    ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในยุคนบีมูฮัมหมัดยังมีชีวิตในปีที่ 6 ของการ ฮิจเราะห์ (อพยพเดินทาง) ไปอยู่ที่นครมาดีนะห์ นบีมูฮัมหมัดและสาวกอีก 1,400 คน เดินทางมาสู่นครมักกะห์ เพื่อทำอุมเราะห์ (พิธีแสวงบุญแบบหนึ่งหรือฮัจย์เล็ก) แต่พอมาถึงตำบล "ฮุไดบียะห์" ตำบลหนึ่ง ที่เป็นทางเข้าสู่นครมักกะห์ พวก "มุซรีกีน" (ผู้ไม่ใช่มุสลิมที่สกัดกั้นท่านนบีและสาวกทั้งหมดไม่ให้เข้าสู่นครมักกะห์) ท่านนบีจึงส่งท่านอุษมานบินอัฟฟาน ไปเจรจาและพวก "มุซริก" ในวันนั้นจึงยอมให้ท่านอุษมานบินอัฟฟานทำการ "ตอว๊าฟ" (เดินวนรอบวิหารกะบาอ์) คนเดียว แต่ต่อมามีข่าวลือว่าท่านอุษมานบินอัฟฟาน ถูกฆ่าตาย ท่านนบีมูฮัมมัดจึงกล่าวว่าเราจงลุกขึ้นจับดาบสู้ตาย (เป็นเพียงแค่ขู่มิได้ทำจริง) เมื่อพวก "มุซรีกีน" ที่นครมักกะห์รู้จึงยอมเจรจาด้วย และทำสัญญาสงบศึกกัน ดังนั้น คน "มุซรีกีนหรือกาเฟร" (ผู้มิใช่มุสลิม) ในนครมักกะห์ทุกคนในยุคนั้นจึงถือว่าเป็น "มุซริก" "กาเฟรมุอาฮัด" (คนต่างศาสนาที่ทำสัญญาสงบศึก) ไม่อนุญาตให้มุสลิมเข่นฆ่าทำร้าย "กาเฟรมุอาฮัด" ดังกล่าว ถ้าใครฆ่า "กาเฟรมุอาฮัด" เขาจะไม่ได้กลิ่นสวรรค์ นั่นคือข้อห้ามที่ไม่ให้มุสลิมฆ่าคนต่างศาสนานั้นเอง

    ...มีต่อ...

    แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 48 13:15:31

     
     

    จากคุณ : Crescent ) - [ 11 ต.ค. 48 12:41:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป