#78 จากการตอบของคุณ อาจจะได้รับข้อมูลทางโน้นมาโดยตรงก็ได้ ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยนะครับ
ในกระทู้ที่น้องชายเค้าเข้ามาตั้ง ผมก็คิดนะผมตอบอะไรมากเกินไป
แต่ที่ผมต้องตอบไปเพราะฝั่งโน้นพูดไม่จริงหลายเรื่องครับ ถ้าอ่านดูทั้งหมด
จะเห็นว่ามีช่วงนึงที่ผมต้องบอกเค้าไปว่า"พอเถิดอย่าบังคับให้ผมต้องตอบอะไรเลย"
มันก็ชัดเจนอยู่แล้วในนั้นอยู่แล้วครับว่าทางโน้นเค้าเป็นอย่างไร
ผมเองหนะนั่งคิดหาสาเหตุอยู่นานว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ และก็ได้รู้จากกระทู้โน้นอย่างชัดเจนว่าเค้าคิดกับเราอย่างไร
ได้รับข้อมูลของผมมาอยางไร แบบไหน จากใคร ที่ผ่านสิบกว่าปีเนี่ย ปีๆนึงเค้าได้คุยกับผมกี่นาทีเอง
ผมพูดได้เลยว่าคนที่เอาข้อมูลเรื่องผมไปใส่ให้เค้า ไม่เคยรู้อะไรจริงเลยเกี่ยวกับผม
เพราะชีวิตผมตั้งแต่ มัธยม ผมก็ไม่ได้มีสังคมอะไรแถวบ้านอีกเลย ด้วยความที่เข้ามาเรียนในเมือง ก็มีเพื่อนอีกแบบอยู่กับสังคมอีกแบบ
ช่วง ม ต้น ตอนเย็นเลิกเรียนผมก็ขลุกอยู่ช่วยกับอาจารที่ห้องคอมตลอด ด้วยความที่ผมชอบitมากครับ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำๆแล้ว
พอปิดเทอมพ่อก็ส่งไปอยู่ค่ายที่ลพบุรี ช่วง ม ปลายก็จะคลายๆกันแต่ตอนเย็นเสาร์อาทิตย์ ก็จะไปเรียนพิเศษแทน
และ อาจารย์ที่อยู่ห้องคอมก็เสียกระทันหันด้วยโรคหัวใจ ช่วง ม.6 ผมพักการเรียน แล้วได้ไปทำงานเป็นdevที่ บริษัทในตึกใหญ่
แถวแจ้งวัฒนะ เป็นจุดเรื่อมต้นในการดูแลชีวิตตัวเองของผม ต่อจากนั้นก็โชคดีอีกได้เข้าไปทำงานที่
บริษัทSoftwareยักใหญ่แห่งบนตึกอื้อจือเหลียง โปรเจคที่ผมทำเสร็จก่อนเวลามากๆ พี่ๆเค้าประทับใจมาก แต่ทำไปได้ต่อซักพัก
แผนกที่ผมทำเค้าจะต้องย้ายไปที่ต่างประเทศ ซื่งผมไม่สามารถไปได้พี่เค้าเลยจะทำเรื่องย้ายแผนกให้
แต่ผมตัดสินใจไม่ทำต่อเพื่อออกมา อ่านหนังสือEnt ช่วงปีนั้นเป็นระบบที่สอบสองครับ แต่ตอนที่ผมออกว่านี่จะสอบครั้งที่สองอยู่แล้ว
ผมจึงรีปไปสมัครสอบ ก็ Ent ติดคณะวิศวะแถวบางเขนดีใจมากๆครับ ไปทำกิจกรรมอะไรกับเค้าตลอดก่อนเปิดเทอม
แต่ช่วงที่จะเปิดเทอม ช่วงที่จะขึ้นทะเบียน ทางคณะเค้าเรียกผมเข้าไปคุย เค้าบอกว่าวุธ กศน ผมลงวิชาเลขมาไม่ครบไม่สามารถให้เข้า เรียนได้ เสียใจมากครับ ก็เสียเวลาไปเทอมนึงแต่ช่วงนั้นก็รับงานตลอด
