ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่า ถ้าเราอยากทำบุญ ด้วยจิตใจที่อยากทำ เราจะใส่เป็นทาน หรือ เป็นข้าวปลาอาหาร ก็ได้บุญทั้งนั้นแหละครับ ทำบุญแล้วมาคิดเยอะ จะพาลไม่ได้บุญสะเปล่าๆ จากคุณ : Chimaira เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:06:25

ความคิดเห็นที่ 2 แล้วพวกค่าน้ำ ค่าไฟ จิปาถะต่างๆ พระท่านจะนำเงินที่ไหนมาจ่ายล่ะคะ จริงๆ ก็น่าจะแล้วแต่ตัวเรามากกว่านะคะ ถ้าทำไปแล้ว คิดว่าจะนำไปใช้ในทางไม่ดี คงจะเป็นบาป แต่ถ้าคิดว่าทำไปแล้ว พระท่านจะจัดการกับเงินทำบุญ อย่างไรก็แล้วแต่ คิดว่าได้บุญค่ะ ปล.ความเห็นส่วนตัวนะคะ จากคุณ : ลูกแกะตัวจิ๋ว (ลูกแกะตัวจิ๋ว) เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:21:20

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องที่คุณกล่าวมาผมไม่เถียง แต่ในมุมผมคนที่ตื่นมาใส่บาตรทุกวัน ก่อนจะใส่อะไรจะคิดเสมอว่าจะเกิดประโยชน์กับพระท่านแค่ไหน ส่วนใหญ่จะใส่ด้วยขนมปัง ยารักษาโรค ผลไม้ แต่ทุกอย่างจะต้องเก็บไว้ทานได้หลายวัน บางวันไม่ได้เตรียมก็จะเอาปัจจัยใส่ซองถวายท่าน คือถามว่าบาปไหมอันนี้ไม่รู้แล้วก็มองข้ามมาแล้ว คือคิดแค่ว่าเราอยากทำ แส้วที่ทำก็หวังแค่ปัจจุบันให้ใจสงบ ไม่ได้คิดว่าจะต้องผลชาติหน้าหรือว่าอะไร ของแบบนี้ผมว่าอยู่ที่ใจเรานี่แหละสำคัญสุด (ทั้งหมดคือความเห็นส่วนตัวผมนะครับ ) แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 07:19:37 จากคุณ : กระต๊อบหลังเดิม เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:23:53

ความคิดเห็นที่ 4 ดีครับ ทำบุญด้วยเงินยิ่งไปเสริมกิเลสพระ ผิดพระวินัย พระหลงมัวเมาในเงินและอำนาจ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมกัน ทำไปก็ไม่ได้บุญ อย่างธรรมกายนั่นไง เอาเงินไปสร้างจานบิน เพราะฉะนั้นทำบุญก็ต้องคิดด้วยครับ ศาสนาพุทธเน้นที่ปัญญา ^^ คิดว่าตั้งถูกห้องเหมือนกันครับ ที่ห้องศาสนาเคยเห็นพูดเรื่องนี้เหมือนกัน ยกพระวินัยมากันเลย เค้าคงรู้กันอยู่แล้ว จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:25:05

ความคิดเห็นที่ 5 พระที่ดี จะต้องไม่รับเงิน รับซอง โดยตรงค่ะ เพราะจะทำให้เกิดกิเลส ถ้าต้องการทำบุญด้วยเงิน ให้เอาใส่ตู้ของวัด ค่ะ เพื่อให้กรรมการวัด จัดสรรเงินส่วนนี้ เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น จากคุณ : ตระกูลA เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:27:07

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ รู้สึกจะมีระบบของวัดอยู่นะครับ คือ ต้องบริจาคให้วัดน่ะครับ แม้จะคิดว่ามันยุ่งยากจัง แต่จะทำบุญด้วยเิงิน ไปวันเสาร์อาทิตย์บริจาคให้วัดดีกว่าครับ ทำบุญด้วยเงิน คิดว่าพระคงเก็บไว้ครับ ไม่มาจ่ายค่าน้ำค่าไฟหรอก เพราะวัดจ่าย จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:31:37

ความคิดเห็นที่ 7 หากต้องการใส่เป็นเงิน   เพียงแค่อย่าใส่ลงในบาตรข้าวของพระค่ะ  เพราะหากทำเช่นนั้นจะเป็นการผิดวินัย แต่ให้ท่านปิดบาตร แล้ววางเงินด้านบนได้   แบบนี้ไม่ผิดพระวินัย ทำได้ค่ะ คนพุทธเรามีจิตศรัทธา  จึงทำลงไปด้วยจิตศรัทธาที่อาจจะไม่รู้ว่าแบบไหนถูกแบบไหนไม่ถูกเท่านั้นเอง จากคุณ : waru (waru_y) เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:39:04

ความคิดเห็นที่ 8 ปกติแล้วพระจะรับเงินหรือซองเงินโดยตรงไม่ได้ ต้องเอาไปให้กรรมการวัดเป็นผู้ดูแล แต่การตักบาตรด้วยเงินนี้ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็น เพราะทางประเพณีที่บ้านไม่ทำกัน เคยเห็นแต่ในภาพยนตร์เท่านั้น ซึ่งจะบาปหรือไม่นั้นผมว่ามันขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่างนะ 1. เจตนาบริสุทธิ์ 2. ผู้รับบริสุทธิ์ 3. ของนั้นบริสุทธิ์ ปล. ถ้ามีความคิดเห็นเพิ่มเติมเสนอได้ครับ จากคุณ : preaw55 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:42:29

ความคิดเห็นที่ 9 ตักบาตรด้วยเงิน - จะกลายเป็นปัจจัยของพระทันทีครับ - เงินน่ะสกปรก ถ้าจะใส่ กรุณาห่อถุงพลาสติกหรือไม่ใส่ในบาตร - เรื่องเงิน เอาจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อวัด เพราะวัดก็มีค่าใช้จ่ายเยอะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ส่งเด็กวัดเรียน ค่าเลี้ยงหมาวัด(ที่คุณโยมมาปล่อยกัน) และอื่นๆ - เรื่องสงฆ์ห้ามรับปัจจัย ขึ้นอยู่กับนิกายและความเคร่งครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับ "เจตนา" เหมือนที่คุณ @คห 8 บอกล่ะครับ ตอนผมบวช โยมให้ปัจจัยมาพอสมควร ผมเอาให้เด็กวัดไปซื้อของที่อยากได้บ้าง และซื้อหนังสือธรรมะ แจกญาติโยมที่มาตักบาตรครับ จากคุณ : ลูกพ่อป๊อก เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:09:10

ความคิดเห็นที่ 10 เปรียบเทียบ สมมติถ้าเราตักบาตรด้วย "เหล้า"เพราะเหล้า ได้ไป ก็ได้แค่ ตั้งวงก๊งเหล้ากัน แต่เงิน หาได้ทุกอย่าง เหล้า ยา การพนัน หรือแม้แต่ซื้อบริการทางเพศ พระดื่มเหล้า พอเมาแล้วก็เล่นการพนัน เล่นยา มั่วเซ็กส์...  มันต่างกันตรงไหนครับ โดยส่วนตัว เห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมด แยกแยะกันหน่อยเป็นกรณี อย่าไปสุดขั้ว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว จะไม่ให้เอาเงินให้พระเลย แล้วเวลาที่พระต้องเดินทางไปเรียน ค่าหนังสือ ค่ารถ ค่าฯลฯ จะเอาที่ไหนมาจ่ายครับ ถ้าเป็นแบบสมัยก่อน ไม่ต้องออกจากวัด ไม่ต้องใช้เงินก็ว่าไปอย่าง จากคุณ : Inlaw Man เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:15:22

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านแล้ว เอ่อ.... นั่นพระนะ พระที่เรายกมือไหว้ ไม่ใช่เด็กที่เราต้องควบคุมค่าใช้จ่าย ถ้าให้เงินแล้วกลัวไปทำไม่ดี ให้ข้าวกินก็มีแรงไปทำเรื่องไม่ดีเหมือนกัน ถ้าให้เงินแล้วกลัวขนาดนั้นไม่ต้องยกมือไหว้แล้ว จากคุณ : Darigaaz เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:29:19

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนตัวใส่ซองเฉพาะตักบาตรวันเกิดนะคะ จิตเป็นกุศล ใส่ซองเพื่อให้พระใช้ในการเกื้อหนุน เผยแพร่ศาสนา เราว่าสำหรับเราแค่นี้พอแระ จากคุณ : ann_kikkik เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:39:11

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเพิ่งรู้ว่ามีคนใส่บาตรกับพระเป็นเงินโดยตรงด้วย... ความเห็นผมนะ ผมว่า..ไม่ใช่ไม่ให้ถวายปัจจัยให้พระเลย แต่ไม่ควรถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ตรงๆอย่างการใส่บาตรด้วยเงิน จากคุณ : nothingman เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:43:20

ความคิดเห็นที่ 14 คห.3 ถ้าพระรับบาตรหรือรับประเคนอาหารแล้ว ต้องฉันภายในเที่ยงวันนั้นนะครับ ห้ามเก็บไว้วันต่อๆไป ถ้าเป็นอาหารแห้ง หรือมีคนมาถวายหลังเที่ยง มักจะใช้ให้ลูกศิษย์หรือเณร ไปเก็บให้เพื่อนำมาประเคนให้ท่านในวันอื่นๆครับ จากคุณ : amtap เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:44:08

ความคิดเห็นที่ 15 อืม...ตอบยากนะคับ แต่ผมว่าไม่น่าจะต้องถึงขั้นห้าม คหสต กลับคิดว่า ตักบาตรด้วยเงินน่าจะเกิดประโยชน์มากที่สุดด้วยซ้ำ เพราะว่า คนเราก็ทานได้เป็นปริมาณจำกัด ดังนั้นอาหารหรือของใช้ที่ได้จากการตักบาตรก็มักจะเหลือกินเหลือใช้ขั้นเทพ วัดที่ผมบวชนอกจากนำข้าวปลาอาหารแห้งที่เหลือจากการฉันไปบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้า ให้เด็กออกค่ายต่างจังหวัด ให้ญาติโยมที่มาขอ ให้สุนัขแล้ว ยังเหลือทิ้งอีกเป็นจำนวนไม่น้อยเลยคับ บอกตามตรงว่าเสียดายมาก อาหารเหล่านี้เปนของที่ญาติโยมตั้งใจนำมาใส่บาตรทั้งนั้น บางคนฐานะไม่ดีหน่อยก็กลายเปนอาหารเหลือทิ้ง เสียดายเงินที่นำไปซื้อของมาตักบาตรแทน เพราะเงินบางคนกำลังกลายเปนขยะ และรวมกันเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ดังนั้นการตักบาตรด้วยเงินบางทีก็จะได้กลายเป็นทุนทรัพย์ในการทำบุบำรุงวัด จัดกิจกรรมของทางวัดได้โดยไม่ต้องทิ้งขว้่างกันแบบนี้ อีกอย่าง เงินมันเป้นของไม่เน่าสียเราจึงเก็บสะสมไว้ใช้ในยามที่มีคนมาขอบริจาคได้เช่นกัน ผมตอบโดยไม่ได้อิงหลักคำสอนนะคับ แต่คิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป เราใช้เงินเป้นตัวกลางจนปฏิเสธไมไ่ด้ว่ามันเข้ามามีบทบาทกับชีวิต และพร้อมจะแปรรูปเป้นอะไรที่มีประโยชน์เมื่อไร่ก็ได้ ดังนั้นหากจะนำมาปรับใช้คงไม่ผิดอะไรมาก ปล. พระหลายรุปที่นำไปใช้ในทางที่ผิดวินัย อันนี้ก็ต้องว่าและลงโทษกันไปตามวินัยเช่นเดียวกับ คห อื่นคับ จากคุณ : Vr_big เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:56:33

ความคิดเห็นที่ 16 เอ 5 บาท ในตอนที่บัญญัติระเบียบต่างๆ ตอนนั้นน่ะ กี่ปีมาแล้วน้า ตอนนั้น 5 บาท ทำไรได้มั่งน้า แล้วเดี๋ยวนี้ 5 บาท ทำไรได้มั่งน้า จขกท. น่าจะลองศึกษาต่อยอดไปอีกนิดนึง จะได้ทราบว่า พระที่บิณฑบาตร แล้วให้พรน่ะ ผิดวินัยสงฆ์ เหมือนกันนะครับ เคยรู้มาก่อนมั้ย พอรู้แล้ว แปลกใจมั้ย ตักบาตรครั้งต่อไป จขกท. จะบอกพระมั้ย ว่าไม่ต้องให้พร เพราะท่านจะผิดพระวินัย จขกท. ให้คำตอบตัวเองให้ได้ครับ จากคุณ : Nemesis เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:13:57 A:58.10.84.109 X: TicketID:357962

ความคิดเห็นที่ 17 การดำรงชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว พระท่านขึ้นรถเมล์ก็ต้องจ่ายเงิน กระเป๋าไม่ให้ขึ้นฟรีหรอกคะ บางทีก็ไม่รับท่านด้วย พระท่านก็ต้องเหมาแท็กซี่หรือรถตุ๊กๆไปเรียนหรือไปสอนตามที่ต่างๆคะ แล้วถ้าเราไม่ใส่บาตรด้วยเงินท่านจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ เวลาใครพูดอะไรต้องฝึกคิดอีกด้านด้วยคะ จากคุณ : uorda เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:35:02

ความคิดเห็นที่ 18 เราไม่รู้หรอกว่าผิดวินัยหรือไม่ แต่สำหรับเรามีญาติที่บวชเป็นพระท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ถึงแม้ว่ากิจวัตรประจำวันไม่ต้องใช้ แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าวันใดเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา พระบางรูปเวลาเจ็บป่วยก็ไม่มีปัจจัยที่จะไปหาหมอ อย่างน้อยค่ารถค่าเดินทางก็ต้องใช้ ดังนั้นปัจจัยบางส่วนจึงจำเป็นที่ต้องมีสำรองไว้เช่นกัน ดังนั้นสำหรับเรา เวลาที่ทำบุญตักบาตรก็จะใส่ซองเงินไปด้วย จากคุณ : kaws เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:38:43

