ความคิดเห็นที่ 1 เราคนนึงที่ไ่ม่เคยคิดแบบนั้นค่ะ พลาดพลั้งขึ้นมา ที่บ้านจะอับอาย รักตัวเองและคุณพ่อคุณแ่ม่มากกว่าผู้ชายที่เพิ่งมาบอกรักอยู่แล้วค่ะ จากคุณ : น้ำผึ้งอาบยาพิษ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:03:25

ความคิดเห็นที่ 2 เหมือน Re 1 ค่ะ จากคุณ : ณินทร์ลดา เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:04:21

ความคิดเห็นที่ 3 เราเป็นอีกเสียงนึงค่ะ ที่ไม่ได้คิดแบบนั้น :) จากคุณ : หมาเหงาเกาหลัง เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:05:42

ความคิดเห็นที่ 4 เบื่อคำถามแบบนี้ ถามแต่ผู้หญิง ถามผู้ชายบ้างก็ได้ ถ้ารักและหวังดี กลัวเค้าเสียราคา แล้วชวนฝ่ายหญิงไปอยู่ก่อนแต่งทำไม ฮ่วย! จากคุณ : Minky Bow Bow เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:06:19

ความคิดเห็นที่ 5 ผู้หญิงเค้าตีเป็นราคากันแล้วหรอค่ะ ถามหน่อย? จากคุณ : Nu_NaM_SoM เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:12:33

ความคิดเห็นที่ 6 เราไม่ได้สนับสนุนการอยู่ก่อนแต่ง แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร แค่สงสัยว่าคุณค่าราคาของผู้หญิงคนนึงเนี่ย มันอยู่แค่ว่า "เคยมีผัวมาแล้วหรือยัง" แค่นั้นเองน่ะเหรอ ถึงเรียกว่าราคาตก จากคุณ : hamstersom เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:13:45

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ค่ะ ไม่เคยคิดยังงั้นน จากคุณ : Sweetest Honey เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:16:29

ความคิดเห็นที่ 8 เรามองว่าถ้าโตแล้ว ทำงานมีความรับผิดชอบ จะอยู่ก่อนแต่งก็ไม่น่าเกลียดอะไร (ในกรณีที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ด้วยนะ ไม่ใช่แอบ ๆ) เพราะเรามองว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต ไม่ใช่หลักประกันซะหน่อยว่าคนสองคนจะรักและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า จากคุณ : ชาบุ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:16:33

ความคิดเห็นที่ 9 มีบอกให้เอามาแปะให้หน่อยหน่ะครับ จัดให้ตามคำขอครับ จากคุณ : Karinda เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:17:33

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นตามคห.4ค่ะ อะไรๆก็ผู้หญิง น่าเบื่อ ดูผู้ชายบ้างซิ ว่าทำตัวยังไง ถามแบบนี้เหมือนตีราคาผู้หญิงนี่ ผู้ชายไม่ห่วยเลยสิท่า เราคนนึงที่เป็นคนหัวโบราณเหมือนกัน ก็ไม่คิดจะอยู่ก่อนแต่งนะ แต่ถ้า2คนที่ จขกท ว่ามาเค้าพอใจที่จะทำแบบนี้ ไม่เดือดร้อนใคร รับผิดชอบตัวเองได้ ก็เรื่องของเค้านี่ จากคุณ : นุช เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:18:30 A:58.11.62.96 X: TicketID:375222

ความคิดเห็นที่ 11 ขออภัยนะครับ ที่บางคำใช้ ไม่เหมาะสม และตำถามอาจจะไม่ถูกใจคุณ ญ T T จากคุณ : รวยเงินรวยหุ้น เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:19:04

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าไม่ใช่นะครับ การได้แต่งงานเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของชีวิตผู้หญิงครับ เพราะชีวิตหนึ่งมีครั้งเดี่ยว  และในวันนั้นเค้าจะสวยที่สุดในชีวิตครับ จากคุณ : พุ่มไม้ใบหญ้า (พุ่มไม้ใบหญ้า) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:22:12

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าผู้ชายดี ให้เกียรติผู้หญิง ไม่คิดล่วงเกินมันก็โอเคครับ อาจจะได้ศึกษากันใกล้กันมากขึ้น แต่จะมีหรอครับ :/ สำหรับผมถ้าจะชวนใครมาอยู่ด้วยกัน ผมคงต้องแต่งก่อนเพราะอย่างน้อยถือว่าเป็นการให้เกียรติเขา ครอบครัวเขา และ ครอบครัวผมด้วยครับ จากคุณ : Nabi_oppa เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:26:39

