Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แนะวิธี "วางแผน" การเรียนของเรา ฟันธง รุ่งชัวร์ !!!  

(ทำยังกับ จะมีคนอยากรู้นักหนา เหอๆ -*-)

 

1.ดูตารางเรียนของที่โรงเรียน ว่าแต่ละวิชาเรียนวันไหน

2.คำนวณไว้ล่วงหน้าเลยว่า เทอมนี้กินระยะเวลากี่วันหรือกี่สัปดาห์
โดยคร่าวๆ แล้ว เทอมหนึ่งจะมีประมาณ 4 เดือน
ก็เท่ากับ 15-16 สัปดาห์
ดังนั้น เทอมหนึ่งเราจะต้องแบ่งการอ่านหนังสือ
ช่วงกลางคืน (ของวันที่มีเรียนที่โรงเรียน) ประมาณ  80 วัน (วัน จ-ศ 5 วัน * 4 * 4)
และ สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ ประมาณ 32 วัน (เอา 2*4*4)

3.คิดในใจเลยว่า จะต้องยืม-คืนหนังสือวันไหน อย่างของเรา
จะคืน-ยืมต่อ หนังสือของหอสมุด ทุกวันจันทร์ (เพราะมีคาบว่าง 2 คาบ)
และ ก็ของ ห้องสมุดโรงเรียน วันศุกร์ (เพราะมีคาบประชุมคาบสุดท้า่ย ก็ว่างนั่นแหละ)

4.จากนั้น พอเปิดเทอมปุ๊บ
ก็จะมาดูรายการ หนังสือเรียน ที่ใช้เรียนในโรงเรียน
แล้วก็ดูว่า หนังสือเรียนอันไหนที่น่าอ่านจริงๆ
เพราะ เด็กส่วนใหญ่ มักจะอ่านจากที่อื่น เช่น กวดวิชา หรือไปเรียนเพิ่มเอา
แต่มาอ่านหนังสือเรียนกันจริงๆ ตอนช่วงใกล้สอบปลายภาคหรือมิดเทอม
อีกอย่าง  หนังสือที่โรงเรียนใช้เรียนกันน่ะ
สำนักพิมพ์ก็มักจะต้องบรรจุหลักสูตรที่ สพฐ.กำหนดไว้อยู่แล้ว
และข้อสอบ พื้นฐาน ไม่ว่าไงก็ต้องออกสิ่งที่ให้เด็กเรียนมาตลอดหลักสูตร 3 ปีอยู่แล้วใ่ช่แมะ
ดังนั้น อ่านหนังสือเรียนที่เรียนก่อน เป็นการเก็บพื้นฐานเอาไว้
ส่วนขั้น แอดวานซ์ ค่อยไปหาเพิ่มเติมเอาเอง
(ตอนนี้เราอ่าน เศรษฐศาสตร์ เพราะตอน ม.ต้น ไม่ได้เรียนไง
แล้วก็พระพุทธ ภาษาไทย วิทย์ สุัขศึกษา  อ่านหนังสือเรียน ของตั้งแต่ ม.4)
 

