งานเริ่มจะจบอภิโปรเจคท์ประจำปีไปหมาดๆ ก็มีโปรเจคท์ยิบย่อยมาให้ปวดกึ๋นเล่นอีกเป็นระลอกๆ เพื่อนร่วมงานเฮงซวยก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะดีขึ้น ... ไม่ได้หวังขนาดจะให้แกมาเป็นปิยมิตรผู้แสนดี ช่วยเหลืองานอะไรผมหรอกนะ แค่ไม่ต้องทำงี่เง่าสร้างปัญหาและภาระที่เกิดจากความซื่อบื้อ + ชุ่ย + ขี้เกียจของหล่อนมาให้ผมเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว
ช่วงที่งานเริ่มซาลงไปบ้าง ก็มีเวลาคิดเรื่องตัวเองมากขึ้น คิดหลายเรื่องแหละฮะ ในหัวนี่เป็นแมทริคซ์เลยนะ ฮ่าๆๆ แล้วแต่ว่าจะหยิบอะไรมาเจาะลึกตามความว่างและโอกาสอำนวย
ก็มาคิดถึงเรื่องที่ตัวเองเคยเจอมา แบบเกือบเอาชีวิตไม่รอด ... บางทีตอนเกิดเหตุการณ์ ไม่ทันคิดอะไรนะ แต่พอผ่านมาได้ ... โห ... นี่กุรอดมาได้ไงวะ ถ้าพลาดนิดเดียวนี่นอนค้างคืนวัดไปแล้วเนี่ย ! ... มาเล่าให้ฟังกันเป็นอุทธาหรณ์ดีกว่า กระทู้ในห้องจะได้เดินมั่งนิ
++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องเกี่ยวกับรถ [1]
สมัยประถม ความที่พ่อแม่อยากให้เรียนโรงเรียนไฮโซ โตมาจะได้มีเพื่อนฝูงดีๆ (ซึ่งตอนนี้เห็นท่าจะมีเหลือแต่เพื่อนขี้เมา 555) ก็ต้องถ่อสังขารมาเรียนถึงย่านสะพานซังฮี้ ทั้งที่บ้านน่ะ อยู่ตั้งเกือบถึง กม.8 รามอินทรานู่นแน่ะ
เช้ามาก็ต้องแหกตาตื่นตั้งแต่ยังไม่ตี 5 ดี เพื่อออกจากบ้านพร้อมแม่ให้ได้ก่อน 6 โมง นั่งรถเมล์ 3 ต่อปุเลงๆ มาถึงโรงเรียนก็เจ็ดโมงครึ่งเป็นประจำ ... พอตกเย็นเลิกเรียน ก็รอแม่มารับเกือบหกโมงเย็น ถึงบ้านร่วมสองทุ่ม ชีวิตเป็นแบบนี้อยู่เป็นปีเหมือนกัน
วันนึงออกจากบ้านสาย เพราะความอาลัยที่นอนของผม ระหว่างยืนรอรถเมล์อยู่หน้าปากซอยบ้านฟังแม่ดุเรื่องตื่นยากของผม ก็มีราชรถมาเกย บังเอิญมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่คนละห้อง บ้านดันอยู่ในซอยเดียวกันแต่คนละหมู่บ้าน เค้าเห็นเข้าก็สะดุดตา เพราะสมัยนั้นโรงเรียนที่กางเกงน้ำเงินเข็มขัดน้ำตาลน่ะ มีไม่กี่โรงเรียนหรอก เค้าก็เลยแวะรับไปโรงเรียนด้วยกัน ...