พอเทอมสองก็สอบเข้าเรียนวิศวะอินเตอร์ในสถาบันแห่งหนึ่งที่อยู่ใน มหาลัยรัฐแถวเชียงราก ที่ค่าเทอมสูงพอสมควรผมใช้เงินที่ได้จากการทำงานมาพอจ่ายค่าเทอมได้สองเทอม ที่นี่ผมก็ได้เจอสังคมอีกแบบนึง ไม่ว่าคุณจะจนจะรวยเราเป็นคนเท่ากัน คบกันดูที่ความจริงใจ แล้วก็ใช้ชีวิตมหาลัยแบบเด็กกิจกรรม สอนให้ผมรู้ว่า freedom with responsibility คืออะไร ช่วงนั้นก็รับงานเขียนโปรแกรมตลอด เพราะทางบ้านมีกำลังช่วยไม่ได้มาก
พอช่วงปีสามทางบ้านมีปัญหาหนักมาก แล้วประกอบกับบริษัทที่ผมรับเงานเค้ามาทำชวนผมไปเป็นพนักงานประจำ ก็เลยตัดสินใจออกไปทำงานอีกครั้ง ช่วงนั้นสนุกกับงานมากๆ เขียนโปรแกรมกันไม่หลับไม่นอน ทำงานที่นั่นตั้งแต่อยู่กัน 3-4 จน บริษัทโตมากๆ ย้ายofficeมีพนักงานเพื่อม มีหุ้นส่วนเพิ่ม ช่วงนั้นก็ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่เพื่อนผมยังเรียนมหาลัยอยู่
ทำต่อมาเรื่อยๆจนชีวิตผมเจอปัญหาอะไรบางอย่าง ก็เลยไปช่วยเพื่อนทำงานที่เกาะพงันอยู่หลายปี ช่วงนี้ก็ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง ได้พอเจอผู้คนที่มากจากที่ต่างๆ แล้วเพิ่งกลับมาอยู่ กทม เต็มๆได้สองปีกว่าเองมั้งครับ แล้วก็อยู่ข้างนอกแทบจะตลอดแทบจะไม่ได้อยู่แถวบ้านเลย เพราะผมชอบใช้ชีวิตอีกแบบ ชอบอยู่กับสังคมอีกแบบหนึ่ง คนบางคนที่แถวบ้านผมเค้าไม่เข้าใจหรอก
ชีวิตผมแทบไม่ได้อยู่แถวบ้านเลย แต่ไม่รู้ทำไมเค้าถึงเอามาเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาพูดได้เป็นวรรคเป็นเวร ละเอียดยิบ โดยที่ปีๆเจอกันนับเป็นนาทีได้ ข้อมูลที่ได้รับมาก็พิจารณากันดูเองละกันครับ
อันนี้ตอบ คุณ cookiecoco นะครับ
หลังจากอ่านกระทู้จากฝ่ายนู้นก็พอจะเข้าใจว่า
เรื่องเกิดตั้งแต่ช่วงแต่งงานจนหลังแต่ง
ผู้หญิงเค้าคงคิดอยู่แล้วว่าคงต้องเลิกกัน
เพราะดูแล้วก็แรงใส่กันทั้งคู่
- เรื่องแบบนี้ถ้าคนซื่อตรงต่อกันก็ควรพูดกันตรงๆครับ
ฝ่ายนึงก็ว่าเค้าจนแต่ฝ่ายคุณ ecorevo ก็ดูจะระแวงเกินไป
เรื่องเงินทองถ้ารักกันจริงนิดหน่อยน่าจะยอมๆกันบ้าง
ไม่ต้องคิดว่าเค้าจะมาโกงหมดก็คงไม่เกิดเรื่องแต่แรก
- มันไม่ใช่เรื่องเงินเรื่องทองหรอกครับ มันเรื่องความซื่อตรงต่อกันมากกว่า
ที่คุณเล่าว่าผู้หญิงส่ายหน้าแล้วเดินหนี
คิดว่าเค้าคงผิดหวังกับคุณมากแล้วล่ะ
คงจะคิดว่าไปไม่รอดอยู่แล้ว ทะเลาะกันสะขนาดนั้น
แถมหอบทองกลับบ้านอีก..
