เราว่ามันสร้างผลดีมากกว่าผลเสียนะ การปรับระบบอันนี้
เพราะจะมองว่าอุ๊ยว่างเยอะ กว่าจะเปิดเทอมตั้งหลายเดือน ซึ่งมันก็แค่ในครั้งแรกที่ปรับระบบนี้เท่านั้นนี่ นอกนั้นพอเข้าระบบ ระยะเวลาก็จะเท่าเดิม แค่เปลี่ยนเดือนเอง
จากปกติปิดเทอมใหญ่เดือน มีนา-พฤษภา เปิดมิถุนา (ปิด 3เดือน) ถ้าปรับไปเปิดกันยา (จะปิดเทอม6เดือน)
ก็ให้เด็กเอาเวลาช่วงนี้ไปทำงาน หรือทำอย่างอื่นดูบ้าง
ลองมองข้อดีสิคะ การปรับเวลาจะทำให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนไปเรียนที่อื่นได้ง่ายขึ้น เช่น เด็กระหว่างประเทศบางสาขาเรียน2ปีที่ไทย อีก2ปีเรียนที่ต่างประเทศ จะได้ไม่เสียเวลาไปกับการ เปิด-ปิดเทอมที่ต่างกัน
ว่ามันจำเป็นต้องปรับ เพราะการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ถ้าไทยไม่ปรับตัวจะเอาอะไรไปสู้เขา มันเป็นข้อตกลงที่ต้องทำร่วมกัน
ฟิลิปปินส์เองเรียนระดับมัธยมน้อยกว่าของไทย2ปี เด็กเข้าจึงเรียนจบก่อน หางานทำได้ก่อน ในขณะที่เด็กไทยยังเรียนไม่จบ ฟิลิปปินส์เขามีแรงงานเข้าระบบถึง2รุ่นไปแล้ว เมื่อเข้าสู่ประชามคมอาเซียน ก็จะมีการปรับให้ประเทศที่เรียนน้อยกว่า เรียนให้เท่าประเทศอื่นๆด้วยนะ เพื่อลดความได้เปรียบ เสียเปรียบ
ไม่อยากให้มองว่าเอาเด็กเป็นหนูทดลอง อยากให้มองประเทศอื่นๆที่แวดล้อมเราดูก่อน ค่อยตัดสิน มีหลายอย่างที่ประเทศเราต้องพัฒนาอีกมาก กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากประชาคมอาเซียน
ดังนั้นอย่าเพิ่งตีโพยตีพายเลย เวลาเรียนมันก็เท่าเดิมนี่นา ไม่ได้เพิ่มหรือลดลง แค่เปลี่ยนช่วงเวลาเอง และยังไงเรียนหน้าร้อนก็ดีกว่าหน้าฝนนะ ไม่ต้องเปียก และเฉอะแฉะ เสี่ยงกับการป่วยด้วย
ส่วนเรื่องเรียนหนังสือหน้าร้อน ลองคิดถึงการพัฒนาอื่นๆที่จะตามมาดีกว่า เขาคงไม่ให้เด็กทนร้อนอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง แต่แรกๆอาจต้องทนรอและเรียกร้องหน่อยกว่าจะได้ก็เหอะ ตอนนี้มหาวิทยาลัยทุกแห่งก็ต้องปรับให้มีแอร์กันหมดอยู่แล้ว (มหา'ลัยเรามีแอร์ทุกห้องนะ แม้บางห้องไม่เย็นก็เหอะ)
ส่วนอนุบาล-มัธยม คิดว่า อาจจะปรับตามทีหลัง ให้ระดับมหาวิทยาลัยนำร่องไปก่อน เพราะน่าจะปรับได้ง่ายกว่านะ ให้ปรับที่เดียวทั้งหมดคงโหดไป
ปล.เป็นความเห็นส่วนตัวนะ เพราะเราเลือกจะมองข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพราะคิดว่ามันเป็นข้อเสียที่พอรับได้ และแก้ไขได้