ผู้ปกครองสองฝ่ายคุยกัน ก็เลยตกลงกันว่า ไหนๆ ก็ต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนอยู่แล้ว เช้าก็ไปรอขึ้นรถที่บ้านเค้าสิ ออกจากบ้าน 6 โมงครึ่งยังทันสบายๆ ประกอบกับที่บริษัทที่แม่ทำงานตอนนั้น เปิดสายรถรับส่งพนักงานผ่านซอยหน้าบ้านพอดี ก็เลยสบายกันทั้งแม่ลูก ... ลูกติดรถเพื่อนร่วมชั้นไปเรียน ส่วนแม่ส่งลูกที่บ้านเพื่อนบ้านแสนดีเสร็จก็ขึ้นรถบริษัทไปทำงาน
เพื่อนบ้าน/เพื่อนร่วมชั้นของผมรายนี้ บ้านเค้าอยู่ห่างจากบ้านผมประมาณเกือบสองกิโลเมตร และนอกจากจะติดรถเพื่อนบ้านไปเรียนแล้ว ยังติดรถเค้ากลับซะเลยหมดเรื่อง ชีวิตเหมือนจะสบายเลยนิ ... วิธีการก็คือ เช้าหกโมงตรง ผมก็ปั่นจักรยาน BMX คันเก่งที่ป๋าออกทุนซื้อให้แล้วผมประกอบเอง ไปยังบ้านเพื่อนบ้านที่ว่า แล้วฝากจอดรถจักรยานไว้ เย็นกลับมาถึงก็ปั่นกลับบ้าน ชีวิตก็ดีขึ้นมาหน่อย
เพื่อนบ้านที่แสนดีรายนี้ ก็คงเหมือนผู้ใหญ่ทั่วไปที่ก็มีสังคมเฮฮาเพื่อนฝูงของเค้าเหมือนกัน บางทีตอนเย็น โดยเฉพาะเย็นวันศุกร์ มารับลูกๆ เค้า (และลูกชาวบ้านอย่างผม) ที่โรงเรียนแล้ว บางครั้งก็เลยไปโยนโบว์ลลิ่งกับเพื่อนบ้าง แวะทานข้าวตามภัตตาคารบ้าง ไอ้ลูกแถมอย่างผมก็พลอยได้เที่ยวกะเค้าไปด้วย ... แหม ... จะให้เค้าบอกเหรอ ว่าวันนี้ลุงจะไปโยนโบว์ล เธอกลับบ้านเองนะ ... นึกแล้วก็เหมือนเป็นภาระเค้าเหมือนกันนะ แต่ตอนนั้นเด็กๆ นี่หว่า ทำไงได้ล่ะ ...
ทีนี้พอมีรายการพิเศษอย่างที่ว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืดแล้ว บางที 4-5 ทุ่มก็มี แต่ก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไรสำหรับแม่ผม เพราะเพื่อนบ้านจะโทรบอกแม่ก่อนทุกครั้ง
เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี จนวันนึงก็เกิดเหตุขึ้น ... ตอนนั้นผมอยู่ซัก ป. 6 นี่แหละ ... วันนั้นฝนตกปรอยๆ ตั้งแต่หัวค่ำ เพื่อนบ้านก็มีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ เค้าตามเคย ผู้ใหญ่ก็โยนโบว์ลกันไป เด็กๆ อย่างผมกับเพื่อนร่วมชั้นก็สนุกเพลิดเพลินกับเกมตู้ Pacman / Space Invader และเกมอะไรอีกหว่าที่เป็นรถแข่งขับหลบไปหลบมาน่ะ (เกิดทันกันมั้ยหว่า) กว่าจะกลับมาถึงบ้านของเพื่อนบ้านที่ว่า ก็เกือบ 5 ทุ่มแล้วละ
ผมไหว้บอกลาเพื่อนบ้านที่แสนดี แล้วก็สะพายกระเป๋าควบ BM คู่ใจกลับบ้าน จะได้รีบเข้านอน เช้าวันเสาร์ตื่นมาจะได้ทันดูสี่ยอดกุมาร แหะๆ ... ปั่นๆๆๆๆ ไปจนถึงสี่แยกที่เป็นถนนเส้นใหญ่คั่นระหว่างหมู่บ้านสองแห่งที่ผมกับเพื่อนบ้านที่ว่าอยู่ อีกไม่กี่เมตรจะถึงแยก มองซ้ายมองขวาไม่เห็นอะไร ก็สปีดข้ามแยกไปด้วยความเร็ว
โครม ม ม ม ม ! ! !
โลกของผมหมุนไปชั่วขณะ ... BM คู่ใจวิ่งแซงตัวผมไปเสียบอยู่ริมพงหญ้าฝั่งตรงข้าม ตัวผมกลิ้งไปอีกทาง จนหยุดที่พงหญ้าอีกมุมนึง !
