Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย (2) ... dinosaur  


ต่อจากเมื่อวาน ที่แค่เกริ่นนำ ฮ่าฮ่าฮ่า




ผมเกริ่นนำถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ว่ามันแข่งขันกันมากขึ้น องค์กรธุรกิจก็ต้องเริ่ม dynamic มากขึ้น สมัยนี้แม้แต่หน่วยงานราชการบางหน่วยยังต้องเริ่มปรับการบริหารงานเป็นระบบเอกชนเลย ยกตัวอย่างเช่น จุฬาฯ หรือ ร.พ.ศิริราช เป็นต้น


ทีนี้คนล่ะ ... ถ้ามองในด้านเฉพาะ private sector ผมเชื่อว่าผู้คนกว่าครึ่งนึงก็ยังไม่ปรับตัวอยู่ดี ยังทำงานแบบ "4 รอ" อยู่ คือ รอเงินเดือนขึ้น รอโบนัสออก รอวันถูกเลิกจ้าง และรอวันเกษียณ


คนอีกครึ่งนึงเค้าปรับตัวตามธุรกิจไปแล้ว เพียงแต่ว่า ตรงนี้ก็มีปัจจัยหลักสองประการ คือ competency หรือขีดความสามารถของเรามีมากแค่ไหนที่จะปรับตัวกระโดดตามความเปลี่ยนแปลง และคนคนนั้นมี ambition หรือมีการวางแผนอนาคตอย่างไรและเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน


ที่จริงอาจจะมีปัจจัยปลีกย่อยอีกมากมาย ยกตัวอย่างจะเล่าเรื่องขำๆ ให้ฟังสองเรื่อง เรื่องแรก พ่อผมชอบเอามาพูดให้ฟังเล่นๆ ในวงเหล้า ว่าถ้าทำงานราชการ จะให้ก้าวหน้าต้องมี “ดวง” ผมก็สงสัย ว่าดวงอย่างเดียวเนี่ยนะป๋า พ่อผมก็เฉลยว่า “ดวง” เนี่ย มันหมายถึง

- = เด็กของใคร
- = “วิ่ง” ถูกช่องไหม
- = เงินน่ะมีมั้ย

เลยถึงบางอ้อซะตอนนั้น ...


เรื่องตลกอีกเรื่องมาจากแวดวงราชการเหมือนกัน ... มีรุ่นพี่ที่เป็นนายอำเภอเล่าให้ฟังว่า สมัยที่แกไปทำงานอยู่ ณ จังหวัดหนึ่ง ผู้ว่าฯ จะมีคนขับรถประจำตัวอยู่คนนึง ไอ้เจ้าคนขับรถคนนี้นอบน้อมถ่อมตนดีมาก เช้ามาเค้าจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลาด ซื้อโจ๊กซื้อปาท่องโก๋ซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับโปรดมาจัดวางเตรียมให้ผู้ว่าฯ บนโต๊ะอาหารทุกเช้า ระหว่างผู้ว่าฯ ทานอาหารเช้า พี่แกก็จะรดน้ำต้นไม้รอบจวนผู้ว่าฯ เสาร์-อาทิตย์ถ้าผู้ว่าไม่ไปไหน เค้าก็จะตัดหญ้า พรวนดิน แต่งกิ่งต้นไม้ ฯลฯ


ปรากฎว่า 4 ปีที่ท่านผู้ว่าท่านนี้อยู่ประจำที่จังหวัดนี้ พี่คนขับรถได้ 2 ขั้นทุกปี ... เหตุผลคือ “สงสารมัน”




นอกเรื่องอีกละกรู 555 ...


อย่างที่โปรยไว้ว่า แม้องค์กรจะปรับตัวให้แข่งขันกันมากขึ้น แต่มันก็จะมีพวก 4 รอ หรือพวก dinosaur อยู่ คือไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง ข้าก็จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ มีไรมั้ย ... ซึ่งตอนต่อตอนนี้ของผมจะพูดถึงพวกนี้โดยเฉพาะ


คงเคยเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อต้นปี ผมไปออกงาน Job Fair มา และเจอคำถามปวดใจจากบรรดาผู้หางาน โดยเฉพาะบรรดาเด็กจบใหม่ อาทิเช่น ...