ความคิดเห็นที่ 19 ผม เจ้าของกระทู้ นะครับ คิดว่าจะปล่อยให้แสดงความคิดเห็นกันตามอัธยาศัย เพราะทุกคนก็มีความเห็นส่วนตัว ผมเอง ก็ออกมาบอกเล่า ตามความเห็นส่วนตัว จากที่เคยบวชเรียนมาเหมือนกัน แต่เหมือนมีคนสงสัย และตั้งคำถามในตัวผม ก็ขอมาตอบ และขยายความ ตามที่สงสัยก็แล้วกันครับ ^^ ตัวผม บวชเรียนมา ในวัดที่ถือธรรมวินัย 227 ข้อ ปฏิบัติกิจสงฆ์ ตามวินัย ฉันท์มื้อเดียวต่อวัน (เช้า) และมีเวลาดื่มน้ำปานะ ครั้งเดียว คือเวลาสี่โมงเย็น นอกนั้นสิ่งที่ผ่านเข้าปาก กลืนลงลำคอได้ คือน้ำเปล่าเท่านั้น (ถ้าฝ่าฝืน ถือว่าต้องอาบัติ) ฉันท์อาหารทั้งหมด รวมในบาตร วันไหนถ้าไมได้ออกบิณฑบาตร ก็จะไม่มีสิทธิ์ฉันท์อาหาร (ยกเว้นป่วย-อาพาธ) ตอนบิณฑบาตร ไม่มีการให้พรครับ รับอาหารจากโยมด้วยอาการสงบ สำรวม แล้วมาสวดมนต์ให้พรรวมกัน ตอนกลับมาถึงวัด ก่อนฉันท์ภัตาหารเช้า นอนในกุฎิ ที่มีพื้นที่เพียงพอ แค่สำหรับนอนเท่านั้น (กว้างไม่ถึงวา-ไม่พอให้กางแขนออกสองข้าง ยาวประมาณเกือบ 2 วา) อ่านหนังสือสวดมนต์ด้วยเทียน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องปรับอากาศ-พัดลม ทรัพย์ที่มีติดตัว มีแค่ ผ้าไตร-จีวร สังฆติ บาตร เครื่องอาบน้ำเท่าที่จำเป็น หนังสือบทสวดมนต์ ผมใช้ชีวิตบวชเรียน ด้วยการมีทรัพย์ เท่านี้จริงๆ ทำให้ผมรู้ว่า พระ ไม่ได้ต้องการอะไรเลย บนเงื่อนไขที่ว่า ถ้าวัดจัดหาให้เพียงพอตามความจำเป็น อาหาร ไม่ต้องตุน เพราะที่ญาติโยมนำมาทำบุญ หรือตักบาตร ก็เกินพอในแต่ละวัน ส่วนเรื่องยา ตามปกติ ทางวัดจะมีจัดไว้ให้กับสงฆ์โดยเฉพาะอยู่แล้ว ส่วนอาการเจ็บป่วยที่ต้องถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ทางวัดก็เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายให้อยู่แล้ว ดังนั้น การที่พระจับต้อง ถือเงิน ผมจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมี เพราะมันไม่ใช่สิ่ง "จำเป็น" สิ่ง "จำเป็น" ทั้งหลาย ทุกอย่าง ทางวัดจัดหาไว้ให้หมดแล้ว ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แสดงธรรมไว้ว่า ไม่ควรถือครองเงินเกินกว่า 5 บาท สมัยนั้นเมื่อเทียบแล้ว สามารถซื้อที่ดินได้เป็นผืนๆ บ้านเป็นหลังๆ ใช่ครับ มันคนละอย่างราวฟ้ากับนรกในสมัยนี้ ที่ไม่พอแม้จะซื้อน้ำเปล่าสักขวด เรื่องนี้ มันก็เป็นข้อถกเถียงกันในวงกว้างเหมือนกันครับ ว่าจะตีความไปในทางไหน เราจะตีความ "ตามตัวอักษร" เหมือนการแปลภาษาแบบคำต่อคำ หรือเราจะใช้การตีความ "ตามที่เห็นสมควร" ดูบริบท และความเหมาะสม ก็สุดแล้วแต่ที่แต่ละคนจะตีความแหละครับ อันนี้ผมคงไม่ไปก้าวก่ายสิทธิ์ของใคร ที่จะยึดแบบไหนไปใช้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้มา หลังจากบวชเรียนคือ ไม่ต้องมีเงินสักบาท ก็เจริญภาวนาได้ สุดท้าย ผมเห็นด้วยครับ ว่าเราทำบุญด้วยจิตที่เป็นกุศล บุญย่อมไม่หนีหายไปไหน การทำบุญตักบาตร เราทำเพื่อให้พุทธศาสนา สามารถคงอยู่ และมีพระสงฆ์เผยแพร่พระธรรมสืบต่อไป ซึ่งมันก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และสภาพสังคมไปเรื่อยๆ ผมแค่เพียงรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ มันหลุดออกจากกรอกที่เหมาะสมมา มากเกินไปเท่านั้น จากคุณ : Mashi_Naz เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 13:36:16

ความคิดเห็นที่ 20 ผมอยากรู้ว่า ที่ จขกท. พูดถึงคือ อย่าใส่บาตรพระด้วย "เงิน" หรือหมายถึง "ห้าม"ถวายเงินแก่พระ ถ้าหมายถึง ห้ามใส่บาตรด้วยเงิน อันนี้ผมเห็นด้วยครับ เพราะการบิณฑบาตของพระ จุดประสงค์คือ ขออาหารจากชาวบ้านนั่นเอง เพราะพระไม่ใช่ฆราวาส พระมีหน้าที่ประกอบกิจของสงฆ์ เจริญภาวนา มุ่งมั่นละกิเลส ถ้ามัวแต่ไปทำมาหากิน ก็ไม่มีเวลาประกอบศาสนกิจ พระพุทธเจ้าจึงให้มีการบิณฑบาตเพื่อให้พระสงฆ์อยู่ได้ แต่ทรงอนุญาตแค่การรับอาหารเท่านั้นครับ ไม่ได้อนุญาตให้รับเงิน แต่การ "ห้าม" ถวายเงินพระ อันนี้ผมว่า อาจจะตึงเกินไปนิดนึง เพราะว่าปัจจุบัน วัดก็มีค่าใช้จ่ายอยู่เป็นจำนวนมาก ลำพังแค่ปัจจัยที่ฆราวาสถวายก็อาจจะไม่เพียงพอ ดังนั้นยังไงก็ต้องใช้เงินครับ แต่ตรงนี้ ก็มีการปฏิบัติที่แตกต่างกันในแต่ละนิกาย มหานิกาย ไม่มีข้อห้ามไม่ให้พระจับเงิน แต่ธรรมยุติ (คาดว่าคุณ จขกท. น่าจะบวชที่วัดแบบธรรมยุติ) พระจะจับเงินไม่ได้ครับ ดังนั้นเวลาไปทำบุญที่วัด ถ้าเห็นวัดไหนที่พระท่านไม่รับเงิน แต่รับเป็นใบอนุโมทนา ที่เราเอาเงินไปบริจาค โดยให้กับกรรมการวัดก่อน แล้วเค้าออกใบอนุโมทนามาให้ แล้วค่อยไปถวายพระนั่นแหละครับ วัดธรรมยุติล่ะ ซึ่งตรงนี้ ผมก็เห็นด้วยนะ ที่พระไม่ควรจะมีทรัพย์สินเป็นเงินส่วนตัวแบบนี้ เงินที่ถวายพระ ก็ต้องตกเป็นของสงฆ์ คือมีกรรมการวัดดูแล แต่ไม่ใช่เป็นของส่วนตัวของพระเอง จากคุณ : David_kop เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 15:24:57

ความคิดเห็นที่ 21       อืม เรื่องนี้ควรอยู่ในห้องศาสนาหรือเปล่าอ่ะครับ แต่ไหนๆเข้ามาแล้วก็ตอบนิดนึง ไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดเพราะพระแต่ละรูป ก็สามารถมีปััจจัยเพื่อการใช้จ่ายส่วนตัวได้อยู่แล้ว ตอนพระไปสวดก็ได้รับซอง แต่ละรูปก็นำไปใช้จ่ายเองทั้งนั้น การใส่บาตรก็เช่นกัน เพราะที่ใส่เป็นเงิน ก็ทำด้วยเจตนาให้พระนำไปใช้ในทางที่คิดว่าเหมาะสมครับ จากคุณ : เจ้าชายเจ้าสำราญ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 15:51:36

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบ คุณ David_kop ใน คห. 20 ครับ ผมไม่ได้จะเจาะจง ว่าหมายถึงเฉพาะการตักบาตร หรือการถวายให้ที่วัด แต่ไม่ว่าจะทำบุญด้วยเงิน ด้วยวิธีการใด ที่สุดแล้ว ถ้าเงินตกอยู่ในมือพระ นั่นคือไม่ควร (ในความเห็นของผม) เพียงแต่ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ ง่ายๆ ทั่วๆไป ตามท้องถนน ทุกวันนี้ครับ เรื่องนิกายต่างๆ ผมก็ไม่ได้ศึกษา หรือรู้ลึกอะไรมากนัก แต่ไม่ว่าวิธีปฏิบัติจะเป็นอย่างไร นิกายไหนๆ ถ้ามันถูกต้อง นั่นคือดีแล้วทั้งนั้นครับ ^^ จากคุณ : Mashi_Naz เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 16:09:11

ความคิดเห็นที่ 23 เราตักบาตรด้วยเงินค่ะ เผื่อวันหน้าพระท่านอาพาธ จะได้มีเงินรักษาตัว เป็นพระใช่ว่าจะได้ทุกอย่างฟรีๆ นะคะ โดยทั่วไปก็ตักบาตรด้วยอาหาร ขนม น้ำดื่ม แต่บางวันเราก็เอาเงินใส่ซองใส่ไปด้วย บาปบุญอยู่ที่เจตนามากกว่า จากคุณ : ++nadda++ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 16:54:35

ความคิดเห็นที่ 24 เห็นด้วยกับ จขกท. เป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเห็นข่าวพระขับเบนซ์ไปมั่วหญิง, พระเที่ยวสถานที่อโคจร, หรือเวลาไปเดินคลองถมเห็นพระยืนเลือกซื้อหนัง แล้วบอกตรง ๆ ว่าหมดศรัทธา ลองคิดดูนะครับ ว่าภาพเหล่านี้เกิดจากอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าพระมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ยอดบริจาคทะลุกันทุกวัด ในมุมมองของผม พระคือ "อาชีพ" อาชีพหนึ่ง และไม่ควรจะต้องมีเงินทองมากมาย ถามว่าคนบริจาคจะบริจาคเข้าวัดกันทำไมเยอะแยะ แล้ววัดมีเงินก็เอาไปสร้างเจดีย์ สร้างโน่นสร้างนี้ แล้วก็วนกลับมาที่ขอเงินกับผู้มีจิตศรัทธา บอกเรื่องนี้กับ ครอบครัว แฟน มาตั้งนานแล้ว บอกว่าไปบริจาคแค่หลอดไฟ สังฆทาน ก็พอ ไม่ต้องให้เงินเลยจะดีมาก จาก คนที่ไม่ได้ลบหลู่ แค่พูดตามความเป็นจริงของสังคมปัจจุบัน จากคุณ : ชุดนักเรียนบางลำภู เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 17:29:53

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าเราให้ ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มานั่งเสียดาย นั่งบ่นทีหลัง มันก็ไม่บาป ไม่เป็นเวรเป็นกรรมหรอก แต่ถ้าให้ไปแล้ว มานั่งคิดว่าให้ไปแล้ว พระเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดีล่ะ นึกเสียดาย นั่นล่ะบาป ถ้าพระจะเอาไปทำอะไรที่ไม่ดี มันก็เป็นบาปของพระ เป็นเวรเป็นกรรมของตัวพระ! เอง ยังมีอีกเยอะที่ ได้เงินไปแล้ว เอาไปสร้างสิ่งดี ๆ ใช้ในเรื่องดี ๆ เรามีหน้าที่ให้ทาน ทำบุญ ก็ทำไป ทำแล้วก็จบ อย่าไปคิดว่าจะต้องได้บุญเท่าไหร่ บาปเท่าไหร่ อย่าตึงไป และอย่าหย่อนไป ไม่ใช่ไม่ให้เลย ถึงเป็นพระก็จำเป็นต้องใช้ เจ็บป่วยก็ต้องใช้(ปัจจุบันไม่เหมือนในสมัยพุทธกาล) แต่ก็ไม่ใช่ให้จนเยอะแยะมากมาย จนต้องผ่อนชำระ(บุญ) เหมือนบางวัดกันเลย แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 17:36:39 จากคุณ : เฮ่งเจีย (hangjai) เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 17:33:01

ความคิดเห็นที่ 26 เดี๋ยวนี้พระ มีเรียนทางโลกแล้วนะครับ ค่าใช้จ่ายปริญญาตรี ก็ได้มาจาก การเดินบิณฑบาตรด้วยส่วนหนึ่งล่ะครับ จาก คนเพิ่งสึก จากคุณ : via iPhone (bundoh) เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 17:40:44

ความคิดเห็นที่ 27 คนเรา ทำบุญอยู่ที่ใจ จะทำบุญด้วยอะไร มันก็มีความสุข เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย สำหรับสงฆ์ กิเลสของสงฆ์ต่างหาก ที่นำเงินไปใช้ในทางที่ผิด จากคุณ : P-Piya เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 17:44:13

ความคิดเห็นที่ 28 จริงๆแล้วเวลาผมไปทำบุญผมจะใส่บาตรด้วยอาหารถ้าบริจาคเป็นเงิน ผมจะนำไปใส่ตู้บริจาค ค่าน้ำ ค่าไฟว่ากันไป ตามกำลัง ส่วนที่อยากให้ถวายให้พระมาก ก็คือจีวรครับ เพราะตอนผมบวช ได้จีวรมา สองชุดก็ใช้อยู่แค่นั้นจนสึก คิดว่าถ้ามีมากกว่านี้ก็ดี เพราะ ไม่ค่อยมีคนมาถวาย นอกจากช่วงเข้าพรรษา ที่จะมีคนนำมาถวาย จากคุณ : วีรบุรุษสำราญ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 17:45:55

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ เห็นด้วยกับ จขกท. อย่าเพิ่งหมดครัทธาไปเลยครับอย่างน้อยตลอด 2600 ปี พระพุทธ พระธรรม ก็ไม่เคยเสื่อม พระสงฆ์แม้ในกระทั่งสมัยพุทธเจ้าก็ไม่ต่างจากสังคมปัจจุบัน แต่สมัยนี้จะไฮเทคตามยุคตามสมัย วินัย 227 ข้อนัั้น เกิดจากพระสงฆ์ทำผิดก่อน พุทธเจ้าจึงทรงได้ตั้งกฏขึ้นห้ามหรือให้ทำตาม แต่สมัยนี้บางสิ่งบางอย่างพระได้กระทำไม่ เหมาะแก่ฐานานุรูป เช่น ก็ตามแต่เหตุการณ์ที่เราๆเห็นนั้นละ ว่าท่านเหมาะควรจะอยู่ตรงนั้นหรือควรทำอะไรต้องช่วย กันครับ ติเตียนท่านผมว่าไม่บาปเป็นการเตือนสติท่านให้กลับเข้าร่องเข้ารอยธรรมที่ควรปฏิบัติ รณรงค์ตามหัวข้อครับ ออกนอกเรื่องไปนิด ศาสนาเราผมว่าให้อิสระดีครับ แต่ต้องรู้หลักก่อน แล้วศึกษา และ สอนให้ได้ผลของท่าน ป.อ.ปยุตโต อย่าหาว่า โฆษณาเลยครับแต่จะได้เข้าใจแท้จริงที่เราๆเห็นกันอยู่เกือบทุกวัน อีกเล่มได้รับแจกเป็นธรรมทาน ชวนม่วนชื่น ศิษย์หลวงพ่อชาเขียน ท่านเป็นพระฝรั่ง ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสในต่างประเทศ ท่านบวชตั้งแต่ยังวัยรุ่น นอกเรื่องไปอีกแล้ว จากคุณ : ม้าปรีชา เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 18:14:40 A:58.9.85.158 X: TicketID:364831

