ความคิดเห็นที่ 1 เยี่ยมไปเลยคะ เมื่อเดือนม.ค เพิ่งไปบริจาคครั้งที่ 10 มาเองคะ แต่ที่สำคัญคือเป็นครั้งแรกที่ไปบริจาคเองไม่มีเพื่อนคอยจับมือด้วย ไปเองที่สภากาชาดเลยคะ เพราะอยากบริจาค Stem Cell ค่ะ แล้วก้อได้สมดังตั้งใจ รู้สึกอิ่มอย่างบอกไม่ถูกเลยคะ งั้นต้องรักษาสุขภาพนะคะ จะได้ช่วยเหลือคนอื่นแล้เราก้อแข็งแรงด้วย จากคุณ : เจี๊ยบจัง - [ 10 มี.ค. 51 20:11:12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 บริจาคเหมือนกันค่ะ ั้ทั้งบริจาคเลือดและบริจาคร่างกายเลย ^^ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 10 มี.ค. 51 20:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อยากบริจาคมั่งจัง แต่ไม่กล้าตรวจเลือดชั่วๆคับพี่นะ 555 จากคุณ : bluearthy - [ 10 มี.ค. 51 20:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โห เก่งจังพี่นะ  ผมเพิ่งจะได้ สามครั้งเอง อ่ะ ไปชั่งน้ำหนักที่ไรไม่ผ่านทุกที (หนักเกิน 555) จากคุณ : ได้แต่เพียงเฝ้ามองไกลๆ - [ 10 มี.ค. 51 20:28:28 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เป็นคนนึงที่อยากบริจาคเลือดมาก อยากมีส่วนช่วยสังคมบ้าง แต่ไปทีไร ไม่ผ่านเกณฑ์น้ำหนักเลยค่ะ รู้สึกชื่นชมและขอนับถือ น้ำใจของคุณนะนะ และทุก ๆ คนที่เคยไปบริจาคโลหิตค่ะ ^^ จากคุณ : ยังยิ้มได้ (ยังยิ้มได้) - [ 10 มี.ค. 51 20:33:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ทำได้ 8 ครั้งเองค่าาาพี่นะ ขอโหวตกระทู้นี้นะคะ คนทำดีทั้งที โหวตได้ง่ายกว่าคนที่ทำไม่ดีค่าาา อิอิ จากคุณ : aorp - [ 10 มี.ค. 51 20:36:44 ]