(เดินมาหยุดหน้าบูธ ไม่ทักไม่ทาย มองหน้าแล้วถามเลย) “จบวิดวะเคมีอะพี่ มีตำแหน่งไรมั่ง”

(อีนี่เสื้อผ้าหน้าผมเกาหลีมาเชียว แขนคล้องหลุยส์พัดใหญ่ แฟนอีโมเดินขาถ่างๆ ประกบมาด้วย) “หนูทำ PR อยู่โรงแรม YYYYY ค่ะพี่ เห็นบริษัทพี่รับ Brand Manager หนูสนใจสมัครค่ะ” คืออีคลั่งกิมจิเข้าเส้นนี่มันไม่ได้อ่านคุณสมบัติตำแหน่งงานเลย


ผมเคยคิดนะครับ ว่าพวก dinosaur เนี่ย ส่วนใหญ่มีอายุแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็คงสูญหายตายจากไปเอง แต่พอเจอเด็กมหาวิทยาลัยจบใหม่สมัยนี้ ผมเริ่มขาดความมั่นใจเรื่องนี้ซะแล้วละครับ


งานที่ที่ทำงานใหม่ผมนี่ จะต้องเกี่ยวข้องกับการรับคนเข้าทำงานโดยตรง โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ จนถึงพวกที่มีประสบการณ์มาบ้าง (จริงๆ มีทุกระดับนะครับ แต่กลุ่มนี้เยอะหน่อย) ตรงนี้เพื่อนๆ น้องๆ อาจจะเอาเป็นแนวทางปรับตัวเวลาหางานได้นะครับ ... คือปัจจัยหลักในการรับคนเข้าทำงานของผม ผมยึดเรื่องทัศนคติ (Attitude) ที่ดีเป็นหลักครับ ความรู้ความสามารถ (Knowledge & Skills) นี่มันสร้างทีหลังได้ครับ คิดง่ายๆ ว่าเราเอาสัตว์ที่เราดูถูกว่าโง่กว่าคนมาหัดให้มันทำนู่นทำนี่สารพัดได้นะครับ มันน่าจะบอกเราได้ว่า ไม่มีใครโง่เกินจะเรียนรู้ ถูกไหมครับ แต่ในทางกลับกัน คนในยุคโคเปอร์นิคัส แทบไม่มีใครยอมเชื่อว่าโลกกลมตามที่เค้าบอก เพราะคนในยุคนั้นถูกครอบงำโดยศาสนจักรที่ยึดเอาทฤษฎีโลกแบนของอริสโตเติลและพโทเลมีเป็นความเชื่อร่วมกันมาหลายร้อยปี จะให้เปลี่ยน Attitude หรือความเชื่อของคน ก็ต้องรอถึงยุคของนักเดินเรือที่มีชื่อเสียงอย่างแมคเจลแลนมาทดลองเดินเรือไปเรื่อยๆ โดยไม่ตกขอบโลกกันนั่นแหละ ถึงจะยอมเชื่อกันว่าโลกกลม


ทีนี้ถ้าจะถามว่า Attitude แบบไหนล่ะ ที่ผมอยากได้ ผมก็จะย้อนไปดูความต้องการของบริษัท หรือองค์กรของผมก่อน ... องค์กรของผมเป็นองค์กรธุรกิจ มีการแข่งขันสูง คู่แข่งตัวเอ้เล่นกันแรงๆ แย่งธุรกิจ แย่งคนกันเป็นว่าเล่น ... คนของผมจะต้องไม่ใช่ money driven หรือเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ ฟาดหัวได้ ประเภทน้องได้หมื่นห้า มาอยู่กับพี่พี่ให้สองหมื่น ถ้าพูดแค่นี้หูตั้งหางกระดิก แบบนี้ผมไม่เอาครับ ... ด้านจิตใจก็ต้องแข็งแกร่ง มี fighting spirit ซึ่งเรื่องพวกนี้แม้จะดูเป็นเรื่องนามธรรม แต่ผมจะบอกว่า คนทำงานแบบผม ถูกฝึกมาให้มีวิธีการกลั่นกรองเอาทัศนคติเหล่านี้ออกมาจากคนที่ผมกำลังสัมภาษณ์ได้ครับ