ความคิดเห็นที่ 30 ใส่บาตรด้วยเงิน พระต้องไปปลงอาบัติกันอีก อันที่จริงเราๆทำอะไรหลายอย่างโดยที่ไม่ทราบ แล้วก็คิดไปว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนจึงต้องเปลี่ยนเจึงต้องเปลี่ยนตาม แต่เราเป็นใครละคะที่จะไปเปลี่ยนพระวินัย จริงๆแล้ว ความจำเป็นทั้งหลายของสงฆ์ทีต้องใช้เงินนั้น มีผู้จัดการให้อย่างมัคทายกหรือโยมอุปัฏฐาก กรรมการวัดอะไรก็ว่าไป ถ้าฆราวาสมีใจเป็นห่วงตรงนี้จริงก็น่าจะถวายแบบถูกต้อง แต่เรามักจะนึกกันเองว่า ก็เราไม่มีเวลาไป ถวายแบบนี้ก็แล้วกัน ยุคสมัยเปลี่ยน และอะไรอื่นๆอีก เหตูผลต่างๆนานาที่มาช่วยเสริมความคิดของเราเอง แต่มันไม่ได้ทำให้การกระทำของเราถูกต้องขึ้นมานะคะ จากคุณ : java~ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 18:18:34

ความคิดเห็นที่ 31 ทำไมถึุง 5 บาทล่ะคะ? สงสัยเหมือนกัน แล้วพระพุทธเจ้าท่านใช้เงินบาทเหรอ??? เราไม่ใส่บาตรด้วยเงินค่ะ เพราะรู้อยุ่แล้วว่า การที่พระท่านมาบิณฑบาตรนั้นเพื่ออาหารประทังชีพ แต่ถ้าคนอื่นจะใส่ด้วยเงิน เราก็ไม่ห้ามหรืออะไรนะคะ เรื่องของเขา มันเป็นสิทธิ์ของเขาอ่ะค่ะ ช่วยได้ทางใจของเขา จากคุณ : bookalive เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 18:40:58

ความคิดเห็นที่ 32 เคยคิดอีกด้านหรือเปล่าคะว่าอาหารที่ใส่บาตรจนเกินความจำเป็นสุดท้ายมันก็เหลือทิ้ง? วันที่ จขกท บวช อาจจะมีการจัดการที่ดี แต่ก็มีอีกหลายวัดที่พระต้องช่วยเหลือตัวเองนะคะ โลกนี้มีอะไรอีกเยอะ ศูนย์กลางจักวาลอยู่ที่ไหนก็หารู้ได้ไม่ จากคุณ : อย่าเอาความงงมาลงที่ฉัน เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 18:43:20

ความคิดเห็นที่ 33 ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ส่วนใหญ่พระท่านจะมีย่ามไว้ให้ญาติโยมใส่เงินแทนการใส่บาตรนะครับ จากคุณ : AiRsubZero เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 18:45:28

ความคิดเห็นที่ 34 มีเรื่องสงสัยอยากทราบค่ะ (สงสัยจริงๆ) ตอนพี่ชายบวช ทางวัดเขียนรายการค่าใช้จ่ายว่า ต้องใส่ซองให้พระคู่สวด พระพี่เลี้ยง ฯลฯ (จำไม่ได้ว่าเรียกอะไรบ้างอีกหลายรูป ) รายการเยอะมาก รูปหนึ่งก็ 2,000 1,000 500 200 100 ... หลายราคา แต่ก็ประมาณนี้ค่ะ เฉพาะค่าซอง 6000.- วัดต่างจังหวัด ไม่ได้จัดงานเลี้ยงอะไร เพราะพี่ชายต้องการบวชจริงๆ สงสัยว่าถ้าอย่างนี้พระท่านจะถือว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือเปล่าคะ ปล. สงสัยเฉยๆนะคะ เห็นในกระทู้นี้บอกว่าการให้เงินถือว่าบาปยิ่งกว่าการให้เหล้า ส่วนตัวคิดว่าพระธรรมวินัยไม่ให้พระทำเช่นนี้ แต่ทางวัดกำหนดมาแบบนี้ จะให้ทำยังไงดีล่ะคะ แต่กรณีบวชของพี่ชายนี้ยินดีที่จะจ่ายเนื่องจากทราบว่าวัดก็ต้องมีค่าน้ำ ค่าไฟเป็นธรรมดาค่ะ จากคุณ : ผ้าพันคอสีเขียว เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 18:55:57

ความคิดเห็นที่ 35 เอ่อ โดยส่วนตัวคือในบางครั้งก็ถวายเป็นปัจจัย (เงิน) นะคะ แต่คิดว่าอยู่ที่พระที่เราใส่บาตรด้วย (มั้งคะ) อย่างพระที่เราใส่เนี่ย จะเป็นพระที่เราไปทำบุญกับท่านบ่อยๆ ก็เห็นว่าถ้าให้ปัจจัยไป พระท่านก็เอาไปให้ลูกศิษย์บ้าง ให้เป็นค่าขนมเด็กวัดบ้าง ไม่เห็นจะเป็นอะไร.. (ในความคิดของเรานะคะ) หรือไม่บางทีท่านก็เอาไปหยอดใส่ตู้ค่าน้ำค่าไฟ คือเราก็ไม่รู้พระรูปอื่นเป็นแบบนี้ไหมนะคะ แต่สำหรับเรา เราใส่บาตรด้วยความศรัทธา และเห็นตามสมควร คือสมมติไม่มีปัจจัยเลยเนี่ย วันไหนพายุเข้า ฝนตกหรือไม่มีคนถวายเลย (ในกรณีพิเศษมาก o_o) พระท่านก็ยังพอจะเอาปัจจัยตรงนั้นให้เด็กวัดไปซื้อของได้ (ใช่หรือไม่คะ?) แต่ก็นะคะ เดี๋ยวนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไป เราเองก็ไม่รู้ว่าภายนอกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เพราะก็มีหลายๆเอาผ้าเหลืองมาห่มแล้วหากิน แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่าถ้าเป็นพระอาจารย์ที่เรานับถือ รู้ว่าท่านเป็นอยย่างไร และในวันไหนที่เราไม่สะดวกใส่เป็นข้าวปลาอาหาร (แต่ยังอยากทำบุญ) ก็น่าจะใส่ปัจจัยได้ . . เป็นความคิดเห็นเล็กๆของคนๆนึงเท่านั้นนะคะ ^^ จากคุณ : Farfalle เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 19:07:05

ความคิดเห็นที่ 36 สมัยผมบวช...เงินที่ได้จากคุณโยมที่ใส่บาตรมาก็เอาไปเข้ากองกลาง เพื่อให้เลขาเจ้าอาวาสจ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ในวัด วัดเล็กๆ ครับ...ไม่ได้ร่ำรวยจากการให้เช่าวัตถุมงคล ไม่ค่อยมีคนมาหยอดตู้บริจาค ถ้าคุณโยมทั้งหลายไม่ใส่บาตรด้วยเงินมาบ้าง...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางวัดจะจ่ายค่าสาธารณูปโภคเหล่านี้ยังไง จากคุณ : Into the Groove เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 20:40:33

ความคิดเห็นที่ 37 การทำสิ่งๆหนึ่ง มันจะถูกหรือผิด ก็อยู่ที่การตีความ และแนวทางที่ถือปฏิบัติ ว่าจะเอาอะไร เป็นที่ยึดถือ ถ้าเอาพระธรรมวินัยยึด การที่กำหนดว่า พระคู่สวดต้องได้เท่านั้นเท่านี้ ก็แลดูจะไม่ถูกต้องนัก แต่ถ้าเอาแนวของที่อื่น นิกายอื่น ที่ปรับเพื่อส่วนมาก และง่ายต่อการปฏิบัติ เขาก็ถือว่าไม่ผิด อย่าง ความเห็นที่ 34 การกำหนดเลยว่าพระคู่สวดต้องได้เงิน ถ้าความเห็นส่วนตัวผม ผมว่าไม่เหมาะ เพราะตอนผมบวช ไม่มีเรื่องแบบนี้ครับ พูดถึง ปลงอาบัติ ก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้เรื่องนึง การปลงอาบัติ เปรียบเทียบ ก็เหมือนการสารภาพบาปของคริส ว่าทำแล้ว ก็จะถือว่าได้ล้างบาป ตอนผมบวช ผมปลงอาบัติกัน เดือนละครั้ง ว่าในเดือนที่ผ่านมาเราได้ละเมิดพระวินัยไปอะไรยังไงบ้าง แต่ในเมืองหลายๆที่ ปลงอาบัติกันทุกวัน.... จากคุณ : Mashi_Naz เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 21:08:39

ความคิดเห็นที่ 38 จะใส่ด้วยข้าว ปลา อาหาร แม้แต่เงินหรือปัจจัย ก็ใส่ไปเถอะครับ ถ้าไม่ใช่ใส่แล้วไปนึกเสียดาย  แต่เราตั้งใจใส่ถวายด้วยใจบริสุทธิ์จริงๆ ผมกล้าฟันธงเลยว่า เงิน หรือปัจจัยจำเป็นครับ ต่อพระภิกษุและสามเณร เพราะทุกอย่างในโลกนี้  ไม่ได้ฟรี  สำหรับท่าน   ผมก็บวชเรียนเหมือนกัน  ห้า พรรษา จบปริญญาตรี ตอนนี้สึกออกมาทำงานหลายปีแล้วล่ะ สมัยนี้พระไม่ได้มีแค่ อยู่เฝ้าวัด อย่างเดียว หลายท่าน  มีศาสนกิจเพื่อประโยชน์แก่สังคมในหลายๆด้าน ซึ่งบางครั้งก็ต้องหางบประมาณในการทำกิจกรรมเหล่านั้นเช่นกัน สมัยนี้โลกเปลี่ยนไปมาก จะให้หลวงพ่อหลวงพี่สวดมนต์ ให้ญาติโยมฟังอย่างเดียว คงไม่ไหว  ยุคเปลี่ยน ก็ต้องเปลี่ยนยุทธวิธีในการเผยแพร่ศาสนาไปด้วย และปัจจัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเอามาแปรเป็น กำลังสนับสนุนในด้านต่างๆของท่านด้วย พระท่านเดินทางแต่ละครั้งก็ต้องเสียค่ารถด้วยเหมือนกัน เจ็บไข้ได้ป่วย หาหมอ ก็เสียเงินครับ ค่ายาแพงๆทั้งนั้น ทุกวัดในประเทศไทยไม่ใช่ว่าจะได้รับการรักษาฟรีหรอกนะครับ เรื่องใส่ข้าว หรือใส่เงิน ผมว่าไม่ผิดหรอกนะ สุดแล้วแต่ว่าเราที่เป็นญาติโยมจะเห็นสมควรอย่างไร แต่ทำบุญทั้งที ก็อย่ามัวคิดเล็กคิดน้อยเลยครับ จากคุณ : giggoro เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 21:16:39

ความคิดเห็นที่ 39 พระไตรปิฏกกล่าวว่า สิ่งที่ใส่ในบาตรควรจะเป็นสิ่งที่สามารถฉันท์ได้เลย นั่นก็คืออาหารปรุงสุก ผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้ว ส่วนอาหารกระป๋อง ข้าวสารอาหารแห้ง ควรให้ที่โรงครัว ถวายเป็นกองกลาง ซึ่งในกรณีที่เราไปที่โรงครัววัดไม่สะดวก ควรใส่ในถุงเก็บอาหารที่เด็กวัดถือ ยิ่งถ้าเป็นปัจจัย ซึ่งยิ่งฉันท์ไม่ได้เข้าไปใหญ่ ควรใส่ในย่าม หรือถุงที่เด็กวัดถือ หรือไม่ก็ไปบริจาคในตู้หยอดครับ ห้ามใส่ในบาตรโดยเด็ดขาด เพราะยิ่งจะทำให้พระผิดวินัยด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 21:26:39 จากคุณ : nuriboy เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 21:25:07

ความคิดเห็นที่ 40 ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยที่เราใส่บาตรก็ใช่วว่าจะสะอาด ปราศจากเชื้อโรค 100 เปอร์เซน หากใส่ลงไปรวมกับอาหารที่อยู่บาตรแต่แรก จะทำให้ภัตตาหารท่านสกปรกได้ครับ จากคุณ : nuriboy เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 21:32:58

ความคิดเห็นที่ 41 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 22:08:20 จากคุณ : Shad-Jen Man เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 22:07:29

ความคิดเห็นที่ 42 5555 ก็ที่ศาสนาพุทธเราเสื่อมโทรมอย่างทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะชาวพุทธบ้านเราทำบุญด้วยเงินกับหรือ ทุกวันนี้กลายเป็นว่า "พระ" คืออาชีพนึง ที่สามารถทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวได้ ดึงดูดให้คนเข้ามาทำเป็นอาชีพ ทั้งคนที่ต้องการศึกษาธรรมะ,ต้องการความสงบ,และพวกไม่รู้จะทำอะไรแต่เป็นพระได้เงินดี  คุณครูเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าห้ามสาวกรับเงินโดยเด็ดขาด หากรับถือว่าผิดและขาดจากการเป็นสาวกในทันที แต่ในปัจจุบันผมว่ามันแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วมั้งที่เวลานิมนต์พระไปทำพิธีขึ้นบ้านใหม่หรือสวดงานศพ หรือทำกิจของสงฆ์ต้องมีการนำเงินใส่ซองถวายเป็นปัจจัยแก่พระสงฆ์(ค่าจ้าง)   แต่ผมก็ไม่ว่าหรอกนะเพราะศาสนาพุทธเราจะเป็นอย่างไรก็เพราะการกระทำของคนในสังคมเรานั่นเอง  (ผมว่าในอนาคต สรรพากรน่าจะระบุอาชีพ"พระ"ด้วยนะ) จากคุณ : hunchback เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 22:25:56

ความคิดเห็นที่ 43 มันมีกำหนดไว้ในพระไตรปิฎกด้วยค่ะ ว่าห้ามถวายเงินแก่พระสงฆ์ ถ้าทำจะตกนรก กี่กัลป์ ไม่รุอ่ะค่ะ จำไม่ได้ เราก็เชื่อนะ หลังๆมานี่เราไม่ทำบุญใส่ซองเลย คือ คิดแล้วว่าจะยึดตามที่พระไตรปปิฎก ว่าไว้ดีกว่า เพราะทำตามคนที่พูดมาเนี่ย ก็ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่ในพระไตรปิฎก ถูกแน่นอน นี่คือสาเหตุที่ต้องมีพระไตรปิฎก เพราะไม่ให้คำสอนมันเพี้ยน นั่นเอง จากคุณ : leenalilly (leenalilly) เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 22:43:23

ความคิดเห็นที่ 44 ใส่บาตรด้วยเงิน  ผิดจริงตามพระวินัยค่ะ คือจริงๆ  ถ้าจะช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย แนะนำให้เอาไปหยอดตู้ค่ะ แล้วเลือกตู้ที่เป็น ชำระ ค่าน้ำ ค่าไฟ สร้างกุฏิ ค่ายารักษาโรค หรือเอาไปปบริจาค รพ สงฆ์ อะไรประมาณนั้นเถอะค่ะ บางคนคิดว่า เอาเงินใส่บาตรไป พระจะได้เอาไปซื้อของใช้อย่างอื่น แต่มันไม่เหมาะสมค่ะ  คืออะไรพวกนั้นเราถวายเป็นสังฆทานอยู่แล้ว ทำบุญทั้งที ทำให้ถูกตามพระวินัยดีกว่านะคะ อย่าไปประยุกต์อะไรกันมากเลย จากคุณ : ayakoxx เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 22:45:37