ความคิดเห็นที่ 7 รู้สึกจะบริจาคแค่ 3- 4ครั้งเอง จากคุณ : lillylady - [ 10 มี.ค. 51 20:42:59 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แมนมากๆ ครับ จากคุณ : กระเทยชายแดน - [ 10 มี.ค. 51 20:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ้อ  โหวตผิดรึเปล่า จากคุณ : ได้แต่เพียงเฝ้ามองไกลๆ - [ 10 มี.ค. 51 20:45:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อยากบริจาคนะคะ แต่ เป็นลมทุกที ที่โดนเจาะเลือด T_T หน้ามืด ใจสั่น ตุบๆๆๆ นอนพัก 30 นาทียังไม่หายเลย พยาบาลบอกหมดน้ำหวานไปหลายแก้ว เหอๆๆ จากคุณ : intokyo - [ 10 มี.ค. 51 20:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 บริจาคจนเลือดจาง เอิ้กๆๆ จากคุณ : PPalone - [ 10 มี.ค. 51 20:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เก่งจัง... จากคุณ : DarkEnemy - [ 10 มี.ค. 51 21:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สุดยอดค่า...โหวต จากคุณ : beherit - [ 10 มี.ค. 51 21:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แฟ้มบุคคลขอตบมือให้......เย้ เราบริจาคไม่ได้อ่ะค่ะ.....แค่ นน ก็ไม่ถึงแล้ว แต่น้องชายบริจาคบ่อย  น้องชายแข็งแรง แต่เราไม่ค่อยเท่าไหร่ อืมม์...มีเรื่องนึงยากเล่า  อ่านข่าววันศุกร์ เรื่องพ่อฆ่าตัวตายเพาะเงินที่เตรียมบวชให้ลูกโดนญาติยืมไปและไม่คืน....พ่อเครียดกัวไม่ได้จัดงานบวชให้ลูกเลยฆ่าตัวตาย...เศร้าเจงๆเลยค่ะ จากคุณ : pig666 - [ 10 มี.ค. 51 22:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โห กว่า 15 ปีแล้วสิครับเนี่ย ตั้ง 51 ครั้ง ขออนุโมนาครับ ผมก็เพิ่งไปบริจาคมา ครั้งที่ 16 เองครับ มีโอกาสก็พยายามไป อิอิ ก็ยังเด็กอยู่อ่า... จากคุณ : dashy - [ 10 มี.ค. 51 22:07:31 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โอ้... สาธุ...   ขออนุโมทนา   และ ขอชื่นชม กับ ความตั้งใจอันดี ของ คุณ นะนะ  ด้วยครับ... ผมเอง ก็ตั้งใจไว้ว่า จะบริจาคให้ได้เกิน 50 ครั้งเหมือนกัน แต่ยังเหลืออีกเยอะเรยยย... ขอโหวตด้วยคนครับ... และขอถือโอกาสนี้ เผยแพร่ความรู้ ข้อมูล เกี่ยวกับเลือด การบริจาคเลือด และเกล็ดโลหิตไปด้วยเลยนะครับ... ( เผื่อใครที่ยังไม่รู้ ) อันนี้.. เป็นความรู้เกี่ยวกับเลือดครับ... การบริจาคโลหิต เนื่องจากโลหิตเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ให้อยู่รอด นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้ามาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการหาสารประกอบอื่น ๆ ที่มาทดแทนโลหิตได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องให้โลหิตจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งด้วยการบริจาคนั่นเอง การบริจาคโลหิต คือการสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้ เพื่อให้กับผู้ป่วย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเลย เพราะร่างกายแต่ละคนจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ซึ่งร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ ผู้บริจาคโลหิตสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน เพราะเมื่อบริจาคโลหิตออกไป ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม ถ้าไม่ได้บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัว เพราะหมดอายุออกมาในรูปของปัสสาวะ  อุจจาระ  หรือเหงื่ออยู่แล้ว การบริจาคโลหิตใช้เวลาประมาณ 15 นาที ท่านจะได้รับการเจาะเก็บโลหิตและบรรจุในถุงพลาสติก (BLOOD BAG) ตั้งแต่ 350-450 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค โลหิตคืออะไร โลหิตมีส่วนที่เป็นน้ำ เรียกว่า น้ำเหลือง มีสีเหลืองอ่อนใสมีโปรตีนและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดและส่วนที่เป็นเม็ดโลหิตซึ่งมีเม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิต เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิตในร่างกาย โดยกำลังสูบฉีดของหัวใจ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต คือ ไขกระดูก ซึ่งได้แก่ กระดูกแขน กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง กระโหลกศีรษะ กระดูกเชิงกราน กระดูกไขสันหลัง เป็นต้น ในร่างกายของมนุษย์ (ผู้ใหญ่)จะมีโลหิตประมาณ 4,000-5,000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) หรือสามารถคำนวณง่ายๆ คือ น้ำหนักตัวสุทธิ x 80 = ปริมาณโลหิตที่มีในร่างกายโดยประมาณ ( หน่วยเป็นซี.ซี.) โลหิต  แบ่งได้ 2 ส่วน คือ 1. เม็ดโลหิต จะมีอยู่ประมาณ 45 % ของโลหิตทั้งหมด ซึ่งมี 3 ชนิด คือ - เม็ดโลหิตแดง มีหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนเพื่อให้เซลล์ต่างๆ ใช้สันดาปอาหารเป็นพลังงาน อายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 120 วัน - เม็ดโลหิตขาว ทำหน้าที่ปกป้องและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และสารที่เป็นอันตรายอื่นๆ ซึ่งเปรียบเหมือนทหารป้องกันประเทศ เม็ดโลหิตขาวมีอายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 10 ชั่วโมง - เกล็ดโลหิต ทำหน้าที่ช่วยให้โลหิตแข็งตัวตรงจุดที่มีการฉีกขาดของเส้นโลหิต มีอายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 5-10 วัน 2. พลาสมา (Plasma ) คือส่วนที่เป็นของเหลวของโลหิตที่ทำให้เม็ดโลหิตทั้งหลายลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง จะมีอยู่ประมาณ ร้อยละ 55 ของโลหิตทั้งหมด มีหน้าที่ควบคุมระดับความดันและปริมาตรของโลหิตป้องกันเลือดออก และเป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อที่จะเข้าสู่ร่างกาย พลาสมานี้ประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำประมาณ 92 % และส่วนที่เป็นโปรตีนประมาณ 8 % ซึ่งโปรตีนที่สำคัญ ได้แก่ - แอลบูมิน มีหน้าที่รักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ - อิมมูโนโกลบูลิน มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อต่างๆ ที่จะเข้าสูร่างกาย เกร็ดความรู้ ถ้านำเส้นโลหิตทั่วร่างกายมาต่อกัน จะมีความยาวถึง 96,000 กิโลเมตร หรือความยาวเท่ากับ 2 เท่าครึ่งของระยะทางรอบโลก โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณโลหิตในร่างกายจะมี 5-6 ลิตรในผู้ชาย และ 4-5 ลิตรในผู้หญิง และโลหิตจะมีการไหลเวียน โดยผ่านมาที่หัวใจถึง 1,000  เที่ยวต่อวัน คนหนุ่มสาวจะมีเซลล์เม็ดโลหิตแดงเท่ากับ 35,000,000,000,000 เซลล์ (สามสิบห้าล้าน-ล้านเซลล์ ) อยู่ภายในร่างกายในเวลา 120 วัน เซลล์เม็ดโลหิตแดง จำนวน 1.2 ล้านเซลล์ จะถึงกำหนดหมดอายุขัย ถูกขับถ่ายออกมาขณะเดียวกันไขกระดูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกระดูกซี่โครง กะโหลกศรีษะและกระดูกสันหลัง จะช่วยกันผลิตเซลล์ใหม่เท่ากับจำนวนที่ตายไปขึ้นมาแทนที่ จากชีวิตสู่ชีวิต มอบโลหิตช่วยผู้ป่วย ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:22:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17 และนี่คือสิ่งที่ควรรู้ ควรปฏิบัติในการบริจาคโลหิตนะครับ ( คุณอาจทำได้ไม่หมด แต่ก็ขอแนะนำให้ปฏิบัติตาม... จะเป็นการดี ทั้งต่อผู้บริจาค และผู้รับบริจาคครับ ) ข้อ ควรรู้ ก่อนจะบริจาคโลหิต 1. อายุ ระหว่าง 17-60 ปี และสุขภาพสมบูรณ์ ( ไม่ใช่ แค่ปกติหรือแข็งแรง ) ถ้าอายุน้อยเกินไป จะมีภาวะทางความคิดและร่างกายไม่เหมาะสม กฎหมายไม่อนุญาต ต้องมีผู้ปกครองรับทราบ และยินยอม ถ้าอายุมากเกินไป ก็จะมีปัจจัยสุขภาพเสี่ยงเกินไป เป็นอันตรายต่อผู้บริจาคเอง 2. นอนหลับไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง การนอนหลับ ไม่ควรนอนผิดเวลาจากปกติ ผู้ที่ทำงานเป็นกะ ไม่ควรบริจาค ถ้านอนไม่พอ ถึงบริจาคไปแล้ว ก็เอาไปใช้ไม่ได้ เพราะเลือดจะลอย 3. กินอาหารประจำมื้อเรียบร้อยแล้ว ( หรืออย่างน้อย - ก่อนบริจาค 4 ชม. ) ก่อนบริจาค ควรกินอาหารมาให้เรียบร้อย แต่ไม่ควรเน้นอาหารที่มีไขมันมาก หรือ งดอาหารมันๆ ก่อนบริจาค 1 วันก็จะดี 4. ท้องเสีย ท้องร่วง ภายใน 7 วัน เป็นผลเสียทั้งต่อผู้บริจาค และ ผู้รับบริจาคอาจติดเชื้อ ( ถ้ามี ) ได้ 5. น้ำหนักลด ในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ หากเกิดขึ้น มักมีสาเหตุจากโรคภายใน เช่น เบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษ หรือแม้แต่... AIDS หรือ HIV ถ้ากินยาลดน้ำหนัก ก็ไม่ควรบริจาคเช่นกัน แต่ถ้าน้ำหนักลดอย่างสมเหตุสมผล จากการออกกำลังกาย หรือ ควบคุมอาหาร ( โดยไม่ใช้ยา ) สามารถบริจาคได้ 6. กินยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดข้อ อาจมีผลทำให้ยาไปยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดโลหิต ทำให้โลหิตแข็งตัวช้าลง ไหลแล้วหยุดยาก 7. กินยาแก้อักเสบใน 7 วัน หรือยาอื่นๆ โปรดปรึกษาเจ้าหน้าที่ หากกินแก้อักเสบอยู่อาจหมายถึง ผู้บริจาคได้รับการติดเชื้อ ซึ่งอาจแพร่เชื้อเข้ากระแสโลหิตของผู้รับบริจาคได้ นอกจากนี้ ผู้รับบริจาค อาจแพ้ยา ที่ผู้บริจาคกินก่อนมาบริจาคได้ 8. เป็นโรคหอบหืด ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง ไอเรื้อรัง วัณโรค หรือโรคภูมิแพ้อื่นๆ การเป็นโรคดังกล่าว แล้วมาบริจาค อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการดังกล่าวกำเริบได้ 9. เคยเป็น หรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคตับอักเสบ ผู้ที่เคยเป็น แล้วไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชนิดใด หรือ ไม่สามารถบอกได้ว่า หายขาด หรือไม่มีเชื้อแล้ว ไม่ควรบริจาคจนกว่าจะได้รับการยืนยันจากแพทย์ ว่าปลอดภัยจากเชื้อตับอักเสบ ผู้ที่สัมผัส ใกล้ชิดผู้ป่วย ก็อาจได้รับเชื้อแล้วเช่นกัน 10. เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไต ไทรอยด์ มะเร็ง โลหิตออกง่ายหยุดยาก หรืออื่นๆ เพื่อความปลอดภัย หากมีความจำเป็นต้องบริจาค ให้อยู่ในความดูแล และวินิจฉัยจากแพทย์อย่างใกล้ชิด 11. ทำฟัน ภายใน 3 วันก่อนจะบริจาค เหงือกอาจจะอักเสบ และ หากมีแผลในช่องปาก อาจเป็นทางนำเชื้อโรคสู่กระแสโลหิตได้ 12. ท่าน หรือ คู่ของท่าน มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่น โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์บางอย่าง แสดงอาการให้เห็น แต่บางอย่าง แม้ติดเชื้อแล้ว ก็ตรวจไม่พบในระยะฟักตัว ทั้งๆที่ผู้บริจาคอาจมีเชื้ออยู่แล้ว ดังนั้น...หากไม่แน่ใจใน 6 เดือน ควรไปตรวจที่คลีนิกนิรนามหรือที่โรงพยาบาลก่อนบริจาค 13. ได้รับการผ่าตัดใหญ่ ในระยะ 6 เดือน หรือผ่าตัดเล็ก ใน 1 เดือน การผ่าตัดอาจเสียโลหิตไปส่วนหนึ่ง แผลผ่าตัด ต้องใช้เวลาและสารอาหารในการซ่อมแซม จึงควรงดเว้นในการบริจาคไปก่อน 14. เจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็ม ในระยะ 6 เดือน เข็มเจาะ และรูแผลที่ผิวหนัง มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคติดเชื้อที่มีการส่งต่อทางกระแสโลหิตและน้ำเหลือง และสามารถส่งต่อไปยังผู้รับบริจาคได้อีกด้วย เช่นไวรัส ตับอักเสบ บี , ซี และ AIDS หรือ HIV 15. เคยมีประวัติติดยาเสพติด หรือพ้นโทษในระยะ 3 ปี ผู้ที่เคยมีประวัติติดยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษ จะมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคที่มีการส่งต่อทางโลหิตและน้ำเหลือง แม้จะไม่มีการใช้เข็มร่วมกัน หรือแม้เสพย์ทางการกิน หรือสูดดม อาจทำให้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศภายหลังใช้ยาได้ 16. เคยเจ็บป่วยต้องรับโลหิตผู้อื่นในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา เมื่อเคยป่วยและได้รับโลหิตจากผู้อื่น จะมีการสร้างภูมิต้านทานต่อระบบหมู่โลหิตได้ ถึงแม้จะมีการตรวจเพื่อหาหมู่โลหิตหลักที่เข้ากันได้ แต่หมู่ย่อยไม่สามารถหาได้ตรงกันทั้งหมด และยังคงเป็นปัญหากับผู้ป่วยอีกด้วย 17. ฉีดวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือ ฉีดเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา เช่นวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ และ เซรุ่มป้องกันพิษสุนัขบ้า เป็นต้น 18. เข้าไปในพื้นที่ ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชม ในระยะ 1 ปี หรือเคยป่วยเป็นมาเลเรีย ถ้าเคยป่วยแล้วไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด เชื้อสามารถแอบแฝงอยู่ในร่างกายได้โดยไม่แสดงอาการ ดังนั้น ผู้ที่จะบริจาคได้ต้องไม่มีอาการซ้ำ เป็นเวลา 3 ปี 19. อยู่ในระหว่างมีรอบเดือน ไม่ควรให้ร่างกายมีการเสียโลหิตซ้ำซ้อนในคราวเดียวกันโดยไม่จำเป็น ควรรอให้หมดรอบเดือนเสียก่อน 20. คลอดบุตร หรือ แท้งบุตร ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา การคลอด หรือ การแท้งบุตร จะมีการเสียโลหิตเป็นจำนวนมาก ร่างกายของผู้บริจาค ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเพื่อให้มีการสร้างโลหิตที่มีคุณภาพขึ้นมาใหม่ 21. งดบุหรี่ หรือสิ่งมึนเมาใดๆ ก่อนบริจาคโลหิต ถ้าเป็นบุหรี่ ก็ 1 วัน หรืออย่างน้อย 6 ชม. เพื่อให้ปอดได้ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพหน่อย ข้อมูลเหล่านี้... อาจจะไม่ละเอียดนัก หากใครต้องการรายละเอียด หรือข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ 02-251-3111 , 02-252-4106 ถึง 9 และที่ 02-256-4300 หรือ ที่ http://www.redcross.or.th และ อีเมล์ blood@redcross.or.th http://www.nbc.in.th --- ศูนย์บริการโลหิดแห่งชาติ (National Blood Centre) * หากบริจาคโลหิตมาแล้ว ไม่มั่นใจ ติดต่อแจ้งทันที 02-252-4106 ถึง 9 ต่อ 151 และ 158 และอันนี้ เป็น link สำหรับ เป็นสื่อกลางของผู้มีเลือดกลุ่มพิเศษครับ http://www.bluewings.pantown.com http://www.rh-negative.com/board/webboard.php ( อันนี้ผมเพิ่งเจอ ) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=bluedragonyx&group=13 http://www.pantown.com/board.php?id=25627&area=3&name=board1&topic=1&action=view * หมายเหตุ หากท่าน จะส่งอีเมล์ ขอรับบริจาคโลหิต เกล็ดโลหิต หรือ โลหิตหมู่พิเศษก็ตาม  ควรจะลงวันเดือนปี ที่เกิดเหตุ ไว้... เพื่อที่หากมีการ Forward เมลไปเรื่อยๆ จะได้ไม่ตกค้าง หาก มีการส่งเมล์ต่อไปเรื่อยๆ บางที... ผ่านไปหลายเดือน หรือเป็นปี... หลายครั้ง... ที่เมื่อเราได้รับอีเมล์แล้วติดต่อไป  ก็ปรากฎว่า...  เลือดของเรา... ไม่จำเป็นสำหรับเค้าแล้ว... ( กรณีที่หายดีแล้ว - อันนี้ไม่เป็นไร... แต่บางที... โทรไป... ปลายสายเป็นญาติ... ตอบมาว่าเสียชีวิตไปแล้ว...   :'_':  เวลาเจอแบบนี้ ผมรู้สึกบอกไม่ถูกเลย  ) ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                                           ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:23:29 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อันนี้เป็นความรู้... เกี่ยวกับการบริจาคเกล็ดโลหิต จากการสอบถามพูดคุยกับแพทย์ ที่ศูนย์บริจาคโลหิต สภากาชาด ถนนอังรีดูนังต์ ( นอกเหนือจาก ข้อควรรู้ ควรปฏิบัติ ในการบริจาคโลหิตที่ต้องรู้อยู่แล้ว <-- ข้อมูลเกล็ดโลหิตนี้ ณ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2550 นะครับ ) 1. ณ ปัจจุบันนี้...  ความต้องการเกล็ดเลือด  ความต้องการเกล็ดโลหิต มีมากกว่า ที่ สภากาชาด จะสามารถจัดได้ เพราะผู้บริจาคเลือด ก็น้อยอยู่แล้ว  ยิ่งผู้บริจาคเกล็ดเลือด ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่  ปัจจุบัน จึงมีเกล็ดโลหิต  เพียง ประมาณ 60-70 % ของความต้องการเท่านั้น 2. ถ้า คุณ... ไม่มีประวัติการบริจาคเลือดเป็นประจำ ทางศูนย์  อาจจะไม่รับการบริจาคเกล็ดเลือดจากคุณ เพราะเสี่ยงต่อผู้ที่รับบริจาคอาจติดเชื้อ 3. การบริจาคเกล็ดเลือด ต้องมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง สมบูรณ์ กว่าการบริจาคเลือดธรรมดา บางคน บริจาคเลือดเป็นประจำ... ไม่เคยเป็นอะไร แต่พอมาบริจาคเกล็ดเลือด... กลับเป็นลม หรือ เกิดอาการเกร็ง ( แค่บางคนนะครับ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง สุขภาพไม่สมบูรณ์จริงๆ ) 4. ไม่ใช่ทุกคน... ที่จะสามารถบริจาคเกล็ดเลือดได้ แม้จะเป็นคนที่บริจาคเลือดเป็นประจำก็ตาม 5. คุณต้องตอบคำถาม ของแพทย์ก่อนการบริจาค ตามความเป็นจริง ไม่งั้นเลือดของคุณ เกล็ดเลือดของคุณ ... ก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้  หรือ เป็นผลเสีย กับผู้ที่รับบริจาคไป...( แทนที่จะได้บุญ ได้ช่วยคน จะเป็นบาป จะกลายเป็นทำร้ายคนนะครับ ) 6. การบริจาคเกล็ดเลือด คุณต้องเตรียมเวลามากหน่อย เพราะ ใช้เวลา ประมาณ 1.5 ถึง 2 ชั่วโมง ( ยังไม่รวมการกรอกเอกสาร ชั่งน้ำหนัก หรือการตรวจความเข้มของเลือดต่างๆนะครับ ชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงนี่น่ะ นับเฉพาะตอนนอนบนเตียงบริจาค ) ไม่เหมือนการบริจาคเลือดปกติ ที่ใช้เวลาเพียงประมาณ 15-30 นาที อย่างวันที่ผมไป... ผมไปถึงราวๆสิบโมง...ก็ออกจากห้องบริจาคราวๆ เที่ยงครึ่งน่ะครับ ( ครั้งล่าสุดไปถึงราวๆเที่ยงครึ่ง แต่เสร็จเรียบร้อยๆ ราวๆ สี่โมงกว่า - แต่จริงๆ แล้ว นอนบนเตียงราวๆ ชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงครับ ) ที่ผมครั้งที่สองนี้ช้า เพราะว่า ผมสอบถามข้อมูลด้วย แล้วก็มีคิว 4 คิว ( ตรวจเลือดแล้วไม่ผ่าน 1 คน ก็เลยให้เค้าไปบริจาคเลือด ( Wholeblood ) ธรรมดาแทน 7. คุณต้องดูแลสุขภาพให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารมื้อก่อนการบริจาคให้เรียบร้อย ไม่งั้น คุณอาจจะหลับ ( หมดสติ ) และ ชุดสาย ชุดอุปกรณ์การเก็บเกล็ดเลือดที่เอามาใช้กับคุณ... ก็กลายเป็นขยะเพราะเอาไปใช้กับคนอื่นต่อไม่ได้ 8. " อย่า " กินอาหารที่มีไขมัน เช่น...ซาลาเปาหมูสับ พิซซ่า ของทอด ของมันต่างๆ ( ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้... คุณหมอบอกนะครับ ) เพราะฉะนั้น ถ้าตั้งใจจะไปบริจาคเกล็ดเลือด ควรจะกินแต่อาหารไขมันต่ำ หรือเน้นผัก ผลไม้ก่อนการบริจาคอย่างน้อย 1-2 มื้อ / บางคน... ร่างกาย กำจัดไขมันส่วนเกินออกจากเลือดได้ช้า ( เกินกว่า 24 ชม. ) จะเป็นผลเสียต่อผู้รับเกล็ดเลือดจากคุณไป   ไขมันในเลือดเมื่ออยู่ในร่างกายเรา... อาจ...ยังไม่เห็นผลอะไรตอนนี้  แต่... เมื่อแยกเป็นเกล็ดเลือด จะมีผลเสียต่อผู้รับบริจาค ซึ่งร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว 9. เกล็ดเลือด... มีผู้บริจาคน้อยกว่าเลือด ( Whole Blood ) มาก และเก็บได้ไม่นาน ( แค่ 5 วันก็เสีย ต้องทิ้ง ) แต่บริจาคได้บ่อยกว่า Whole Blood ดังนั้น จึงอยากจะเชิญชวนเพื่อนๆ รักษาสุขภาพ แล้วสละเวลา ไปบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอ แล้วค่อยเริ่มบริจาคเกล็ดเลือด 10. ถ้า... คุณไม่รักษาสุขภาพให้ดีพอ ไม่ตอบคำถามแพทย์ตามความเป็นจริง พักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารที่มีไขมัน ( ไม่ใช่ว่ากินเข้าไปมากมายอะไรหรอกครับ อยู่ในร่างกายคุณ... ตอนนี้แข็งแรงดี ยังอายุไม่มาก  มันอาจไม่ค่อยส่งผลอะไรให้เห็นเท่าไหร่ ... แต่มันมีผลต่อเกล็ดเลือดมากๆ จนเอาไปใช้ประโยชน์กับผู้ป่วยไม่ได้ ) และ... โปรดรู้ไว้ว่า... ชุดสาย ชุดอุปกรณ์ ชุดถุงเก็บเกล็ดเลือด ที่ใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อผู้บริจาคหนึ่งคน ( คือ ใช้แล้วทิ้ง ) อ่านดีๆนะครับ... ชุดละ 7,500 บาท ---ถ้าเกล็ดเลือดของคุณ ... คุณภาพต่ำ มีไขมันมาก พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็คือ คุณ เอางบประมาณ ของสภากาชาดไทย ที่มาจากภาษี ทิ้งไป 7,500 บาท ภายในเวลาไม่กี่นาที เพราะต้องนำเข้าทั้งชุด (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2550 ) เรายังผลิตเองไม่ได้  *** หนึ่งชุด สำหรับ ผู้บริจาคเกล็ดเลือดหนึ่งคน ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง... *** ถ้าเลือดของผู้บริจาคนั้นใช้ไม่ได้ ก็คือทิ้งทันที 7,500 บาท 11. ขณะที่นอนให้เครื่องเอาเลือดเราออกไปปั่นแยกเกล็ดเลือด ( หรือ แม้การบริจาคเลือดตามปกติก็ตาม ) ต้องนอนนิ่งๆครับ ไม่ควรจะขยับตัวยุกยิก แขนข้างที่เจาะสายอยู่ อย่าเคลื่อนตัวไปมา อย่ายุกยิก ( บีบลูกบอลยางได้ หันหัวมองโน่นนี่ได้ แต่ตัว... ให้อยู่นิ่งๆ ) ไม่งั้น เข็ม อาจจะหลุดออกจากเส้นเลือด ( แต่ยังปักอยู่ในแขน ) จะทำให้เลือดไม่เดิน เมื่อเลือดไม่เดิน... คือต้องทิ้งทั้งเซ็ทครับ แล้วต้องเอาชุดใหม่มาเสียบ เสียของ เสียเวลา เจ็บตัวอีกรอบ และ อาจจะเสียเลือด  เสียเกล็ดเลือดคุณทิ้งไปเปล่าๆ วันนั้นได้คุยกับคุณหมอ... และเจ้าหน้าที่หลายคน... ได้ทราบว่า บางเดือน ... มีคนที่มาบริจาคเกล็ดเลือด ที่ดูแลสุขภาพตัวเองไม่ดีพอ   แล้วไปขอบริจาคเกล็ดเลือด... แล้วในที่สุด...  