ประมาณนี้ค่ะ ที่เคยอ่านมา
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวไทย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนสีเขียวแวววาวดังมรกต แต่ขุ่นทึบแสง เกือบใสทั้งก้อน เป็นหินธรรมชาติจากเทือกเขาสูง องค์พระพุทธรูปสกุลศิลปะก่อนเชียงแสน จากหลักฐานประวัติศาสตร์ของไทย ต่างระบุตรงกันว่า พระแก้ว (คำเรียกเดิม) องค์นี้พบครั้งแรก ในพ.ศ. 1979 ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ นครเชียงแสน (ปัจจุบันคือวัดพระแก้วงามเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย) สภาพเป็นพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง ซ่อนอยู่ภายในเจดีย์เก่า ต่อมาองค์พระเจดีย์ถูกฟ้าผ่าพังลง ชาวบ้านและพระสงฆ์จึงอัญเชิญออกจากพระเจดีย์ ภายหลังปูนบริเวณพระนาสิกได้เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อหินสีเขียวมรกต จึงกะเทาะปูนออกทั้งองค์ ปรากฏเป็นองค์พระพุทธรูปปางขัดสมาธิเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ หลังจากนั้น พระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเชียงใหม่ (นครพิงค์) ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปองค์นี้ จึงขออัญเชิญมาใส่หลังช้างจะมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ ด้วยว่าเชียงใหม่เป็นเมืองเอกมีความเข้มแข็งกว่า แต่ช้างทรงพระแก้วมรกตกลับไม่เดินทางไปยังเชียงใหม่ หากเดินเลี้ยวไปทางเมืองลำปาง (เขลางค์นคร) แทน แม้จะเปลี่ยนช้างเชือกอื่นให้ไปเมืองเชียงใหม่ ช้างก็ยังเลี้ยวไปเมืองลำปางถึงสามครั้ง ทางเชียงใหม่ก็เห็นว่าลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนา จึงยอมให้นำไปไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า นครลำปางก่อนถึง 32 ปี จนถึง พ.ศ. 2011 สมัยพระเจ้าติโลกราช ก็ค่อยอัญเชิญพระแก้วมรกตมายังเชียงใหม่ โดยผ่านเส้นทางเมืองลำพูนและประดิษฐานให้ชาวเมืองลำพูน (หริภุณชัย) สักการะก่อนประมาณ 2 ปี เมื่อองค์พระแก้วมรกตมาถึงเมืองเชียงใหม่ก็ได้มีการเตรียมการสร้างปราสาท เพื่อประดิษฐานองค์พระแก้วไว้ล่วงหน้า แต่ถูกฟ้าผ่าหลายครั้งทำให้ไม่ปรากฏร่องรอยปราสาทหอพระแก้วของเดิมในสมัย นั้น พระแก้ว หรือพระแก้วมรกตได้ ประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่อยู่ 86 ปี จนกระทั่งครั้นเมื่อถึง พ.ศ. 2095 สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นญาติวงศ์กับราชวงศ์ล้านนาโดยมาอภิเศกสมรสกับพระราชธิดาของเจ้าเมือง เชียงใหม่ ครั้นตอนพระเจ้าไชยเชษฐาจะเสด็จไปครองเมืองหลวงพระบาง (เมืองเชียงทอง) ก็ได้แอบอัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย และได้นำไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง 12 ปี แต่ด้วยเกรงว่าเมืองหลวงพระบาง หรือเมืองเชียงทองในสมัยนั้นจะถูกรุกราน จากล้านนาและพม่า เพื่อแย่งองค์พระแก้วไป อาณาจักรล้านช้างจึงย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาที่เวียงจันทน์ โดยถือว่าเวียงจันทร์เป็นแคว้นเอกราช ไม่เกี่ยวข้องกับล้านนาอีกต่อไป โดยได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่นครเวียงจันทร์ด้วย ใน พ.