ทัศนคติอันที่ 3 ที่ผมมองหา คือสมองครับ ทุกคนมีสมองหมดละครับ แต่คนที่ผมมองหาต้อง “ใช้สมองเป็น” ... เวลาสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน ตอนจบผมจะเปิดโอกาสให้เค้าถามคำถามเสมอ ซึ่งผมจะบอกว่า การถามคำถามที่ดีของผู้สมัครงาน อย่าไปถามเพราะอยากได้คำตอบนะครับ แต่ควรจะถามคำถามที่บอกให้ผู้สัมภาษณ์รู้ว่าฉันมีสมองนะ ... ที่ผมเจอมักจะถาม “stupid questions” ประเภทว่า จะได้เงินเดือนเท่าไหร่คะ ที่บริษัทมีสวัสดิการอะไรบ้าง จะทราบผลสัมภาษณ์ได้เมื่อไหร่ ประมาณนี้ พวกนี้ต่อให้จบเกียรตินิยมมา ผมย่อยใบสมัครทิ้งทันทีที่สัมภาษณ์เสร็จครับ ... คือผมบอกได้เลย ว่าบริษัทที่ผมอยู่นี้ เป็นที่รู้กันทั่วไป ว่าเงินเดือนและสวัสดิการดีติด top 5 ในบรรดาบริษัทใน industry เดียวกันครับ เอาว่าคนในวงการหรือคนที่อยากจะเข้าวงการ industry นี้ ไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นการมาถามคำถามเรื่องเงินเดือนสวัสดิการที่นี่ ผมถือเป็นการ “โชว์ความโง่” ครับ


ทัศนคติอันสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด (ฝรั่งชอบพูดว่า last but not least) คือ ambition ครับ เรื่องนี้อาจจะเป็นเงื่อนไขที่บางบริษัทไม่รับคนตำแหน่งเล็กๆ เพราะอาจจะกลัวเด็กมันอิ่มตัวเร็ว แล้วถ้าหาตำแหน่งโตให้มันไม่ได้แล้วมันจะพาลลาออก แต่ผมไม่กลัวครับ ผมนะ อยากได้ลูกน้องเก่งกว่าตัวเองใจจะขาด เราจะได้ไม่ต้องลงไปนั่งทำงานในรายละเอียดมากนัก แต่หัวหน้างานบางคนมันกลัวน่ะครับ กลัวลูกน้องเก่งข้ามหัวตัวเอง

ขยายความเรื่อง ambition หน่อยละกัน ตำแหน่งงาน junior ที่ผมรับบ่อยคือพนักงานขาย คำถามง่ายๆ คือถ้าเรารับคุณเข้ามาทำงาน อีก 3-5 ปีข้างหน้าคุณจะอยู่ตรงไหน ถ้าคำตอบของเค้าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการตั้งใจทำงาน ถ้าเรื่องอื่นผ่านหมด ผมจะจัดพวกนี้เป็นดี 1 ประเภท 2 คือรับเอามาเป็นผึ้งงานได้ เป็นทหารเลวชั้นดี แต่ถ้าบอกว่า จะเป็น sales manager หรือบทบาทอื่นที่ท้าทายกว่านี้ ผมจะ challenge กลับ ว่า how คือ เหรอ อยากเป็น manager เหรอ คิดว่าจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะได้เป็น manager ภายใน 3 ปีตามที่พูด คือความสามารถ ศักยภาพมันต้องอำนวยด้วย คนโง่เอาแต่ฝัน คนเก่งจริงถึงจะรู้วิธีทำความฝันให้เป็นจริงได้ ถ้าสิ่งที่เค้าพูดมีน้ำหนักพอ พวกนี้ถึงจะได้เป็นดี 1 ประเภท 1 หรือพูดง่ายๆ คือไม่รับก็บ้าแล้ว


อย่างที่จั่วหัวไว้ ว่าวันนี้อยากพูดถึงพวก dinosaur มาเล่าตัวอย่างให้ฟังกันเพลินๆ ครับ