ก็... เอาไปใช้ไม่ได้ เพราะสุขภาพไม่ดีพอ ส่งผลต่อเกล็ดเลือด ใช้การไม่ได้  ก็ต้องทิ้ง  ของ...เสียไปเป็นมูลค่ากว่าแสนบาทต่อเดือน ผู้หวังดี... แต่ขาดความตระหนักในความจำเป็น   ในการดูแลตัวเองให้ดีเพื่อการบริจาคเกล็ดโลหิต ไม่ตอบคำถามของแพทย์ ตามความเป็นจริง ทำให้ เกล็ดเลือด ที่รับบริจาคไปนั้น... ใช้การไม่ได้ เพราะปัญหาต่างๆ ... พักผ่อนไม่เพียงพอ , กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ฯลฯ ตามที่ผมได้บอกไปแล้วข้างต้น กว่าทางสภากาชาดจะรู้ ว่า เกล็ดเลือด ของ ผู้บริจาครายไหน ใช้ไม่ได้  -   ก็เสียเวลา ไปไม่ใช่น้อยแล้ว ทั้งเวลาของผู้บริจาคเอง ที่ต้องมานอน บีบลูกบอลยาง ครั้งละ 2 ชั่วโมง  ทั้งเวลาในการทำงาน ของคุณหมอ ทั้งเวลา ของเจ้าหน้าที่ในห้องแล็ป ที่ต้องเอาเกล็ดเลือดนั้นมาตรวจสอบ สมัยก่อน ที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังไม่เจริญเท่าปัจจุบันนี้ ตอนที่ยังมีเครื่องมือน้อย ไม่ทันสมัยอย่างเวลานี้ จึงมีผู้เคราะห์ร้ายบางส่วน มีปัญหา หลังจากได้รับเลือดจากผู้บริจาค... ปัจจุบัน มีเครื่องมือ อุปกรณ์ และกระบวนการที่ดีขึ้น พัฒนาขึ้น ปัญหา... ก็เลยน้อยลง... และ... และข้อความข้างต้น... เป็น การถ่ายทอดจากปากคุณหมอเองครับ ( ไม่ได้เป๊ะทุกคำพูด เนื้อหาก็ประมาณนั้นแหละครับ ) ที่ ชุดสาย ชุดอุปกรณ์เก็บเกล็ดเลือด... ต้องทิ้งถังขยะไป เดือนละ เป็นแสนๆบาท จากการที่ผู้บริจาค ไม่ดูแลตัวเองให้ดี  ไม่ได้ตอบคำถามของแพทย์ตามความเป็นจริง ชุดละ เจ็ดพันห้าร้อยบาท มีผู้บริจาค ที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี สิบคน... ก็เจ็ดหมื่นห้าพันบาทแล้ว สิบห้าคน... ก็แสนหนึ่งหมื่นสองพันพันห้าร้อยบาท... ผมจึง ขอมาบอก มาเผยแพร่ ความรู้ ข้อมูลต่อมายังเพื่อนๆนี่แหละครับ... สุขภาพดี... ก็ดีต่อเจ้าของร่างกายเองด้วย ดีต่อผู้รับบริจาค เลือด หรือเกล็ดเลือดที่ดี มีคุณภาพจากเราด้วย * ภาพในความเห็นนี้คือ เครื่องปั่น-แยกเกล็ดเลือด รุ่นที่ผมใช้คราวที่แล้วครับ ( ภาพนี้ คุณพยาบาลผู้ใจดีเอื้อเฟื้อถ่ายให้ ) เจ้าเครื่องรุ่นนี้ จะทำงานแบบเบ็ดเสร็จ สำเร็จเป็นถุงเกล็ดเลือด พร้อมใช้งานได้ทันที ทำงานเป็นรอบ ... 7 รอบ เรานอนบนเตียงราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง ( หนึ่งรอบ คือ รับเลือดเราเข้าระบบไปปั่น-แยก แล้วก็คืนเลือดที่ถูกแยกเกล็ดเลือดออกไปแล้ว กลับเข้ามาในร่างกายเรา ทางสายเส้นเดียวกันที่รับเลือดจากเราไปนั่นเอง ) * แก้ไขพิมพ์ผิดครับ แหะๆ ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                             ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 51 00:08:43 จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:30:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 การบริจาคเกล็ดเลือด จะต้องเอาเข็มมาเจาะแขนทั้งสองข้าง ( บริจาคเลือดธรรมดา เจาะข้างเดียว ) เจาะข้างหนึ่งเพื่อเอาเลือดไปตรวจวัดค่าต่างๆ ว่าผ่านไหม -- อันนี้ เจาะแป๊บเดียว แค่เอาเลือดใส่หลอดไปใส่เครื่องวิเคราะห์ ( ตอนนี้ ทางสภากาชาด ขอยืมเครื่องมือจากแผนกอื่นมา เลยทำให้ การทิ้ง-เสีย ลดลง แต่เดี๋ยวก็ต้องคืนเค้าแล้วครับ ) เจาะอีกข้างหนึ่ง คือ การเสียบเข็มเข้าเส้นเลือด เพื่อที่จะรับเอาเลือดของเรา ออกไปเข้าเครื่องปั่นแยกเกล็ดเลือด แล้ว จะมีรอบ การทำงาน คือ จะมี การรับเลือดจากร่างกายของเรา ออกไปปั่นแยกเกล็ดเลือด แล้ว จะมีการคืนเอาเลือด ที่ถูกแยกเกล็ดเลือดออกไปแล้ว คืนกลับเข้ามาในร่างกายเรา ทางสายเส้นเดียวกันนั้นเองครับ ( ทีแรก ผมนึกว่า เจาะสองข้างให้ข้างหนึ่งไหลออก ข้างหนึ่งไหลเข้า...    ฮ่า ๆ ๆ ) น้ำหนัก... - ของผู้ชาย... ต้องหนัก 50 กก. ขึ้นไป จึงจะบริจาคได้ - ของผู้หญิง... ถ้าเป็นการบริจาคเลือดปกติธรรมดา ก็อยู่ที่ 45 กก. สำหรับถุงเลือดขนาด 350 CC.  และ น้ำหนักตัว 50 กก. ถ้าเป็นถุงเลือดขนาด 450 CC. สำหรับการ มึน งง ง่วง ... เพลีย อาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่า ในผู้บริจาคเลือด ( Whole blood ) มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในผู้บริจาคเกล็ดเลือด ( Platelet ) ดังนั้น จึงควรจะปฏิบัติตามข้อแนะนำ ที่ผมพิมพ์ไว้ข้างต้น... ( แต่... ถ้าคุณดูแลรักษาร่างกายดี มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ก่อนจะมาบริจาค ก็จะไม่มีปัญหาเหล่านี้หรอกครับ - ผมยังเคยบริจาคเสร็จ ไปเล่นบาส  ไปตีแบดต่อเลย ฮ่า ๆ ๆ แต่ไม่ควรเอาอย่างนะครับ ถ้าคุณไม่ชัวร์ ว่าแข็งแรงจริงๆ ) แต่ก็อย่างที่บอก คุณหมอบอกว่า บางคน บริจาคเลือดเป็นประจำ ไม่เคยเป็นอะไร แต่ พอบริจาคเกล็ดเลือด กลับมีผลข้างเคียง ( ที่จริง... จะมีทุกคน... นิดเดียว.... คือ รู้สึก ปากชาๆ นิดๆ จากยาชา และยาแคลเซี่ยม ที่กินเข้าไปก่อนการให้เกล็ดเลือด... ซึ่ง หลังบริจาค 1-2 ชม. ก็หายเป็นปกติ แต่บางคนก็ไม่เป็นอะไรเลย ) สำหรับอันนี้... ผมเอามาจาก... Posted by : bichunmoo , Date : 2003-08-14 , Time : 16:52:38 , From IP : 172.29.2.171 ครับ ประโยชน์ของเกล็ดเลือด มีประโยชน์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ ดังนี้ # ผู้ป่วย โรค Leukemia โดยจะต้องรับเกล็ดเลือดสัปดาห์ละ 2ครั้ง ถึงวันเว้นวันขึ้นกับอาการโรค # ผู้ป่วย Dengue fever (ไข้เลือดออก) จะใช้เกล็ดเลือดเวลาที่มีเลือดออกมาก # ผู้ป่วยมะเร็ง # DIC # ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia )ในโรคอื่นๆ # โรคเลือดอื่นๆ # Aplastic anamia ............................... เรื่องควรทราบ # ผู้ที่บริจาคโลหิต ควรเว้นระยะห่าง 2 เดือนหลังจากบริจาคครั้งสุดท้าย  ถึงจะสามารถบริจาคเกล็ดเลือดได้ # สามารถบริจาคเกล็ดเลือด 2 สัปดาห์ต่อครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้งก็ได้ โดย 1 ปี ไม่ควรบริจาค เกิน 24 ครั้ง # หากบริจาคเกล็ดเลือดแล้ว ควรเว้นระยะห่าง 1 เดือน ถึงจะบริจาคเลือดได้ .......................................... ขั้นตอนการบริจาคเกล็ดเลือด # การรับบริจาคเกล็ดเลือดในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการใช้  จะเริ่มรับบริจาคจากญาติของผู้ป่วยก่อน จึง จะรับบริจาคจากอาสาสมัครเป็นลำดับต่อไป โดยใช้ระบบการติดต่อทางโทรศัพท์มือถือซึ่งสะดวกและรวดเร็วที่สุด # เนื่องจากการบริจาคเกล็ดเลือด 1 ครั้งมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมสูง  ดังนั้นผู้ที่บริจาคต้องได้รับการตรวจเชื้อ และตรวจจำนวนเกล็ดเลือดก่อนล่วงหน้า 1 เดือน โดยต้องมีจำนวนเกล็ดเลือดสองแสนตัวขึ้นไป (แต่ในความเป็นจริงที่ผ่านมา เพื่อเป็นการประหยัดเวลาแล้วหน่วยจะนัดมาทำการตรวจและบริจาคในวัน หรือในสัปดาห์ เดียวกัน) # ใช้เวลาบริจาคแต่ละครั้งนาน 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง  โดยเครื่องที่สามารถรับบริจาคได้  อยู่ที่หน่วยคลังเลือด รพ.สงขลานครินทร์ มีจำนวน 2 เครื่อง (ดังนั้นผู้ที่จะมาบริจาคควรเตรียวเวลาให้พร้อม เพราะจะได้ก่อประโยชน์สูงสุดทั้ง 2ฝ่าย) # เลือดทั้งหมดจะเข้าเครื่องแยกและเอาเฉพาะเกล็ดเลือดออก  เม็ดเลือดและส่วนประกอบอื่นของเลือดจะถูกนำกลับคืนเข้าร่างกายของผู้บริจาค ดังนั้นผู้บริจาคจะไม่สูญเสียเม็ดเลือด หลัง จากนั้นจึงนำเกล็ดเลือดไปใช้บริจาคให้กับผู้ป่วยได้ ..................................... * หมายเหตุ เนื่องจากเกล็ดเลือดไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน   มีอายุเป็นระยะเวลานาน 5วัน เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ประสงค์จะบริจาค จะต้องลงชื่อและกรอกข้อมูลไว้ในแฟ้มข้อมูล และต้องได้รับการตรวจเชื้อและจำนวนเกล็ดเลือดว่าสามารถบริจาคได้ เมื่อมีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องการใช้เกล็ดเลือด ผู้ที่จะบริจาคจะได้ รับการติดต่อให้มาบริจาคทันที (หรือนัดวันเวลา) ที่ขาดแคลนหากไม่สามารถมาได้ เราก็จำเป็นต้องติดต่อขอความช่วยเหลือผู้บริจาคท่านอื่นต่อไป ...................... เนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่  (ทั้งที่มีมานานแล้ว) มีผู้ที่รู้จักน้อย  และน้อยคนนักที่จะทราบถึงความจำเป็นและประโยชน์  ของเกล็ดเลือด ............................. จึงเรียนมาในการกระจายข่าวครั้งนี้ และฝากทุกท่านช่วยเป็นกระบอกเสียงกระจายข่าวให้กว้าง ยิ่งขึ้น ยังไงก็ตาม... จะบริจาคเลือด จะบริจาคเกล็ดเลือด หรือไม่ได้บริจาคอะไรเลย เรา... ก็ควรดูแลสุขภาพให้ดีอยู่แล้ว... เพียงแต่... ฮ่า ๆ ๆ ถ้าจะบริจาค... ก็ควรดูแลสุขภาพ ให้ดีเป็นพิเศษหน่อย... นะครับ ^_^ " ง่วง หรือ เมา ...   ไม่ขับ    ถ้าต้องขับ ...   อย่าดื่ม " และ...  ดีที่สุด...  คือ ไม่ดื่มเลย  และไม่มีพฤติกรรม ที่มีความเสี่ยงทางเพศเลย... * ภาพนี้ เป็นเครื่องที่เข้ามาล็อตใหม่ ( จากการชนะประมูล ) ระบบการทำงานก็จะคล้ายๆกัน เครื่องรุ่นนี้... ผู้บริจาค จะประหยัดเวลาขึ้นราวๆ 5-10 นาที จากเครื่องรุ่นที่ผมใช้ แต่... จะไปเสียเวลาที่พยาบาล หรือ เจ้าหน้าที่ ต้องมาเขย่าเอง (ด้วยมือ) อีกราวๆ 5-10 นาทีเช่นกัน และใช้ถุงเก็บเกล็ดเลือดอีกแบบหนึ่ง ( คนละแบบกับเครื่องที่ผมใช้ ) เจ้าเครื่องนี้ ดูทันสมัยไฮเท็ค กว่าเครื่องรุ่นที่ผมใช้ เพราะเป็นจอสัมผัส แต่เท่าที่รู้... รู้สึกว่า จะราคาถูกกว่าเครื่องรุ่นที่แล้วแฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า ( แต่ถามแล้ว รู้สึกว่า ประสิทธิผล ไม่ต่างกัน ต่างกันแค่เวลา กับขั้นตอนการทำงาน ) ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                             ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 และ ขอถือโอกาสนี้... เชิญชวน...  เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกๆท่าน รักษาสุขภาพ และสละเวลาไปบริจาคโลหิตกันบ้าง...  นะครับ ดีต่อเพื่อนร่วมชาติ  ดีต่อสังคม  ดีต่อสุขภาพของท่าน และ ดีช่วยให้ท่าน มีจิตใจที่เข้มแข็ง เป็นแรงพลังให้ตัวเองได้อีกด้วย อันนี้... เป็น link ตารางวัน - เวลา ที่จะไปบริจาคโลหิตได้นะครับ สะดวกที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ไปที่นั่นได้เลย http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=bluedragonyx&date=20-07-2005&group=5&blog=4 เวลานี้ ทุกวันนี้... ความต้องการโลหิตต่างๆ ยังขาดแคลนอยู่ตลอดนะครับ มีเวลา ก็ไปบริจาคกัน เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ หรืออาจจะเพื่อนเรา ญาติพี่น้องเราเองก็ได้ สถานที่ติดต่อ... ท่านสามารถบริจาคโลหิตได้ที่... ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย - วันจันทร์ - วันพุธ , วันศุกร์ (ไม่หยุดพักกลางวัน) 08.00-16.30 น. - วันพฤหัสบดี (ไม่หยุดพักกลางวัน) 07.30-19.30 น. - วันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 11.00-15.30 น. - วันอาทิตย์ 12.00-16.00 น. *** หน่วยเคลื่อนที่ประจำ *** - สวนจตุจักร ทุกวันเสาร์ (รถจอดริมถนนพหลโยธิน) 10.00-15.00 น. - สนามหลวง วันอาทิตย์ (รถจอดบริเวณด้านหน้ากรมศิลปากร) 09.00-14.00 น. - ตลาดนัดธนบุรี (สนามหลวง 2) ทุกวันอาทิตย์ สัปดาห์สุดท้ายของเดือน (รถจอดหน้าสำนักงาน) 10.00-15.00 น. - มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก ทุกวันจันทร์และวันอังคาร (รถจอดบริเวณข้างหอสมุดด้านคณะนิติศาสตร์) 10.00-15.00 น. - สถานีกาชาด 11"วิเศษนิยม" บางแค ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี (รับบริจาคโลหิตภายในอาคาร ข้างฟิวเจอร์ปาร์ค บางแค) 09.00-15.00 น. - ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ทุกวันอาทิตย์สัปดาห์ที่สองของเดือน (รับบริจาคโลหิตภายในอาคารหน้าร้าน S.B. เฟอร์นิเจอร์ ชั้น 2) 13.00-17.00 น. - ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ทุกวันศุกร์และวันเสาร์สัปดาห์ที่สามของเดือน (รับบริจาคโลหิตบริเวณลานโยโย่ ชั้น 3) 13.00-17.00 น. - ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาบางพลี ทุกวันเสาร์สัปดาห์ที่สองของเดือน (รับบริจาคโลหิตบริเวณด้านหน้าห้าง) 13.00-17.00 น. - ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ทุกวันเสาร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน (รับบริจาคโลหิตบริเวณชั้น 2 หน้าซุปเปอร์ Big C ) 13.00-17.00 น. - ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ทุกวันเสาร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน (รับบริจาคโลหิตบริเวณชั้น 2 หน้าซุปเปอร์ Big C ) 13.00-17.00 น. - สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า โทร.0-2468-1116-20 - สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ สถาบันพยาธิกรมแพทย์ทหารบก รพ.พระมงกุฎเกล้า โทร.0-2245-8154 - สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.ตำรวจ โทร. 0-2252-8111 ต่อ 4146 - สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.รามาธิบดี โทร. 0-2246-1057-87 - สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช โทร.0-2531-1970-99 ต่อ 27109-10 - สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล โทร. 0-2243-0151-64 - และสาขาบริการโลหิตแห่งชาติ โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ (ในวันและเวลาราชการ) ใกล้ที่ไหน...  ก็ไปที่นั่นนะครับ ^_^ V ท่านสามารถสอบถามหน่วยเคลื่อนที่อื่น ๆ ได้ที่ โทรศัพท์ 0-2252-6116,0-2252-1637 ,0-2252-4106-9 ต่อ 113, 157 * ภาพนี้... คือ ชุดถุงเก็บเกล็ดเลือด ที่ไว้ใช้กับ เครื่องรุ่นใหม่ ในความเห็นที่ 19 น่ะครับ ดูๆ... ก็ไม่น่าจะแพงเลยเนอะ... แต่แค่นี้แหละ... ชุดละ เกือบ 8,000 บาท ผมไม่ทันได้ถ่ายรูปของชุดถุงเก็บเกล็ดเลือด ระบบที่ผมใช้ อันนั้น จะดูไฮเทคกว่า ( เฉพาะชุดถุงเก็บนะ ) - แต่ก็ราคาพอกัน... * แก้ไขว่าภาพนี้ เป็นชุดเก็บเกล็ดเลือด ที่ไว้ใช้กับเครื่องรุ่นใหม่ ในความเห็นที่ 19 ครับ ขอให้พระเป็นเจ้า พระอัลลอฮ์ พระบิดา พระแม่มารี พระบุตร พระจิต คุณพระศรีรัตนตรัย และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์  ในทุกๆภพ จงคุ้มครอง ปกปักรักษา เราทุกคน ให้มีสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ความเข็มแข็ง ความกล้าที่จะทำดี  พลังอันไม่มีที่สิ้นสุด และความอ่อนโยน นำพาตนเอง   คนใกล้ชิด   ตลอดจนดวงจิต วิญญาณทั้งหลาย  พ้นจากทุกข์   ห่างจากทุกข์   ทุกท่าน   ทุกคน  ทุกชีวิต  ทุกดวงจิต  ทุกวิญญาณ เทอญ... ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                             ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 51 00:40:43 จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ภาพนี้... เป็น ใบสำหรับกรอกรายละเอียด ของผู้ที่บริจาคครั้งแรกนะครับ ( ด้านหน้า ) โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:40:18 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่สามารถบริจาคได้ .. อยู่ในภาวะ โลหิตจาง ฮิลโมโกลบินต่ำกว่าคนปกติทั่วไป ตัวซีด เป็นลมง่าย ร่างกายอ่อนแอ เสียใจมาก .. ชาตินี้ยังไม่เคยได้บริจาคเลือดเลย T T จากคุณ : รัญจน์ - [ 10 มี.ค. 51 23:40:41 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ใบกรอกรายละเอียด สำหรับผู้บริจาคครั้งแรก ( ด้านหลัง ) หวังว่า คงจะยังไม่ได้เปลี่ยนแบบ เพราะผมเอง ก็ไม่ได้บริจาคหลายเดือนแล้วเหมือนกัน ... แหะ ๆ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 # 22 คุณรัญจน์ ลองปรึกษาคุณหมอดูหรือยังครับ ? เพราะ ถ้าเกล็ดเลือดต่ำ ไม่ใช่เพียงว่าคุณไม่มีโอกาสบริจาคเลือด... แต่ จะมีผลต่อตัวคุณเอง เวลาที่บาดเจ็บ เสียเลือด หรือต่อไปเวลามีครรภ์ ก็อาจมีปัญหาได้นะครับ   ลองปรึกษาคุณหมอ หาทางรักษา หรือ บรรเทาอาการดูครับ อาจเป็น ทางโภชนาการ แทนการใช้ยาก็ได้... โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 10 มี.ค. 51 23:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โห พี่นะ บริจาคมาหลายครั้งแล้ว ชื่นชมด้วยคนค่ะ ส่วนตัวบริจาคไป 14 ครั้งเองค่ะ เพราะมีช่วงนึงน้ำหนักไม่ค่อยถึงเกณฑ์อ่า จากคุณ : >TiSsuEsuE< - [ 11 มี.ค. 51 00:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณเจี๊ยบจัง  ขอบคุณครับ 10 ครั้งนี่เยอะแล้วนะครับ แล้วยิ่งไปคนเดียวนับว่าเก่งเลยทีเดียวเชียวครับ คุณ-->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- เยี่ยมไปเลยครับ คุณ bluearthy อื้ม เลือดเราอาจเป็นเลือดดีสำหรับคนอื่นๆนะครับ คุณได้แต่เพียงเฝ้ามองไกลๆ  ลดๆหน่อยก็ดีครับ แล้วไปบริจาคด้วยกัน คุณยังยิ้มได้ ถ้าได้บริจาคแล้ว อิ่มบุญคงยิ้มนานด้วยนะครับ :) น้องอ้อ 8 ก็เยอะนะครับ คุณ lillylady แค่ครั้งนึง ก็ดีมากๆแล้วครับ คุณ intokyo ขนาดผมบริจาคตั้งเยอะ ตอนนี้ เวลาจะบริจาคก็ยังตื่นเต้นเลยคับ แล้วก็ยังรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆ มีวิธีการคับ คือไม่มองตอนเจาะ ไม่มองตอนบริจาค ทำใจสบายๆ ไม่คิดอะไรคับ แล้วจะไม่เป็นลมนะ น้องพี สงสัยต้องกินยาเม็ดที่เขาให้มาคับ คุณ DarkEnemy ทำได้ทุกคนครับ ไม่เก่งหรอกคับ ขอเพียงได้ลองดู การทำสิ่งดีมันยากครับ แต่จะได้รับความอิ่มใจตามมา คุณ beherit ขอบคุณคับ คุณ pig666 ขอบคุณคับ ข่าวที่ได้อ่าน มันน่าเศร้าจริงๆนะ ไม่น่าคิดสั้นเลย คุณ dashy หลายปีเลยครับ ขอบคุณคับ ผมเริ่มบริจาคตั้งแต่ ม.4 เลยนะนั้นคับ นานมาก คุณ Phoenixนิลมังกร ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆครับ ข้อมูลแน่นละเอียดละออจริงๆ คุณ >TiSsuEsuE< 14 ครั้งก็เยอะมากแล้วนะครับ ขอบคุณนะครับ คุณรัญจน์  สู้ๆ บำรุงสุขภาพออกกำลังกายครับ จากคุณ : นะนะ - [ 11 มี.ค. 51 00:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 27 7 ครั้งเองอ่ะ จะทำให้ถึง50ครั้งเหมือนพี่นะให้ได้ สู้ ๆ ๆ ขอบคุณ คุณเอกสำหรับความรู้ดี ๆ ด้วยคับ ^^ จากคุณ : baaball11 - [ 11 มี.ค. 51 01:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เง้อออออออออออ พี่ชายเราเก่งจัง สู้ๆๆๆๆๆนะ จากคุณ : utomland - [ 11 มี.ค. 51 01:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อยากบริจาคเหมือนกันค่ะ แต่เป็นโลหิตจาง จขกท ใจดีจังนะค่ะ ปล. เรียนเป็นงัยบ้างค่ะเนี๊ยะ จากคุณ : neppen - [ 11 มี.ค. 51 01:22:08 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เข้ามาชื่นชมพี่นะนะ และเพื่อน ๆ ที่เคยไปบริจาคเลือดมาค่ะ เราเป็นคนนึงที่อยากจะบริจาคเลือดมาก ๆ แต่ว่าไม่สามารถทำได้ สมัยก่อนน้ำหนักไม่ถึง 45 กก. แต่ตอนนี้น้ำหนักถึงพอดีเลยลองไปบริจาคดูเพราะที่มหาลัยเราก็มีรับบริจาคเลือดอยู่บ่อย ๆ เพราะว่าคุณหมอห้ามเราบริจาคเลือดเนื่องจากเลือดเราน้อย และความดันเราต่ำมากน่ะค่ะ เลยอดบริจาคไปเลย น่าเสียดายจริง ๆ เราเลยต้องทำบุญด้วยวิธีอื่นแทนน่ะค่ะ บุญรักษา จากคุณ : ลาบไก่ใส่ตับหมู (ลาบไก่ใส่ตับหมู) - [ 11 มี.ค. 51 03:13:41 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เด๋วก็จะไปบริจาคเป็นครั้งที่2ละ อยากบริจาคมาตั้งนานแล้วค่ะ แต่ว่าน้ำหนักไม่ถึงซักที นับถือ จขกท. จิงๆค่ะ จากคุณ : เด็กหญิงสีเหลือง - [ 11 มี.ค. 51 09:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เค้าก็บริจาคตอนสมัยเรียน มาหยุดตอนที่เรียนจบ นี้เพิ่งเริ่มบริจาคอีก ได้แค่ 2 ครั้งเอง แต่ก็จะบริจาคเรื่อยๆ เคยมีคนบอกว่า บริจาคแล้วจะอ้วน เราไม่กลัวหรอก เพราะอ้วนอยู่แล้ว เรากลัวแต่ว่า คนที่เค้าอยากได้เลือด เค้าจะไม่มีเลือดมากกว่า ชีวิตคนสำคัญกว่า เราไม่กลัวหรอก กะอีแค่อ้วนอะ คนเราดูที่ใจ ไม่ใช่ดูที่หน้าตาหรือรูปร่าง ซะหน่อย แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 51 10:30:33 จากคุณ : จอมยุทธลำน้ำปิง - [ 11 มี.ค. 51 10:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 33 O_o จากคุณ : จอมยุทธลำน้ำปิง - [ 11 มี.ค. 51 10:30:57 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เก่งจังค่ะพี่นะ ที่ร้านลูกชิ้งมารับบ่อย ๆ แต่ม๋าฟ้าดันกลัวเข็ม เย๊ย ๆ จริง ๆ กลัวคนได้เลือดนู๋ต่างหาก 555++ ล้อเล่นนรา.. เคยบริจาคตอนมัธยมปลายได้ห้าครั้งเอรง คือเห็นบรรยากาศชวนจะเป็นลมอ่ะ ปล.อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ จากคุณ : djangel - [ 11 มี.ค. 51 11:23:21 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เก่งจังพี่นะ ขนาดศรเป็นพยาบาล ศรยังกลลัวเข็มเลย นับถือๆ จากคุณ : สบายดีไหม - [ 11 มี.ค. 51 12:28:31 ]