ศ. 2107 พระแก้วมรกตจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ อีก 214 ปี จนกระทั่งใน พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง พระองค์ได้โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ต่อมาคือรัชกาลที่ 1) อัญเชิญพระแก้วมรกต มาจากเวียงจันทน์เพื่อประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ. 2327 และโปรดให้เรียกว่าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จนถึงปัจจุบัน มีตำนานเรื่องเล่าขานถึงที่มาที่ไปขององค์พระแก้วมรกต โดยคนไทยสมัยก่อนเชื่อว่า พระแก้วมรกตนี้ สร้างขึ้นในปี พุทธศักราช 500 โดยพระนาคเสนเถระ เป็นพระอรหันต์วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ในแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ ประเทศอินเดีย (เมนันเดอร์) โดยเชื่อว่ามีสมเด็จพระอมรินทราธิราช (พระอินทร์ที่เป็นใหญ่) พร้อมกับพระวิสสุกรรมเทพบุตร ผู้เป็นเทพบนสวรรค์ได้นำแก้วโลกาทิพยรัตตนายก มีสีเขียวทึบ (หยกอ่อน) นำมาจำหลักเป็นพระพุทธรูปถวายให้พระนาคเสน และถวายพระนามว่า พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต พระนาคเสนจึงได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 7 องค์ (ชิ้น) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แก่พระโมลี พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา พระเพลาซ้าย และพระเพลาขวาลงไปในองค์พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต โดยไม่มีรอยตัดต่อของเนื้อหินเลย เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็อัญเชิญขึ้นประดิษฐานให้ประชาชนสักการะ ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น พระนาคเสนจึงได้พยากรณ์ว่า พระแก้วองค์นี้ จะเสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ในเบญจประเทศ คือ ลังกาทวีป กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย ปะมะหละวิสัย และ สุวรรณภูมิ ตำนานนี้ยังเล่าต่อว่า ในพุทธศักราช 800 สมัยแผ่นดินพระเจ้าศิริกิตติกุมาร พระเชษฐ์ราชโอรสในพระเจ้าตักละราช ซึ่งได้ขึ้นครองราชสมบัติเมืองปาฏลีบุตรในช่วงที่เมืองปาฏลีบุตรเกิดมหากลี ยุค คือมีการจลาจลภายในและข้าศึกภายนอกจู่โจม พุทธศาสนิกชนในเมืองปาฏลีบุตรที่เคารพนับถือพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต ได้นำพระแก้วมรกตลงเรือสำเภาแล้วเดินทางลี้ภัยไปยังลังกาทวีป (เกาะศรีลังกา) เมื่อถึงลังกาทวีปพระเจ้าแผ่นดินลังกาทวีปในสมัยนั้น (ไม่ได้ระบุพระนาม) ทรงรับพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตมาเก็บรักษาเป็นอย่างดียิ่ง และทรงอุปถัมภ์ค้ำชูชาวปาฏลีบุตรที่ลี้ภัยเป็นอย่างดี ในประมาณปีพุทธศักราช 1000 สมัยแผ่นดินศรีเกษตรพุกามประเทศ พระมหากษัตริย์ผู้ครองนครขณะนั้นคือพระเจ้าอนุรุทธราชาธิราช หรือในภาษามอญคือ มังมหาอโนรธาช่อ เป็นกษัตริย์ที่มีพระอานุภาพมาก บริบูรณ์ด้วยพลช้างพลม้าและทหารมากมาย และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างดี ได้มีพระราชโองการ ส่งพระราชสารและเครื่องมงคลบรรณาการ ไปยังลังกาทวีป เพื่อขอคัดลอกพระไตรปิฎกและขอพระแก้วมรกตกลับมาด้วย แต่เรือที่บรรทุกพระแก้วมรกตได้ถูกพายุพัด พลัดเข้าไปทางอ่าวกัมพูชาแทน พระเจ้านารายณ์ราชสุริยวงศ์ เจ้ากรุงอินทปัตถ์มหานคร (นครธม) แห่งแคว้นกัมพูชา สั่งให้อำมาตย์คุมสำเภากลับไปถวายคืนแก่พระเจ้าอนุรุทธ แต่ส่งกลับไปเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้น