ขอเป็นกำลังใจให้ในการทำสิ่งดี ๆ นะคะ :)
สิ่งไหนที่รัก สิ่งไหนที่ชอบ สิ่งไหนที่อยากทำ หรือสิ่งไหนที่อยากเป็น
สิ่งเหล่านี้ย่อมแตกต่างกันแน่นอน
สิ่งที่รัก สำคัญกว่าสิ่งที่ชอบ และสิ่งที่อยากทำ อาจสำคัญกว่าสิ่งที่อยากเป็นก็ได้
แต่ในสังคมมีสิ่งมากมายที่ถูกบิดเบือนออกไป จะด้วยค่านิยมของสังคมก็คงไม่ผิดจนบางครั้งตัวตนของเราอาจหายไปจริง ๆ กลายเป็นอีกคนที่เรารู้สึกไม่ใช่
แต่จะทำยังไงดี ในเมื่อเราเลือกมาแล้ว เราก็ควรจะทำให้จบจริงไหม
บางคนเรียนมหาวิทยาลัยมาหนึ่งปีก็รู้ตัว บางคนก็สองปี สามปี บางคนอาจรู้ตัวอยู่แล้วแต่มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างในการเลือกสถานที่ ในการเลือกสิ่งที่จะเรียน อาจพลาดในการสอบก็ได้ หรือความคาดหวังของพ่อแม่ และคนใกล้ชิด
จะด้วยเหตุผลบางประการบางคนก็คิดว่าเรียนให้จบ แล้วค่อยมาเรียนสิ่งที่ชอบภายหลังก็ได้
หรืออาจจะทำงานไปก่อนแล้วค่อยเรียนต่อ
เราคิดว่าปัจจุบันนี้ในเรื่องของการเรียนค่อนข้างเปิดกว้างบ้างแล้ว ในทัศนคติของการเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเปิดกว้างแบบผิวเผินเท่านั้น
แม้บางคนอาจบอกว่าให้เรียนสิ่งที่รัก เรียนสิ่งที่ชอบจริง ๆ แต่ก็ยังมีทัศนคติต่อสถาบัน หรือแม้แต่สาขาของการเรียน และผลตอบแทนของอาชีพการงาน แม้แต่การพูดคุยของผู้คนรอบข้าง
ต่อให้นักเรียน น้อง ๆ หลาย ๆ คน อยากเรียนในสิ่งที่ตัวเองถนัด หรือไม่ถนัดแต่มีใจรักจริง ๆ แต่ปัจจัยรอบด้านเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ หากไม่ทำใจให้กล้าหาญ กล้าเป็นตัวของตัวเอง เพราะความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นซึ่งคนเราต้องการความมั่นคงโดยปกติวิสัยไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม
มันก็ไม่ผิดที่บางคนจะเลือกชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย หรือเลือกทั้งชื่อเสียงทั้งสาขาที่อยากเรียน ก็ไม่ผิดเช่นกันที่เราจะเลือกความชอบก่อนแล้วเลือกมหาวิทยาลัยที่ดูแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร หรือเลือกจากที่ที่เรามีความสามารถเข้าถึงได้
แต่หลังจากนั้น เมื่อจบการศึกษาก็ไม่ตรงกับสายงานที่เรียนเยอะพอสมควร
เพราะการคัดเลือก เมื่อคะแนนถึงก็เรียนได้ โดยยังเข้าไม่ถึงว่านอกจากศักยภาพที่จะสามารถเรียนได้แล้ว
คนไหนที่มีความตั้งใจ หรือความคิด ความรู้สึกที่อยากจะเรียนจริง ๆ เข้ามาแล้วกระตือรือร้น อยากทำ อยากพัฒนาต่อยอด นอกจากพื้นฐานความคิดที่มหาวิทยาลัยจะให้ ก็ต้องมีพื้นฐานความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนของเราก่อน
แต่เราก็เชื่อว่าคนเราจบมาไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่เรียนจบมาเสมอไปหรอก มนุษยเรามีศักยภาพมากมายที่จะทำมากกว่านั้น แต่มันก็เป็นเรื่องของบุคลากรที่ประเทศต้องการรวมอยู่ด้วย
ความคิดที่ว่ารีบเรียนซักอย่าง แล้วจะได้จบมาทำงาน ก็เป็นสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย เราเรียนอย่างมากที่สุดอายุสามสิบปี อย่างน้อยที่สุดอาจจะระดับมัธยมก็ได้ แต่มาตรฐานสังคมไทยคือปริญญาตรี นอกจากนั้นทำงานไปอีกสามสิบถึงห้าสิบปีเผลอ ๆ อาจจะมากกว่านั้นเพราะเทคโนโลยี พูดได้เลยว่าหลังจากเรียนจบ ทั้งชีวิตเราคือการทำงาน
เราจะทำงานที่เราไม่รัก ไม่ชอบ ไม่อยากทำ เพื่ออะไรกัน เพื่อเอาใบปริญญามาแปะฝาบ้านเฉย ๆ ทำไม
เพียงเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเรียนจบแล้ว ไม่ได้น้อยหน้าหรือต่ำต้อยกว่าใคร มันกลายเป็นเรื่องอย่างน้อย ๆ ที่ต้องผ่านให้ได้ในชีวิตก่อนจะทำงานในความคิดของใครหลายคน แต่ความจริงอาจไม่จำเป็นเลยก็ได้
บางครั้งเราจะปลูกฝังความคิดที่ว่าเรียนสิ่งที่เป็นตัวเองให้กับนักเรียนอย่างเดียว โดยไม่ทำแนวโน้มของการศึกษาให้ไปตามทางเดียวกันก็คงจะไม่ได้ ต้องใช้ความร่วมมือ เพราะถ้าจะอ้างอิงถึงต่างประเทศก็ต้องดูระบบการศึกษา สังคม และค่านิยมของประเทศนั้น ๆ ด้วย ซึ่งระบบการศึกษาของเขาก็เอื้อต่อความคิด ค่านิยม และสังคม โดยมีแนวโน้มไปทางเดียวกัน บางมหาวิทยาลัยในต่างประเทศเปิดกว้างให้เลือกวิชาเรียนโดยเสรี ก่อนจะเรียนต่อเจาะลึกจริง ๆ ในระดับสูงกว่าปริญญาตรี บางครั้งมันก็ทำให้เราค้นพบตัวเองได้ดีกว่าช่วงเวลาวัยรุ่นในระดับมัธยมปลาย ซึ่งช่วงเวลานี้บางคนอาจจะรู้สึกสับสนกับตัวเองไม่น้อยเลย
บางครั้งช่วงเวลาอาจจะเร่งรัดเกินไป ถ้าเราคิดช้าไปก็อาจจะไม่ทัน แต่มันก็คุ้มค่าถ้าได้ค้นพบตัวเอง