ความคิดเห็นที่ 14 ยังสงสัยว่า มันต่างกันยังไงกับไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็มีอะไรกันบ่อยๆ แบบค้างเป็นคืนๆไป มันต่างกันยังไง จากคุณ : สำหรับผม ไม่ต่าง (no preservation) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:27:59

ความคิดเห็นที่ 15 เพื่อนๆ เราทำแบบนี้กันเยอะค่ะ เราก็มองว่าอะไรๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว จากรู้สึกไม่ชอบกลายเป็นธรรมดา แต่สำหรับตัวเรา เราไม่ทำแน่นอนค่ะ เพราะตัวเราเองนี่แหละที่ไม่ชอบใกล้ชิดกับคนนอกครอบครัวมากเกินไป จากคุณ : แม่ครัวคานแอ่น เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:30:38

ความคิดเห็นที่ 16 ผู้หญิงทุกคนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหมอนวด นักโทษหญิง สก๊อย BA เครื่องสำอาง แอร์โฮสเตท เด็กม.ปลายติ่งเกาหลี เด็กเนิร์ดห้องคิง สาวออฟฟิศทั่วไป นักศึกษาปริญญาเอก อย่าเอาเรื่องกะอีแค่ "เคยมีเซ็กซ์มาแล้วหรือยังไม่เคย" มาตัดสินคุณค่าในตัวผู้หญิงเลย มันเป็นอะไรที่แย่มาก ถ้าจะมีการตัดสินคุณค่าในตัวใครจริงๆแล้วละก็ คนที่คุณค่าน้อยที่สุด คือคนที่ชอบตัดสินคนอื่นเนี่ยแหละ อ่อ แล้วก็เบื่อมากกับการที่ผู้หญิงด้วยกันเองมองว่าการมีเซ็กซ์กับใครสักคนก่อนการแต่งงานเป็นเรื่องพลาดพลั้ง เรื่องผิดพลาด เรื่องน่าอาย ขายหน้า ชีวิตเสียหาย จากคุณ : เทเลทับขี้ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:31:32

ความคิดเห็นที่ 17 คาดว่ามหากาพย์ฉบับนี้คงยาว จากคุณ : บอนส์ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:33:51

ความคิดเห็นที่ 18 ^ จากคุณ : Minky Bow Bow เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:37:33

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าผู้ชายได้ ชู้วู้ว กับ ผู้หญิงก่อนแต่ง 80%จะโดนทิ้งในเวลาอีกไม่นาน แล้วไม่ได้อะไรเลย ได้แต่ความเสียใจ ถ้าผู้ชายได้ ชู้วู้ว กับ ผู้หญิงหลังแต่ง 80% จะอยู่กันจนแก่ครับ ถึง20%จะเลิกกันหลังแต่งอย่างน้อยๆก็ได้แบ่งสมบัติบ้าง ถ้ามีลูกก็เรียกค่าเลี้ยงดูได้ เพราะฉะนั้นเลือกเอาครับว่าอยากได้ผู้ชายแบบใหน หน้าตาดี นิสัยไม่ดี แบบที่เร้าใจหรือส้มตำ แบบกระทู้แนะนำ หรือ ผู้ชายหน้าตาธรรมดา/ดี นิสัยดี แต่ช้า แบบ แกงจืต กระทู้แนะนำ ก่อนได้ ชู้วู้ว  ผู้ชาย จะตาม ผู้หญิง หลังได้ ชู้วู้ว  ผู้หญิง จะตาม ผู้ชาย อยากเป็นแบบใหน แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 16:40:43 จากคุณ : Nabi_oppa เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:39:12

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าไม่แต่งงานกันให้ผู้ใหญ่รับรู้ เราก็ไม่กล้าอยู่ก่อนแต่งค่ะ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา เกรงใจพ่อแม่แย่เลยค่ะ อย่างน้อยก็ต้อง ให้เกียรติพ่อแม่ด้วยค่ะ จากคุณ : สิ่งนี้เพื่อคุณ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 16:50:35