5. สำคัญสุดๆๆๆๆๆ  ทำการ "สำรวจสารบัญ" หนังสืออย่างถี่ถ้วนก่อนว่า
-มีเนื้อหาอะไรบ้าง   -แบ่งเป็นกี่บท  -แต่ละบทนั้นอยู่หน้าไหนถึงหน้าไหน (มีกี่หน้า)
-ทั้งเล่มมีเนื้อหาที่ต้องอ่านกี่หน้า  -ถ้าเป็นแบบทดสอบ แต่ละชุดมีกี่ข้อ
-->>> จากนั้น ก็...
แบ่งว่า วันหนึ่งเราจะให้เวลากับหนังสือเล่มนี้ยังไงดี?
แล้วก็ เฉลี่ยจำนวนหน้ากับเวลาว่า วันนี้ หรือช่วงเวลาประมาณนี้
เราต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เนี่ย ครั้งละ กี่หน้า
ย้ำ  อ่านเป็นหน้า หรือ บท นะ ไม่ใช่อ่านแบบแบ่งเวลา
อย่างเ่ช่น เราจะอ่าน sharpen your english (ยำตัวอย่าง)
ที่มีเนื้อหาแบบฝึกหัด หน้า 5-217  ก็เท่ากับมี 213 หน้า
แบ่งเป็น 10 บทเนื้อหาแบบฝึกหัด
บท1 เป็นเรื่องของ paraphrase มี 50 ข้อ
บท2 เป็นเรื่องของ errors มี 150 ข้อ
บท3 เป็นเรื่องของ poem มี 104 ข้อ
ก็แบ่งว่า วันที่ 1 จะอ่านกี่หน้าหรือบท เช่น ทำ บทนี้จบทั้งบท หรือทำ 10 หน้า หรือทำ 3 บทให้จบเท่านั้น
วันที 2 ทำ บทที่ 4-5 ให้เสร็จ
โดยยึดหลักวันที่ 1 วันที่ 2 ตามการแบ่งของข้อ 2

6.จากข้อ 5 ดูจะเหนื่อยมาก คงทำไม่ทันเวลา
ดังนั้น เราขอเสนอ การ....
ทุบนาฬิกาทิ้งมันซะเลย   555+
เีคยได้ยินคำว่า  "ทำงานจนลืมเวลา" มั้ย
เหมือนกัน เราต้อง อ่านหนังสือจนลืมเวลา เช่นกัน
เราแค่รู้สึกว่า เออ เราอ่านยังไม่จบ 2 บทเลย ปาไป 5 ทุ่มครึ่งแล้วเหรอวะ !!!
พอหันไปดูเวลา เราก็จะรู้สึกว่า  ดึกมากแล้ว ยิ่งเข็มนาฬิกาเบนเข้าเป็นมุมแหลมกับแกนวายของเลข 12 เท่าไร
ก็ยิ่งรู้สึก( ไปเอง) ว่า "ง่วง" เท่านั้น
ฉะนั้น   เราต้องไม่ยอมให้  "เวลามาทำลายความตั้งใจ"  ที่จะอ่านให้จบตามที่เราวางแผนเอาไว้
เราก็รู้สึกได้เลยนะว่า เออ หนังสือมันอ่านจบเร็วกว่าเดิมแฮะ
แม้ว่าจะรู้สึกง่วงมาก มากๆๆๆๆ  ก็ไม่หันไปดูนาฬิกาเด็ดขาด พออ่านจบ 3 บท
เฮ้ย ตี 2 ครึ่ง.... แต่ไม่เป็นไร อ่านจบแล้วก็จบกัน

7.จากวิธี ดูสารบัญ และ ทุบนาฬิกา
เหมาะสำหรับคนที่ หนังสือ เยอะมากกกกกกกกกกกก
อย่างของเรา ก็มีภาษาอังกฤษที่ซื้อมาเอง ทั้งหมด 37 เล่มแล้ว โฮๆๆๆ
เพราะถ้าใ้ช้วิธี แบ่งเวลา อ่านนะ
สำหรับเรามันไม่ได้ผลว่ะ
คิดดู สมมติ ฟิคเอาไว้ 2 ชม. สำหรับวิชา....(อะไรก็ได้)
ใน สอง ชม. ของแต่ละครั้งเนี่ย เราจะอ่านได้จำนวนหน้าแทบไม่เท่ากันเลยในแต่ละครั้ง
อย่าง บางวัน สอง ชม. อ่านได้ 16 หน้า บางวันอ่านได้ 22 บางวันอ่านได้ 9 หน้าเงี้ย
ถ้าเราฟิคเป็นจำนวนหน้าไปเลย ก็จะทยอยเก็บหนังสือไปได้ทีละเล่มๆ ได้เป็นระบบ