เป็นเราคงเปลี่ยนไปและเสียใจมากเหมือนกัน
- ตอนแม่ผมกลับนี่ช่วงหลังแล้วครับ แต่ตอนเค้าส่ายหน้านี่ช่วงต้น
คงไม่เกี่ยวแค่ที่จนอย่างเดียวหรอกดูจากคำตอบที่โพสๆมา
ไม่แปลกที่เค้าจะเขียนในเฟสว่ามีครั้งหน้าแน่
เพราะดูมันก็ไม่น่ารอดอยู่แล้วจากเรื่องที่เกิดก่อนคุณมาโพส
แต่คุณเล่ามันแต่แรกแล้วทำเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเค้าถึงเปลี่ยนไป
- ก่อนหน้านี้ผมให้โอกาสเค้าอยู่ตลอดนะครับ แม้จะโกรธมากๆ ไม่ว่าคนรอบข้างจะบอกอะไรก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเค้าจะเป็นแบบนั้น
แต่ตอนนี้ผมรู้ชัดเจนแล้วว่ามันเป็นอย่าไรครับ ในกระทู้ของน้องชายเค้า
เรื่องฟ้องคุณก็เอาทองกลับไปแล้วนี่คะเหลือเงินแค่สองแสนเอง
ค่าฝากทองค่าคลอดก็เยอะอยู่นะคะ เข้าใจว่าผู้หญิงคงออกเองได้
เผลอๆอาจจะอยากเอามาคืนด้วยซำ้ ถ้าเป็นเรานะเจอกระทู้แบบนี้เข้าไป
สงสารผู้หญิงอ่ะ
- ทองทางผมเอาไปเก็บรักษาใว้ที่ สน ครับ แค่พวกเค้าสำนึกแล้วมา ขอขมาบ้านผมในสิ่งที่เค้าทำ ก็จะจบครับ
เพราะทองเนี่ยเงินผมซื้อก็จริงแต่ญาติผู้ใหญ่เค้าเป็นคนช่วยจัดการตระเตรียมให้เพราะผมไม่มีเวลา
บ้านเค้าทำแบบนั้น ผู้ใหญ่เค้าถือว่าดูถูกกันมากๆครับ
(ก่อนจะอ่านกระทู้จากฝ่ายนู้นเราก็งงหลายๆอย่างนะ
แล้วก็เชียร์คุณ ecorivo แต่พออ่านแล้วเข้าใจเลยอ่ะ
โดยเฉพาะที่คุณตอบประมาณว่าทั้งๆที่ผู้หญิงท้อง
ก็ไม่ได้ต่อรองสินสอดเลย หมายความว่าไงอ่ะ..
- ผมอยากแต่งงานเพราะต้องการสร้างครอบครัวกับเค้าจริงๆ ไม่ได้แต่งเพราะทำเค้าท้องครับ
คือท้องแล้วราคาตกหรอ นี่คือรักกันหรือซื้อของอ่ะ
- ใจจริงๆผมก็อยากถามทางเค้าเหมือนกันครับ เพราะช่วงก่อนแต่งนี่คุยแต่เรื่องเงินอย่างเดียวเลย
คนเราไม่ควรวันค่ากันด้วยจำนวนเงินหรอกครับ
แล้วอยากแต่งจริงป่าวหรือท้องเลยต้องแต่ง เป็นเราก็คิดนะ
- อันนี้ผมควรเป็นคนถามเค้ามากกว่านะครับ
เค้าก็ดูไม่ได้เรียกเยอะเกินเลยนะ คุณก็บอกงบประมาณเองด้วยซำ้
- งบที่ผมบอกกับสิ่งที่เค้าเรียกนี่ มันเท่ากันมั้ยละครับ
บ้านถึงเค้าไม่ได้บอกว่าให้แต่เค้าก็ดูเหมือนจะยกให้นั่นแหละ
ของอย่างงี้ไม่เห็นต้องออกปากพูดเลย)
- ถ้าหมายถึงสินสอด การกระทำของเค้ามันชัดเจนกว่าครับ
ถ้าเค้าตั้งใจจะยกคืนให้จริงก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรแบบนั้นเลย
เป็นเราก็คงเปลี่ยนไปเพราะเรื่องมันหนักขนาดนี้
แต่เรื่องที่เค้าเขียนในเฟสก็แรงจริง อาจจะเขียนนานแล้ว
ช่วงที่เกิดเรื่องกันรึเปล่าคะ
- เค้าเขียนก่อนแต่ง ไม่กี่วันครับ ยังไม่มีเรื่องอะไรกันครับ
ขอให้กำลังใจทั้งคู่นะคะ
- ขอบคุณครับ
แต่ให้น้องผู้หญิงเยอะหน่อยเพราะโดนถล่มเยอะเหลือเกิน
- จากกระทู้ที่ผมตั้้งผมแค่อยากปรึกษา อยากระบาย ผมก็ไม่ได้รู้สึกดีหรอกครับที่ใครโดนถล่ม