ความคิดเห็นที่ 36 รู้สึกดีไปด้วยค่ะ ตัวเองบริจาคไม่ได้ เพราะมีโรคประจำตัว จากคุณ : สาวหน้าใส - [ 11 มี.ค. 51 13:15:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ^^  ปลื้มพี่มากคับ วันที่ 12 เดือนนี้ก็จะไปบริจาคเลือดเหมือนกันคับ คืนนี้คงต้องรีบนอนเร็วๆ พรุ่งนี้ใครอยู่ใกล้ๆเซ็นทรัลบางนา ถ้าอยากช่วยกันบริจาคเลือด อย่าลืมไปนะคับ จำไม่ได้แล้วว่าครั้งที่เท่าไหร่  แต่เริ่มบริจาคตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ตอนนั้นหาวิธีโดดเรียนทุกอย่าง   ยอมกระทั่งบริจาคเลือด (-_-") อาจจะไม่ทุก 3 เดือน  แต่ปีหนึ่งอย่างน้อยๆ 2 ครั้ง กรุ๊ปเลือดเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคม ยิ่งต้องช่วยกันบริจาค   ปล. ไม่ชอบยาบำรุงเลือดเลยอ่ะ  กินแล้วเหมือนมีอะไรสิง หิวตลอดเวลา จากคุณ : โมโม (ZakUrA_mO) - [ 11 มี.ค. 51 13:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 38 vote ค่ะ อยากไปลองบริจาค แต่ไม่ได้ไปซะที กลัวเข็มอย่างรุนแรง แหะๆๆ จากคุณ : dolphin_moo - [ 11 มี.ค. 51 16:32:12 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พี่นะสุดยอดเลยครับ ผมก็เคยบริจาคแต่ตอนสมัยเรียนแค่ 3 ครั้งเท่านั้น แต่ตั้งแต่ทำงานมาก็ไม่ได้บริจาคเลย เพราะรู้ว่ารักษาสุขภาพไม่ดีพอครับ อย่างอื่นไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ที่ทำให้บริจาคไม่ได้ก็คือ พักผ่อนน้อยมากกว่าครับ และขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆด้วยครับ จากคุณ : pongonna - [ 11 มี.ค. 51 16:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เราบริจาคเลือด ครั้งที่ 12 แล้วค่ะ (รวมถึง บริจาค ดวงตา และ อวัยวะ ไปแล้ว) อยากลองบริจาคเกล็ดเลือดดูบ้าง แต่เดี๋ยวต้องฟิตร่างกายก่อนค่ะ ส่วน stem cell นี่ มีขั้นตอนการบริจาคอย่างไรบ้างคะ อยากบริจาคทุกอย่างเลยค่ะ อยากช่วยเหลือผู้ป่วยคนอื่นๆ เรามีกำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ คงต้องอาศัยการบริจาคแบบนี้ไปก่อนค่ะ .. ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ แบบนี้ค่ะ จากคุณ : Select Star - [ 11 มี.ค. 51 17:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ยังไม่เคยบริจาคเลยค่ะ ถ้าบริจาคตอนนี้คงจะได้ แอลกอฮอล์ไปมากกว่าเลือด อิอิ จากคุณ : ลิงชมพู - [ 11 มี.ค. 51 18:20:21 ]

