กิจการที่ยอดเยี่ยมของนักลงทุน ในความหมายของ Buffett มีนิยามง่าย ๆ ไม่ีกี่อย่าง
1. นักลงทุนมีความเข้าใจในกิจการนั้น
2. มี favorable long term economics
3. บริหารงานโดยทีมที่มีความสามารถในกิจการนั้นและมีธรรมาภิบาล
และเลือกลงทุนในกิจการข้างต้นเมื่อมีราคาที่เหมาะสม
ดังนั้น ข้อแรกที่เราควรรู้คือ "เราจะหากิจการที่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร" หากิจการซะก่อน ค่อยมาดูราคาทีหลัง (ยังไม่ต้องมือบอนไปกดซื้อ ๆ ขาย ๆ)
การค้นหากิจการที่ยอดเยี่ยมขั้นแรกก็คือ ถามตัวเองเสียก่อนว่ากิจการ (หรือตัวย่อหุ้น) ที่เรากำลังดูอยู่นั้น เรารู้หรือเปล่าว่ามันเป็นกิจการอะไร, ทำมาค้าขายอะไร, รายได้มาจากไหน, รายจ่ายคืออะไร, กำไรเป็นอย่างไร
ถ้ายังไม่รู้ ก็หาข้้อมูล อาจจะเป็นเวบไซท์ของบริษัทนั้น ๆ เอง หรือจะใช้บริการเวบ Thai VI ในห้อง 100 คน 100 หุ้นก็ได้
http://www.thaivi.com/webboard/viewforum.php?f=4
(ป.ล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน กระทู้เหล่านี้ positively biased เนื่องจากคนโพสต์มักจะโพสต์แต่ของดี พอข่าวไม่ดีมักเงียบ)
จากนั้นมาพิจารณาว่า กิจการของเราที่ตั้งใจจะลงทุนในระยะยาว มี favorable long term economics หรือภาษาของนักกำหนดกลยุทธ์เขาเรียกว่า competitive advantage หรือไม่
ธุรกิจใดมี barrier to entry เป็นการป้องกันไม่ให้คู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด หรือเข้ามาขัดขวางการเติบโตของบริษัทเดิมได้ยาก การมี barrier to entry ทำให้เจ้าตลาดเดิมสามารถทำในสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ (คือมี competitive advantage)
การวิเคราะห์กิจการในการลงทุน Buffett กล่าวไว้เสมอว่ากิจการที่แข็งแกร่งควรจะมี durable competitive advantage และเป็นหน้าที่ของกิจการนั้นที่จะป้องกัน เสริมสร้างให้ barrier to entry นั้นมีความแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา
เราจะมองหากิจการที่มี competitive advantage ได้อย่างไร
หลักการง่าย ๆ อย่างหนึ่งในการมองหากิจการที่มี competitve advantage ได้แก่
1. พิจารณาลักษณะของธุรกิจที่ทำอยู่ ประเภทของกิจการเป็นอย่างไร, ลักษณะของตลาด, จำนวนคู่แข่งในตลาดและส่วนแบ่งตลาดของแต่ละบริษัท
2. ตรวจสอบว่ามี competitive advantage หรือไม่โดยดูว่าผู้นำตลาดสามารถดำรงส่วนแบ่งตลาดได้สม่ำเสมอมาเป็นระยะเวลา นานหรือไม่, ผู้นำตลาดนั้นมีความสามารถในการทำกำไร (เช่น ROE, ROIC) สูงตลอดเวลาหรือไม่
3. ค้นหาที่มาของ competitive advantage นั้น ๆ
ลองใช้คำถาม 3 ข้อนี้ตรวจสอบกับกิจการในตลาดหลักทรัพย์ที่เราสนใจอยู่ น่าจะได้คำตอบคร่าว ๆ ว่ากิจการที่เราสนใจนั้นมีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด
วิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งที่ชาวบ้าน ๆ อย่างพวกเราสามารถทำได้ก็คือ บอกให้ได้ว่าในแต่ละกลุ่มกิจการนั้น "ใครเป็นผู้นำตลาด"
การเลือกกิจการเพื่อลงทุน "ระยะยาว" นั้น จำเป็นต้องมองแนวโน้มกิจการ "ไปข้างหน้า" ว่ามันจะรุ่งหรือร่วง ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มระยะสั้น กลาง ยาว
การดูผลกำไรที่ผ่าน ๆ มา ดูปันผล ดูบัญชี ล้วนแต่เป็นการมองสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วทั้งสิ้น
แม้ของเก่าจะดี ไม่ได้รับประกันว่าภายภาคหน้าจะต้องดีด้วย แต่อย่างน้อยการดูของเก่าที่ผ่านมา บอกถึง...
1. ฝีมือ และธรรมาภิบาลของผู้บริหาร ว่าเป็นอย่างไร
2. ลักษณะอุตสาหกรรมโดยรวมมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน
3. ความสามารถของกิจการในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้น
[การดูหุ้นคุณค่า ต้องดู 4 ตัวคือ
1.PE กำไรต่อหุ้น ที่เอาไว้เปรียบเทียบกับกำไรของบริษัทซึ่งใช้กันบ่อยๆ
2.PB ราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบ/ช ใช้เปรียบเทียบกับสินทรัพย์ มากกว่าการทำกำไร และต้องรอนานกว่าpe
3.DY (devined yeild) ค่าปันผลต่อราคาหุ้น ถ้าปันผลสูงกว่าราคาหุ้นก็แปลว่าหุ้นราคาถูก
แต่ตัวนี้ประสิทธิภาพต่ำที่สุด จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงสูงเป็นหลัก ส่วนหุ้นทั่วไปจะไม่ค่อยได้ผลเพราะแล้วแต่นโยบายของบริษัท
4. สำคัญที่สุด คือ PSR price per sale ratio คือ ราคาหุ้นต่อยอดขายต่อหุ้นของบริษัท มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเลือก หาโดยต้องเปิดดูยอดขายรวม หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด ได้แล้วก็เอาไปหารราคาหุ้นในปัจจุบันถ้าตัวไหนมีค่าต่ำสุดกิจการนั้นก็น่าจะมีผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือหุ้นขณะนั้น มีราคาถูกดี แต่มันก็หาได้ยาก เมื่อเปรียบกับ PE และเป็นตัวเลขที่มีความอ่อนไหวน้อย เปลี่ยนแปลงช้าถ้าราคาหุ้นไม่ได้เปลี่ยนมาก และเป็นตัวสะท้อนผลกำไรได้มากกว่า แต่ถ้า psr สูงเกินกว่า 1 เท่าก็ต้องระวังมากขึ้น ]