ยันตัวลุกขึ้นได้ ก็มองไปทางจุดที่ผมกระเด็นมา ก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงรับ-ส่งคนในหมู่บ้าน หงายท้องอยู่อีกมุมหนึ่งของสี่แยก ใกล้ๆ กันนั้น คนขับนอนงอเป็นกุ้งอยู่ตรงขอบทาง ... ความที่ยังเด็กละมั้ง ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก วิ่งข้ามถนนไปที่พี่คนขับนั่นตามเสียงโอดโอย เพื่อจะดูว่าเค้าเป็นยังไงมั่ง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะพอหน้าสิ่วหน้าขวานเข้าจริงๆ ก็นึกวิธีปฐมพยาบาลไม่ทันหรอก กลัวเค้าจะเจ็บหนักกว่าเดิม เลยยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนั้น
เสียงชนสนั่นกลางดึก คงจะไปไกลทีเดียวแหละ ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีบรรดารถมอเตอร์ไซค์พ่วงอีก 2-3 คันที่รอลูกค้ารอบดึกอยู่ปากซอยก็บึ่งรถมาดูเหตุการณ์ พี่คนหัวหน้าวิน คุ้นเคยกับพ่อผมดี ... แหม ... คนที่ขับรถสีฟ้ามุก+ประตูขาวน่ะ มีไม่เยอะนักหรอก หันมาเห็นผมก็ถามอาการว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ... ผมส่ายหน้า ... พี่เค้าก็เลยบอกว่า งั้นน้องรีบกลับบ้านไปเหอะ เดี๋ยวพี่จัดการตรงนี้เอง
ไอ้ผมก็นึกอะไรไม่ออกไปมากกว่านั้นอีกแล้วละ ก็เดินไปคว้า BM สปอร์ตขึ้นมาดูอาการ ... มีแค่โซ่หลุด กับรอยถลอกนิดหน่อย นอกนั้นไม่มีอะไรเลย ก็จัดโซ่เข้าที่ แล้วปั่นกลับบ้านแบบเร็วจี๋เลยแหละ
ถึงบ้าน แม่ลุกมาเปิดประตูให้ พอเห็นสภาพผม แม่ตกใจใหญ่เลย เพราะเสื้อนักเรียนที่สีข้างขาดยาวเป็นคืบกับกางเกงเลอะน้ำโคลน ตามหน้าตาเนื้อตัวก็มอมแมมมาเชียว ไอ้ผมก็กลัวแม่ตกใจ เลยโกหกไปว่าขี่จักรยานตกหลุมเพราะความมืด แม่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ไล่ผมไปอาบน้ำเข้านอนเพราะนี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว
เชื่อหรือไม่ครับ ... นอกจากรอยขาดที่เสื้อกับความมอมแมมที่ว่ามาเนี่ย ผมไม่เป็นอะไรเลย ... ไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำตามขาและลำตัว ไม่มีอาการเคล็ดขัดยอกใดๆ ทั้งสิ้น เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาแล้วก็แทบจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปด้วยซ้ำ ...
หลังจากวันนั้นมา เวลาผมผ่านวินรถมอเตอร์ไซค์พ่วง ก็เห็นพี่คนขับที่ชนกับผม เดินตุ๊บเผลกๆ มีผ้าพันศีรษะ ก็เป็นเดือนเหมือนกันนะ กว่าจะหายน่ะ ... ผมเองรู้สึก guilty นะ แต่เหมือนพี่เค้าจะจำผมไม่ได้ คงเพราะมันมืดและพอชนเสร็จเค้าก็ร่วงไปก่อน
ไอ้ตอนนั้นเนี่ย ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ คิดแค่ว่าเราโชคดีจริงๆ ที่ไม่เป็นอะไรเลย ... แต่พอหลังจากนั้น คิดย้อนกลับไปทีไร ก็รู้สึกอึ้งปนเสียวว่ากุรอดมาได้ไงฟะ เพราะผมน่ะ รถเล็ก แถมโดนชนกลางลำอีกต่างหาก กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว !
++++++++++++++++++++++++++++++
เล่าไปเล่ามา ยาวอีกจนได้ ... ไอ้เรื่องเฉียดๆ ยังเงี้ย ผมมีอีกเยอะ ไว้เดี๋ยวจะหาเวลามาโม้ให้ฟังเพิ่มอีกทีละกันนะฮะ
จากคุณ :
(แมลงสาบ)
- [
วันสตรีสากล 02:59:56
]