ความคิดเห็นที่ 42 โอ.... จากคุณ : No More No Mood!!! - [ 11 มี.ค. 51 20:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เจี๊ยกกกก 51 ครั้ง o O ผมเพิ่ง 4-5 ครั้งเองคับ - -" จากคุณ : DolZa - [ 11 มี.ค. 51 20:13:34 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คคห. 40 บริจาค Stem Cell จะต้องไปทำที่ศูนย์ใหญ่นะครับ โดยเค้าจะขอเก็บเลือดเราอีก 20 ซีซี โดยขอเอกจากสารประชาสัมพันธ์ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 51 20:16:37 จากคุณ : เด็กกรุง - [ 11 มี.ค. 51 20:15:28 ]

ความคิดเห็นที่ 45 19 ครั้งคะ จากคุณ : ถอด login - [ 11 มี.ค. 51 22:41:56 A:125.24.142.75 X: TicketID:169654 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ baaball11 สู้ๆครับ ทำได้อยู่แล้วครับ น้องตูน ไม่เก่งหรอกครับ ตอนโพสท์กระทู้นี้ ก็ไม่รู้หรอกว่าทั่วไปเขาบริจาคกันขนาดไหน พอเห็นคนมาโพสท์ต่อๆเลยพอรู้ว่า อื้ม เราบริจาคเยอะ จริงๆ ทำได้ทุกคนนะครับ คุณ neppen คับ เรียนหนักอะคับ ช่วงนี้งานเยอะเลยคับ เด๋วสิ้นเดือนนี้มีงานใหญ่อีกครับ น้องหนามเตย ขอบคุณครับ วิธีการไหนก็ได้ ขอให้ทำแล้วสบายใจครับ คุณเด็กหญิงสีเหลือง ครั้งเดียวก็หมายถึงหนึ่งชีวิตนะครับ คุณจอมยุทธลำน้ำปิง สู้ๆนะครับ ฟ้า พี่ไม่เก่งหรอกฮับ ฟ้าบริจาค 5 ครั้ง ก็ 5 ชีวิตแล้วนะ วิธีการไม่ให้เป็นลม ทำใจสบายๆ ไม่คิดมาก ไม่มองขณะโดนจิ้ม ทำใจสบายๆ เจ็บน้อยกว่ามดกัดอีกครับ ศร ขอบคุณครับ ทำได้ทุกคนนะครับ ลี่ ดูแลสุขภาพตัวเองก่อนดีที่สุดครับ โมโม เก่งมากๆเลยครับ แอน มีโอกาส ลองไปนะครับ ไม่เจ็บหรอกครับ อยู่ที่ใจนะครับ คุณSelect Star  12 นี่ก็เยอะนะครับ เก๋ มีโอกาสลองดูนะ คุณ No More No Mood!!!  อ้าว คุณ DolZa เจี๊ยกด้วยครับ ตอนแรกไม่คิดว่าเยอะนะครับ เพราะทำมาเรื่อยๆอยู่แล้ว เพิ่งมารู้ว่าเยอะตอนโพสท์กระทู้นี้เองนะครับ คุณ เด็กกรุง ขอบคุณครับ คุณ ถอด login 19 นี่เยอะเหมือนกันนะครับ แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 00:09:54 แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 00:09:28 จากคุณ : นะนะ - [ 11 มี.ค. 51 23:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อยากบริจาคมากค่า ^O^ บอกแม่ไว้ตั้งแต่ป.3 พอขึ้นมัธยม ม.1 เด็กไปค่ะหนู ม.2 ยังจ๊ะ รอปีหน้าสิจ๊ะ ม.3 ต้องม.ปลายค่ะ ม.4 หนูยังไม่15เลยนี่ ม.5 เค้าต้อง17 แต่น้อง 15 เองนะ T____T ถ้าม.6ยังไม่ให้เราบริจาคอีกละก็ จะร้องไห้ต่อหน้าหมอเลย จากคุณ : nobodiiez - [ 12 มี.ค. 51 01:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณนะฮับ .. เดี๋ยวจะบำรุงร่างกายละจะไปปรึกษาหมอดูนะคะ .. จากคุณ : รัญจน์ - [ 12 มี.ค. 51 01:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 49 # 40 คุณ Select Star เอาสั้นๆก่อนละกัน... การบริจาคเสต็มเซลล์...  ก็ แจ้งความจำนงก่อนจะบริจาคโลหิตครั้งต่อไปที่เคาท์เตอร์ ( ต้องเป็นที่ศูนย์กาชาด สภากาชาด ถนนอังรีดูนังต์นะครับ ) ว่าเราต้องการบริจาค Stemcell  แล้วทางเจ้าหน้าที่ จะเก็บตัวอย่างเลือดของเราไปเพิ่ม จากการบริจาคเลือดปกติอีกนิดหน่อย ประมาณ 20 CC อย่างที่คุณเด็กกรุงบอกนั่นแหละครับ การบริจาค มีได้ 3 วิธี 1. จากเลือดธรรมดาๆ นี่แหละ  กรองออกไป เหมือนการบริจาคเกล็ดเลือด  แต่กรรมวิธี จะซับซ้อนกว่า จะมีการฉีดยากระตุ้น แล้วให้เราเข้าไป 3 รอบ ( แบบนี้... ได้รับความนิยมที่สุดในปัจจุบัน ) 2. จาก ไขกระดูก ก็คล้ายๆ ในข้อ 1 แต่ทำเสร็จในวันเดียว ( แต่... เจ็บกว่าแบบแรก ) 3. จาก รก ของเด็กแรกเกิด * เข้ามาเพิ่มเติมว่า ทั้งวิธีที่ 1 และ 2 จริงๆแล้ว ก็ไม่ได้เสร็จในวันเดียวหรอกครับ เพราะต้องมีการตรวจเลือด ฉีดยากระตุ้นไขกระดูกก่อน หลังจากที่พบว่าเรามี HLA ตรงกับผู้ป่วยรายใดแล้ว  แล้วถึงเข้าไปทำการคัดกรองเก็บเซลล์ต้นกำเนิด เสต็มเซลล์...  หรือเซลล์ต้นกำเนิด... เราจะไม่ได้บริจาคง่ายๆครับ เพราะ โอกาสที่จะพบกับผู้ป่วยที่มีค่า HLA ตรงกับเรานั้นต่ำมาก ( ประมาณ 1 ใน 50,000 - หรือ 1 ใน 4 จาก พ่อแม่พี่น้องท้องเดียวกัน )  และในปัจจุบัน ยังมีผู้ที่ยื่นความจำนงค์ ในการขอเป็นผู้บริจาค Stemcell น้อยมาก ( ประมาณหมื่นกว่าคนเท่านั้น ) ผมแจ้งไปสองปีกว่าแล้ว ยังไม่เคยได้บริจาคเลย...  เพราะต้องมีผู้ป่วยที่มีค่า HLA ตรงกับเรา... ทาง กาชาด จึงจะติดต่อมา ให้เราเข้าไปบริจาค * HLA : ( Human leukocyte antigen - ลักษณะเนื้อเยื่อเม็ดโลหิตขาว ) ทีนี้... เอาความรู้เชิงวิชาการบ้าง... สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้... บริจาคเซลล์ต้นกำเนิด เม็ดโลหิต (Stem Cell) คือ การมอบโอกาสใหม่แห่งชีวิต        เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต Stem Cell คืออะไร                เซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell คือ เซลล์ตัวอ่อนที่พร้อมจะเจริญเติบโต และเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ที่  ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง     เช่น    เจริญเติบโตไปเป็น  เซลล์กล้ามเนื้อของอวัยวะส่วนต่างๆ เจริญเติบโตไปเป็นเซลล์สมอง แม้กระทั่งสามารถที่จะเจริญเติบโตไปเป็นเม็ดโลหิต เพื่อใช้หล่อเลี้ยงร่างกายคนเราได้อีกด้วย        ในกรณีที่ผู้ป่วย  ป่วยด้วย โรคทางโลหิต  การปลูกถ่าย ไขกระดูก   จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของการบำบัดโรคโดยใช้  Stem Cell  ซึ่งเซลล์จะ เจริญเติบโต  ไปเป็นเม็ดโลหิตแดง   (ทำหน้า ที่นำอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย)   เม็ดโลหิตขาว  (ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม และ เชื้อโรคในร่างกาย) และ  เกล็ดโลหิต(ให้โลหิตแข็งตัว)                การให้ความช่วยเหลือ          เพียงแค่ คุณบริจาคโลหิต และ ลงทะเบียนเป็น อาสาสมัครบริจาค เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ  สภากาชาดไทย  ทางศูนย์ฯจะขอเก็บโลหิตตัวอย่างเพิ่มจาก การบริจาคโลหิตปกติ ประมาณ  20 ml. ( ๒ หลอดเล็ก)  โลหิตที่ได้จะถูกนำไปตรวจหาความเข้ากันได้ของ เนื้อเยื่อเม็ดโลหิตขาว หรือ HLA (Human Leukocyte Antigen) ซึ่งโอกาสที่เนื้อเยื่อของผู้ป่วยกับผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติจะตรงกัน มีเพียง ๑ ใน ๕๐,๐๐๐ เท่านั้น        ดังนั้น จึงมี ผู้ป่วยจำนวนมากที่ ขาดโอกาส ในการเข้ารับ การรักษาด้วย วิธีการดังกล่าว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จึงได้รับมอบหมายจากแพทยสภาให้ดำเนินการโครงการรับบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากผู้บริจาค  (National Stem Cell Donor Registry Program) เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย        ตั้งแต่ เริ่มโครงการปี ๒๕๔๕ จนถึงปัจจุบัน  (ฐานข้อมูลถึงเดือน พ.ย. ๒๕๔๙)         -   มีผู้แจ้งความจำนงเป็นผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต  จำนวน ๑๓,๘๙๖ ราย -   มีผู้ป่วยที่รอเข้ารับการรักษา          จำนวน กว่า ๖๐๐ ราย -    และมีผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตไปแล้ว  จำนวน ๔๑ ราย          คำนวณง่ายๆ ถ้าเทียบสัดส่วนระหว่าง  จำนวนอาสาสมัครที่มีอยู่กับ  จำนวนผู้ป่วยที่รอเข้ารับการรักษา โดยที่ความเข้ากันได้ระหว่างเนื้อเยื่อเม็ดโลหิตขาว (HLA) เป็น ๑ ต่อ ๕๐,๐๐๐       โอกาสที่ผู้ป่วยจะได้รับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาตินั้นจะมีน้อยเพียงใด โอกาสที่ผู้ป่วยจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคนทั่วไปจะยากแค่ไหน และในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่งเราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร คำตอบทั้งหมดน่าจะอยู่ในใจคุณแล้วล่ะค่ะ  ( ครับ อิๆ )       คลิกที่นี่ เพื่อแสดงความจำนงเป็นอาสาสมัครบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดโลหิต ==> http://namjai.thailife.com/namjai/1_2_1.php โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 01:28:29 แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 01:25:46 จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 12 มี.ค. 51 01:11:23 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อีกอันนะครับ สำหรับ เซลล์ต้นกำเนิด ๑. เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต คืออะไร มีผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดแบบใดบ้าง          ตอบ  เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหรือ Stem Cell คือเซลล์ตัวอ่อนที่พร้อมจะเจริญเติบโต และ เปลี่ยนเป็นเซลล์ที่ทำหน้าของ โลหิต  ที่ถูกสร้างอยู่ใน ไขกระดูก และ จะเจริญเติบโตไปเป็นเม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิตเข้าสู่กระแสโลหิต ในเด็กจะมีการสร้างเม็ดโลหิตในกระดูกทุกชิ้นของร่างกาย แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ จะมีการสร้างเม็ดโลหิตในกระดูกท่อนใหญ่ของร่างกาย เช่น กระดูกเชิงกราน กระดูกซี่โครง ส่วนหัวของกระดูกต้นขา เป็นต้น นอกจากเซลล์ตัวนี้จะเป็นต้นกำเนิดของเม็ดโลหิตแล้ว ยังเป็นเซลล์ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆได้อีกด้วย           การบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต สามารถที่จะรับบริจาคได้จากญาติของผู้ป่วย ได้จากผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ และได้จากรก     ๒. มีผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดแบบใดบ้าง          ตอบ   การบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตสามารถที่จะรับบริจาคได้จากญาติของผู้ป่วย ได้จากผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ และได้จากรก     ๓. คุณสมบัติของอาสาสมัครบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต           ตอบ    - เป็นผู้ที่บริจาคโลหิตตั้งแต่ ๒ ครั้งขึ้นไป       - อายุตั้งแต่ ๑๗-๕๕ ปี       - น้ำหนัก ๔๘ กิโลกรัมขึ้นไป       - เป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว หรือโรคติดต่อร้ายแรง       - ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง        โดยแจ้งความจำนงเป็นอาสาสมัครฯได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย ซึ่งจะขอเก็บเลือดตัวอย่าง เพิ่มขึ้นมา ๒ หลอด ปริมาณไม่เกิน ๒๐ มิลลิลิตร ไปตรวจหาลักษณะเนื้อเยื่อของเม็ดโลหิตขาว หรือ HLA หลังจากที่ทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ได้ทำการตรวจหาลักษณะเนื้อเยื่อของเม็ดโลหิตขาว เสร็จสมบูรณ์แล้ว จะเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล และประมวลว่า เนื้อเยื่อของผู้ป่วย และผู้บริจาคตรงกันหรือไม่ ถ้าเข้ากันได้หรือตรงกัน ก็จะเชิญอาสาสมัครมาบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต    ๔. การรับบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ เพื่อนำไปปลูกถ่ายไขกระดูกมีขั้นตอน และวิธีการอย่างไร               ตอบ   มี ๓ วิธี คือ               ๑. บริจาคทางหลอดโลหิตดำ                    ซึ่งต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ในการแยกเก็บเฉพาะ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต  เนื่องจากในกระแสโลหิตจะมี   Stem Cell  อยู่น้อยมาก ในขั้นแรกจึงต้องฉีดยา  G-CSF เป็นเวลา ๔ วัน เพื่อกระตุ้นให้ Stem Cell ออกจากไขกระดูกมากระจายในกระแสโลหิตให้มากพอ จึงจะเข้ากระบวนการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ซึ่งคล้ายกับวิธีการเก็บเกล็ดโลหิต หรือน้ำเหลือง(Plasma) โดยนำโลหิตผ่านเข็มที่แทงอยู่ในเส้นเลือดดำ(Vein) เข้าสู่เครื่อง AutomatedBlood Cell Separator ที่จะแยกเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ทั้งนี้จะใช้เวลาเก็บครั้งละ ๓ ชั่วโมง และอาจจะต้องมาเก็บ ๒-๓ วัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้ป่วย                 ๒. บริจาคทางไขกระดูก                    ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตเป็นกระบวนการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด  เม็ดโลหิตจากโพรงไขกระดูก โดยใช้เข็มและกระบอกฉีดยาเจาะเก็บ จากบริเวณสะโพกด้าน ซึ่งดำเนินการเก็บในห้องผ่าตัด   กระบวนการนี้จะใช้ เวลา   ประมาณ ๒ ชั่วโมง ซึ่งก่อนที่จะถึงกระบวนการเจาะเก็บข้างต้น ผู้บริจาค อาจต้องบริจาคโลหิตเก็บไว้ และจะนำมาให้หลังจากที่ได้เจาะเก็บไขกระดูก เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ร่างกายสามารถสร้างเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนได้อย่างรวดเร็ว และหลังทำแผลแล้วผู้บริจาคสามารถ กลับบ้านได้ในวัน รุ่งขึ้น และควรพักฟื้นร่างกายประมาณ ๕-๗ วัน               ๓. บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากรก หรือ Cord Blood                    วิธีนี้แพทย์ จะทำการผูก และ ตัดสายสะดือ ตามปกติ แต่ ก่อนที่จะทิ้งรกนั้นแพทย์จะเก็บโลหิต ที่ยังคงเหลือ ในสายสะดือ ซึ่งจะ ไม่เปลี่ยนแปลง ขั้นตอนการทำคลอดปกติแต่อย่างใด    ๕. การบริจาค Stem Cell จากไขกระดูก และทางหลอดโลหิตดำมีผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงไหม                ตอบ  ความเสี่ยงในการบริจาคไขกระดูกที่ต้องอยู่ภายใต้ยาสลบโอกาสจะเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงนั้นต่ำมาก แต่บางคนอาจมีอาการคลื่นเหียน หรือป่วยเล็กน้อย ส่วนการบริจาคโดยฉีดยา G-CSF อาจมีผลทำให้ปวดเมื่อยและมีอาการคล้ายเป็นหวัด    ๖. ขณะนี้มีผู้แจ้งความจำนงเป็นผู้บริจาคเท่าไร และสามารถนำเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตไปช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไร              ตอบ   ตั้งแต่เริ่มโครงการปี ๒๕๔๕ จนถึงปัจจุบัน มีผู้แจ้งความจำนงเป็นผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิด เม็ดโลหิตจำนวน ๑๔,๖๓๕ คน (ฐานข้อมูลถึงเดือน ธ.ค. ๒๕๔๙)  และมีผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตไปแล้วจำนวน ๔๑ คน              Stem Cell  ที่ได้มาจาก การบริจาค สามารถนำไปใช้ในการ  รักษาโรค โลหิตจาง (ธาลัสซีเมีย) โรคโลหิตจางชนิดไขกระดูกฝ่อ  มะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรัง (ลิวคีเมีย)   มะเร็งต่อมน้ำเหลือง   มะเร็งรังไข่    มะเร็งเต้านม  มะเร็งปอด ซึ่ง เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย เพียงแต่ว่าเนื้อเยื่อของเม็ดโลหิตขาว หรือที่เรียกว่าเนื้อเยื่อ HLA จะต้องตรงกันก่อน ในพี่น้องท้องเดียวกันโอกาสที่ HLA จะเข้ากันได้นั้น มีเพียง ๑ ใน ๔ ส่วน HLA ของผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ จะเข้ากันได้กับผู้ป่วยมีเพียง ๑ ใน ๕๐,๐๐๐ เท่านั้น ดังนั้น จึงมีผู้ป่วยจำนวนมากจึงขาดโอกาสในการเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต   ๗. ความแตกต่างระหว่างการบริจาคโลหิตกับการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต           ตอบ   โลหิตที่ได้จาก การบริจาค  ๗๗ %   จะถูกนำไปใช้ เพื่อทดแทน โลหิตที่สูญเสียไปในภาวะต่างๆ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด การคลอดบุตร ฯลฯ อีก ๒๓ % จะถูกนำไปปั่นแยกเป็นส่วนประกอบโลหิต เพื่อนำไปใช้กับผู้ป่วยเฉพาะโรค เช่น โรคโลหิตจาง เกล็ดโลหิตต่ำ ฮีโมฟีเลีย เป็นต้น              ส่วนการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต  จะเป็นการคัดเอาเฉพาะ เซลล์ออกจาก กระแสโลหิต ซึ่งเซลล์ที่ได้ จะนำไปใช้ ในการ ปลูกถ่าย ให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง มะเร็งเม็ดเลือดขาว ฯลฯ โดยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจะเจริญเติบโตไปเป็นเม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดเลือดต่อไป     ๘. Stem Cell ใช้รักษาโรคใดได้บ้าง           ตอบ   ใช้ในการปลูกถ่าย เพื่อ รักษา ผู้ป่วย ด้วย โรคทางโลหิต และ มะเร็งบางชนิด เช่น  โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางชนิดไขกระดูกฝ่อ โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเฉียบพลัน / เรื้อรัง  โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง  โรคมะเร็งกระดูก Myeloma  โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งรังไข่ และโรคมะเร็งปอด เป็นต้น ๙. การบริจาค Stem Cell ให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีกรุ๊ปโลหิตเดียวกันไหม           ตอบ   ไม่จำเป็น เพราะสามารถคัดแยกโลหิตออกจากเซลล์ได้ ๑๐. ในกรณีของผู้ป่วย ถ้าต้องการปลูกถ่ายไขกระดูกจะต้องทำอย่างไร               ตอบ   ผู้ป่วยต้องปรึกษากับแพทย์เจ้าของไข้ก่อน ว่าสามารถรักษาโดยการใช้ Stem Cell ได้ไหม ถ้าได้จะต้องมีการนำโลหิตของผู้ป่วยส่งมาตรวจเนื้อเยื่อ HLA ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาเทียบกับข้อมูลของอาสาสมัครบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ถ้าตรงกันทางศูนย์ฯจะประสานงานและดำเนินการต่อไป ๑๑. การปลูกถ่ายไขกระดูกมีค่าใช้จ่ายไหมทั้งผู้บริจาค และผู้รับ               ตอบ    ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ ๓-๕ แสนบาทต่อคน ในกรณีผู้ป่วยที่มีฐานะยากจน ให้ติดต่อชมรมผู้ปลูกถ่ายไขกระดูก รพ.จุฬาลงกรณ์ เพื่อขอคำแนะนำ ส่วนผู้บริจาค Stem cell ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ๑๒. ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจะสอบถามได้ที่ไหน               ตอบ    สอบถามได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย                                     โทรศัพท์ ๐-๒๒๖๓-๙๖๐๐ ต่อ ๑๗๗๐,๑๗๗๑    และ ๐-๒๒๕๖-๔๓๐๐   โทรสาร ๐-๒๒๕๒-๑๖๐๑                                 E-mail : stemcell@redcross.or.th                                 หรือที่http://www.redcross.or.th/qa/index.php4   ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                             ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 12 มี.ค. 51 01:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คราวนี้ จากแพทย์บ้าง... เซลล์ต้นกำเนิด   การรักษาโรคด้วยเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ มีการวิจัย และทดลอง มาอย่างต่อเนื่อง ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้รับความสนใจและติดตามจากคนทั่วโลก              น.พ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หน่วยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า... เซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์ที่สามารถแบ่งตัว และมีความสามารถในการเจริญเติบโตไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเนื้อเยื่อและอวัยวะในร่างกาย โดยสามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่มีขอบเขต เพื่อไปทดแทนเซลล์อื่น ๆ เซลล์ต้นกำเนิดจำแนกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ  คือ  Embryonic stem cell คือ เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน แบ่งตัวไปเป็นเซลล์เจริญเต็มที่ชนิดใด ๆ ก็ได้ และ   Adult stem cell คือ เซลล์ต้นกำเนิดที่พบแทรกอยู่ระหว่างเซลล์ชนิด โตเต็มที่ ของอวัยวะหรือเนื้อเยื่อบางแห่งในร่างกาย          เซลล์ต้นกำเนิดนี้สามารถแบ่งตัวเซลล์ไปเป็นเซลล์ของอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่มันแทรกอยู่ เพื่อไปทดแทนที่เซลล์เดิมที่สูญเสียไป โดยเฉพาะการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างเยื่อบุผิวใหม่ให้แก่แผลของ อวัยวะนั้น ๆ    ในประเทศไทย...เซลล์ต้นกำเนิดที่นำมาใช้ประโยชน์มาก คือ เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือด ไขกระดูก และสายสะดือ ส่วนเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน แม้จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ได้แทบทุกชนิดในร่างกายก็ตาม แต่การทดลองที่ผ่านมายังมีปัญหาเรื่องการแบ่งตัวไม่สามารถควบคุมได้ จนกลายเป็นเนื้องอกและเซลล์อื่น ๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการ          ศ.น.พ.สุรพล อิสรไกรศีล ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงบริการรับฝากสเต็มเซลล์สายสะดือ เพื่อนำมาใช้รักษาโรคในอนาคต ว่า สเต็มเซลล์สามารถเก็บได้นานสุดด้วยการแช่ในไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ ลบ 100 องศาเซลเซียส แต่ถ้านานเกิน 20 ปี ตามที่มีบริษัทรับฝากให้ข้อมูล ก็ยังไม่มีฐานความรู้ว่าเซลล์ที่ว่านี้จะมีชีวิตอยู่หรือไม่          การเก็บสายสะดือของเด็กจะได้สเต็มเซลล์ประมาณ 100-200 ซีซี ในอนาคตหากเด็กคนนั้นโตป่วยเป็นโรคต่าง ๆ การนำสเต็มเซลล์ของเด็กคนนั้นมารักษาตัวเขาเอง คำถามที่ตามมาคือ เด็กมีโอกาสที่จะใช้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่า หากใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคที่มีจากการตายของเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายอันเนื่องมาจากหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบและจากสาเหตุอื่น ๆ โรคเนื้อสมองตาย โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคเบาหวาน ต้องถือว่าน้อยคนนักที่อยู่ในวัย 20 ปี จะมีอาการป่วยด้วยโรคที่เกิดจากความเสื่อมทางด้านร่างกายเหล่านี้ จนมีความจำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์ในการรักษา เพราะโรคเหล่านี้จะเกิดกับคนที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไปทั้งสิ้น           จะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะนำสเต็มเซลล์ของตัวเองมารักษาโรคที่เกิดจากพันธุกรรมของตัวเองได้ โรคมะเร็งที่มาจากพันธุกรรมก็เช่นกัน แทนที่จะใช้สเต็มเซลล์ตัวเองมารักษา สู้นำสเต็มเซลล์จากบุคคลอื่นที่อาจเป็นญาติ พ่อแม่ พี่น้องมาใช้ยังดีเสียกว่า โอกาสที่เก็บและเด็กจะมีการนำเซลล์มหัศจรรย์ ของขวัญที่พ่อแม่มอบให้ตั้งแต่ลูกลืมตาดูโลกอย่างนี้มาใช้มีเพียง 2-3 % หรือน้อยกว่านั้น           สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การเก็บสายสะดือถ้าไม่มีกฎระเบียบในการควบคุมมาตรฐาน เพราะอาจนำไปสู่การเรียนรู้รหัสพันธุกรรมของคนไทย เพื่อไปใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้าได้.     ยังไงก็ตาม...   ขอให้เพื่อนๆ พี่น้องทุกคน...  ดูแลตัวเอง รักษาสุขภาพ แล้วไปบริจาคเลือด บริจาคเกล็ดโลหิต อวัยวะ ดวงตา ร่างกาย และเซลล์ต้นกำเนิด กันเถอะครับ * แก้ไขการเว้นบรรทัด และการเว้นวรรคครับ ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                             ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 01:43:32 แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 01:39:18 จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 12 มี.ค. 51 01:32:50 ]