มิได้ส่งพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตไปด้วย พระแก้วมรกตจึงได้ประดิษฐานอยู่กรุงอินทปัตถ์นานพอสมควร(ไม่ได้ระบุปี) ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าเสน่ห์ราช ได้เกิดพายุฝนขนาดใหญ่ตกเป็นนิจกาลยาวนานหลายเดือน(ไม่ได้ระบุ) พระเจ้าเสน่ห์ราชก็สวรรคตด้วยอุทกภัยนั้น พระมหาเถระ(ไม่ปรากฏพระนาม) ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นสำเภาหนีไปยังที่ดอน พระเจ้าอติตะราช (อาทิตยราช) เจ้าครองนครอโยธยา(หมายถึงเมืองอยุธยาในสมัยโบราณ) ทราบเรื่องจึงเสด็จไปเองโดยกระบวนพยุหยาตรา เพื่อไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ในที่ปลอดภัย โดยทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตประดิษฐานในพระมหาเวชยันต์ปราสาท (ไม่สามารถระบุปี พ.ศ.ได้) และได้ประดิษฐานในนครอโยธยาต่อมาในอีกหลายรัชสมัย ภายหลังเจ้าเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเป็นพระญาติกับกษัตริย์อโยธยาสมัยนั้น ได้ทูลขอนำพระแก้วมรกตขึ้นไป ประดิษฐานที่เมืองกำแพงเพชรอีกหลายรัชสมัย ซึ่งว่ากันว่า ปัจจุบันก็คือวัดพระแก้วกำแพงเพชร ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ต่อมา พระเจ้าพรหมทัศน์เจ้านครหิรัญนครเงินยาง แห่งเชียงแสนได้ทูลขอพระแก้วมรกตต่อพระเจ้ากำแพงเพชร พระเจ้ากำแพงเพชรก็ยอมมอบให้นครเชียงแสน ต่อมานครเชียงแสน ได้เกิดมีศึกกับเมืองศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เจ้าผู้ครองนครเชียงแสนในเวลานั้นได้ทำการพอกปูนจนทึบและลงรักปิดทองเสมือน พระพุทธรูปสามัญทั่วไป แล้วบรรจุเก็บไว้ในเจดีย์วัดป่าญะในเมืองเชียงราย จากนั้นกษัตริย์และพระราชวงศ์อพยพผู้คนลงมาทางใต้ ส่วนเมืองเชียงแสนก็ถูกตีแตกและถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของเชียงรายและอาณาจักร ล้านนาในที่สุด พระนามพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตจึงหายสาบสูญไปแต่นั้นมา ในปี พ.ศ.1979 ได้เกิดฟ้าผ่าที่องค์เจดีย์นั้น ชาวเมืองเชียงรายจึงได้พบเห็นพระพุทธรูปลงรักปิดทองโบราณ และต่อมาปูนที่ลงรักปิดทองได้กะเทาะออก กลายเป็นการค้นพบพระแก้วมรกตในแผ่นดินไทยเมื่อประมาณ 570 ปีที่ผ่านมาเอง แต่นักโบราณคดีชาติ อื่น ๆ อาจมีความเห็นเกี่ยวกับพระแก้วมรกตแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ น่าจะเป็นไปได้ว่าพระแก้วมรกตถูกสร้างขึ้นในราว 500 ถึง 800 ปี หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์นิพพาน หรือไม่น้อยกว่า 1500 ปีมาแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีอาณาจักรไทยที่ชัดเจน ในประเทศอินเดียสมัยนั้นนิยมทำการหล่อเทวรูปด้วยสัมฤทธิ์ หรือสลักด้วยหินชนิดอื่น ไม่นิยมใช้หยกหรือมรกตในการทำพระพุทธรูป อุตสาหกรรมเหมืองหยก หรือหินอัญมณีมรกตก็ไม่มีในภูมิภาคนี้ในสมัยนั้น แหล่งหยก หรือมรกตที่จะหาอัญมณีสีเขียวขนาดใหญ่ขนาดนั้นเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนมีที่เดียวคือ อาณาจักรน่านเจ้า หรือเมืองต้าลี่ในมณฑลยูนนานเท่านั้นครับ ว่ากันว่าฝีมือแกะสลักพระพุทธรูปแบบนี้ก็มีอยู่ที่ตอนใต้ของจีนที่เดียว เพราะสมัยนั้นการสลักพระพุทธรูปจะใช้ปูนปั้น หรือหินชนิดอื่น ในศรีลังกา พม่า และอินเดียก็ใช้หินทราย หินศิลาแลง หรือสัมฤทธิ์ ไม่มีใครใช้หยกเลยนอกจากคนจีน พระพักต์ของพระแก้วมรกต (ตอนถอดเครื่องทรง) ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเป็นศิลปแบบจีนยูนนาน ยิ่งไปกว่านั้น ความมหัศจรรย์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ ในองค์พระแก้วมรกตนั้น มีช่องกลวงบรรจุพระอุรังคธาตุหรือกระดูกพระอุระของพระพุทธเจ้า ซึ่งถูกอัญเชิญจากอินเดียไปจีน ผ่านมาทางพม่า องค์พระแก้วถูกแกะสลักจากหินสีเขียวก้อนเดียวและบรรจุพระอุรังคธาตุโดยไม่มี รอยตัดเชื่อมต่อเลย เทคโนโลยีนี้เป็นความลับที่สูญหายไปของชาวจีนโบราณยุคนั้น คนอินเดีย พม่า และไทย ไม่เคยมีสลักพระพุทธรูปด้วยเทคนิคเช่นนี้ หากจับองค์พระแก้วเขย่าดู จะได้ยินเสียงสั่นให้รู้ว่าภายในองค์พระแก้วมีรูกลวง และบรรจุวัตถุอยู่ประมาณ 6-7 ชิ้น ไม่มีหลักฐานใดเชื่อได้ว่าเป็นพระโมลี พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา พระเพลาซ้าย และพระเพลาขวาของพระพุทธเจ้า แต่มีตำนานเล่ากันว่าตอนที่มีการแบ่งพระบรม สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าหลังจากการถวายพระเพลิงนั้น ส่วนกระดูกพระอุระและข้อนิ้วพระหัตถ์ถูกอัญเชิญไปทางประเทศจีน พระเกศาธาตุถูกอัญเชิญไปทางพม่า พระเขี้ยวแก้วถูกอัญเชิญไปศรีลังกา ผงเถ้าทุลีถูกแบ่งออกแล้วเชิญไปยังอินเดียตอนใต้ ศรีวิชัย และเปอร์เซีย ดังนั้นหากพระแก้วมรกตถูกสร้างด้วยหินหยกเขียวทางตอนใต้ของจีนสมัยอาณาจักร น่านเจ้า หรือฟูนันก็น่าจะมีการบรรจุพระอุรังคธาตุไว้ด้วยก็ได้ นักโบราณคดีจีนมีหลักฐานหลายอย่างที่เชื่อได้ว่าพระแก้วมรกตถูกสร้างอยู่ที่ เมืองต้าลี่สมัยอาณาจักรน่านเจ้ารุ่งเรืองเมื่อ 1500 ปีก่อน แต่ปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้รู้ถึงจักรพรรดิจีนในราชวงศ์ถังเรืองอำนาจ ต่อมาจักรพรรดิจีนได้ยินข่าวว่าเมืองต้าลี่มีสมบัติล้ำค่า ก็ยกทัพจะมายึดไป ชาวน่านเจ้าก็แอบนำพระแก้วลงมาทางใต้ มาประดิษฐานไว้ที่วัดพระแก้วในเมืองเชียงรุ้ง มีวัดพระแก้วอยู่ที่เชียงรุ้งและวัดนี้มีอายุมาแล้วประมาณ 1300 ปี เมื่ออิทธิพลของกองทัพจีนมารุกรานถึงเชียงรุ้ง พระแก้วมรกตก็ถูกลักลอบหนีมาอยู่ที่เมืองเชียงตุง และคาดว่าจะประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วในเมืองเชียงตุงมาเกือบ 300 ปี โดยที่ปกปิดไว้ไม่ให้รู้ว่าองค์พระเป็นมรกต ต่อมาเมื่อไม่ถึง 600 ปีมานี้มีการค้นพบว่ามีพระแก้วมรกตที่หุ้มด้วยปูนซ่อนอยู่ในเจดีย์ของเมือง เชียงราย ซึ่งอยู่พ้นจากอิทธิพลของกองทัพจีน และมองโกล พระแก้วมรกตจึงถูกเปิดเผยออกมาสู่ประวัติศาสตร์ของไทยโดยไม่ต้องซุกซ่อนอีก ต่อไป มีร่อยรอยหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าพระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ในวัดพระแก้ว 9 วัด และแต่ละวัดสามารถระบุช่วงเวลาที่ชัดเจนได้ และมีพระแท่น หรือจุดที่วางพระแก้วมรกตไว้ที่แน่ชัด ได้แก่ 1. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงรุ้ง ประมาณ พ.ศ. 1200 – 1500 โดยช่วงก่อนหน้านั้นอาจจะประดิษฐานอยู่ในพระราชวังโบราณของอาณาจักรน่านเจ้า ปัจจุบันไม่มีร่องรอยเกี่ยวกับพระแก้วมรกตเหลืออยู่แล้วในเมืองต้าลี่ แต่เราสามารถพบเห็นแหล่งหินธรรมชาติชนิดเดียวกันกับพระแก้วมรกตได้ทั่วไปใน เมืองต้าลี่ ส่วนวัดพระแก้วเก่าแก่ในเชียงรุ้ง มรดกของชาวไทยรื้อนี้พึ่งจะถูกรัฐบาลจีนรื้อถอนออกไปแล้วเมื่อประมาณ พ.ศ. 2546 เพื่อปรับปรุงเมืองให้ทันสมัย 2. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงตุง ประมาณ พ.