ความคิดเห็นที่ 45 พระก็ต้องหาหมอนะคะบางที จากคุณ : หมูผัดปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 23:01:58

ความคิดเห็นที่ 46 การใส่ที่ไปเจาะจงให้ตอนทำสังฆทาน หรือไม่หยอดตามตู้คือเรื่องที่ควรทำครับ แต่กับการที่เอาไปใส่ในบาตรเวลาตักบาตรผมว่าไม่สมควร ผมคนหนึ่งที่เลิกตักบาตรไปเพราะว่ามาอยุ่ในเมืองกรุงเทพแห่งนี้ที่ตักบาตรด้วยเงิน จะว่าผมอคติก็ได้ บ้านผมไม่มีแบบนี้ไม่เคยทำแบบนี้ จะใส่ซองก็ถวายกันทีวัด ให้ตามงานบุญหรืองานนิมนต์ แต่เอามาใส่บาตรแบบนี้ผมไม่เห็นด้วย เคยตั้งกระทู้ในห้อง ศาสนาแล้วด้วย อยากเห็นสังคมไทยกลับมาเป็นเหมือนเดิม จากคุณ : sakka_ut เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 23:09:02

ความคิดเห็นที่ 47 พระไม่ได้ฟรีทุกอย่างนะ พระก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน จริงอยู่พระบางวัดได้เงินเยอะมากโดยเฉพาะวัดใหญ่ๆ วัดแบรนด์เนม แล้วพระบางรูปก็เอาเงินไปซื้ออบายมุก แต่วงในเขาก็หยวนๆเพราะว่าถ้าจะเอาเคร่งจริงๆ เป็นพระสายธุดงอยู่ป่าอยู่เขาแล้วใครจะปฏิบัติศาสนกิจล่ะ คนตายใครจะมาสวด ไปวัดให้สัปเหร่อเผาเลยเอาไหม ขึ้นบ้านใหม่ก็เรียกพระ โดนส่วนกลางบังคับให้จัดกิจกรรมจริยธรรมก็เรียกพระ อยากได้หวยก็ถามพระ ดูดวงก็ถามพระ ถามจริงพระต้องทำไหม เป็นกิจของสงค์แท้ๆหรือเปล่า คนที่บังคับให้พระกลายเป็น"อาชีพๆหนึ่ง"ก็พวกฆราวาสอย่างเราๆท่านๆนี่แหละ ถ้ายังอยากให้พระใกล้ชิดประชาชนอยู่ ก็ทำใจเรื่องเงินๆทองซะ อย่าไปยึดติดกับพระระดับสูงมาก เพราะระดับนั้นเขามีโยมอุปัฐถาก มีพระเบื้องซ้ายเบื้องขวาคอยรับใช้อยู่ อยากไปไหนก็มีคนขับรถให้ ป่วยก็จ่ายเงินให้ งานจุ๊บจิ๊บเล็กน้อยมีคนทำให้ อย่างนั้นไม่ต้องใช้เงินก็ดูเป็นพระที่ดีในอุดมคติได้ แต่พระโนเนม พระลูกวัด พระบวชใหม่ ใครจะมารับใช้ให้ล่ะ ก็ต้องทำเอง เดินทางโหนรถเมล์ ป่วยไปโรงบาลเอง ทำโน่นทำนี่เอง ถ้าท่านไม่มีเงินแล้วต้องเดินไปสะกิดโยมๆตามป้ายรถเมล์จะดูแย่กว่าไหม อันไหนศาสนาจะเสื่อมกว่ากัน โลกเปลี่ยนไปแล้ว เรื่องของพระก็ปล่อยให้พระเขาจัดการไป เราคนนอกไม่เข้าใจเขาอย่าไปตัดสินแทนเขา ความผิดอะไรที่เกินรับไม่ต้องห่วง พระโดนจับสึกมีทุกวี่ทุกวัน เรื่องอะไรยอมไม่ได้เขาก็ไม่ยอม จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 00:10:59

ความคิดเห็นที่ 48 จะดับทุกข์ หรือก่อทุกข์ มันขึ้นอยู่กับเราเอง จากคุณ : เสือย้อมแมว เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 00:18:50

ความคิดเห็นที่ 49 ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้บวชในวัดที่ถือศีล 227 ข้อ เหมือนเจ้าของกระทู้(เดาว่าเจ้าของกระทู้คงบชธรรมยุติเช่นกัน) ระหว่างบวช ก็พยายามที่จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างไม่บิดพลิ้วแต่การอาบัติก็เกิดขึ้นได้บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆของการบวช ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมมองว่าอย่างน้อย ตถาคตท่านก็มองว่า สงฆ์ทั้งหลายคงมีการอาบัติเป็นธรรมดา จึงได้มีวิธีแก้โดยการปลงอาบัติ หรือการสารภาพบาปที่ตนก่อไว้ในทุกๆเย็น หรือก่อนการเข้าอุโบสถ ส่วนเรื่องการรับเงินหรือปัจจัยต่างๆนั้น ผมไม่ขอเถียงเจ้าของกระทู้ครับ แต่อยากบอกประสบการณ์ส่วนตัว... ปกติเวลาบิณทบาตร ตามชนบท ก็จะมีบ้างที่ชาวบ้านใส่เงินมาให้ยอมรับครับ ว่าผมปฏิเสธไม่เป็น ก็รับมา แล้วก็เอาใส่ในตู้ค่าน้ำค่าไฟในวัดบ้างเก็บใส่ซองไว้ใช้ยาม ...ฉุกเฉินบ้างฉุกเฉินอย่างไรเหรอครับ มีอยู่ครั้งนึง กลางพรรษา ผมป่วยครับแล้วที่วัดอาจจะไม่เหมือนัดเจ้าของกระทู้ ที่มียาไว้คอยให้ยาที่มีก็มีแต่่ ... ยาพารา กับยานวดต่างๆจะโทรหาโยมแม่ ... โทรศัพท์ก็ไม่ได้พก ส่วนที่วัด ... ก็ไม่มีโทรศัพท์ทำอย่างไงเหรอครับ ผมก็ต้องเอาเงินที่เก็บไว้ นั่งรถสองแถวเข้าตัวอำเภอ ไปหาซื้อยามาทาน ผมมองตามยุคสมัยนะครับ อาจจะไม่ตามพระธรรมวินัยเป๊ะอย่างการที่ห้ามพระรับเงิน บางวัดบางท่าน ถ้ารับไว้แล้วใช้ในทางที่ถูกที่ควร อย่างน้อยก็ไม่ืได้ทำให้เส้นทางขององค์ตถาคตเสื่อมเสียอีกประการ การที่อนุญาตให้พระมีองค์อุปฐาก ผมว่าก็เหมือนการใช้เงินอย่างหนึ่งนั่นแหละครับ เพียงแต่เป็นการเลี่ยงบาลีเท่านั้น ประการสุดท้าย ผมมองว่าอย่างผมและเจ้าของกระทู้ บวชในกรณีที่ต่างกันกับพระปฏิบัติทั่วไปครับ อย่างเราคือบวชเพื่อได้เรียนรู้ ฝึกภาวนา เป็นช่วงสั้นๆ อย่างผมก็บวชแค่ 6 เดือน แต่พระท่านที่อยู่กันมานานนั้น (พูดถึงพระสายปฏิบัตินะครับ) อย่างน้อย เรื่องการเดินทาง การใช้จ่ายที่จำเป็นต่างๆ มันก็จำป็นต้องใช้ครับ อ้อ ผมลืมบอกไปว่า ผมบวชที่วัดทางภาคเหนือครับ ซึ่งเป็นธรรมดาว่าพระป่าจะไม่ได้รับความนิยมจากชาวบ้านมากนัก เนื่องจากชาบ้านจะรู้จักมักคุ้นกับพระบ้านมากกว่า ดังนั้นแล้ว ปัจจัยหรือของถายต่างๆจึงไม่ได้มีเข้ามามากนักเหมือนพระป่าทางสายอีสานหรือภาคกลางแต่ก็นั่นแหละครับ ส่วนตัวผมแล้ว การจะใช้อะไร มันแล้วแต่เหตุปัจจัย และเจตนาดีชั่วที่ตัวจะรู้ สำหรับผมแล้ว การบวช 6 เดือนคราวนั้น ยอมรับว่าศีล227ข้อ ก็อาบัติกันบ้าง ปลงอาบัติกันไป แต่ก็ได้เรียนรู้วิถีที่ตถาคตได้ปูทางไว้ อีกทั้งยังได้มีโอกาสออกธุดงค์ ถือธุดงค์วัตร มันเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืม และมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมเป็นตัวผมในทุกวันนี้ครับปล. รูประหว่างธุดงค์ครับ พกกล้องตัวเล็กๆไว้ถ่ายเก็บความทรงจำ คงไม่ผิดศีลนะครับ :) ****แก้ไขข้อความครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 00:55:03 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 00:54:17 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 00:46:21 จากคุณ : fat boy slim_golf เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 00:42:56

ความคิดเห็นที่ 50 รุ่นน้องคนหนึ่งที่รู้จัก หายไปบวชนานกว่าที่กำหนด ได้โอกาสเลยถามพี่ชายเค้าดู พี่ชายตอบว่า น้องเค้าจะบวชต่ออีกซักพัก เพราะเงินดี จากคุณ : องค์ประกอบศิลป์ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 03:02:16

ความคิดเห็นที่ 51 เป็นเรื่องปรุงแต่งขึ้นมา ห้ามรับเงินเกิน5บาท พระพุทธเจ้าสอนหรอครับ สมัยนั้น ระบเงินตรายังไม่เกิด ยังไม่มีแม้กระทั่งเงินพดด้วงเลยมั้งครับ ผมว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ จากคุณ : ballthanom เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 04:41:06

ความคิดเห็นที่ 52 เราเคยคิดว่าให้ท่านรับเงินโดยตรงเลยไม่ได้เหมือนกันค่ะ พอไปใส่บาตร แม่ก็ชอบถวายเงินไปด้วย เราก็แบบ ตกใจนิดนึง หลังจากใส่บาตรเสร็จ เลยบอกแม่ แต่ว่าแม่บอกว่าขึ้นกับนิกายอ่ะค่ะ เราก็เลยยังหาข้อสรุปไม่ได้ ว่าตกลงนี่ควรหรือไม่ควรกันแน่ แต่คิดว่าถ้าเจตนาของทั้งผู้ให้และผู้รับบริสุทธิ์ก็น่าจะไม่เป็นไรค่ะ อันนี้คิดเอาเอง >_< จากคุณ : Seasons of LovE เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 04:54:55

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าเมื่อก่อนอะ โอเค  พระไม่ต้องพกเงิน  ผู้คนให้ความสำคัญกับพระสงฆ์  พร้อมที่จะช่วยเหลือฟรีๆ สมัยนี้  ทุกอย่างเป็นเงินทอง  น้ำใจคนน้อยลงทุกที  เลยต้องอาศัยเงินบางจังหวะ เราถือว่าเราให้ไปแล้ว ท่านจะเอาไปทำอะไรดีดี  มันก็ดีกับตัวท่าน  ถ้าท่านทำอะไรแย่ๆ  ตัวท่านเองนั่นแหละที่ได้สิ่งแย่ๆ ไป จากคุณ : เซียวลี้ปวยตอ มิเคยพลาดเป้า เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 08:24:54

ความคิดเห็นที่ 54 เคยได้ยินมาตาม จขกท เลยค่ะ ว่าใส่ปัจจัยให้พระสงฆ์โดยตรงไม่ได้ ถ้าอยากจะทำบุญให้วัด หยอดตู้เลยค่ะ วัดส่วนใหญ่จะมีแยกไว้ให้เลยว่าค่าอะไรบ้าง เมื่อก่อนก็ใส่ซองค่ะ เพราะความไม่รู้ เวลาทำสังฆทาน แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใส่ค่ะ พระท่านปฏิเสธไม่ได้ค่ะ เราให้ท่านก็ต้องรับไว้ แต่ท่านต้องไปปลงอาบัตินะคะเท่าที่ทราบ ก็เลยไม่ใส่แล้วค่ะ จากคุณ : หมีเดินทาง เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 08:32:45

ความคิดเห็นที่ 55 ผมพยายามที่จะใส่บาตรให้เป็นประจำครับ ผมอยู่หอพักมาทำงานต่างจังหวัด ปกติกินแต่อาหารตามสั่ง พอตอนเช้าจะใส่บาตรก็จะมีแม่ค้ามาทำอาหารถุง มีข้าวกับข้าว น้ำ1 แก้ว (พลาสติก) 1 ชุดก็ 20 บาท แรกๆผมก็ซื้อใส่ครับ จนผมสังเกตุว่าคนใส่แบบนี้เยอะมาก เป็น 30 - 40 ชุดเลยครับ ผมคิดว่ามันอาจจะเกินพอ จึงเปลี่ยนมาใส่เงิน 20 บาทแทนครับ เพราะคิดเสมอว่าท่านได้อาหารแล้ว เงินน่าจะมีประโยชน์ใช้สอยในกิจของท่านด้านอื่นๆบ้างครับ ปล. ผมเจตนาดีที่จะใส่เงิน อนาคตต่อไปก็คงทำบุญด้วยเงินเหมือนเดิมครับ จากคุณ : noomyok เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 08:33:42

ความคิดเห็นที่ 56 ที่บ้านแม่เราจะใส่เงินนะ แม่บอกว่าลูกศิษย์วัดที่ตามพระมาบิณฑบาตต้องจ้างแล้วค่ะ ไม่งั้นเขาก็ไม่มา แล้วน้ำ ไฟ ต้องใช้เงินแล้วถ้าไม่ใส่เงินพระท่านต้องทำอย่างไรล่ะ จากคุณ : pandorako เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 08:37:59

ความคิดเห็นที่ 57 เราเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ค่ะ มีอีกหลายอย่างที่ไม่สมควร จากคุณ : stampsummer เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 09:14:31

ความคิดเห็นที่ 58 พระพุทธเจ้าบัญญัติอย่างไร พวกเราพึงปฏิบัติตามท่านเถิด เพราะท่านเป็นสัพพัญญู คำพูดของท่านก็เป็นอกาลลิโก ตรงจริงไม่จำกัดกาล พระศาสดากล่าวอย่างนี้ว่า " ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์." และพระศาสดาของเราก็ยังบอกวิธีที่จะถวายเงินให้พระไว้อีกด้วย คือต้องมอบเงินหรือปัจจัยนั้นแก่ไวยาวัจจกร (ผู้ทำกิจธุระแทนสงฆ์)แล้วแจ้งให้พระท่านทราบด้วยวาจา หรือเขียนเป็นตัวหนังสือลงในใบปวารณา มอบใบให้แก่ท่าน ส่วนเงินก็ใส่ตู้แทน อนึ่ง เราคงไม่จำเป็นต้องไปคิดแทนท่านว่า เอ๊ะ ถ้าไม่มีเงินแล้วท่านจะอยู่อย่างไร เพราะยังมีพระปฏิบัติชอบอีกมากที่ท่านสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินทอง.... จากคุณ : ใจบริสุทธิ์ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 10:38:29