ผม: พี่ถามคำถามน้องมาพอสมควรแล้ว น้องมีอะไรอยากถามพี่บ้างไหมครับ
น้อง 1: ถ้าหนูได้ทำพนักงานขายเขตภาคเหนือไปซักพัก แล้วขอย้ายมาทำเขตกรุงเทพได้ไหมคะ กลัวว่าคุณแม่จะเป็นห่วงน่ะค่ะ
*** เมิงเปิดร้านขายของชำหน้าบ้านเลยดีกว่า แล้วเอาเชือกผูกข้อเท้าไว้กับคุณแม่ด้วยนะ

น้อง 2: หนูได้ยินว่าที่นี่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลคุ้มครองคู่สมรสและบุตรด้วย แต่หนูโสด จะใช้สิทธิ์คุณแม่แทนได้ไหมคะ
*** เอาคุณแม่หนูมาทำงานสิ พี่จะให้หนูใช้สิทธิ์เป็นบุตร ... ป.ล. กรูว่ากรูยังไม่ได้บอกว่าจะรับเมิงเลยนะ

น้อง 3: บริษัทมีกลยุทธ์ในการเจาะตลาดแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งอย่างไรครับ
*** ไอ้นี่เตรียมตัวมา แต่ถามไม่เข้าท่าอยู่ดี อีกสิบปีมาสมัครตำแหน่ง Sales Director แล้วพี่จะบอก

น้อง 4: บริษัทมีจัดส่งไปฝึกอบรมดูงานประเทศในยุโรปบ้างไหมคะ
*** พี่แนะนำว่าถ้าน้องอยากเที่ยวยุโรปฟรี ให้น้องไปอบรมมัคคุเทศน์แล้วไปสมัครงานบริษัทท่องเที่ยวแทนนะคะ


จะบอกว่า ตัวอย่างนี่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องจริงที่ผมเจอทั้งนั้นนะครับ บางคำถามเหมือนจะเข้าท่า แต่ไว้ถามตอนรับเข้าทำงานแล้วก็ไม่สายหรอกครับ แต่หลายคำถาม เรียกว่ากว่า 70% ไม่เข้าท่าทั้งนั้นครับ โดยเฉพาะไอ้ถามว่าจะรู้ผลเมื่อไหร่เนี่ย ถามกันจัง สมัครงานนะครับ ไม่ใช่สมัครเป็นแฟนกัน จะได้ตอบตกลงได้ทันที ผมสัมภาษณ์คุณเสร็จสรุปส่งให้ sales manager กว่าพี่ sales manager จะว่างนัดคุยรอบสองได้ก็ไม่รู้อีกกี่วัน ผมรับปากอะไรไม่ได้ครับ ส่วนใหญ่ถ้าถามโง่ๆ แบบนี้ ผมก็ตอบชุ่ยๆ เหมือนกัน ว่าถ้าอีกสองอาทิตย์ไม่มีใครติดต่อน้อง ก็แสดงว่าไม่ได้ ... จบ


ใจร้ายเนอะ ...





วันก่อนผมนั่งคุยกับเพื่อนคนนึง เราคุยกันเรื่องสมองของเด็กสมัยนี้ที่ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเราสมัยก่อนเลย ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็บอกว่าทุกอย่างมีพัฒนาการของมัน ผมเลยเล่าให้เพื่อนฟังว่าผมมีความฝันอย่างนึงครับ ว่าถ้าถึงวันที่ผมพร้อม ผมอาจจะติดต่อมหาวิทยาลัยและโรงเรียนที่ผมเคยเรียน ขออาสาเข้าไปทำหน้าที่แนะแนวนักเรียนนักศึกษาที่ใกล้จะจบใหม่ เพราะผมว่าการแนะแนวการศึกษาของไทยมันล้มเหลวเอามากๆ โรงเรียนมัธยมมีแผนกแนะแนว แต่ขอโทษ ครูแนะแนวส่วนใหญ่คือครูที่ไม่เก่งวิชาการครับ เลยโดนถีบมาทำงานแนะแนว ผมกล้าฟันธง แล้วคุณจะแนะนำอะไรเด็กได้ล่ะ ไม่อยากจะดูถูกนะ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับครับ ว่าคุณเอาคนที่มีคุณสมบัติแค่นั้นไปแนะนำเด็ก เด็กมันไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์เลยครับ การณ์กลับเป็นว่า เด็กคนไหนเรียนเก่ง ครูแนะแนวแม่มแนะนำสุดใจขาดดิ้นครับ ผิดถูกมั่วซั่วแค่ไหนนี่อีกเรื่องนะ ส่วนเด็กเรียนไม่เก่งนี่หน้ายังไม่เคยปาดสายตาเข้าใกล้ด้วยซ้ำ ผมเจอมาแล้วครับ