ศ. 1500 – 1900 ในช่วงแรกนั้นพระแก้วอาจจะมิได้หุ้มด้วยปูนลงรักปิดทอง แต่ชาวไทยรื้อสามารถสัมผัสและสรงน้ำองค์พระแก้วได้ในวันขึ้นปีใหม่โบราณ โดยดูได้จากการถอดความบันทึกโบราณภาษาไทยรื้อในพม่า ที่มีการบันทึกไว้ด้วยภาษาไทยรื้อโบราณมีอายุประมาณ 1000 ปีมาแล้ว ต่อมาประมาณเมื่อประมาณ 900 ปีมานี้ มีกองทัพเจงกีสข่าน จากมองโกลรุกรานมาถึงพม่าก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการสรงน้ำองค์พระแก้วในวัน ขึ้นปีใหม่อีกเลย อาจเป็นไปได้ว่ามีการหุ้มด้วยปูนแล้วลงรักองค์พระแก้วมรกตไว้ในช่วงสมัยนี้ จนผู้คนก็ลืมไปแล้วว่ามีพระแก้วที่สลักจากหินมรกตอยู่ ปัจจุบันที่วัดพระแก้วในเชียงตุงซึ่งมีอายุกว่า 1000 ปี ได้นำพระองค์อื่นวางไว้แทนองค์พระแก้วมรกต 3. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงราย ถูกพบว่าเป็นองค์พระแก้วมรกตในปี พ.ศ. 1979 ตอนนั้นเชียงรายอยู่ในการดูแลของนครเชียงแสน และเมืองเชียงแสนเป็นถิ่นฐานที่สามารถติดต่อกับชาวไทยรื้อและน่านเจ้าได้โดย การเดินทางผ่านแม่น้ำล้านช้างหรือแม่น้ำโขง แต่องค์พระแก้วที่หุ้มด้วยปูนลงรักอาจจะถูกชาวไทยรื้อแอบเชิญมาอยู่ที่ เชียงรายในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 หรือประมาณ พ.ศ. 1900 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวมอญแพ้ให้กับพม่า และพุกามกำลังเรืองอำนาจ มีการเริ่มก่อตั้งอาณาจักรล้านนา และชาวไทยรื้อเข้มาตั้งถิ่นฐานในภาคเหนือของไทย 4. วัดพระแก้ว ในเมืองลำปาง หรือเมืองเขลางค์นคร ปัจจุบันคือวัดสุชาดาราม หรือ พระแก้วดอนเต้า ประมาณ พ.ศ. 1979 – 2011 ในฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของนครเชียงใหม่ วัดพระแก้วดอนเต้า หรือสุชาดารามนี้ ตั้งอยู่ที่ ถนนสุชาดา ภายในเมืองลำปาง เป็นวัดเก่าแก่สวยงาม มีอายุเกือบพันปี มีปูชนียสถานที่สำคัญของวัดทดแทนพระแก้วมรกต คือ พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งเชื่อว่าบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า . 5. วัดพระแก้ว ในเมืองลำพูน หรือหริภุณชัย ในช่วงปี พ.ศ. 2009-2011 เป็นเส้นทางผ่านในการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากลำปางไปสู่เมืองเชียงใหม่ โดยได้ประดิษฐานพระแก้วมรกตไว้เป็นการชั่วคราวที่นี่ก่อนที่จะมีการก่อสร้าง ปราสาทที่เก็บรักษาพระแก้วในเมืองเชียงใหม่ 6. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือวัดเจดีย์หลวง ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2011 จนถึง 2096 โดยมีการก่อสร้างปราสาทหอพระแก้วไว้บริเวณซุ้มจรนัม ทางทิศตะวันออกของพระธาตุเจดีย์หลวง ปัจจุบันหอพระแก้วเดิมได้ผุพังไปแล้ว มีการก่อสร้างอาคารใหม่ขึ้นมาทดแทน 7. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงทอง หรือปัจจุบันคือหลวงพระบาง ตั้งแต่ พ.ศ. 2096 – 2107 โดยถูกพระญาติของเจ้าครองนครเชียงใหม่ ที่จะได้ไปครองเมืองเชียงทองซึ่งตอนนั้นยังไม่เป็นเอกราช ได้แอบนำพระแก้วมรกตไปจากเชียงใหม่ ปัจจุบันที่ที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานพระบางแทนซึ่งเป็นพระคู่ บ้านคู่เมือง แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองจากเมืองเชียงทองเป็นเมืองหลวงพระบาง 8. วัดพระแก้ว ในเมืองเวียงจันทร์ พ.