ความคิดเห็นที่ 59 คนเรานี่ก็กระไร พยายามที่จะเอาวิสัยทางโลก ไปตัดสินวิสัยทางธรรม พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติพระวินัยขึ้น โดยมีพุทธประสงค์ ไม่ได้บััญญัติขึ้นโดยนึกว่า วันนี้อยากจะบัญญัติแบบนี้ ก็บัญญัติมา ทุก ๆ เรื่อง มีนัยยะทั้งสิ้น แม้ผักติดฟัน แล้วเผลอกลืนลงไปหลังเที่ยง ก็ยังปรับเป็นอาบัติ นับประสาอะไรกับเรื่องเงิน ที่บอกว่า อย่าไปคิดแทนพระ นั่นแหละควรจะหมายถึงเรา อย่าไปตีความพระวินัยตามความเห็นของตัวเอง จากคุณ : Cholesterol Lover เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 10:58:54

ความคิดเห็นที่ 60 ตรรกะแบบนี้ ผมซื้อเครื่องครัวให้เพื่อนเป็นของขวัญ แล้วเพื่อนเอามีดที่อยู่ในชุดเครื่องครัวไปแทงคนอื่นตาย ผมผิดหรือเปล่าครับ? จากคุณ : เด็กแนวนอน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 11:03:21

ความคิดเห็นที่ 61 เห็นด้วยกับความเห็น 1 จุดประสงค์หลักของการทำบุญ คือการที่ให้ทุกคนรู้จักแบ่งปัน หากคุณอยากจะให้แต่ยังคาดหวังว่าผู้รับจะเอาไปทำอะไร คุณก็ยังไม่รู้จักแบ่งปันหรอก เรื่องของผู้รับจะไปทำอะไร ก็เป็นความผิดของผู้รับ มันอีกเรื่องไม่เกี่ยวกัน จากคุณ : ปลาตะป๋อน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 11:08:20

ความคิดเห็นที่ 62 ควรทำบุญให้ถูกวิธีมากกว่านะครับ บาตรนั้นควรใส่แต่อาหารการกินนะครับ จะทำด้วยเงินควรถวายเป็นซองแยกต่างหากไปนะครับ แนะนำให้แนบไปกับดอกไม้ดอกบัวนะครับ ไม่ควรนำเงินใส่บาตรครับ จะทำบุญค่าน้ำค่าไฟให้ขึ้นไปกุฏิเจ้าอาวาสนะครับ ถวายกับหลวงพ่อโดยตรงเลยนะครับ จากคุณ : karinkr เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 11:15:58

ความคิดเห็นที่ 63 ถ้าผมบริจาคสิ่งของให้เด็กกำพร้า อาจจะเป็นดินสอ ถ้าเด็กกำพร้า ถ้าเด็กกำพร้าเอาดินสอไปเหลาแหลมแล้วทิ่มใส่คนอื่น เราไม่ควรเอาดินสอไปบริจาคเด็กหรือเปล่าครับ? จากคุณ : เด็กแนวนอน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 11:26:26

ความคิดเห็นที่ 64 อยากจะบอกว่า ผมเองก็เคยบวชครับ พระพี่เลี้ยงก็ซื้อน้ำยาถูพื้น เอาเงินที่อยู่ในซองให้เด็กวัดซื้อ ของพวกนี้ไม่มีใครถวายเป็นเรื่องปกตินี่ครับ ผมเองทราบแล้วหลังสึก ก็เลยซื้อมาถวายอยู่บ้าง ล่าสุดก็ให้เป็นน้ำยาอเนกประสงค์ไปเลย พระท่านจะได้ไม่ต้องใช้อะไรมาก ซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ได้ในขวดเดียว โลกมันเปลี่ยนไปครับ ต่อให้จะบอกว่าถูบ้านใช้น้ำเปล่าก็พอ คุณซักผ้าน้ำเปล่าไหมครับ? อาบน้ำน้ำเปล่าไหมครับ? แปรงฟันใช้นิ้วกับน้ำเปล่าแปรงเ้หรอครับ? ของพวกนี้ บางวัดเหลือเฟือ บางวัดขาดแคลนครับ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ที่เวลาขาดของอะไรแล้วต้องมาแจ้งโยมให้นำมาถวาย ส่วนใหญ่ก็ต้องซื้อกันเอง เงินอย่างไรก็จำเป็นครับ แต่ไม่ถึงขั้นต้องถวายเป็นเยอะเป็นแยะอะไร แค่ให้ท่านมีของที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็พอแล้ว จากคุณ : เด็กแนวนอน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 11:37:15

ความคิดเห็นที่ 65 มาบอก แค่ว่า พระภิกษุ แม่ชี ผู้นำศาสนา รักษาในโรงพยาบาลรัฐฟรี จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 12:30:47

ความคิดเห็นที่ 66 ตอบแบบคนเคยบวช 2 หนนะครับ **ใส่บาตรด้วยเงิน ทำได้ครับในกรณีที่มีเด็กเดินตามช่วยเอาของออกจากบาตร ก็ให้เงินฝากกับเด็กไว้เลย แล้วก็บอกด้วยค่าถวายเป็นค่าอะไร ค่าน้ำ/ค่าไฟ/ชำระหนี้สงฆ์ก็ว่าไปหรือจะถวายให้เพื่อใช้ส่วนตัวของพระก็แล้วแต่ครับ เพราะในที่นี่เด็กถือเป็นคนอุปัฏฐากพระครับ ถ้าพระมีเหตุต้องใช้ปัจจัย เช่นค่าเดินทางหรือหาหมอ ก็ให้เด็กตามไปจ่ายเงินด้วย ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงแล้วครับว่าจะเจอเด็กที่ไว้ใจได้แค่ไหน ลูกวัดบวรนิเวศวิหาร คณะสูง (รามเดชะ) จากคุณ : อาหยั่น เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 12:32:39

ความคิดเห็นที่ 67 เห็นด้วย และ สาธุกับ  จขกท ค่ะ  น่ารักมาก ไม่เสียทีที่บวชเรียนมาแล้ว แถมยังใฝ่ดีฟังธรรม หลวงพ่อชาท่านด้วย คุณไม่เสียชาติเกิดที่เป็น พุทธศาสนิกชนค่ะ  บิณฑบาต แปลว่า การตกลงของก้อนข้าวค่ะ  พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ บาตร มีไว้ใส่ภัตตาหารค่ะ  ลองนึกดูดีๆ  เอาเงินใส่ไป ปนกับอาหาร พวกคุณกินลงเหรอะ  เราคนนึง ตักบาตรทุกวันในตอนนี้ ยกเว้นวันอาทิตย์  เราใส่อาหารหวานคาว สมควรแก่การดำรงชีพของ สมณะ  ไม่เคยใส่เงินเลย  ถ้าเราจะถวายเงิน  เราจะใส่ซอง หรือ  เอาเงินไปหยอดตู้บริจาคที่วัดมากกว่า  กุศลทำได้อย่างง่ายๆ ถูกวธี ให้ศึกษาที่หนังสือ วิธีสร้างบุญบารมี ที่นิพนธ์ โดยสมเด็จพระสังฆราชฯ ค่ะ  เสิชกูเกิลก็เจอ  ใครที่คิดว่า ทำยังไงก็ได้ ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ ซะอย่าง  มันยังไม่ใช่ซะทีเดียวนะคะ  ลองศึกษาดู จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 13:33:10

ความคิดเห็นที่ 68 เรื่องที่ 1 .. พระพุทธเจ้าบอกว่า ห้ามพระรับเงิน ห้ามพระถือเงิน ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนคำสอนนั่นนี่ตามยุคสมัย เราคงรอรับอนุมัติจากพระพุทธเจ้าก่อนไม่ได้ แล้วทางออกเรื่องนี้จะเป็นยังไง เรื่องที่ 2 .. พระพุทธเจ้าบอกว่า ห้ามพระทำมาหากิน พระมีกิจหลักคือเผยแพร่ศาสนา วิธีหนึ่งในนั้นคือ การมาให้พรให้โอวาท พระไม่จำเป็นต้องได้รับค่าตอบแทนได ๆ เรื่องที่ 3 .. เวลามองซองให้พระ เราระบุไปว่า ให้ใช้แทนปัจจัย 4 พระที่เอาเงินไปทำอย่างอื่นนอกเหนือจากที่ระบุ อาบัติ จากคุณ : varavf (varavf) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 13:36:47

ความคิดเห็นที่ 69 มองในส่วนของเราก็พอครับ ถ้าคิดทุกเรื่องไม่ต้องทำอะไรกันพอดี การที่เราทำบุญไม่ว่าด้วยอะไรก็ตามแต่ มันเป็นผลพวงทางใจครับ มันทำให้เราสุขใจเมื่อได้ทำ สิ่งนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นบุญครับ แต่ถ้าเราทำแล้ว คิดเล็กคิดน้อยในเรื่องที่เราไม่รู้จริง มันจะได้บาปมากกว่านะครับ จากคุณ : ทาสเทคโนโลยี เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 14:03:07

ความคิดเห็นที่ 70 จากความเห็นต่างๆ บอกได้เลยว่าคนไทยมีความรู้ทางศาสนามากน้อยแค่ไหน จากคุณ : บิคัซเดอะบิชชิสแบค เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 14:06:20

ความคิดเห็นที่ 71 ทำบุญกับพระแต่ละรูปได้บุญไม่เหมือนกัน เหมือนทำนาบางแปลงดินดีปลูกยังไงก้ได้ข้าวเยอะ บางแปลงดินไม่ดีใส่ปุ๋ยเท่าไหร่ก้ปลูกผลผลิตน้อย พระคือเนื้อนาบุญ จากคุณ : god batigoal เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 15:05:48

ความคิดเห็นที่ 72 พระพุทธเจ้าสอนเหล่าสาวกว่า ห้ามรับการใส่บาตรจากโยมด้วยเงิน มากกว่า 5 บาท คือ.....ว่าสมัยนั้นมีเงินบาทแล้วเหรอ? หรือแค่ปรับหน่วยให้ง่ายต่อการเข้าใจ มันดูผิดเพี้ยนไปอ่ะ จากคุณ : งงนะ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 15:53:54 A:202.28.62.245 X: TicketID:332388

ความคิดเห็นที่ 73 5 มาสกครับ ไม่ใช่ 5 บาท แล้ว 5 มาสก ก็เป็นเรื่องของการปรับปาราชิก เนื่องจากการลัีกขโมยทรัพย์ ที่มีค่าตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป (เทียบเงินไทยเท่ากับ 1 บาท) ส่วนเรื่องรับเงิน เอามาฝากครับ มีท่านหนึ่งตอบไว้ได้ดีมาก ๆ --------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 5 ตามที่ คห1 คุณVees ยกมานั่น ดีแล้วครับ "อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดีให้รับก็ดี ซึ่ง เงิน-ทอง หรือยินดี ทอง-เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์" แล้วจะเอาเหตุผลมาอ้างว่า ยุคสมัยเปลี่ยนวินัยต้องเปลี่ยนอย่างนี้ไม่ได้ครับ เพราะจะขัดกับคำพระพุทธเจ้าที่ว่า "อกาลิโก" อนึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติวินัยสำหรับฆราวาส แต่บัญญัติสำหรับภิกษุ ฉะนั้นไม่มีวินัยที่ห้ามฆราวาสให้เงินพระ แต่ทรงบัญญัติภิกษุห้ามรับเงินทอง ที่นี่ก็อยู่ที่ไหวพริบปฏิภาณว่าภิกษุจะมีการปฏิเสธอย่างไร หรือพูดอย่างไรให้เชื่อมกับไวยาวัจกร ตัวอย่างเช่นเรื่องการรับเงินเพื่อใช้จ่ายจีวร “อนึ่ง พระราชาก็ดี ราชอำมาตย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี คหบดีก็ดี ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปด้วยทูตเฉพาะภิกษุว่า เจ้าจงจ่ายจีวรด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้แล้วยังภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร, ถ้าทูตนั้นเข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้นำมาเฉพาะท่าน, ขอท่านจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร, ภิกษุนั้นพึงกล่าวต่อทูตนั้นอย่างนี้ว่า พวกเราหาได้รับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่, พวกเรารับแต่จีวรอันเป็นของควรโดยกาล; ถ้าทูตนั้นกล่าวต่อภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกรของท่านมี หรือ? ภิกษุผู้ต้องการจีวรพึงแสดงชนผู้ทำการในอารามหรืออุบาสก ให้เป็นไวยาวัจกร ด้วยคำว่า คนนั้นแลเป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย, *ดูที่ "พระบัญญัติ" #เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒  บรรทัดที่ ๑๔๘๒ - ๑๖๕๖.  หน้าที่  ๖๓ - ๖๙. จากคุณ : ไม้มณฑารพ เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 08:30:51 ------------------------------------------------------------------------------ อย่าสักแต่ว่าทำบุญให้ตัวเองสบายใจ แ้ล้วไปลำบากพระต้องกระทำผิดพระวินัย สุดท้ายต้องปลงอาบัติกันวุ่นวาย สุดท้าย เราก็ไม่ใช่ว่าจะได้บุญหรอก ไปส่งเสริมให้พระท่านอาบัติ สุดท้ายแทนที่จะได้บุญกลับได้บาปแทน นี่คือสิ่งที่ต้องการหรือครับ ทุกวันนี้ คนจำนวนมาก เผลอ ๆ มากเกินครึ่งที่นับพุทธศาสนา แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่รู้อะไรเลย และไม่พยายามทำความเข้าใจด้วย กลับเอาความคิดตนเป็นใหญ่ พยายามจะตีความให้เป็นไปตามความเห็นของตน เรื่องแบบนี้ ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก มีทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา หนังสือที่อธิบายไว้มากมาย ทั้งความเห็นต่าง ๆ ก็พยายามที่จะเตือน แต่ไม่ยอมศึกษากัน กลับตีความเอาตามอำเภอใจ บางคนกลับกลายเป็นมองเป็นเรื่องยุ่งยาก พาลไม่อยากทำบุญไปเสียเช่นนั้น สรุปแล้ว การการทำบุญให้ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาที่จะได้บุญที่บริสุทธิ์ กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก น่ารำคาญไปแล้ว?? แต่ด้วยความเคารพ หากการที่จะตีความให้ง่าย ตามสะดวกชอบใจตนเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงที่มาที่ไป สุดท้าย พุทธศาสนาแบบแท้ ๆ ก็คงจะต้องเสื่อมไป เหลือแต่พุทธศาสนาเทียม ๆ ประเทศ ทำบุญล้างบาปได้ คอรัปชั่้นทำบุญแล้วล้างกันไปได้ เท่านั่นแหละครับ ไม่แปลกหรอกครับที่ทุกวันนี้จะมี อลัชชี เยอะแยะเต็มไปหมด เพราะเข้ามาก็ไม่ได้หวังอะไร ลาภสักการะทั้งนั้น ลองดูสิ เดี๋ยวนี้งานศพคนจน พระแทบจะเกี่ยงกันสวด เพราะเงินใส่ซองมันน้อย ร้อยสองร้อยพระไม่อยากได้ ทำบุญเดี๋ยวนี้ก็ 20 เป็นขั้นต่ำ น้อยกว่านั้นก็โดนเหล่ อลัชชีพวกนี้ อยู่ได้แล้วยิ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอะไร ก็เพราะฆราวาสให้ท้ายด้วยการถวายเงินนี่แหละครับ ผมยกตัวอย่างแบบนี้ดีกว่า ดูแรง แต่น่าจะเห็นภาพชัด เห็นสัตว์เขาใหญ่ สัตว์ป่ามั้ยครับ พวกนั้น เค้าต้องหากินด้วยสัญชาตญาณ เค้าถึงได้ขอให้ห้ามให้อาหารพวกมัน เพราะมันจะติดรสอาหาร แล้วก็เลิกหากินด้วยตัวเองค่อยแต่จะลงมาเฝ้าขออาหารคน แล้วก็เสียสัญชาตญาณ และเป็นอันตรายกับพวกมันเอง พระก็เหมือนกัน พุทธประสงค์ในการออกบวชคือการสละซึ่งกิเลส กินง่าย อยู่ง่าย แต่เงินมันเป็นเครื่องมือที่ก่อกิเลสตัวสำคัญ พระองค์จึงบัญญัติไว้มิให้รับ ถ้ารับให้ปรับเป็นอาบัติ แล้วเอาเข้าจริง ถึงพระจะใ้ห้คนอื่นรับแทน แต่จิตท่านยึดติด ก็อาบัติไปแล้ว การไปถวายเงินพระ ก็เหมือนกับถวายเครื่องมือก่อกิเลส ถ้าท่านมีจิตกล้าแข็ง ก็ไม่มีปัญหา แต่ส่วนมากโดยเฉพาะพระบ้านมักจะไม่ค่อยผ่านด่านนี้ สุดท้ายก็หลงระเริง อาตมามีเงิน ไม่มีใครใส่บาตร ไม่เป็นไรอาตมามีเงินซื้อมาม่า เดินมากเมื่อย ไม่เป็นไร อาตมามีเงินขึ้นแท๊กซี่ สุดท้ายก็จมอยู่ในกิเลส ละไม่ได้เสียที ไฟดับ จุดเทียนเอาไม่ได้มันไม่สบายต้องไปเสียค่าไฟ ไม่งั้นอาตามาแย่แน่ ลองดูพระป่าสิครับ ท่านสะสมเงินกันไหม ท่านจะห่วงหรือไม่ว่าท่านไม่มีเงิน ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำใช้ แล้วท่าน ๆ จะเห็นเองครับ ว่าเค้าบวชกันเพื่ออะไร แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 17:21:02 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 17:03:31 จากคุณ : Cholesterol Lover เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 17:02:00

