ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ
ในคราวที่แล้วจากกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3982776/Y3982776.html
ได้อธิบายคุณลักษณะของพระเจ้าในศาสนาอิสลามไปแล้ว 6 ข้อ คราวนี้จะมาอธิบายต่อจากคราวที่แล้วอีก 14 ข้อที่เหลือคือ
7.กุ๊ดร็อต - เดชานุภาพ หมายความว่า พระองค์นั้นทรงมีอำนาจล้นพ้น คำว่ามีอำนาจล้นพ้นนั้น คือการดลบันดาล หรือเป็นเหตุให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่มีข้อจำกัดแห่งการบันดาล ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อพระเจ้าในเทวตำนานของกรีกเป็นต้น ที่มักกล่าวว่า เทพเจ้าองค์นั้น องค์นี้พ่ายแพ้ หรือไม่สามารถต่อกรกับศัตรูได้ เป็นต้น...
8.อิรอดัต - เจตนา หมายความว่า ทุกการดลบันดาล หรือการกำเนิดของแต่ละสิ่งนั้น เป็นไปโดยมีเหตุผล มีหลักการ มีความมุ่งหมาย และมิได้ตกอยู่ใต้การบังคับบัญชาของสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่งที่พระองค์บันดาลมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่ล้วนมีสาเหตุแห่งการเกิดและดับในที่สุด
9.อิ้ลมุน - รอบรู้ หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่พ้นไปจากวิทยญาณของพระองค์ ทั้งในสิ่งที่ปิดบัง ซ่อนเร้น หรือเปิดเผย...ประเด็นเรื่องความรอบรู้ของพระองค์นั้นแตกต่างจากทุกสรรพสิ่ง (ตามคุณลักษณะในข้อ 4) นั่นคือ การรู้ของพระองค์นั้น ไม่ใช่มาจากการเรียน การบำเพ็ญเพียร หรือการคาดเดาทำนาย แต่การรอบรู้ของพระองค์นั้น ถือเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ เป็นความรู้ปฐมเหตุแห่งความรอบรู้ทั้งหมด เปรียบเทียบก็คือ พระองค์ไม่ได้อยู่ระหว่างต้นกำเนิด และจุดจบแห่งความรู้ แต่พระองค์อยู่ ณ เบื้องต้น และเบื้องปลายของความรู้นั้น ๆ พระองค์คือที่มาแห่งความรู้และเป็นจุดจบของความรู้นั้น
10.ฮะยาต - ดำรงอยู่ (มีชีวิต) หมายความว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่การดำรงอยู่นั้นแตกต่างจากสรรพสิ่งอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่าง ๆ มาประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต แต่การดำรงอยู่ของพระองค์นั้นเป็นการดำรงอย่างอิสระ ปราศจากเหตุปัจจัยมาประกอบ หรือต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ ในการมีอยู่ หรือดำรงอยู่... เป็นการดำรงอยู่ที่เกื้อหนุนการดำรงอยู่ของสิ่งอื่น นั่นคือพระองค์ดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่น แต่สิ่งอื่น ๆ ต้องอาศัยพระองค์เพื่อเป็น เหตุแห่งการดำรงอยู่...
11.ซะมะห์ - ได้ยิน หมายความว่า ทุกเสียงที่เกิดขึ้น แม้จะเบาที่สุด หรือดังที่สุดก็ตามที ล้วนไม่อยู่นอกเหนือไปจากการได้ยิน และการได้ยินของพระองค์นั้น ก็ไม่ได้อาศัยสื่อ หรือปัจจัยใด ๆ มาช่วย หรือได้ยินด้วยวิธีใด ๆ แบบเดียวกับสิ่งอื่น ๆ
12.บะศ็อรฺ - เห็น หมายความว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่ หรือเกิดขึ้น ล้วนไม่พ้นไปจากการเห็น ของพระองค์ และการเห็นของพระองค์นั้นแตกต่างจากการเห็นของสิ่งอื่น ๆ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อ หรือปัจจัยใด ๆ ในการมอง
13.กะลาม - ตรัส หมายความว่า พระองค์สามารถตรัสได้โดยการตรัส ของพระองค์นั้น ไม่เหมือนการพูดของสิ่งอื่น ๆ หรือไม่จำเป็นที่ต้องอาศัยสิ่งอื่น ๆ เช่นกันในการเป็นสื่อกลาง ...ในคุณลักษณะข้อนี้ ปรากฏแก่มนุษย์ครั้งแรก คือการตรัสของพระเจ้า กับอาดัม การตรัสนั้นไม่ได้หมายถึง ว่าพระองค์ถูกจำกัดการสื่อสารกับสิ่งอื่นไว้ด้วยการพูดจา หรือส่งเสียงบอกเท่านั้น หากแต่การตรัสในลักษณะที่เกิดขึ้นกับอาดัมและโมเสส เป็นลักษณะของการสื่อสารที่ง่าย และสื่อกับมนุษย์โดยตรงได้ดีที่สุด เท่าที่มนุษย์จะสามารถรับรู้ได้...นอกจากนี้ ยังมีการตรัสในรูปแบบอื่น ๆ เช่นการตรัสกับฟากฟ้าและแผ่นดิน เพื่อให้ทั้งสองสิ่งรับบัญชาเป็นต้น เช่น "พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล่าวว่า ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว" (กุรอาน 41:11)