ในมหาวิทยาลัยยิ่งแล้วใหญ่ หลังจบการศึกษา คราวนี้ชีวิตจริง ทำงานจริงแล้วนะครับ เด็กจำนวนมากเรียนจบแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะทำมาหากินอะไร หรืออีก 3 ปี 5 ปีเค้าจะเป็นอะไร เด็กจบวิศวะทั้งหมดต้องไปทำงานวิศวกรเท่านั้นหรือเปล่า จบบัญชีต้องทำแต่บัญชีแน่หรือ จบคณะโหลๆ ที่พวกมหาวิทยาลัยขยันเปิดรับอย่างพวก BBA หรือวิชาที่โคดจะจับฉ่ายสมชื่อ อย่าง General Management ยิ่งออกทะเลหนักเข้าไปอีกครับ


การแนะแนวที่ดี ตามความคิดของผมแล้ว ควรจะแนะนำโดยคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่านะครับ บรรดาโรงเรียนทั้งหลายก็ค้นทำเนียบศิษย์เก่าสิครับ เลือกหาเอาศิษย์เก่าที่จบออกไปประสบความสำเร็จในการทำงาน ที่อายุระหว่าง 30-40 ก็พอ จะได้ไม่ห่างรุ่นกันเกินไป หาสายอาชีพที่หลากหลายหน่อย ทำเป็น network ไว้ซัก 10-15 คน แค่นี้หาไม่ได้เชียวหรือครับ เดี๋ยวเค้าก็แนะนำเพื่อนฝูงทั้งที่เป็นศิษย์เก่าและไม่ใช่มาเพิ่มเองครับ ได้รายชื่อแล้วก็เชิญมา volunteer ซักเดือนละ 2 คน จัดซักครึ่งวัน รูปแบบก็คือเปิดให้เด็ก ม.ปลายทั้งหมดเลย มานั่งฟังพี่สองคนที่อาจจะมาจากสายงานสายอาชีพที่แตกต่างกัน ให้พี่เค้าเล่าถึงที่มาที่ไปก่อนจะประสบความสำเร็จในการทำงานอย่างทุกวันนี้ เวลาที่เหลือถามตอบกันไป เด็กเค้าจะได้ตื่นตัว รู้จักสายอาชีพที่มันมีในชีวิตจริงที่หลากหลาย เปิดโลกทัศน์ให้เค้ารู้ว่า อ๋อ ที่แม่กรูอยากให้กรูเป็นหมอ มันเรียนอย่างนี้ ทำงานอย่างนี้นี่เอง จะได้รู้ว่ายังอยากเป็นหมออยู่ไหม หรือจะเปลี่ยนแนวไปสายอื่นดี เป็นต้น


ผมเชื่อว่ายังไงก็ดีกว่าไม่เริ่มอะไรเลยหรือทำแบบผิดๆ อย่างที่ระบบการศึกษาไทยเราทำทุกวันนี้ครับ เราถึงได้ไม่หยุดผลิต dinosaur ออกมาเดินเพ่นพ่านเต็มประเทศแบบนี้ไงครับ



พิมพ์ไปหยุดไปทำนู่นทำนี่ไป เนื้อหาอาจจะโดดๆ ไปบ้าง ก็ขออภัยนะครับ


เอาเป็นว่า ... จบมันดื้อๆ งี้ดีกว่า ต่อตอน 3 วันจันทร์ละกันนะครับ


แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 52 10:58:48

จากคุณ : (แมลงสาบ)
เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 10:49:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com