ความคิดเห็นที่ 74 ไม่ได้เก่ง เป็นผู้รู้มากจากไหนหรอกนะ แต่อ่านแตละ คห. แล้วทำให้รู้ว่า บางคนก็อิงชีวิตทางพระธรรมวินัยจริงๆ กับโลกหยาบๆ ในปัจจุบัน พระต้องอยู่ต้องกินงั้นงี้ บางคนก็ไม่ได้เข้าใจถึงความหมายของ"คำสอน" ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ตรองว่าทำไมพระพุทะเจ้าประสงค์เลยมีคำสอนอย่างนั้น คิดย่ำอยู่กับที่ว่า ทำตาม ศีลไปสิ ก็ไม่ผิดแล้ว ส่วนตัวนะ ส่วนตัวมากๆ ทำไม่ได้จริงๆ..บวชทำไม ความเชื่อว่าได้บุญหรอ? จะบวชหยาบๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ก็ไม่เห็นว่ามันมีสาระเลย ทำอะไรแบบเหยาะแหยะๆ นี่มันง่ายนักไง นั่งสมาธิอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดด้วย จากคุณ : ปอปลานั้นหายาก (ปอปลานั้นหายาก) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 17:48:07

ความคิดเห็นที่ 75 ในบางกิจกรรม พระสงฆ์ก็จำเป็นต้องใช้เงิน ไม่อย่างงั้นก็ไปอยู่วัดป่า ศึกษาจากพระอาจารย์ แต่คงจะไม่ทัน ทางโลก จากคุณ : xaccykung เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 17:53:55

ความคิดเห็นที่ 76 เงิน จะเป็นอสรพิษร้าย ไม่ว่าอยู่กับพระหรือโยมที่ใช้เงินนั้นในทางที่ไม่ถูกไม่ควร จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 18:58:34

ความคิดเห็นที่ 77 ไท๊... ไทย จากคุณ : varavf เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 19:17:00

ความคิดเห็นที่ 78 -*- ตักบาตรด้วยเงินเป็นบาป ตรรกะปัญญาอ่อน ให้เหตุผลก็ตลก ได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ เหอะๆ จากคุณ : เหนียงน้อย เดอะมูฟวี่ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 21:05:51

ความคิดเห็นที่ 79 จากหัวข้อและความคิดเห็นทั้งหมดได้ความรู้ดีครับ ขอบคุณ ขอเพิ่มสักนิด เชื่อว่าเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งศรัทธา แต่เป็นศาสนาแห่งปัญญา ซึ่งบางทีก็เป็นจุดอ่อนของพระพุทธศาสนา เพราะ เหตุที่ให้อิสรภาพทางปัญญาแก่คนมาก เมื่อไม่มีการศึกษากันอย่างจริงจัง ก็ทำให้ชาวพุทธเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาเรื่องเอาราว ผมลอกมาจากหนังสือนะครับอย่าว่าผมนะ จากคุณ : ม้าปรีชา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 21:14:13 A:58.9.32.143 X: TicketID:364831

ความคิดเห็นที่ 80 มาที่ รพ รัฐ เห็นหลวงพ่อมาทำฟันปลอม ท่านบอกไม่มีฟันฉันข้าวไม่ได้ รพ รัฐ ฟันปลอมเริ่มหลักพัน. เเล้วววว. ผ่านมาเล่า จากคุณ : ยางลบสีชมพู เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 22:02:15

ความคิดเห็นที่ 81 เห็นบางคนจะใส่บาตรยังไปถามอีกว่าพระชอบฉันอะไร คนมันไม่รู้ มันก็ไม่รู๊ไม่รู้ พอมีคนบอกก็พยายามจะเถียงให้ได้ คล้ายๆกับเคสเนี้ย จากคุณ : เสียงจากบ้านนา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 22:20:59

ความคิดเห็นที่ 82 หลายวัด ค่าน้ำไฟ ถึงจะมีบริจาค แต่ทางวัดก็ไม่ได้นำมาจ่ายให้นะคะ พระท่านต้องออกเอง เราว่า อยากทำบุญด้วยอะไรก็ทำเถอะคะ เอาที่สบายใจ ถ้าทำแล้วมาคิดว่าท่านจะเอาไปทำอะไร ทำบุญแล้วไม่สบายใจ ไม่เอาดีกว่าคะ จากคุณ : นักออกแบบไส้แห้ง เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 22:34:56

ความคิดเห็นที่ 83 ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธก็ต้องเคารพพุทธบัญญัติของพระบรมศาสดานะครับ ขอยกเอาพระวินัยต้นบัญญัติ มาแสดงให้ดูกันชัด ๆ ไม่ต้องตีความกันอีก ------------- วินััยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 938 โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [๑๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ- เวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ฯลฯ(โดยย่อ...) ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่ง แก่เราแล้วหรือ บุ. ขอรับ ผมบริจาคแล้ว อุ. เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ในทันใด นั้นเองบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระ- ศากบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดา ภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อ สิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุปนันท- ศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำ ของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า การกระทำของเธอนั่น ไมเป็น ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใส ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไป เพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็น อย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบท พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดย อเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็น คนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความ เป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความ กำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดย อเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ รับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อ- ยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะ อันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้ :- พระบัญญัติ: ...อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์... ------------- เน้นพุทธพจน์ที่ขีดเส้นใต้นะครับ  ใครที่เห็นว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปพระรับเงินได้ไม่ผิด จะอธิบายว่าอย่างไร... จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 22:50:27

ความคิดเห็นที่ 84 ส่วนตัวมองว่า วัตถุประสงค์หลักของการใส่บาตร คือการใส่ข้าวปลาอาหารให้แก่พระที่มาบิณฑบาตร เพื่อให้ท่านได้ฉันมีเรี่ยวแรงไปศึกษาธรรมะ หรือปฎิบัติธรรม แต่การนำเงินใส่บาตร เรามองว่ามันดูไม่เหมาะสม หากต้องการทำบุญด้วยปัจจัย ทางวัดก็มีกล่องรับบริจาคอยู่แล้ว แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้างก็ชัดเจนดี ไม่จำเป็นต้องให้พระมารับบิณฑบาตรปัจจัย เราเคยเห็นพระมายืนบิณฑบาตรเรี่ยไรเงินในย่านอ่อนนุช มองดูแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และเห็นว่าไม่ใช่เรื่องไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ต้องมาทำอะไรเช่นนี้ เหมือนเอาตัวท่านไปผูกพันกับเรื่องของกิเลสทางโลกมากเกินไป เพิ่มเติม ----------------------------------------- เราก็ไม่รู้รายละเอียดพระธรรมวินัยมากนัก จึงไม่รู้ว่ามันถูกผิดอย่างไร แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 55 01:51:13 จากคุณ : nannan47 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 01:43:56

ความคิดเห็นที่ 85 ก็ว่ากันไปนะครับ อธิบายได้เท่าที่อธิบาย ถ้าหากยังไม่เข้าใจ อันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามพระสูตรนี้ ยาทิส์ วปเต พช ตาทิส์ ลภเต ผล์ กลฺยาณการี กลฺยาณ์ ปาปการี จ ปาปก์ บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว ทำบุญโดยถูกต้อง ถูกวิธี ย่อมได้บุญ แต่หากทำบาปโดยที่หวังว่าจะได้บุญ ย่อมไม่มีทางได้บุญไปได้ สุดท้ายก็ต้องรับผลของบาปนั้นเอง ------------------------------------------------------------- จากคุณ : Cholesterol Lover เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 09:52:02

ความคิดเห็นที่ 86 เราว่า  ที่ จขกท บอก น่าจะหมายถึง เวลาพระท่านบิณฑบาตร ไม่ควรใส่ซองเงิน แบบนี้หรือเปล่าคะ เราก็ไม่ใส่เงินนะ  ใส่ข้าว ขนม  จริงๆ ดอกไม้ก็ไม่ควรใส่บาตรด้วยใช่หรือเปล่าคะ จำได้ว่า  ดอกไม้ธูปเทียนเป็นสิ่งที่เราต้องนำไปถวายพระพุทธด้วยตัวเอง ส่วนเิรื่องเงิน   เราจะใส่ในตู้ ค่าน้ำ ค่าไฟ  หรือ ตู้บริจาคทางวัด  ไม่ควรใส่ซองถวาย เพราะตามธรรมวินัยเพราะสงฆ์ไม่ควรรับเงินเป็นของตน   (จำมาจากห้องศาสนานะคะ) ...เคยมีคนแก่บอกว่า  พระสงฆ์ท่านยังไม่ได้บรรลุ  ถึงขนาดที่จะตัดกิเลสได้ทั้งหมด  ดังนั้นศาสนิกชนอย่างเรา จงพึงระวังในการปฏิบัติตนต่อท่าน เพื่อจะได้ไม่เป็นกระตุ้นให้กิเลสให้เกิด จะเห็นได้ว่า   คนแก่เวลาไปวัด  แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเขาถึงได้มีผ้าห่มพันรอบตัวเหมือนกับสไบอีกชั้นไงคะ เรียกว่าเป็นการสำรวมตัวเองต่อหน้าพระ   ไม่แต่งหน้า  ไม่ใส่น้ำหอม แต่งตัวเรียบๆ ด้วยค่ะ จากคุณ : นาโนจัง เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 09:53:05

ความคิดเห็นที่ 87 ให้เงินเหมือนให้เหล้า บ้าไปแล้ว จขกท จากคุณ : myheart46 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 11:07:04

ความคิดเห็นที่ 88 พูดลำบากกฎบัญญัติบางอย่างที่ตราขึ้นเมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว กับสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากเดิม ขอเพียงยึดแก่นแท้ได้ก็น่าจะพอ อย่างบางคนถามว่าพระเก็บเงินไว้เพื่อกิจอันใด ขอยกตัวอย่างที่เคยเห็นมา เพราะมีน้าบวชอยู่หลาย 10 พรรษาละกันนะคะ ไม่ใช่วัดที่เคร่งมาก - ใช้ซื้อของใช้ที่จำเป็นค่ะ พระบางรูปไม่ได้มีโยมอุปฐากไปเสียทุกรูปนะคะ อย่างที่บ้านเราเป็นโยมอุปฐากของหลวงน้า จะคอยซื้อของจำเป็นเมื่อท่านต้องการ เช่น หมอน ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ยากันยุง ร่ม รองเท้า น้ำยาซักผ้าต่างๆ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แม้แต่น้ำดื่ม เมื่อก่อนฉันน้ำฝน แต่หลังๆ มาน้ำฝนไม่สะอาดต้องซื้อ (ตอนนี้ซื้อเครื่องกรองน้ำไปถวายติดที่กุฎิแล้ว เอาเงินที่เคยซื้อน้ำ ช่วยค่าน้ำวัดแทน) ของที่ได้จากกระป๋องสังฆทาน ไม่ใช่ว่าไม่มีนะ แต่ใช้ไม่ได้มากกว่า อย่างเช่น แปรงสีฟันที่ขนแปรงแข็งมากก เหมาะเอามาขัดพื้นมากกว่าแปรงฟัน น้อยครั้งที่จะได้เครื่องสังฆทานดีๆ (ที่บ้านซื้อมาจัดเอง น้อยชุด น้อยสิ่ง แต่มีคุณภาพดีกว่า) พระบางรูปที่ไม่ได้มีโยมอุปฐาก หรือมีแต่นานๆ มาที หรือมีแต่ไม่สนใจดูแล ก็ใช้วิธีฝากซื้อค่ะ ท่านก็ให้ลูกศิษย์เอาเงินมาให้ ซื้อเสร็จก็เอาไปให้ลูกศิษย์ท่าน ของเหล่านี้ ไม่มีเป็นส่วนกลางของวัดนะคะ วัดไม่ใช่คลังสินค้า - - เงินส่วนกลางวัด ใช้ในเรื่องค่าน้ำค่าไฟค่าบำรุงดูแลรักษาวัดก็อ่วมแล้วค่ะ จะมีก็ช่วงเข้าพรรษาที่คนนิยมถวายพุ่ม ถวายกระป๋องสังฆทาน พระท่านจะเลือกไว้แต่ใช้ ซึ่งไม่มาก แล้วก็จะแจกจ่ายไปตามบ้านคนจนค่ะ เพราะเก็บไว้ก็มีแต่หมดอายุไปปล่าวๆ - ใช้เป็นค่าเทอม ค่าเสื้อผ้า รองเท้า ค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรม ค่าเดินทางไปโรงเรียน ค่าขนมของลูกศิษย์ค่ะ หรือเด็กวัดที่ดูแลท่านอยู่นั่นล่ะคะ ยิ่งสมัยที่ยังไม่มีโครงการเรียนฟรี 15 ปีนี่จ่ายหนักนะคะ ทุนบางปีก็ได้ บางปีก็ไม่ได้ ส่วนมากจะไม่ได้ เพราะบางบ้านเค้ายากจนกว่าแบบไม่มีผู้อุปการะเลย ก็ต้องสละให้ทางนั้นไปก่อน เพราะทางนี้ยังมีหลวงพี่อุปถัมภ์อยู่ บางทีก็ช่วยไปจนน้องๆ ของลูกศิษย์ เพราะว่าพ่อแม่เค้าจนจริงๆ แต่มีลูกเยอะ การดูแลเด็ก 1 - 2 คนแบบเบ็ตเสร็จ ใช้เงินไม่ใช่น้อยนะ เหมือนเลี้ยงลูก 1-2 คน บางคนท่านส่งเสียจนจบ ม.6 ไปทำงานมีครอบครัว ก็ไม่ได้กลับมาดูแลท่านเลย น้องคนที่ดีหน่อย คอยอยู่ใกล้ๆ ถึงแม้จะมีครอบครัวไปแล้ว ก็ยังมาดูแลก็ประสบอุบัติเหตุตายไป บ้านเรามีแต่ผู้หญิง จะให้ไปคอยดูแล ยามหลวงน้าล้มป่วยก็ไม่ได้ ก็ต้องพึงลูกศิษย์ ตอนนี้ก็เหลือดูแลอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่ได้ดูแลเยอะเหมือนคนก่อนๆ เพราะพ่อแม่พอเงินบ้าง เพียงแต่ส่งลูกมาขัดเกลานิสัย และให้มาดูแลหลวงน้า เพราะท่านก็เริ่มชราภาพมากขึ้นแล้ว อันนี้ท่านเก็บจากแบงค์ 20 ที่ญาติโยมนำใส่ลงในบาตรบ้าง ในย่ามบ้าง กับเงินที่ได้จากกิจนิมนต์ - ใช้เป็นค่ายา ค่ารักษาพยาบาลค่ะ โรคประจำตัวบางโรคต้องเสียเงินรักษาค่ะ ที่ร่ายมา คือ คำตอบจากเราว่าทำไมพระสงฆ์ต้องใช้เงิน หากท่านมีโยมอุปฐากก็อาจจะไม่จำเป็นเลยก็ได้ในการใช้เงิน เพราะมีญาติโยมเป็นคนดูแลให้ แต่ในความเป็นจริง ใช่ว่าพระสงฆ์ทุกรูปจะมีโยมอุปฐากที่คอยเอาใจใส่ดูแล หากท่านไม่ต้องช่วยเหลืออุปการะเด็กจากครอบครัวยากจน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเช่นกัน แต่เด็กก็จะไม่มีอนาคตเพราะว่าพ่อแม่ไม่มีเงินมากพอจะให้ลูกได้ไปเรียนหนังสือ ... สายพิณ ตึงไป หย่อนไป จะได้บทเพลงที่ไพเราะหรือ ... จากคุณ : Seraphina เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 11:55:44

