เข้ามาอ่าน...แล้วก็ ร้องไห้(เรื่องราวไม่ได้เหมือนกัน แต่เหมือนกันตรงความรู้สึกของการสูญเสียคนรั) และขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ ทั้งคุณ noki_nok และคุณ ลูกหมูหัดกลิ้ง
ในชีวิตยังไม่เคยมี คนใกล้ตัวเป็นมะเร็ง
มีแต่ ย่า (เป็นน้าสาวของแม่ แต่เรียกตามหลายคนอื่น ทั้งที่จริงควรเรียก ยาย)แต่เราเป็นหลานคนสุดท้าย ที่ย่าเลี้ยงเรามา และอยู่กับย่านานที่สุด เพราะหลานคนอื่นๆมีครอบครัวหมดแล้ว
ย่า เลี้ยง เราตั้งแต่ อายุ 4 เดือน จวบจน อายุ 22 ยังเรียนไม่จบ ป.ตรี
ย่า เป็น ลม แล้วก็ล้ม อาการตามมาคือเป็นอัมพาต ครึ่งซ้าย
เราและครอบครัวรวมหลานๆคนอื่นได้ดูแลจนถึงที่สุด
ในระยะเวลา 1 เดือน ที่ต้องเข้าๆออก โรงพยาบาล ก่อนไปเรียน ต้องบอกย่าทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไปคือ ต้องไปกระซิบบอกที่ข้างๆเตียง
เวลาไปเรียน เอาชุดมหาลัยไปแต่งที่โรงพยาบาล ตอนแรกไม่ค่อยชินกับสภาพนั้น...หลังๆมา เริ่มปรับสภาพและทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ยากมากๆเลยค่ะ ที่ต้องทำเหมือนกับว่ายอมรับสภาพได้แล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือให้รู้เรื่อง (ซึ่งในความเป็นจริง อาจารย์พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลยค่ะ)
ตลอดระยะ เวลา 22 ปี อยู่กับย่ามาตลอด กลับจากโรงเรียนหรือมหาลัยก็มานั่งเล่าให้ย่าฟังว่า มีเรื่องนี้ๆเกิดขึ้นอย่างนี้ๆนะ วันนี้ย่า..ก็แค่ฟังเรื่องที่เราเล่าให้เขาฟังไม่รู้เรื่องเอง
หลังจากอยู่ โรงพยาบาล 1 เดือน อาการเริ่มทรงตัว ลุงเลยขอย้าย ย่า มาดูแลที่บ้าน หลังจากนั้น ประมาณ อาทิตย์นึง สภาพเก่าๆก่อนย่าป่วยเริ่มเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่ ย่า ต้องนอน อย่างเดียว อีกข้างลำตัวขยับไม่ได้
1 อาทิตย์ที่กลับมาอยู่บ้าน ช่วง 2-3 วันหลัง อาการเริ่มทรุด สุดท้ายย่าก็จากไปอย่างสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราฝัน ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยค่ะ
เพราะเคยบอกย่า ว่า ถ้าหนูเรียน จบ ย่าต้องไปงาน รับปริญญาหนูนะ
สุดท้าย ย่าก็ไม่ได้ไป....
และแล้วเวลาแห่งความสำเร็จก็มาถึง ....
กลับมาจากงานรับปริญญาที่เชียงใหม่ รีบกลับไปบอกย่าที่บ้าน และบอกกับรูปย่า ว่า หนูเรียน จบอย่้างที่ย่าบอกให้ตั้งใจเรียนแล้ว หลังจากนั้นก็ ยืนน้ำตาไหลเงียบๆอยู่คนเดียว ตั้งนานสองนาน ในห้องเก็บกระดูกย่า