ความคิดเห็นที่ 52 # คุณรัญจน์      ไปปรึกษาหมอดู...  เดี๋ยวเค้าจะทักว่า ต้องไปเปลี่ยนชื่อจะทำไงอะ ? # คุณ nobodies      ผมไปบริจาคครั้งแรก...  ก็ตอนปวช. นะ   ( เหมือนคุณ นะนะ แหละ ก็คือ ครั้งแรก... ที่ กรมรักษาดินแดน แล้วก็บริจาคเรื่อยมา ) # นู๋แอน      ไม่ต้องกลัวหรอก... เข็ม...  อาจจะดูรูใหญ่ไปนี๊ดดดซ์  แต่ก็เจ็บนิดเดียว...   เจ็บแป๊บเดียวเองด้วย เฮ่อ... ดึกแล้ว... เหนื่อยแล้ว ไปอาบน้ำนอนดีกว่า...  ฮ่า ๆ ๆ * ลบข้อความที่ตอบ คห.นึง ออกไปตามคำขอครับ ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                             ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 51 02:44:03 จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 12 มี.ค. 51 02:23:16 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เอามาฝากครับ...  เรื่องบุญ บารมี และการบริจาคอวัยวะ สำหรับชาวพุทธ... พระพุทธศาสนากับการบริจาคอวัยวะ - พระธรรมปิฏก ( ป.อ. ปยุตฺโต ) การบริจาคอวัยวะ --------------------- การบริจาคอวัยวะเป็นเรื่องที่คนไทยยังไม่คุ้นเคยเท่าไรนัก และมีคำถามมากมายที่ทำให้ผู้คิดจะบริจาคยังมีความลังเลอยู่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย จึงต้องประสบกับปัญหาต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความเชื่อที่ยังอาจมีหลงเหลืออยู่บ้าง เช่น ถ้าบริจาคอวัยวะให้เขาไปแล้ว เกิดมาชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อสาธารณชนทั่วไป น.พ. วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนายการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ฯ จึงได้เข้านมัสการเรียนถามพระคุณเจ้าพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์และไขข้อข้องใจได้เป็นอย่างดี น.พ.วิศิษฏ์ มีข้อห้ามในศาสนาพุทธหรือไม่เกี่ยวกับเรื่อง "การบริจาคอวัยวะ" พระธรรมปิฎก ตามปกติแล้วไม่มีข้อห้าม มีแต่จะสนับสนุน เพราะการบริจาคอวัยวะเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นต้องการให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ และมีการบริจาคจึงเป็นหลักธรรมที่สำคัญของศาสนา ไม่ว่าจะเป็น "ทศพิธราชธรรม"ก็ดี การบำเพ็ญ "บารมี" ของพระพุทธเจ้าเมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี ก็มีการบริจาคเป็นคุณธรรมข้อแรก เรียกว่า "ทาน" และ "ทานบารมี" คือการให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะในการบำเพ็ญของพระโพธิสัตว์นั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นความคิดที่จำเป็นเลยที่เดียวที่ต้องทำ เพราะการก้าวไปสู่โพธิญาณ ต้องมีความเข้มแข็งของจิตใจ ในการเสียสละเพื่อความดี ทั้งนี้ทานที่เป็นบารมี จะแบ่งเป็น ๓ ขั้น เช่นเดียวกับบารมีอื่นๆ คือ ทานบารมีระดับสามัญ คือการบริจาคทรัพย์สินเงินทองถึงจะมากมายแค่ไหนก็จะอยู่ในระดับนี้ ทานระดับรอง หรือจวนสูงสุด เรียกชื่อเฉพาะว่า "ทานอุปบารมี" ได้แก่ ความเสียสละทำความดี ถึงขั้นสามารถบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้ เพื่อรักษาธรรม แน่นอนว่า การบริจาคอวัยวะนั้นเป็นบุญธรรมสำคัญและเป็นบุญมาก ตามหลักพระพุทธศาสนานอกจากเป็นบารมีขั้นทานอุปบารมีแล้ว ยังโยงไปหาหลักสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "มหาบริจาค" คือการบริจาคใหญ่ ซึ่งพระโพธิสัตว์จะต้องปฏิบัติอีก ๕ ประการ คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคราชสมบัติ บริจาคอวัยวะ และนัยน์ตา บริจาคตัวเองหรือบริจาคชีวิต และบริจาคบุตรและภรรยา น.พ.วิศิษฏ์ ถ้าถามว่าการบริจาคอวัยวะนั้นได้บุญหรือเปล่าและใครเป็นคนได้ อย่างเช่น คนหนึ่งแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะได้ แต่เสียชีวิตในภาวะที่ไม่สามารถบริจาคได้ กับอีกคนหนึ่งไม่ได้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไว้ แต่เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตาย แล้วญาติได้ตัดสินใจบริจาค อันนี้ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนได้บุญ หรือได้บุญมากน้อยอย่างไร พระธรรมปิฎก ในแง่นี้ต้องแยกออกเป็น ๒ ประเด็น ประเด็นที่หนึ่งก็คือว่า "เป็นบุญหรือไม่?" ซึ่งตอบได้เลยว่าเป็นบุญอยู่แล้ว ดังที่พระโพธิสัตว์ท่านบริจาค และเป็นบุญชั้นสูงถึงขั้นเรียกว่าบารมีเลยทีเดียว แต่สำหรับคนทั่วไปจะมีความตั้งใจที่จะบรรลุโพธิญาณหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราไม่มีความตั้งใจไม่ได้ตั้งปณิธานอย่างนี้ ก็ไม่เรียกว่าเป็นบารมี แต่เป็นบุญซึ่งจัดว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว เพราะเป็นบุญที่ทำได้ยาก ต้องมีความเสียสละจริงๆ เป็นอันว่าได้บุญแน่นอน เพราะเกิดจากเจตนาที่เสียสละให้ด้วยความกรุณาปราถนาดีต่อผู้อื่นอันใหญ่หลวง ในส่วนที่ว่า "ใครจะเป็นผู้ได้บุญ?" นั้น ตอบง่ายๆ ว่าใครเป็นผู้บริจาคคนนั้นก็ได้ เพราะมันอยู่ที่เจตนาของผู้นั้น ในกรณีที่เป็นคนตายไปแล้วและญาติบริจาค ก็เลยกลายเป็นว่าคนที่ตายไปแล้วไม่ได้รับ เพราะว่าไม่ได้ตั้งเจตนา ในแง่นี้ต้องพูดอีกขั้นหนึ่ง คือญาติที่บริจาคนั้นต้องอุทิศกุศลไปให้เขาอีกทีหนึ่ง ในทางธรรมถือว่า ถ้าบริจาคในขณะที่ตัวยังเป็นอยู่ ก็จะเป็นบุญขั้นสูง น.พ.วิศิษฏ์ คนที่ได้รับอวัยวะไปแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้าของอวัยวะจะได้รับผลบุญนั้นหรือไม่ เพราะทางศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ไม่ได้บอกชื่อของคนที่บริจาค ผู้ที่รับอวัยวะไปจะอธิฐานอย่างไรดี พระธรรมปิฎก แม้จะไม่ระบุชื่อผู้ที่เราอุทิศส่วนกุศลให้ เพียงแต่ตั้งใจว่าอุทิศให้แก่เจ้าของอวัยวะที่บริจาคให้เรา ก็ถือว่าเราก็ได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับท่านเจ้าของที่บริจาคอวัยวะให้เราแล้ว น.พ.วิศษฏ์ ปัญหาที่เราเจอในการทำการประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไป แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะคือ บางคนยังเชื่อว่าถ้าให้อวัยวะเขาไปแล้วในชาตินี้ เกิดมาชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ พระธรรมปิฎก อันนี้ไม่จริงเลย โดยมีแง่พิจารณา ๒ อย่างคือ      ๑. ในแง่หลักฐานทางคัมภีร์แสดงว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบริจาคนัยน์ตา ก็เป็นเหตุให้พระองค์ทางได้สมันตจักษุ คือมีพระเนตรหรือดวงตาที่เป็นพิเศษสุดของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราแปลว่าเป็นดวงตาที่มองเห็นโดยรอบ ไม่ได้หมายถึงดวงตาที่เป็นวัตถุอย่างเดียว แต่หมายถึงดวงตาทางปัญญาด้วย ในแง่พระคัมภีร์ก็สนับสนุนชัดเจนว่าในชาติหน้ามีแต่ผลดี      ๒. ในแง่เหตุผลที่เข้าใจกันว่าบริจาคอวัยวะไปแล้ว เกิดมาอวัยวะจะบกพร่อง เหตุผลที่ถูกต้องมันไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องมองว่าชีวิตที่เกิดมานี้ จิตใจเป็นส่วนสำคัญในการปรุงแต่งสร้างสรรค์ ถ้าเรามีเมตตาคิดดีปรารถนาดีต่อผู้อื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ต่อไปตาเราจะถูกปรุงแต่งให้แจ่มใสเบิกบาน                   ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดร้ายต่อผู้อื่น มักโกรธ อยากจะทำร้ายรังแกเขาอยู่เรื่อย หน้าตาก็จะบึ้งตึงเครียด หรือถึงกับดูโหดเหี้ยมนี้เป็นผลมาจากสภาพจิตที่เคยชินในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในชาติปัจจุบันนี้เอง         ทีนี้ชีวิตที่จะเกิดต่อไปก็จะต้องอาศัยจิต ที่มีความสามารถในการปรุงแต่ง ขอให้คิดง่ายๆ ว่า คนที่จะบริจาคอวัยวะให้คนอื่น ก็คือ ปราถนาดีต่อเขา อยากให้เขาเป็นสุข อยากให้เขาพ้นทุกข์ หายเจ็บป่วย จิตอย่างนี้ในตอนคิดก็เป็นจิตที่ดี คือจิตใจที่ยินดีเบิกบาน คิดถึงความสุขความดีงามความเจริญ จิตก็จะสะสมความโน้มเอียงและพัฒนาความสามารถในด้านนี้ ถ้าคิดบ่อยๆ จิตก็จะยิ่งมีความสามารถและมีความโน้มเอียงไปในทางที่จะปรุงแต่งให้ดี และคุณสมบัตินี้ก็จะฝังอยู่เป็นสมรรถภาพของจิต เพราะฉะนั้นในการบริจาคเราจึงต้องทำจิตใจให้ผ่องใส ให้ประกอบด้วยคุณธรรม มีเมตตาปราถนาดี และอันนี้แหละที่จะทำให้เราได้บุญมาก น.พ.วิศษฏ์ แพทย์ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับผู้บริจาคอวัยวะ พระธรรมปิฎก เขาบริจาค เขาเป็นผู้เสียสละเป็นผู้มีคุณธรรม เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมองว่าเราต้องยกย่องให้เกียรติ และถือว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ให้สังคม ช่วยให้เพื่อนมนุษย์อยู่ดีหายโรค หายภัย และเป็นอยู่ดีขึ้น นั่นก็ควรแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง ในการยอมรับหรือเห็นคุณค่า ซาบซึ้งในประโยชน์ที่เขาได้ทำไปแล้ว การปฏิบัติต่อกันก็ธรรมดา แต่หากว่าเรามีจิตดีแล้วการปฏิบัติการแสดงออกก็จะดีจริงๆ -------------------------------------------- คัดลอกจาก: ธรรมเพื่อชีวิต เล่มที่ ๒๕ ฉบับวันเข้าพรรษา ๒๕๔๓ มูลนิธิพุทธศาสนาศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม ขอให้ทุกท่าน เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ ทั้งกาย วาจา และใจ  ครับ                                                                                                                                                                                                                                                                                             ขอความสันติ สุข สงบ จงเกิดขึ้นแก่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ ในภพทุกภพ ในทุกมิติ ( ไม่ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม ) ในทุกกาล ทุกเวลา และในดวงจิตทุกดวง อัสสลาม มุอาลัยกุม เอเมน สาธุ   _/\_ โลกที่น่าอยู่... สังคมที่ดี...  ไม่มีขาย อยากได้...   ต้องช่วยกันสร้าง โดยเริ่มจาก...   ตัวเราเอง...   เดี๋ยวนี้... จากคุณ : Phoenixนิลมังกร - [ 12 มี.ค. 51 12:48:08 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ยังไม่เคยบริจาคเลย ครั้งแรกเค้ามารับบริจาค แต่คิวเต็ม ครั้งต่อ ๆ มา นอนไม่พอ บริจาคไม่ได้ ต้องบริจาคให้ได้ อิอิ แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 23:08:18 จากคุณ : สะใจโรคจิต - [ 12 มี.ค. 51 23:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อยากบริจาคมากๆ แต่น้ำหนักไม่ถึง + เลือดจาง เวลาเค้ามารับบริจาคที่รร. พวกเพื่อนที่บริจาคได้มันก็ดันกลัวเข็มกันนะ - - แต่ไอ้เราที่ไม่กลัวเข็ม แล้วอยากจะบริจาคเนี่ย ดันทำไม่ได้ เห้อ แอบเศร้า* +++ จากคุณ : disordered - [ 13 มี.ค. 51 02:11:22 ]

ความคิดเห็นที่ 57 มีคำแนะนำให้ท่านที่กลัวเข็มทราบค่ะ ใครกลัวเข็ม อย่าไปมองเข็มค่ะ ง่ายๆ แค่นี้ค่ะ เราก้อกลัวเข็มค่ะ มองเห็นเข็มจิ้มเนื้อไม่ได้เลย วิธีเลี่ยงคือ ไม่มองมันก้อ จบเรื่องไปค่ะ ลองดูค่ะ จากคุณ : Select Star - [ 13 มี.ค. 51 10:16:35 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ  ส่วนตัวบริจาคมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นเพราะน้ำหนักผ่านเกณฑ์ ครั้งแรกก็ที่วิทยาลัยที่เรียนอะค่ะ(ปลื้มมากๆ) และบริจาคมาตลอดตามแต่โอกาสและเวลาจะอำนวย ตอนนี้อายุ47แล้วบริจาคไป46ครั้งค่ะ คิดว่าจะบริจาคต่อไปจนกว่าจะไม่ไหว.. เพราะการบริจาคนอกจากทำให้เรารู้สุขภาพของตัวเองแล้ว ยังเป็นการช่วยต่ออายุให้กับเพื่อนร่วมโลกด้วย และคิดว่าเราทุกคนควรจะช่วยเหลือกัน ขอ สาธุ อนุโมทนากับท่านผู้บริจาคทุกท่านค่ะ ทุกวันนี้สุขภาพก็ยังแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ไข้ค่ะ จากคุณ : lekriver - [ 13 มี.ค. 51 13:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ว๊า ผมยังไม่เคยสักทีเลยครับ กลัวอ่ะ 51 ครั้ง หูยๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : ratmo_11 - [ 13 มี.ค. 51 13:47:50 ]