ความคิดเห็นที่ 89 ผมกลับกลัวการใส่บาตร-วนมากกว่าครับ ทุกวันนี้มีแทบทุกตลาดเช้า ตั้งแผงขายของตักบาตรแบบจัดชุด ขายเสร็จ ก็มีพระรอบาตรอยู่ข้างๆแผงเลย คนตั้งใจทำบุญก็ทำกันไป แต่ไม่รู้หรอกว่าพระที่มายืนรอบิณฑบาตนั้น พระจริงหรือปลอม จัดตั้งเป็นแก๊งหรือไม่ และของในบาตรได้เอามาขายต่อหรือเอากลับวัด เข้าใจว่าบางคนตั้งใจจริง แต่ไม่มีเวลาไปปวัด ก็เลยเอาสะดวกเข้าว่า แต่บางครั้งมันเป็นการส่งเสริมการทำชั่ว หนุนหลังมารศาสนาโดยไม่ตั้งใจ ผมอาจจะมองโลกในแง่รา้าย แต่กรณีแบบนี้ก็มีเคยออกข่าวให้เห็นแล้ว เมื่อหลายปีก่อน จากคุณ : Bug Gerd เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 11:57:21

ความคิดเห็นที่ 90 ผมว่า แยกกันระหว่างคำว่า ใส่บาตร-บริจาค ผมเห็นด้วยกับ จขกท นะ จากคุณ : สุขาพาเพลิน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 12:59:34

ความคิดเห็นที่ 91 เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ทุกประการค่ะ เรามีน้องชายบวชอยู่ค่ะ รู้เลยว่าหากินในผ้าเหลืองเป็นยังไง จากคุณ : นนน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 13:20:41 A:58.9.217.111 X: TicketID:375222

ความคิดเห็นที่ 92 ไม่น่าเชื่อตรงที่ จขกท. บอกว่า หลวงพ่อชากล่าวไว้ ตักบาตรด้วย "เงิน" นั้น "บาป" เสียยิ่งกว่า ตักบาตรด้วย "เหล้า" เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ (ถ้า จขกท. นำหนังสือหรือไฟล์เสียงที่อ้างอิงมาบอกได้ก็จะดี ว่าหลวงพ่อชาพูดไว้จริง) เพราะการถวายเงิน หากคนถวายด้วยจิตศรัทธา ปลื้มปิติ แล้วจะเป็นบาปได้อย่างไร ?? พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า "เจตนานั่นแหละ เป็นตัวกรรม" ถ้ามีเจตนาที่ดี ก็เป็นกรรมดี แต่ถ้าถามว่า การตักบาตรด้วยเงินนั้น "สมควรหรือไม่?" ก็ตอบได้เลยว่า "ไม่สมควร" แต่ก็ไม่ควรใช้คำว่า "บาป" เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ทุกคนควรที่ตักบาตร ควรที่จะถวายเป็นอาหารมากกว่า พระในเมืองไทย มี ๒ นิกาย คือ "มหานิกาย" กับ "ธรรมยุต" พระมหานิกายท่านก็บอกชัดๆ อยู่แล้วว่าท่านรับเงิน แต่พระธรรมยุตท่านก็บอกชัดๆ เหมือนกันว่าท่านไม่รับเงินเป็นของส่วนตัว (แต่รับเป็นของส่วนรวมได้) ที่เป็นเช่นนี้ ก็เข้าใจว่า... พระมหานิกายท่านผ่อนผันตามที่พระพุทธเจ้าเคยทรงตรัสอนุญาตไว้ก่อนจะทรงปรินิพพานว่า "ต่อไปภายภาคหน้า หากสงฆ์ต้องการเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อย ก็จงถอนเถิด"  เป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงเล็งการณ์ไกลเห็นว่า สภาพบ้านเมืองในอนาคตจะต้องแตกต่างจากสมัยพุทธกาล จึงทรงพระมหากรุณา เพื่อให้คณะสงฆ์ปรับตัวให้อยู่กับชาวโลกเขาได้ จึงทรงบอกให้คณะสงฆ์พิจารณากันเองว่า จะเพิกถอนยกเลิกศีลสิกขาบทข้อไหนก็ตามใจเถอะ จึงได้ทรงอนุญาตไว้ก่อนทรงปรินิพพาน แต่คณะสงฆ์ของนิกายธรรมยุต ไม่ต้องการเพิกถอนอะไร ก็เลยรักษาศีลสิกขาบทครบถ้วนทั้งหมดมาจนถึงทุกวันนี้  แต่พระมหานิกายได้เพิกถอนสิกขาบทข้อไม่ให้รับเงินนี้ออกไปแล้ว เป็นการเพิกถอน "โดยพฤตินัย" ไม่ใช่ "โดยนิตินัย" คือหมายความว่าถอนโดยพฤติกรรม แต่ว่าไม่กล้าไปลบศีลสิกขาบทข้อนี้ออกจากพระไตรปิฎกแต่อย่างใด จากคุณ : WinandBP เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 14:50:17

ความคิดเห็นที่ 93 เห็นบางความคิดเห็นแล้วเพลียจังเลย อ่านหัวกระทู้แล้วมาตอบเลยโดยไม่อ่านให้ละเอียด แล้วไม่คิดก่อนจะเขียนแสดงความคิดเห็นอีกด้วย สำหรับผม ก็เห็นด้วยกับเจ้า จขท. นะครับ จากคุณ : แม่น้ำห้าสาย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 15:05:11 A:182.53.223.88 X: TicketID:375501

ความคิดเห็นที่ 94 อย่างนั้นก็ห้ามวส่บาตรด้วยข้าวหลามด้วยนะ เผื่อเอาไปใช้ทำ บ้องจำเป็น สำหรับเสพยาด้วยสิ เงิน 5 บาทถ้าสามารถซื้ออยายมุขใดได้  ก็ถือว่าบาปหรือไม่  บุหรี่  ยา  ถุงยาง อาจซื้อได้ด้วยเงิน 5 บาทของคนที่ให้มาหลายๆคนก็ได้นิ พระเค้าเก็บออมเป็นนะ จากคุณ : thursdaymarch เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 20:07:51

ความคิดเห็นที่ 95 เรามองว่าถ้าจำเป็นจริงๆจะให้เงินก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ถวายทานที่จำเป็นดีกว่า  ให้เป็นเงินทำให้พระท่านเกิดกิเลสง่ายขึ้นรึเปล่า? อีกเรื่องที่มอง คือการใส่เป็นเงิน ทำให้มีปัญหาพระปลอมมากขึ้นด้วย อยากให้สังเกตพระเวลาใส่บาตรด้วยค่ะ เราเดินไปทำงานจากBTSทุกวัน จะมีพระรูปนึง ยืนอยู่หน้าเซเว่น  ยืนอยู่ที่เดียว นานมาก  ทุกวันด้วย อีกอย่า  เราว่ากริยาไม่เหมือนพระเลย  ทั้งไม่สำรวม ทั้งรับเงินใส่บาตร เราเคยใส่ครั้งนึง ก็ให้พรแบบง่ายๆ เปิดบาตรมามีแต่แบงค์  มันแปลกๆ  คนเดี๋ยวนี้ก็หากินง่าย เล่นกันง่ายๆ ถ้าเป็นบ้านเราพระไม่จับเงินเลยนะ  จะถวายปัจจัยก็ไปที่วัด  ตู้บริจาคก็มี  ใส่ซองถวายก็ได้ บางทีคนเราก็เอาสบายว่าเกินไป จากคุณ : โยธิกาหน้าหนาว เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 22:01:16

ความคิดเห็นที่ 96 ผมทำมานานแล้วครับ ผมตักบาตรไม่เคยใส่เงินลงไป ผมไม่ตักบาตรกับพระที่ไม่เดินบิณฑบาตร ผมไม่ทำสังฆทานแบบเวียน ผมไม่เคยให้เงินขอทานที่พยายามทำตัวให้น่าสงสารนอนกลิ้งๆขอตังค์ (ผมให้บ้างกับคนที่พยายามร้องเพลงหรือทำอะไรบางอย่างแลกเงิน) และผมก็ไม่เห็นด้วยกับหลายความเห็นในนี้ หลายคนในปัจจุบัน ทำบุญแบบเอาง่าย ทำโดยไม่มีความรู้ คิดว่าใส่ๆเงินไปก็ถือว่าจบไป สุดท้ายเงินที่ใส่ไปมันทำให้วงการนี้มีเงินหมุนเวียนมหาศาล ยิ่งดึงดูดมิจฉาชีพในคราบสงฆ์เข้ามาตักตวงผลประโยชน์มากขึ้น ตัวอย่างก็มีให้เห็นตามข่าวแทบทุกวัน ถ้าใครจะบอกว่าตักบาตรอย่าถามพระ ผมว่าสมัยนี้ไม่ถามไม่ได้แล้ว ถ้าผมเจอสงฆ์ที่ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ถ้าผมรู้หรือเห็นจะไม่ทำบุญอีกเลย แล้วพวกนี้พอสึกวัดนี้ก็ไปบวชวัดโน่น กฏหมายก็ไม่ได้เอาผิดอะไรมากมาย อยากให้ทำบุญกันแบบรับผิดชอบกับพุทธศาสนาส่วนรวมมากขึ้นนะครับ ไม่อยากให้คิดว่าทำบุญแล้วสบายใจแล้ว ที่เหลือจะพระหรืออลัชชีจะเอาไปทำอะไรก็ไม่ใช่ความผิดเรา ก่อนจะไม่เหลือพระดีๆให้เรากราบนะครับ ปล.ในหมวดการทำบุญด้วยการให้ทาน การให้ทานที่ได้บุญสูงสุดคือธรรมทาน ผมว่าดีกว่าเงินเยอะเลย จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 23:45:38 A:171.98.170.226 X: TicketID:220453

ความคิดเห็นที่ 97 มักมีคนบอกว่า แล้วค่าน้ำ ค่าไฟ จะต้องจ่ายยังไง ถ้าไม่ถวายเงินพระ พระจะใช้เงินที่ไหนจ่าย ? คำตอบอาจจะไม่ตอบโดยตรง แต่ย้อนถามว่า พระภิกษุสมัยพุทธกาล ท่านบรรลุโสดาบัน จนถึงอรหันต์ได้อย่างไร โดยไม่ต้องรับเงินทอง พระพุทธภาษิตและสาวกภาษิตมากมายในพระไตรปิฎก แสดงให้เห็นว่า การรับเงินทองนั้น ขัดขวางการปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฎ์  แม้พระศาสดาเองก็ทรงละปราสาทมโหราฬ  เงินทองมากมาย  ตัดพระเกษา ทิ้งความมีความถือมั่นทุกอย่าง และพระสาวกในยุคแรกนั้นล้วนทำตามพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด  ไม่มีเงินตัดตัวสักบาท  แต่กลับบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน ได้รับผลสำเร็จจากการบรรพชาโดยสมบูรณ์ พระพุทธโอวาท หนักมากเรื่องเงินทอง พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ เครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ ๔ อย่าง             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้า หมอง ๔ ประการนี้ จึงไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์ เครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการ เป็นไฉน             ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ดื่มสุรา ดื่มเมรัย ไม่งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์             ๒. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเสพเมถุนธรรม ไม่งดเว้นจากเมถุนธรรม(แปลว่าsex) นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สอง ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์             ๓. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งยินดีทองและเงิน ไม่งดเว้นจากการ รับทองและเงิน นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สาม ซึ่งเป็นเหตุ ให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์             ๔. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพ ไม่งดเว้นจาก มิจฉาชีพ นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สี่ ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้า หมอง ๔ ประการนี้แล จึงไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์ ฉันนั้น ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้ ครั้นแล้วพระสุคตผู้ศาสดาได้ตรัสประพันธคาถา มีเนื้อความ ว่าดังนี้:-             [๖๓๕] สมณพราหมณ์เศร้าหมอง เพราะราคะและโทสะ เป็นคนอัน                          อวิชชาหุ้มห่อ เพลิดเพลิน รูปที่น่ารัก เป็นคนไม่รู้ พวกหนึ่ง                          ดื่มสุราเมรัย พวกหนึ่งเสพเมถุน พวกหนึ่งยินดีเงินและทอง                          พวกหนึ่งเป็นอยู่โดยมิจฉาชีพ เครื่องเศร้าหมองเหล่านี้ พระ                          พุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสว่า เป็นเหตุ                          ให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส                          ไม่บริสุทธิ์ มีกิเลสธุลีดุจมฤค ถูกความมืดรัดรึง เป็นทาส                          ตัณหา พร้อมด้วยกิเลส เครื่องนำไปสู่ภพ ย่อมเพิ่มพูนสถาน                          ทิ้งซากศพให้มาก ย่อมถือเอาภพใหม่ต่อไป ฯ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=7710&Z=7759 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 55 00:52:44 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 55 00:40:33 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 00:16:26