8.ให้เวลาว่า  เราจะลั้ลลา กี่ชม.ดี  เสาร์-อาทิตย์ ทำอะไรรีแลกซ์บ้าง
แล้ว พอรีแลกซ์เสร็จ จะ โหมโรง ปั่นการบ้านหรือ อ่านหนังสือต่อ อะไรดี
(คนนะเว่ย ไม่ใช่เครื่องจักร มันก็ต้องมีลั้ลลากันบ้ิางน่า)

9.ปิดเครื่องมือการสื่อสารทุกชนิด
ตอนแรกๆ เราก็ปิดแค่มือถือ ตอนอ่านหนังสืออ่ะนะ
มาตอนนี้ เราเริ่มล่ามปาม ดึงสายโทรศัพท์บ้านซะเลย 555+
แต่คือ ว่า บ้านเราเป็นโทรศัพท์แบบชาร์จไง ไร้สาย ก็เลย ถอดถ่านออก:-)เลย หุๆๆ
หลายทีมาก....อ่านหนังสืออยู่ดีๆ ท่านเพื่อนก็โทรมา
ไม่ใช่โทรธรรมดา ท่านเืพื่อน โทรมาตั้ง 3 ชม. มายก๊อดดดดด
แล้ว ยังงี้ จะเป็นการเป็นงานมั้ืยเนี่ย
บอกมันไปว่า เอ่อ คือ เราอ่านหนังสืออยู่น่ะ
มันบอก  แค่อ่านหนังสือ ก็อ่านไปคุยไปด้วยก็ได้นี่ -*- กรรมว่ะคับ
อ่ะ มาอีกที อ่านหนังสืออยู่ บอกมันไปว่า เออ โทษที ทำการบ้านอยู่ว่ะ
มันบอก ไม่เป็นไร การบ้านไรหรอ ขยันจัง คุยกะกุก่อนนะ แล้วค่อยทำ หรือทำไปคุยไปก็ได้ -*-*-*-
ถือซะว่า เป็นกรรมของกุที่ได้เกิดมาอ่านหนังสือไปคุัยไป เฮ้อออออออ

10.แน่นอน เราทนความง่วงไม่ไหวเป็นนะ (เอ่อ...ได้ข่าวว่า ทุกครั้งเลยนี่ ไม่ใช่แค่ "เป็นนะ")
วิธีของเราคือ  ซื้อมะนาวมา (ส่วนใหญ่ เก็บมาจาก ผัดไท ไม่ก็ ข้าวผัด -*-)
แล้วคว้านเอาใส่มะนาวอ่ะ ใสๆ มาอมในปาก เวลาสติใกล้จะถวายบรรทมแล้ว
รับรอง ตื่นนนนนนนน
ถ้ายังไม่ตื่น เราเคยเอา มะกรูด หรือ ไอ้ เรียกไรวะ อ้อ ตะไคร้
มาแขวนห้อยไว้กับโคมไฟอ่านหนังสือนั่นแหละ
(สรุป ซื้อมาม่าต้มยำมาห้อย ยังจะง่ายกว่า -*- .. ไม่เอา เดี๋ยวแทะหมด)
โคมไฟมันร้อนหน่อยๆ มันก็จะมีกลิ่นเครื่องเทศลอยมาโชยอยู่ตลอด
เราก็จะรู้สึกว่า ค่ำคืนนี้เราผ่านศึกหนักไปได้อย่างเร่าร้อน ว้าววววว
(หมายถึง  ศึกอ่านหนังสือน่ะ -*-)