ความคิดเห็นที่ 60 นึกว่าใครที่ไหน พี่นะที่น่ารักของน้องเห็ดน้อยนี่เอง ช่างน่ารักเสมอต้น เสมอปลายเลยนะคะ จากคุณ : เห็ดน้อย (mushroom kid) - [ 13 มี.ค. 51 17:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เพิ่งไปบริจาคมาเหมือนกันค่ะ แต่ครั้งที่ 16 เอง ก่าจะถึงครั้งที่ 51 ก็อายุประมาณ 38 ได้มั้ง แต่จะพยายามบริจาคให้ได้เท่าที่จะบริจาคได้ค่ะ.... แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 17:19:18 จากคุณ : ChicGirl (ChicGirl) - [ 13 มี.ค. 51 17:19:04 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เต๋า ลองดูนะ สู้ๆ เต๋าทำได้อยู่แล้ว คุณdisordered บริจาคไม่ได้ไม่เป็นไรครับ แค่คิดดีก็ดีมากแล้วครับผม คุณ Select Star เห็นด้วยครับ ไม่ต้องไปมอง ไม่ต้องคิด คิดว่าจี๊ดนิดเดียวไม่เป็นไรนะครับ คุณ lekriver เยี่ยมไปเลยครับ ไว้ผมจะบริจาคไปเรื่อยๆ จนอายุเท่านั้นเลยครับ คุณ ratmo_11 ขอบคุณครับ ทำดีไม่ต้องกลัวเจ็บครับ ถ้ามีโอกาสลองดูนะครับ น้องเห็ด อิอิ ขอบคุณครับ คุณ ChicGirl  16 ครั้งก็เยอะเหมือนกันนะครับ จริงๆ ถ้าบริจาคเกล็ดเลือดสามารถบริจาคได้ทุกเดือนเลยนะครับ ไม่ต้องรอถึงสามเดือนเหมือนบริจาคเลือดครับ ขออนุโมทนาบุญให้กับทุกๆท่านด้วยนะครับ คิดสิ่งใดสมความปรารถนาด้วยนะครับ :) จากคุณ : นะนะ - [ 13 มี.ค. 51 18:05:43 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เป็นคนนึงที่อยากบริจาคเลือดมากค่ะ แต่ เรามีโรคประจำตัวคือ หอบหืดค่ะ ยังไงก็ไม่สามารถบริจาคได้เลยใช่มั๊ยคะ ถ้าไม่กลัวว่าอาการหอบะเกิดจะสามารถบริจาคได้มั๊ยคะ จากคุณ : gomaki (gomaki) - [ 13 มี.ค. 51 20:45:08 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 13 มี.ค. 51 22:34:16 ]

ความคิดเห็นที่ 65 บริจาคเลือดไปแล้ว 7 ครั้ง อยากจะบริจาคเกล็ดเลือดเหมือนกันค่ะ เคยไปถามที่ประชาสัมพันธ์ (ตึกสภากาชาด)ว่าต้องทำยังไงบ้างถ้าอยากบริจาคเกล็ดเลือด เค้าบอกว่ารับแต่ผู้ชายไม่รับผู้หญิง (แล้วตกลงผู้หญิงบริจาคเกล็ดเลือดได้หรือเปล่าค่ะ) จากคุณ : kanchan_ne - [ 14 มี.ค. 51 10:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 66 อ่ะ โห 51 ครั้ง  * * เพิ่งบริจาคไปได้ 6 ครั้งเองค่ะ ครั้งที่ 7 ล้มเหลวเพราะความดันต่ำ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลองไป ร่อนแถวจตุจักรดีกว่า เผื่อครั้งที่ 8 จะสำเร็จ อิอิ จากคุณ : เสี่ยวเอี้ยน - [ 14 มี.ค. 51 11:57:56 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผมบริจาคมาแล้ว 41 ครั้ง กลัวทุกครั้งแต่ก็ภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต จากคุณ : samriong.vang.ccm@Gmail.com - [ 14 มี.ค. 51 12:03:21 A:58.10.6.155 X: ]

ความคิดเห็นที่ 68 ต้องรีบ ๆ ไปบริจาคซะแล้ว จากคุณ : สะใจโรคจิต - [ 14 มี.ค. 51 12:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เอิ๊ก...ฟังแล้วจะเป็นลม 555+ เพิ่งบริจาคไปได้ 5 ครั้งเองอะค่ะ   ถ้าบริจาคทุก3เดือน กว่าจะได้51ครั้งก้อายุ30พอดี แต่ประเด็นคือ ไม่ได้บริจาคทุก3เดือนอะ อยากรู้ว่า ทุกคนที่บริจาคเลือดกันอะค่ะ ที่เค้าบอกว่า3เดือนนี่ต้อง 90วันเป๊ะๆหรือ90วันขึ้นไปเท่านั้นป่ะคะ ถ้าเราบริจาควันที่ 16ก.พ. เงี้ย แล้วจะไปอีกที 12พ.ค. เค้าจะให้บริจาคไหมคะ สุดท้าย ชื่นชม จขกท. มากมาย จากคุณ : ความรักในสายหมอก - [ 14 มี.ค. 51 19:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ตอบความคิดเห็นที่ 69 ครับ สามารถไปก่อนครบ 90 วันได้ครับ แต่ไม่เกิน 1 อาทิตย์ แต่นั่นหมายความว่า สุขภาพเราต้องดีด้วยนะครับ ผมพึ่งจะไปบริจาค ครั้งที่ 66 มาไม่นานนี้ครับ นอกจากบริจาคโลหิต บริจาคเกร็ดเลือด แล้วก็ยังมีการบริจาคพลาสมาครับ ซึ่งระยะเวลาในการบริจาค ก็จะแตกต่างกันไป นอกจากนี้ทางสภากาชาดยังมีการขอรับบริจาค Stem cell (เซลล์ต้นกำเนิด) ด้วยครับ ซึ่งเราจะต้องเคยบริจาคเลือดมาก่อน จึงจะแจ้งความจำนงค์ไว้ได้ เมื่อมีผู้ป่วยที่ต้องการ Stem cell ซึ่งมีลักษณะตรงกับเรา ทางสภากาชาดจะโทรมาเพื่อขอความอนุเคราะห์ ผมเกือบได้บริจาค ถ้าวันไหนได้บริจาค Stem cell จะมาบอกต่อเพื่อนๆ นะครับ จากคุณ : fca2010 - [ 14 มี.ค. 51 22:38:13 A:202.149.24.161 X: ]

ความคิดเห็นที่ 71 เพิ่งจะบริจาคไป 7 ครั้งเองอ่ะ แต่ก็ลงชื่อบริจาคสเต็มเซลล์ไปล่ะ จากคุณ : อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ - [ 15 มี.ค. 51 02:00:30 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เคยเป็นทั้งทั้งผู้บริจาค และ ผู้รับบริจาคค่ะ จากคุณ : Pan Kong - [ 15 มี.ค. 51 19:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 74 มาอนุโมทนาบุญค่ะ ^^ ส่วนตัวเคยบริจาคครั้งเดียวตอนม.6 แล้วเป็นลม - -" ก็เลยกล้าๆ กลัวๆ ที่จะบริจาคอีกอะค่ะ แต่ก็อยากบริจาคนะคะ ยิ่งมาอ่านทู้นี้ ยิ่งต้องไปบริจาคให้ได้เลย ^^ จากคุณ : น้องเอ๋ - [ 17 มี.ค. 51 00:42:31 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อยากบริจาคแต่เค้าไม่เอาครับ....T_T จากคุณ : ไม่งงครับ ไม่งง - [ 17 มี.ค. 51 00:52:30 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ชื่นชมมากค่ะ  การบริจาคเลือดช่วยต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ คิดจะบริจาคแต่ว่าทำไม่ได้ เพราะเลือดไม่ค่อยพอค่ะ เจาะแล้วไม่ค่อยได้เลือด ^^ แหะๆ อยากบริจาคแต่ร่างกายไม่สามารถค่ะ ท่านใดที่พอจะสละเลือดได้ อยากให้ไปร่วมกับบริจาคเลือดกันเยอะqนะคะ ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ แหะลิงค์กระทู้ช่วยเหลือเพื่อนสี่ขาที่กำลังขอความเมตตาจากทุกท่านค่ะ ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เชิญชวนทุกท่าน เข้าร่วมประมูลการกุศลเพื่อช่วยสุนัขวัดทำเลทอง กระทู้ประมูล 1))http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J6429408/J6429408.html ปิดประมูลวัน ศุกร์ที่ 21 มีนาคม เวลา 21.00 น ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ประมูล 2))http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J6429418/J6429418.html ปิดประมูล วัน ศุกร์ ที่ 21 มีนาคม เวลา 23.00 น อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ จากคุณ : law of nature - [ 17 มี.ค. 51 10:28:25 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เราเคยบริจาคไป 2 ครั้งแล้วก็ไม่ได้บริจาคอีก  เพราะภูมิแพ้กำเริบ ต้องทานยาคุมอาการไว้  แถมความดันเลือดต่ำอีก ... ก็เลยขอบริจาคดวงตา กับ อวัยวะทั้งหมดแทน  ... ทำเท่าที่ทำได้ค่ะ ยินดีกับทุกท่านที่ได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่นะคะ จากคุณ : วันนี้มีล็อกอิน - [ 17 มี.ค. 51 16:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 78 คุณ gomakiผมไม่ทราบเหมือนกันนะครับ ลองติดต่อไปที่ สภากาชาดไทย 02-2513111 02-2524106-9 ต่อ 161 162 ครับ ขอให้หายไวๆนะครับ พรุ่งนี้ผมจะลองโทรไปติดต่อถามให้นะครับ คุณ Mr. Fusion เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เข้ามาเจิมกระทู้นี้นะครับ ขอบคุณคร้าบบบ คุณ kanchan_ne พรุ่งนี้ผมจะลองโทรไปถามให้นะครับ คุณ เสี่ยวเอี้ยน  ต้องดูแลสุขภาพดีๆนะครับ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายบ้างนะครับ คุณ samriong.vang.ccm@Gmail.com ยอดเยี่ยมมากเลยครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ เต๋า ได้เลยครับ สะดวกเมื่อไรเชิญได้ครับ คุณ ความรักในสายหมอก ขอบคุณครับ ปกติ ถ้าจะไปบริจาคก่อนสามเดือน ปกเขาจะไม่รับครับ ควรรอให้ครบสามเดือนเต็มครับ คุณ fca2010 ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากๆครับ คุณ อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ เจ็ดครั้งก็เจ็ดชีวิตแล้วนะครับ คุณ Pan Kong ถ้ามีโอกาสช่วยแชร์ไอเดียนะครับ ว่าเมื่อบริจาคแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร แล้วเมื่อรับบริจาคแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร แล้วผมก็อยากเชิญทุกๆท่านที่เคยบริจาคแล้วร่วมแชร์ประสบการณ์ด้วยนะครับ คุณ น้องเอ๋ ขอบคุณครับ เอาใจช่วยนะครับ คุณ น้องเอ๋ ทำได้อยู่แล้วครับ ไปทำเถิดครับ แล้วจะมีความสุข ความสุขจากการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นนะครับ คุณ ไม่งงครับ ไม่งง ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ให้ร่างกายพร้อมก่อนนะครับ คุณ  law of nature ขอบคุณครับ จะตามไปประมูลครับ เมื่อหลายเดือนก่อนก็ไปทำบุญบ้านสัตว์พิการมาครับ หมาตัวนี้ ตาบ้องแบ๊วมากเลยครับ คุณ วันนี้มีล็อกอิน ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อนนะครับ  ขอให้หายไวๆด้วยเช่นกันนะครับ รบกวนเพื่อนๆ ที่เคยบริจาคแล้ว หากมีประสบการณ์อย่างไร เชิญร่วมแจมความคิด ประสบการณ์ได้นะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : นะนะ - [ 17 มี.ค. 51 23:31:59 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คุณ gomaki ครับ โทรไปสอบถามให้แล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องหายจากโรคหอบหืดอย่างน้อย 5 ปีก่อนนะครับ ถึงจะบริจาคได้ คุณ kanchan_ne โทรไปสอบถามให้แล้วครับ เขาบอกว่า จริงๆแล้วเขาอยากเน้นผู้ชายมากกว่า เพราะใช้เวลานานครับ แต่จริงๆแล้วเพศหญิงมีความอดทนกว่าเพศชายอีกนะ ผมว่า จากคุณ : นะนะ - [ 18 มี.ค. 51 09:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 80 7 ครั้งเองครับ วันอาทิตย์นี้น่าจะไป อืม ... จากคุณ : art anfield - [ 18 มี.ค. 51 11:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 81 32 ครั้งแล้วครับ เคยไปบริจาคเกร็ดโลหิตแล้วเขาบอกไม่ผ่าน แต่ตอนนี้ขยันออกกำลังกายประจำแล้ว ถ้าไปตรวจอีกครั้งนี่จะได้ไหมครับ ปล. ผมออกกำลังกายมาได้เกือบปีแล้ว จากคุณ : au777 - [ 18 มี.ค. 51 11:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เคยบริจาค ๒  ครั้งครับ แต่ไม่เคยประทับใจซักครั้งเลย ครั้งแรก  บริจาคที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งติดแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนเจาะนิ้วเจ็บมากกกกกก   แต่ตอนเข็มแทงที่แขน  ไม่เจ็บเลย  ไม่ได้มอง  เลยไม่รู้ว่าแทงตอนไหน พยาบาลพอแทงเสร็จแล้วก็ไป  ไม่บอกอะไรซักอย่าง (ทั้ง ๆ ผมก็บอกว่าบริจาคเป็นครั้งแรก - ตอนนั้นอายุ ๑๘) อยู่ได้สักพัก  เพื่อนที่มาด้วยกันเดินมาดู  แล้วบอกให้กำมือ  เลือดจึงไหล ไม่งั้น  เป็นชั่วโมง  เลือดก็คงออกมาไม่เต็มกระปุกมั้ง แถมพยาบาลก็หน้างอ  ไม่รู้จะเครียดอะไรนักหนา   มาบริจาคนะ  ไม่ได้มาขอ ครั้งที่ ๒  เมื่อกลางปีที่แล้วนี่เอง บริจาคให้โรงพยาบาลที่เขาออกรับตามพื้นที่ต่าง ๆ ครั้่งนี้  หมอกับพยาบาลพูดดี  แถมตอนจิ้มที่ปลายนิ้ว  ก็ไม่เจ็บด้วย แต่แทงที่แขน (ซ้าย)  เจ็บมาก  หาเส้นเลือดไม่เจอ   ต้องแทงแล้วแทงอีก  ล้วงแล้วล้วงอีก  เจ็บมาก ๆ เปลี่ยนมาแทงที่แขนขวา  ก็เจ็บอีกแล้ว  กว่าจะหาเจอได้ พอบริจาคเสร็จ  เลือดไหลไม่หยุด  พลาสเตอร์เอาไม่อยู่ กว่าจะหยุด  ใช้เวลาเป็นวันเลย สรุปว่า  แขนซ้าย  เขียวไปอาทิตย์หนึ่ง  แขนขวา  เขียวไป ๓ วัน แต่ไม่เป็นไรครับ  มีโอกาส  ก็จะบริจาคใหม่ หวังว่า  ครั้งต่อไป  คงจะราบรื่นเหมือนกับเขาบ้างนะ จากคุณ : ขุนไกรครับผม - [ 18 มี.ค. 51 14:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยค่ะ  เกิดความรู้ ความเข้าใจในการบริจาคเลือดเพิ่มขึ้นเยอะเลยแหล่ะ   ก่อให้เกิดการเสียสละ  แถมยังได้บุญด้วย จากคุณ : เจ้าตาล - [ 19 มี.ค. 51 00:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ถ้าใครคิดจะบริจาคต่อเนื่อง ลองติดต่อบริจาคพลาสมา ก็ได้ครับ สามารถบริจาคได้ทุก 2 อาทิตย์ ตัวผมเองบริจาค ไปแล้ว 193 ครั้ง วันนี้ว่าจะไปครั้งที่ 194 แล้วจะรู้ว่าผมเป็นใคร จากคุณ : trex - [ 19 มี.ค. 51 11:22:05 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ผมยังได้แค่ 11 ครั้งเองครับ ไม่ได้บริจาคมานานมากแล้ว บริจาคครั้งแรกตอน ม. 3 (พอดีน้ำหนักมากเขาก็เลยรับครับ) ครั้งสุดท้ายก็เกือบ 10 ปีแล้วเพราะว่าหลัง ๆ สุขภาพไม่ดี จากคุณ : นายก้อนหิน - [ 19 มี.ค. 51 19:25:11 ]