ศ.2107-2321 พระแก้วมรกตได้ถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่เวียงจันทร์เพื่อหลบหนีจากการทวงคืน จากเชียงใหม่ และการรุกรานของพม่า ปัจจุบันพระแท่นที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตว่างเปล่า ไม่มีการตั้งพระพุทธรูปองค์ประธานอื่นไว้ทดแทน เพราะชาวลาวเชื่อว่าสักวันหนึ่งพระแก้วมรกตจะได้กลับมาที่เดิม 9. วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ใน กทม. จาก พ.ศ. 2321 จนถึงปัจจุบัน แต่ในช่วงแรกที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีศรีสรรเพ็ชร์ คือระหว่าง พ.ศ. 2321-2325 ได้ประดิษฐานไว้ในโรงภายในพระราชวังเดิม ซึ่งปลูกไว้ริมพระอุโบสถวัดแจ้ง ฝั่งธนบุรี (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอรุณราชวรารามในรัชกาลที่ 2) ครั้นเมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2325 ได้โปรดให้เรียกพระแก้วใหม่ว่าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วอัญเชิญมาประดิษฐาน ในพระบรมมหาราชวัง จนมีการสร้างพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2327 จึงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานอยู่ในที่ปัจจุบัน ไม่ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีใดที่จะเชื่อได้ว่าพระแก้วมรกตจัดสร้างขึ้นที่ เมืองปาลีบุตร ประเทศอินเดีย เพราะในยุคนั้นบริเวณเมืองปาลีบุตรไม่มีหินหยกขนาดใหญ่เลย และไม่ปรากฏหลักฐานใดที่จะเชื่อได้ว่าพระแก้วมรกตเคยประดิษฐานที่ลังกา หรือประเทศศรีลังกามาก่อน แม้ว่าจะมีวัดพระเขี้ยวแก้วในประเทศศรีลังกาก็ตาม ยังไม่ปรากฏหลักฐานใดที่จะเชื่อมโยงกับพระแก้วมรกตเลยใน เมืองนครธม และในที่อื่น ๆ ของเขมร รวมทั้งไม่มีเหตุผลใดที่พระแก้วมรกตจะเคยมาอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร และเมืองอโยธยาโบราณ (กรุงศรีอยุธยาตั้งขึ้นมาจริง ๆ ในสมัยพระเจ้าอู่ทองประมาณ 600 ปีก่อนเท่านั้น) นอกจากความเชื่อที่จำกันมา แม้ว่าจะมีวัดพระแก้วในพระนครศรีอยุธยาและเมืองเก่ากำแพงเพชรก็ตาม แต่น่าจะเป็นวัดที่สร้างใหม่ภายหลังอายุไม่เกิน 400 -500 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นที่แน่ชัดว่าพระแก้วมรกตอยู่ที่เชียงใหม่ ลำพูนและลำปาง ดังนั้นตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพระเจ้าอติตะราช (อาทิตยราช) เจ้าครองนครอโยธยาโบราณมารับเอาพระแก้วมรกตไปจากเขมรจึงไม่น่าจะมีจริง ปัจจุบันโอกาสที่เราจะเห็นองค์จริง ๆ (Model พระพักตร์และลวดลายแกะสลัก) ของพระแก้วมรกตนั้นมีน้อยมาก เพราะเรานำเครื่องทรง 3 ฤดู ไปสวมและปกปิดความมหัศจรรย์ขององค์พระจริง ๆ แต่ก็ทำให้พระแก้วมรกตมีความเป็นศิลปะไทยมากขึ้น เพราะหากไม่มีเครื่องทรงจะแล้ว ดูองค์พระจากหินมรกตเปล่า ๆ จะเห็นแตกต่างไปจากที่เราคุ้นเคยมาก ช่างสลักของไทย เขมร พม่า ลาวรวมทั้งล้านนาในทุกสมัยก็มิเคยมีฝีมือสลักพระพุทธรูปในรูปแบบนี้มาก่อน ทุก ๆ 4 เดือนจะมีพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรง สรงน้ำ และบวงสรวงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรโดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จไปแทนในหลวง อาจจะมีโอกาสได้เห็นพระแก้วมรกตตอนถอดเครื่องทรงออกเปลี่ยนและทำความสะอาด ทางทีวีบ้าง
จากคุณ |
:
Sparking Gunner
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.พ. 54 01:02:04
|
|
|
|