11.หา inspiration  ให้มันมา หลอกมาหลอน เราให้มากที่สุด
หากระดาษไรก็ได้  เขียนตัวโตๆ เอาไว้เลยนะ
แปะไว้หัวนอน  หน้าประตูห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า  โต๊ะอ่านหนังสือ  โต๊ะกินข้าว  ตู้เย็น  ใกล้ทีวี  หน้าจอคอม
เราเคยทำจริงๆนะ  เคยเขียนว่า
"ต้องติด ทับแก้ว ให้ได้  สู้โว้ยยยย"
พอจะเปิดคอมเล่น  "ต้องติดทับแก้วให้ได้ สู้โว้ยยยยย"  เอ่อ.....ไม่เปิดดีกว่า อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ
พอจะดูทีวี.... "ต้องติดทับแก้ว"  ไม่ดูดีกว่า
จะกินข้าว "ต้องติดทับแก้ว" เอาหนังสือมาอ่านด้วย
ตู้เย็น ... "ต้องติดทับแก้ว" โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  เออ รู้แล้วว่าต้องติด แต่ขอกินไอติมก่อนได้ไม๊ -*-
มันมาหลอกมาหลอนเราทุกที่เลยวุ้ย  (แล้วใครเป็นคนแปะ หืม ?)

12.หาสถานที่ที่เหมาะกับการอ่าน
เวรจริงๆ เลยชีวิต
บ้านเรามันอยู่ในตลาดไง
จะอ่านที่บ้านตอนเสาร์อาทิตย์
ก็จะมีเสียงยั้วเยี้ยเยอะแยะยุ่งยากยิกหยอย
เสียงคนขายไอติม คนขายข้าว คนส่งน้ำแข็ง เจ๊ขายปลา
เสียงม่าเรียกให้กินข้าว เสียงม่าเรียกให้เอาของให้คนซื้อ เสียงให้ช่วยเฝ้่าร้าน
คือ มันจะมีเหตุให้มา ทำลาย อารมณ์ต่อเนื่องในการอ่านตลอด
พอจะอ่าน ตอนกลางคืน
อย่าคิดว่า ชีวิตนี้สงบสุขนะ
ม่าบอก อ่านหนังสือก็อ่านไปสิ อั๊วะจะดูหนัง
เราบอก ม่า...เสียงมันเข้าหู   (อีกอย่าง  โต๊ะอ่านหนังสือ กับ ทีวีนี่ ใกล้กันแทบจะจูบ  ซ้ายทีวี ขวาโต๊ะ -*-)
ม่าบอก ก็ไม่ต้องฟังสิ
เรา ..... "............"  (คือ ถึงจะหูตึงไปหน่อย-มาก แต่ก็ยังไม่ได้หนวกนะ ม่าาาาาา)
แถม....ตอนกลางคืน
มันยังจะมีพวก คนขายเนื้อ กับ พวกคนโม่น้ำแข็ง
ไอคนขายเนื้อ แมร่งก็เผาเนื้อเผาหมูกันฉ่า ฉ่าๆๆๆ
คนโม่น้ำแข็ง ก็ลากน้ำแข็ง เรียกเพื่อนโหวกเหวก + เสียงเครื่องโม่น้ำแข็งมันดังขั้นเทพวุ้ย
เราเลย จบชีวิต ด้วยการ เอาหูฟังมาเสียบ เปิดเพลง (New Age)
ตามมาด้วยเสียงอาม่าเรียกให้นอน    
ช่วยอาลัยกับชีวิตเราสัก สองวิ ก็ยังดีเถอะ -*- อาเมน

 