ความคิดเห็นที่ 86 บริจาคเลือดได้ 6 ครั้งเองฮะ คราวหน้าจะไปถามเค้าเรื่องบริจาคเกล็ดเลือดดู น่าสนใจดีฮะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ จากคุณ : neaq - [ 19 มี.ค. 51 21:53:42 ]

ความคิดเห็นที่ 87 อยากบริจาคเหมือนกันค่ะ แต่ว่าไม่ทราบว่ามีให้บริจาคที่ใหนบ้าง ที่สภากาชาติค่อนข้างใกล(บ้านอยู่ดอนเมือง)เคยไปเจอบริงจาคตามห้างก็ไม่ได้กินอาหารไปบ้างล่ะ ความดันไม่ปกติบ้างแหละ เลยไม่พร้อมสักที อยากบริจาคมากค่ะ ยังไง ใครมีข้อมูลช่วยหน่อยนะคะว่ามีที่ใหนรับบริจาคบ้างง่ะค่ะ คงไม่ค่อยได้เข้ามาดูเท่าไร ช่วยให้ข้อมูลหน่อยนะคะ เมล์daikojang@hotmail.com หรือ 0818598234 นะคะ เผื่อเลือดของหนูจะมีประโยชน์ต่อใครๆอีกหลายคนนะคะ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : daikojang (daikojang) - [ 20 มี.ค. 51 16:22:58 ]

ความคิดเห็นที่ 88 อยากบริจาคมากกกก แต่ไม่มีเวลาเลย ให้ตาย จากคุณ : ไอ้วู่ - [ 20 มี.ค. 51 22:32:01 ]

ความคิดเห็นที่ 89 พอดีเรยค่ะ อยากจะขอเชิญชวนเพื่อนๆไปบริจาคเลือดกัน เพราะใกล้สงกรานแล้วค่ะ ทั้งทางรพ.ต่างและสภากาชาด กำลังสำรองเลือดเตรียมรับช่วงนั้นกันอะค่ะ ไปทำบุญด้วยการบริจาคเลือด เพื่อเพื่อนมนุษย์กันนะคะ ^^ จากคุณ : ...เด็กหลงคนที่ 7... - [ 21 มี.ค. 51 01:31:52 ]

ความคิดเห็นที่ 90 สงสัยเราต้องเจอ จขกท. ตอนเข้ารับพระราชทานเข็มปีที่แล้วแน่เลย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2550 ของเราบริจาคมาถึงวันนี้ 43 ครั้งค่ะ รู้สึกดีแบบที่ จขกท.บรรยายเหมือนกัน ทุกวันนี้พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ก็เพื่อให้สามารถบริจาคโลหิตได้นี่ล่ะค่ะ แล้วก็พยายามกระตุ้นให้คนรอบข้างไปบริจาคโลหิตกันเยอะๆด้วย ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่บริจาคด้วยนะคะ จากคุณ : meyamotim - [ 21 มี.ค. 51 08:08:48 ]

ความคิดเห็นที่ 91 บริจาคไป 4 ครั้งแล้วค่ะ เมื่อก่อนกลัวเข็มมากๆ แต่กลั้นใจครั้งนึงก็ลดลงไปเยอะ ปัญหาของเราคือน้ำหนักไม่ค่อยถึง 45 มีอยู่ครั้งนึงเค้าเชิญกลับเพราะน้ำหนัก 45 พอดี (ป้าแกบอกรวมเสื้อผ้าแล้ว แถมเพิ่งทานข้าวมายังได้แค่นี้ไม่ผ่าน) เราตัวเล็กน่ะ แต่ไม่ผอมนะอวบๆ ด้วยซ้ำ สูง 157 เอง หนัก 43-44 ก็ไม่น้อยแล้ว พอช่วงไหนน้ำหนักขึ้นมามากหน่อยถึง 45 ปุ๊บจะรีบไปบริจาคทันที คนน้ำหนักน้อยกว่า 45 เนี่ย จะได้เลือดน้อยหรือคะ เลือดเราดีค่ะ ความเข้มข้นเยอะ ไม่เคยมีปัญหาเลย ตรวจสุขภาพทุกปีด้วย แต่น้ำหนักนี่สิ เราบริจาคอวัยวะทุกอย่างตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้วค่ะ อยากทำบุญน่ะ เผื่อตายจะได้ไม่สูญปล่า จากคุณ : ลงเอย - [ 21 มี.ค. 51 10:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 92 คคห.87 คะ อยู่ดอนเมือง วันเสาร์ว่างๆ นั่งรถมาลงหน้าจตุจักร จะมีรถของกาชาดมารับบริจาคถึง 3 โมงเย็นค่ะ แต่ควรมาก่อนนะ มาใกล้ๆ ไม่ค่อยรับ เพราะเค้าว่าไม่อยากให้ผู้บริจาคลงจากรถเร็ว เดี๋ยวมีปัญหาแล้วช่วยไม่ได้น่ะค่ะ จากคุณ : ลงเอย - [ 21 มี.ค. 51 10:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ลูกผู้ชายตัวจริง จากคุณ : Parachies - [ 21 มี.ค. 51 10:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ขอบคุณ คุณนะนะ  ความเห็นที่ 79 มากค่ะ อุตส่าห์โทรไปถามให้ จากคุณ : kanchan_ne - [ 21 มี.ค. 51 11:01:09 ]

ความคิดเห็นที่ 95 บริจาคบ่อยครับ  จนคราวหลังพยาบาลขอให้บริจาคเกล็ดเลือด  เราก็ยอม   พูดจริงๆว่าทรมานครับ  นั่งเป็น 2 หรือ 3 ชม. (ถ้าจำไม่ผิด) ผมไม่กลัวเข็มครับ  ก่อนเริ่มเค้าก็ให้ทานพารา 2 เม็ด  พอผ่านไป 1 ชม ก็เริ่มปวด  บอกคุณพยาบาล  เค้าก็มาดู จับๆแต่ไม่ว่าอะไร  เริ่มเจ็บมากขึ้นแต่ทนครับ  คิดว่าทำบุญ  พอเสร็จก็บอกพยาบาลอีกคนว่าทำไมถึงเจ็บจัง เค้าก็บอกว่าอาจเป็นเพราะแทงเข็มไม่ดี (?)   ครั้งที่ 2 กะจะมาบริจาคเลือดปกติ ก็ถูกเชิญบริจาคเกล็ดเลือดอีก  เราก็ยอม คิดว่าคราวนี้ไม่น่าปวด  แต่ก็เหมือนเดิม  เริ่มชม.ที่2 ก็บอกพยาบาลว่าเจ็บ  เค้าก็มาดูๆแต่ไม่ทำไรอีก (?)   ทนจนจบหละครับ  ไม่ได้พาราเพิ่มด้วย (ไม่รู้ว่าไม่ควรให้ระหว่างทำหรือเปล่าว) หลังจากนั้นก็ไปบริจาคเลือดอีก  พยาบาลก็มาเชิญบริจาคเกล็ดเลือดแต่ผมก็ปฏิเสธครับ  รู้สึกแย่ครับ  แต่มันเจ็ยจริง  เหมือนว่าผมเรื่องมากนะ  แต่มันเจ็บจิงๆ ตอนบอกก็ไม่เห็นสนใจ  บริจาคเลือดปกตินี่ชิวชิวเลยครับ..... ไม่รู้ว่าคนที่บริจาคเกล็ดเลือดเป็นแบบผมหรือเปล่าวครับ จากคุณ : K-phone - [ 21 มี.ค. 51 13:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ของหนู 16 ครั้งแล้วค่ะ ตอนแรกไม่บริจาคเหมือนกันเพราะกลัวเข็มมาก แต่พอหลังจากบริจาค ก็เริ่มบริจาคมาเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ แต่ที่เห็นความสำคัญของการบริจาคเลือดมาก เพราะครั้งนึงคุณย่าต้องการเลือดค่ะ ต้องมานั่งตั้งกระทู้ขอเลือด หาเพื่อนมามากมาย และครั้งนั้นก้ได้คนใจดีช่วยเหลือมาเยอะ เลยตั้งใจกับตัวเองว่า...เราต้องเป็นผู้ให้บ้างค่ะ แต่ตอนนี้สภากาชาดไม่รับเพราะเค้าบอกเข้าพื้นที่เสี่ยงไข้มาลาเรียมาไม่ถึง 1 ปี (หือ ๆ แอบเสียใจอยู่เหมือนกันที่ให้เลือดไม่ได้เนี่ย) จากคุณ : หน่อยอ่ะนะ - [ 21 มี.ค. 51 14:06:33 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ทุก 3 เดือนครับ พยายามไม่ให้ขาด ^^" ส่วนเกล็ดเลือดก็เคยบริจาคมาแล้วครับ ภูมิใจมากจริงๆ จากคุณ : เอเอง (obiwan001) - [ 21 มี.ค. 51 16:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ยินดีด้วยที่สามารถบริจาคเกล็ดโลหิตได้ ของผมไม่สามารถบริจาคเกล็ดโลหิตได้(ไม่แน่ใจว่าจำผิดหรือเปล่า) แต่ที่จำได้แน่ๆ วันนั้นพาเพื่อนไปบริจาคโลหิต  แล้วคุณพยาบาลมาขอความร่วมมือ+ชักชวนให้ไปบริจาคเกล็ดโลหิตดีกว่า ผมอ่ะสนใจ  เลยลากเพื่อนไปด้วยกัน ผลการตรวจ... เพื่อนผมตรวจผ่าน  มีค่าเกล็ดโลหิตเกือบ ๓๐๐,๐๐๐ ส่วนผมประมาณ ๑๗๐,๐๐๐ เลยไปเซ้าซี้ถามคุณพยาบาล  ได้ความว่า  ค่าเกล็ดเลือดที่ปลอดภัยสามารถบริจาคได้อยู่ที่ ๑๕๐,๐๐๐ แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาค  ทางสภากาชาดเลยกำหนดให้สูงขึ้นไปอีก สรุป  อดบริจาค  ตอนนี้ก็ได้แต่บริจาคโลหิตแทน จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 22 มี.ค. 51 00:21:07 ]

ความคิดเห็นที่ 99 กลัวเข็มค่ะ เดี๋ยวนี้ก็ยังกลัวอยู่ แต่ไม่มองเข็ม ก็ไม่เปนไร มีบางครั้งที่เครียด เจ็บกับการการเจาะ ก็หวิวๆเกือบเป็นลม กว่าจะจบก็นาน แต่พี่ๆพยาบาลดูแลอย่างดี เอาน้ำหวานมาให้ทาน เอนเตียงให้หัวลง 55 ถึงได้รู้ความไฮเทคของเตียงรุ่นใหม่ที่กาชาดค่ะ 55 เมื่อก่อนต้องรอเพื่อน ทำให้บางปีไปได้ปีละครั้ง ซึ่งพยายามไปให้ได้ตรงวันเกิด คุณหมอที่วัดความดันก็น่ารักเหลือใจ ตรวจวัด ให้คำแนะนำอย่างดี แล้ว "Happy Birthday นะคะ" เป็นวันเกิดที่มีความสุขที่สุดค่ะ อิ่มเอมสุดๆ เดี่ยวนี้ไปเอง ไม่รอเพื่อนแล้ว ครบกำหนด ร่างกายพร้อม ไปเลยค่ะ เมษที่จะถึงเป็นครั้งสุดท้ายของโครงการทำดีถวายพ่อหลวง ไม่พลาดแน่นอน และเกือบทุกครั้ง หลังบริจาคเลือด เดินข้ามไปวัดหัวลำโพง ไปบริจาคโลงให้ศพไร้ญาติต่อค่ะ แล้วข้ามไปตลาดสามย่าน ไปบำรุงร่างกายค่ะ อิอิ สำหรับเพื่อนๆทีอยากบริจาคเลือด แต่บริจาคไม่ได้ด้วยสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ เราสามารถมีส่วนร่วมด้วยการบริจาคเงินก็ได้ค่ะ ที่เคยคุยกับเจ้าหน้าที่ งบประมาณจากภาษีไม่พอหรอกค่ะ ได้จากเงินบริจาคมากกว่า แต่ก็ยังไม่ค่อยพอ เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างสูงมากกก แค่ชุดบริจาคเกล็ดเลือดก็เกือบ ๘,๐๐๐ บาทแล้ว ค่าตรวจเนื้อเยื่อ stem cell ว่าผู้บริจาคกับผู้ป่วย HLA ตรงกันไหม ประมาณ ๕,๐๐๐ บาท/ครั้ง ถ้าไม่ตรงก็ต้องหาใหม่ตรวจใหม่อีกครั้งละ ๕,๐๐๐ บาททุกครั้ง จนกว่าจะเจอเนื้อคู่ค่ะ ถ้าผู้ป่วยที่รอ stem cell อยู่ ฐานะไม่ดี ช่วยออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้ ก็ต้องรอการตรวจตามงบประมาณ ซึ่งบางครั้งรอ...จนต้องกลับสวรรค์ก่อนก็มีค่ะ..เศร้า เราช่วยส่วนนี้ได้ค่ะ จากคุณ : ราตรีสีนวล - [ 22 มี.ค. 51 19:01:19 A:58.8.159.17 X: TicketID:002687 ]

ความคิดเห็นที่ 100 Link จาก fwd mail นะคะ Stem Cell : Cell for life , Cell for love บริจาคโลหิตก็ไม่ได้ บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell) ก็ไม่ได้ แต่อยากจะให้ ทำอย่างไรดี ? http://www.redcross.or.th/fair50/paymoney.htm ความรู้สึกจากใจผู้ให้ถึงผู้รับ http://www.redcross.or.th/fair50/hearttoheart.htm ชมรมผู้ปลูกถ่ายไขกระดูก ร.พ.จุฬาฯ http://www.thaibmc.org รายการ VIP ตอน ปลูกเซลล์ ปลุกชีวิต 5 มี.ค. 50 http://modernine.mcot.net/view.php?news_id=2861&tk=en9 จากคุณ : ราตรีสีนวล - [ 22 มี.ค. 51 19:09:44 A:58.8.159.17 X: TicketID:002687 ]

ความคิดเห็นที่ 101 บริจาค 3 ครั้งแล้วค่ะ ครั้งล่าสุดต้นเดือนนี้เอง ครั้งแรกก็กลัว ๆ เหมือนกัน เพราะเข็มใหญ่และกลัวเจ็บ ตัดสินใจอยู่นานมาก แต่พอมีครั้งแรก ครั้งที่ 2 และ 3 ก็ตามมา (แต่ก็ยังกลัวเหมือนเดิม 555+) ส่วนเกล็ดเลือดยังไม่เคยบริจาคคะ...^_^ จากคุณ : nululu (Nululu) - [ 23 มี.ค. 51 15:00:32 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เข้ามาอนุโมทนากับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการทำความดีเสียสละเลือดของตนเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นค่ะ /|\   ส่วนดิฉัน บริจาคเลือด 11 ครั้งแล้วค่ะ (ถ้านับรวมที่ให้กับศิริราชก็จะเป็น 12 ครั้ง)  ทีนี้ รอให้ครบ3 เดือนในปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ก็จะไปบริจาคอีกครั้งค่ะ :) จากคุณ : อัปปมัญญา (FeRn_MU) - [ 26 มี.ค. 51 15:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 103 เคยบริจาคเลือดตอนมัธยมค่ะ จำได้ว่ากลัวมากๆ จะเป็นลมหลายตลบ นับถือหลายๆคนในกระทู้นี้มากๆ บริจาคกันหลายครั้งจัง ของเราว่าจะบริจาคครั้งที่สอง เดินเข้าไปนั่งรอจะบริจาคเลือดที่กาชาด ได้กลิ่นเลือด ก็ปอดแล้ว ลุกกลับบ้านเฉยเลย ไว้คราวหน้าจะอดทนกว่านี้ จากคุณ : รักตุง...จากฟ้ากว้าง - [ 26 มี.ค. 51 15:15:35 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เป็นคนกลัวเข็มมากกกก จนเมือพี่สาวป่วยหนัก ต้องหาคนบริจาคเลือด ถึงได้รู้ว่า ทานเงิน ก็ซื้อชีวิตไม่ได้ เลือดเนื้อร่างกาย เป็นสมบัตืที่คนหวง แต่มันต่อชีวิตคนได้ ก็เลยไปบริจาคแต่นั้นมาตามโอกาส จากคุณ : พฤหัส - [ 26 มี.ค. 51 20:46:46 ]