14.เกานู่ฮู กอดิร็อน - พระองค์ผู้ทรงเดชานุภาพ
15.เกานู่ฮู มู่รีดัน - พระองค์ผู้ทรงเจตนา
16.เกานู่ฮู อาลี่มัน - พระองค์ผู้ทรงรอบรู้
17.เกานู่ฮู ฮัยยัน - พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่
18.เกานู่ฮู ซะมีอัน - พระองค์ผู้ทรงได้ยิน
19.เกานู่ฮู บะซีร็อน - พระองค์ผู้ทรงเห็น
20..เกานู่ฮู มูตะกัลลีมัน - พระองค์ผู้ทรงตรัส
......ความแตกต่างของคุณลักษณะในข้อ 1 -13 กับ 14 - 20 คือ ในส่วนแรกนั้นเป็นคุณลักษณะที่เรียกว่า ซิฟัตซาตีย์ คือ คุณลักษณะที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า ในส่วนหลังนั้นเรียกว่า ซิฟัตฟีอ์ลี คือ คุณลักษณะที่เป็นการกระทำของพระองค์ ซิฟัตซาตีย์นั้น คือข้อบ่งชี้ถึง ซาต หรือการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่อาจมีสิ่งใดเหมือน หรือเทียบเคียงได้ ในส่วนของซิฟัตฟีอ์ลี คือ ข้อพิสูจน์แห่งการดลบันดาลของพระองค์
.....นั่นคือ คุณลักษณะในส่วนแรกนั้นจะอยู่ที่พระองค์ แต่คุณลักษณะส่วนหลังจะอยู่กับการบันดาลของพระองค์...ตัวอย่างเช่น พระเจ้าบันดาลให้ธรรมชาติแปรปรวนจนเกิดน้ำท่วม...การดลบันดาลคือซีฟัตซาตีย์ในข้อที่ว่า พระองค์ทรงเดชานุภาพ ส่วนธรรมชาติที่เกิดแปรปรวนเป็นไปตามซีฟัตฟิลีย์ คือ ทรงเดชานุภาพ (ในการบันดาลให้เกิด)...
...จากความเข้าใจข้างต้น จึงนำไปสู่การอธิบาย ที่ว่า ทำไมกฎธรรมชาติ จึงไม่ถือว่าเป็นพระเจ้า นั่นเพราะคุณลักษณะที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ เป็นเพียงซิฟัตฟีอ์ลีย์ ไม่ใช่ซิฟัตซาตีย์ การเป็นไปและเกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติจึงไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นเพียงข้อพิสูจน์ ซาต ของพระเจ้าเท่านั้น
....แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะแยก ซาต ออกจากซิฟัตได้ เพราะในสภาวะแห่งพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทั้งสองจะดำเนินคู่กันเสมอ การแยกซาตออกจากซิฟัต นั้นอาจยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าในศาสนาฮินดู ที่แยกออกเป็นพระเจ้า 3 พระองค์ คือผู้สร้าง ผู้ปกป้อง ผู้ทำลาย....ในลักษณะเช่นนี้ ตามหลักศาสนศาสตร์ของอิสลามแล้ว ถือว่า ซาต นั้นได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ส่วนซิฟัต คือ การสร้าง การปกป้อง การทำลาย ...เช่นนี้ตามหลักของอิสลามแล้ว จึงไม่อาจนับถือว่าเป็นพระเจ้าได้ เนื่องจากมี การแยก ซาต ออกจาก ซิฟัต อย่างชัดเจน รวมทั้งมีการกำหนดคุณลักษณะและขอบเขตทั้งทางกายภาพ ด้วยซิฟัตฟิอ์ลี เช่นเป็นผู้ถูกสร้าง หรือมีการกำเนิด แตกดับ...ซึ่งตามหลักแล้วพระเจ้าจะไม่ถูกกำหนดขอบเขตด้วยสิ่งใด นกจากนี้ยังมีลักษณะของซิฟัตมุสตะฮีล (คุณลักษณะแห่งความบกพร่อง) ปรากฎอยู่มากมาย อาทิเช่น
- ฟ่าน่าห์ ที่แปลว่า มีการดับสูญ
- มู่มาซ่าละตู้ฮูลิ้ลฮะวาดิซ ที่แปลว่า เหมือนกับบรรดารรพสิ่งทั้งหลาย เป็นต้น
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า พระเจ้า ในทัศนะที่อิงอยู่กับความเข้าใจเรื่องพระเจ้าในศาสนาฮินดู หรือพระเจ้าในรูปแบบเทวตำนานของกรีก โบราณ เป็นต้น ไม่ามารถนำมาอธิบายหรือทำความเข้าใจพระเจ้าในหลักการของบรรดาชาวคัมภีร์ได้....
ด้วยจิตคารวะ
จากคุณ :
kheedes
- [
28 ธ.ค. 48 13:18:53
]