13.หาเพลง ที่สร้างสมาธิ
(ไม่ถึงกับธรรมะนะ)
แนะนำ เพลงแนว New Age ที่ไม่ใช่ enigma, era, deep forest หรือ enya นะ
เพราะมันจะไม่ได้ สมาธิ มันจะ หลับ zzzzZZZZ
หากเป็นของ vangelis, yanni, suzanne ciani  ไรเงี้ย มันก็ไม่หลับ แต่มัน อลังการ เกิน เหอๆๆ
แต่แนะนำ แนว instrumental พริ้วๆ อย่างของ kevin kern (เป็นเปียโน) ไม่ก็ mike oldfield
ถ้า แนวไวโอลินหน่อยก็ แนะนำ ของ secret garden ที่เป็นเพลงช้าๆ หวานๆ แบบไม่เศร้า
แต่ วง อิเล็คฯ ที่เหมาะสำหรับอ่านหนังสือมาก (สำหรับเรา) คงเป็น amethystium
มันดูลึกลับดี  ลึกลับจนเราลืมฟังมันไปเลย แล้วจะมีซาวน์ที่เหมือนว่า รวบรวมสมาธิได้ดี
ไม่แนะนำ เพลงที่มีคนร้อง เพราะจากการวินิจฉัยของเรา (เชื่อได้มั้ยเนี่ย -*-)
สังเกตว่า เพลงที่มีคนร้อง เสียงร้องจะดึงดูดประสาทการให้ความสนใจไปที่เพลงและการร้องนั้น
ว้าวววววววววววววววว    ใครคิดวะเนี่ย  (เราคืดเอง ...ไม่ต้องเชื่อมากนะเออ)
แต่ว่าแต่.....
ไอ้ที่เรา ว่าๆ มาแต่วงเนี่ย
มันจะมีซักกี่คนในโลกวะ ที่รู้จัก
(แค่รู้ว่า ดนตรี new age มันมีอยู่ในโลกด้วย ก็ถือเป็นพระคุณอย่างสูงแก่มนุษยชาติพอแล้วคร้าบบบ)  


14.อ้อๆ นึกออกอีกข้อละ
ดู ใบแผนประเมินการสอน หรือจุดประสงค์การเรียนรู้
(จะเรียกไงดีวะ เอาเป็นว่า เป็นแผ่นแรก ที่พอเรียนคาบแรก จารย์มักจะแจกกัน
ที่มันจะมี ชื่อผู้สอน กี่หน่วยกิจ จุดประสงค์ วิธีการให้คะแนน คาบนี้คาบนี้จะเรียนกันกี่ชั่วโมง ฯลฯ นั่นแหละ)
คือ...
จารย์ เขา็ก็ต้องสอนในสิ่งที่ หลักสูตร มันให้เรียนใชไหมล่ะ?
ฉะนั้น ให้ดูที่ "จุดประสงค์การเรียนรู้" และ "ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง" ให้ดีๆ ไว้
เพราะนี่แหละ เด็ดสุด ว่า เขาต้องการให้เราเรียนแล้วได้อะไร และ เราเรียนแล้วต้อง ทำอะไร หรือรู้เนื้อหาอะไรบ้าง
นี่แหละ พอจะเป็นตัวใ้บ้ได้อย่างหนึ่งว่า หลักสูตรต้องการให้เรา เน้นตรงนี้
เรียนเนื้อหานี้แล้ว ต้องจับจุดประเด็นสำคัญของบทนี้ว่ามีอะไร ก็ตามที่จารย์แจกน่ะแหละ
อีกอย่าง ใบนี้เนี่ย ช่่วยเรื่องที่ว่า
เราเรียนอะไรไปแล้วบ้าง เเล้วเราต้องเรียนอะไร
เวลาจะอ่านหนังสือ ก็หยิบเอาใบนี้ตั้งแต่ ม.4 เนี่ย มานั่งลิสต์ก็ได้ว่า
มีเนื้อหาอะไรที่เรียนไป ต้องตามไปเก็บรายละเอียด
แล้วก็เตรียมพร้อมอ่านเนื้อหาที่กำลังจะมาถึง ตามใบที่เขาแจก
แต่ส่วนใหญ่ ก็เอาทิ้งกันแล้วใ่ช่มะ หะๆๆๆ
แล้ว ถ้ามันไม่สำคัญสักเท่าไหร่ จารย์เขาจะพิมพ์มาแจกทำไม ให้เปลืองหมึกเปลืองกระดาษล่ะเนาะ


 

 

-------

นึกออกได้แค่นี้แหละ


แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 52 00:21:13

จากคุณ : BlT_HorroR
เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 00:12:45




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com