ความคิดเห็นที่ 98 การออกบวช  มีวัตถุประสงค์เพื่อการสละวางความยึดมั่นถือมั่น เพื่อหมดสิ้นกิเลสและความทุกข์    หากผู้ใดที่ออกบวชแล้วยินดีเงินทอง  ชื่อว่าผู้นั้นยังยินดีความทุกข์อยู่  เพราะเงินทอง เป็นที่มาของการแก่งแย่ง การถือมั่น การครอบครอง ความกังวล ความอยาก  ถ้าติดในเงินทอง ก็จะติดอยู่ในตัณหา ในสมัยพุทธกาล พระรัฐปาละ มารดาบิดา นำทองและเงินมาหลอกล่อท่านให้ท่านสึก โดยเอาเงินทองมาเทเป็นกองภูเขาสูงกว่าหัวคน แต่ท่านกลับกล่าวกับมารดาบิดาว่า .... "บิดาของท่านพระรัฐปาละสั่งให้เปิดกองเงินและทองนั้น แล้วได้กล่าวกะท่านพระรัฐปาละว่า พ่อรัฐปาละ ทรัพย์กองนี้เป็นส่วนของมารดา กองอื่นเป็นส่วนของบิดา ส่วนของปู่อีกกองหนึ่ง เป็นของพ่อผู้เดียว พ่ออาจจะใช้สอยสมบัติ และทำบุญ ได้ พ่อจงลาสิกขาสึกเป็นคฤหัสถ์มาใช้สอยสมบัติ และทำบุญไปเถิด.             ท่านพระรัฐปาละตอบว่า ดูกรคฤหบดี ถ้าท่านพึงทำตามคำขออาตมภาพได้ ท่านพึงให้เขาขนกองเงินกองทองนี้บรรทุกเกวียนให้เข็นไปจมเสียที่กลางกระแสแม่น้ำคงคา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความโศก ความร่ำไร ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีทรัพย์นั้นเป็นเหตุ จักเกิดขึ้นแก่ท่าน. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ๒. รัฐปาลสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=6825&Z=7248&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=423 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 00:22:19

ความคิดเห็นที่ 99 สำหรับคาถาของพระเถรีรูปนี้  ท่านได้บรรลุอรหันต์แล้วเช่นเดียวกัน  ถ้าเพื่อน ๆ อ่านแล้ว เห็นใจความข้างใน จะรู้ได้เลยว่าท่านตำหนิผู้ที่บวชแล้วรับเงินและทองไว้ "เจ็บ" แค่ไหน ญาติของท่าน เอาเงินและทองมาหลอกล่อท่านเหมือนกัน แต่ท่านสอนเหล่าญาติ ๆ ว่า "เราละหมู่ญาติ ทาส กรรมกรบ้าน ไร่นาเป็นอันมาก อันเป็นเครื่องรื่นเริงบันเทิงใจ และทรัพย์สมบัติไม่น้อย ออกบวช ก็การที่เราออกบวชในพระสัทธรรมอันพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงประกาศดีแล้วด้วยศรัทธาอย่างนี้ จะกลับมาสู่กามทั้งหลายอันเราตัดได้แล้วนั้น ไม่สมควรเลย เพราะเราปรารถนาความเป็นผู้ไม่มีห่วงใย ผู้ใดละทองคำและเงินแล้ว ยังกลับมารับทองคำและเงินนั้นอีก ไฉนผู้นั้นจะพึงเงยหน้า ในระหว่างบัณฑิตทั้งหลายได้เล่า เพราะเงินหรือทองคำ ย่อมไม่มีเพื่อความสงบใจแม้แก่บุคคลนั้น เงินและทองคำนั้น เป็นของไม่สมควรแก่สมณะ ไม่เป็นอริยทรัพย์ แท้จริงทองคำและเงินนี้ เป็นเหตุให้เกิดความโลภ นำมาซึ่งความมัวเมา ให้เกิดความลุ่มหลง เป็นเครื่องให้กำหนัดพัวพัน มีความระแวง มีความคับแค้นเป็นอันมาก และไม่มีความยั่งยืนมั่นคง ก็คนทั้งหลายผู้ยินดีในทรัพย์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท มีใจเศร้าหมอง ต่างผิดใจต่อกันและกัน กระทำความบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกันเป็นอันมาก การฆ่ากันการถูกจองจำ การถูกลงโทษมีการตัดมือและเท้าเป็นต้น ความเสื่อมเสีย ความเศร้าโศกร่ำไร ความchipหายวอดวายเป็นอันมาก ย่อมปรากฏ แก่บุคคลผู้ติดเนื่องอยู่ในกามทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นญาติของเรา แต่เหตุไฉนจึงมาทำเป็นเหมือนศัตรู ชักชวนเราในกามทั้งหลายเล่า ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า เรามีปกติเห็นภัยในกามทั้งหลายบวชแล้ว อาสวะิกิเลสทั้งหลาย ย่อมไม่สิ้นไปเพราะเงินและทอง กามทั้งหลาย เป็นศัตรู เป็นผู้ฆ่า เป็นข้าศึก เป็นดุจลูกศรและเครื่องจองจำ ท่านทั้งหลายเป็นญาติของเรา แต่เหตุไฉนจึงมาทำเป็นเหมือนศัตรูชักชวนเรา ในกามทั้งหลายเล่า ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า เราบวชแล้ว มีศีรษะโล้น ครองผ้าสังฆาฏิ ก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นอันจักต้องยืนรับ การเที่ยวแสวงหา และผ้าบังสุกุล สมควรแก่เรา เพราะเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิต" ศึกษาทั้งหมดได้จาก [b]พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา ๕. สุภากัมมารธีตาเถรีคาถา คาถาสุภาษิตของนางสุภากัมมารธีตาเถรี http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=9860&Z=9926&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=471 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 00:26:18

ความคิดเห็นที่ 100 พระวินัย สำหรับพระภิำกษุ พระพุทธเจ้าไ้ด้ทรงบัญญัติไว้ ว่าหากพระภิกษุรูปใดรับทองและเงิน จะต้องอาบัติปาจิตตีย์ การถวายเงินแด่พระภิกษุสงฆ์ เท่ากับทำให้พระสงฆ์รูปต้องนั้นอาบัติทันที เป็นการสร้างกรรมแก่พระสงฆ์โดยไ่ม่รู้ตัว จุลศีล             [๑๐๓] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล.             ๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.             ๒. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ .....             ๑๓. เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๒. สามัญญผลสูตร เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1072&Z=1919&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=91 และพระสูตรนี้ จากพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ ตรัสโทษของเงินและทองด้วยพระองค์เองแก่มหาชน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค มณิจูฬกสูตร             [๖๒๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล เมื่อราชบริษัทนั่งประชุมกันในพระราชวังสังสนทนากันว่า ทองและเงินย่อมควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมยินดีทองและเงิน ย่อมรับทองและเงิน ฯ             [๖๒๔] ก็สมัยนั้นแล นายบ้านนามว่ามณิจูฬกะนั่งอยู่ในบริษัทนั้น ครั้ง นั้น นายบ้านนามว่ามณิจูฬกะได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า ท่านผู้เจริญอย่าได้กล่าว อย่างนี้ ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทอง และเงิน ย่อมไม่รับทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน นายบ้านมณิจูฬกะไม่อาจให้บริษัทนั้นยินยอมได้ ฯ             [๖๒๕] ครั้งนั้น  นายบ้านจูฬกะจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบ ทูลพระผู้มีพระภาคว่า             "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อราชบริษัทนั่งประชุมกันในพระราชวังสนทนากันว่า ทองและเงินย่อมควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมยินดีทองและเงิน" เมื่อราชบริษัทกล่าวอย่างนี้ ข้าพระองค์ได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า "ท่านผู้เจริญอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ทองและเงินย่อมไม่ควรแก่สมณศากยบุตรสมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน ย่อมไม่รับทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน"               ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่อาจให้บริษัทนั้นยินยอมได้ เมื่อข้าพระองค์พยากรณ์อย่างนี้ เป็นอันกล่าวตามคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนพึงติเตียนได้แลหรือ พระเจ้าข้า ฯ             [๖๒๖] พระผู้มีพระภาค(พระพุทธเจ้า)ตรัสว่า ดีละ นายคามณี เมื่อท่านพยากรณ์อย่างนี้ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่ถึงฐานะ อันวิญญูชนพึงติเตียนได้             เพราะว่าทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง  ปราศจากทองและเงิน             ดูกรนายคามณี ทองและเงินควรแก่ผู้ใด เบญจกามคุณก็ควรแก่ ผู้นั้น เบญจกามคุณควรแก่ผู้ใด ทองและเงินก็ควรแก่ผู้นั้น              ดูกรนายคามณี ท่านจงรู้เบญจกามคุณนั้นโดยส่วนเดียวว่า ไม่ใช่ธรรมของสมณะ ไม่ใช่ธรรมของศากยบุตร              อนึ่งเล่าเรากล่าวอย่างนี้ว่า              ผู้ต้องการหญ้าพึงแสวงหาหญ้าผู้ต้องการไม้พึงแสวงหาไม้             ผู้ต้องการเกวียนพึงแสวงหาเกวียน             ผู้ต้องการบุรุษพึงแสวงหาบุรุษ             เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอะไรเลย ฯ จบสูตรที่ ๑๐ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค มณิจูฬกสูตร           http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=8228&Z=8262&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=18&i=623 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 00:38:15

ความคิดเห็นที่ 101 นางโรหิณี ถูกบิดาที่ไม่เืลื่อมใสในพระสงฆ์ถามว่า เพราะอะไรนางถึงรักและเลื่อมใสพระสงฆ์  นางตอบเป็นข้อความตอนหนึ่งแก่บิดาว่า สมณะทั้งหลายเป็นผู้ไปไกล มีสติพูดพอประมาณ ไม่ฟุ้งซ่าน รู้ทั่วถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพราะเหตุนั้นสมณะทั้งหลายจึงเป็นที่รักของดิฉัน สมณะทั้งหลายหลีกไปจากบ้านใด ย่อมไม่กังวลถึงสัตว์หรือสังขารอะไรในบ้านนั้น เป็นผู้ไม่มีความห่วงใยหลีกไปเพราะเหตุนั้น สมณะทั้งหลายจึงเป็นที่รักของดิฉัน สมณะทั้งหลายย่อมไม่เก็บสะสมข้าวไว้ในฉาง ไม่สะสมไว้ในหม้อ ไม่สะสมไว้ในกระเช้าเที่ยวแสวงหาแต่อาหารที่สำเร็จแล้ว เพราะเหตุนั้น สมณะทั้งหลายจึงเป็นที่รักของดิฉัน สมณะทั้งหลายท่านไม่รับเงินไม่รับทอง ไม่รับรูปิยะเยียวยาอัตภาพด้วยอาหารอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะเหตุนั้น สมณะทั้งหลายจึงเป็นที่รักของดิฉัน สมณะทั้งหลายออกบวชจากตระกูลต่างๆกัน และจากชนบทต่างๆ กัน แต่ย่อมรักใคร่กันและกันดี เพราะเหตุนั้นสมณะทั้งหลายจึงเป็นที่รักของดิฉัน. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา ๒. โรหิณีเถรีคาถา คาถาสุภาษิตของนางโรหิณีเถรี http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=9667&Z=9720&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=468 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 00:43:43

ความคิดเห็นที่ 102 คหสต. นะคะ การให้แบบสักแต่ว่าให้ ฉันสบายใจซะอย่าง แล้วก็คิดเอาเองว่าจะได้บุญ มันเป็นการทำบุญแบบไม่ใช้สมองและไม่รับผิดชอบค่ะ เหมือนให้เงินเด็กขอทานเป็นการส่งเสริมการค้ามนุษย์น่ะ ไม่รู้ไม่ผิด แต่รู้แล้วยังไม่ยอมคิด คิดแต่เข้าข้างตัวเอง มันก็บ่อนทำลายสังคมเหมือนกัันนะ พระที่ยกมือไหว้กันน่ะน่าไหว้ทุกรูปหรือเปล่า (เดี๋ยวก็มีคนว่าอย่าคิดมากอีก) ไม่ได้หาเรื่องใครนะคะ แต่เราเข้าใจมาตลอดว่า"แก่น" ของศาสนาพุทธคือปัญญา หรือจริงๆแล้วไม่ใช่??? จากคุณ : *~KingFisho~* เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 01:40:38

ความคิดเห็นที่ 103 จริงๆพระไม่ควรมีเงินเลยครับ  เพราะพระนั้นจริงๆแล้วท่านไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย  แต่ยุคสมัยและความเสื่อมที่สืบทอดกันจึงต้องทำให้พระต้องใช้เงิน เป็นพระนักสร้างบ้าง  ต้องจ่ายค่าเช่ากุฎิค่าน้ำค่าไฟบ้างในวัดใหญ่ในเมือง จากคุณ : ทานตะวันตื่นสาย (ทานตะวันตื่นสาย) เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 03:40:12

ความคิดเห็นที่ 104 ให้เงินพระเท่ากับท่านเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการทำบาป จากคุณ : tum911 เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 10:57:20

ความคิดเห็นที่ 105 สงสัยว่า สมัยพุทธกาลมีเงินบาทด้วยเหรอ? จากคุณ : ทองหยอด (wizardpauper) เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 11:54:08

ความคิดเห็นที่ 106 พระพุุทธเจ้าห้ามไว้แล้ว เราเป็นใครถึงจะบอกว่า รู้ดีกว่าพระองค์ พระต้องใช้ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ายา บลา บลา บลา จากคุณ : แม่น้องหยง เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 14:37:20

ความคิดเห็นที่ 107 เคยเห็นพระเอาเงินไปเล่นหวยไหม? เคยเห็นพระถูกหวยแล้วเหมารถไปกินอาหารที่ร้านอาหารไหม? เคยเห็นพระซื้อคอมสเปคเทพ ตอนเย็นเปิดเครื่องเสียงเสียงดังลั่นกุฏิไหม? เคยเห็นพระตามร้านขายแผ่นซีดีไหม? เคยเห็นพระทะเลาะกันเรื่องรับกิจนิมนต์ไหม? เคยเห็นไอ้พวกขายตรงเข้าไปขายสินค้าในวัดไหม? เคยเห็นพระซื้อ iphone ไหม (คนทำบุญบางคนยังไม่มีมือถือใช้เลย) ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องศาสนาเท่าใดนัก แต่คิดว่า ในส่วนของปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตของพระนั้นได้มาครบถ้วนแล้ว อาหาร-บิณฑบาต เครื่องนุ่งห่ม-ก็มีถวายกันหลายๆ งาน ที่อยู่อาศัย-วัด ยารักษาโรค-ใช้บริการฟรีที่โรงพยาบาลรัฐ ดังนั้น เงินปัจจัยคงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่าใดนัก ส่วนค่าน้ำค่าไฟ ก็มีตู้บริจาค เงินบริจาคก็มีกรรมการวัดดูแล ปัจจุบันผมไม่พยายามทำบุญกับวัดแล้ว มักจะทำบุญกับการศึกษาของเด็กๆ มากกว่า จากคุณ : nondinho เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 15:35:10

ความคิดเห็นที่ 108 "พระพุทธเจ้าสอนเหล่าสาวกว่า ห้ามรับการใส่บาตรจากโยมด้วยเงิน มากกว่า 5 บาท" พระพุทธเจ้าประสูติที่ไทยหรือครับถึงใช้เงินสกุลบาท (ทั้งๆที่สมัยนั้นเงินสกุลบาทยังไม่เกิดด้วยซ้ำ) หรือเหล่าสาวกไปมั่วกันเอง จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : วันเยาวชนแห่งชาติ 55 15:35:29