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีหรือต่างกันตรงไหน แต่ละคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ตัวเราไม่ขออยู่ก่อนแต่งค่ะ นึกถึงพ่อแม่ ก่อนความสุขตัวเอง ท่านจะรู้สึกยังไงที่ลูกไปอยู่กับผช ทั้งๆที่ยังไม่แต่งงาน อันนี้ไม่รวมที่แอบไปอยู่กันเองตั้งแต่เรียนหนังสือนะ แบบนั้นยิ่งโกหกพ่อแม่ด้วย บาปหนัก จากคุณ : ต้นอ้อ (ยัยต้นอ้อVSนายข้าวโอ๊ต) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 17:00:39

ความคิดเห็นที่ 22 ผมว่าทุกคนมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้นะครับ ในเมื่อเค้าเรียนจบแล้ว มีเงิน มีงาน จะอยู่ไม่อยู่สุดท้าย ค่าความเป็นคนก็เท่ากัน มีแต่พวกเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละครับชอบหยิบเรื่องนี้มาดูถูกผู้หญิง จากคุณ : หมาเมาแฟ็บเดอะซีรี่ย์ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 17:12:32

ความคิดเห็นที่ 23 นานาจิตตังค่ะ ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านว่าจะคิดจะตัดสินใจ จะใช้ชีวิตกันยังไง และขึ้นอยู่กับเหตุผลของแต่ละคนด้วยค่ะ จากคุณ : JenNy & Tristan @ The UK เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 17:18:09

ความคิดเห็นที่ 24 เราไม่อยู่เด็ดขาด .... จากคุณ : dress_drama (dress_drama) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 17:19:28

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าทุกอย่างมันลงตัว โตแล้ว มีความรับผิดชอบกันพอ พ่อแม่รู้ ดูแลตัวเองได้ มันก็ไม่ผิดหรอก ดีกว่า วันหยุดแอบไปบ้าน หรือไปทะเล แล้วค้างคืน(...) ไม่ดีกว่าหรอ??? ได้ศึกษากันด้วย เวลาอยู่ด้วยกัน มันต่างกันนะกับ อยู่คนละบ้านอ่ะ ต้องแชร์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะอารมณ์ หรืออะไรต่างๆ เราเองเราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง บอกอะไรไม่ได้หรอกค่ะว่าตัวเองจะอยู่ก่อนแต่งหรือไม่ แต่จาก ทู้นี้ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ต่างเหตุผลกันไปของแต่ละคน และอีกอย่างอย่าตีราคาผู้หญิงเลย และอย่าเอาเรื่อง ซิง มาวัดค่าผู้หญิงเลย มันแล้วแต่กรณีไป คนเคยแต่งงาน เลิกกับสามีเก่า แล้วรู้จักคนใหม่ อยู่กินกันไปตลอดอย่างมีความสุข คุณคิดว่า ผู้ชายคนนั้นเค้าเห็นค่า ผู้หญิงน้อยหรือเปล่าหล่ะคะ ถึงยอมอยู่ด้วยได้ตลอดชีวิตขนาดนี้ อย่าได้ ดูถูก หรือ เหยียดหยามคนไม่ซิงได้แล้ว แย่ๆก็มี ดีๆก็มีเหมือนกัน คนเราไม่รู้จัก "พลาด" มันก็ไม่ได้ประสบการณ์สอนตัวเองดิ ถ้ารู้จักเปลี่ยนความพลาดของตัวเองให้เป็นบทเรียน * แอบโมโหนิดนึง ที่บางคนพูดเหมือน ผู้หญิงที่เสียซิงแล้ว "ไม่มีความหมาย" คนเหมือนกันค่ะ จากคุณ : Christkind เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 17:23:54

ความคิดเห็นที่ 26 สำหรับคนอื่นเราไม่รู้ เพราะชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าความคิดและการตัดสินใจก็ย่อมแตกต่างกัน แต่สำหรับเราแล้วไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด... ร่างกายชีวิตนี้เป็นของเราก็จริง แต่พ่อแม่คือผู้ที่ให้ชีวิตเรามา จะทำอะไรเราก็นึกถึงหน้าพ่อแม่ก่อนแค่นั้น กลัวมีเรื่องงามหน้าขึ้น แล้วพ่อแม่จะอายไปทั้งชีวิต กลัวพ่อแม่เป็นขี้ปากชาวบ้านตอนแก่ เราคงบาปไม่ใช่น้อยเลยแหล่ะ จากคุณ : หนูลัลน์ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 17:42:18

ความคิดเห็นที่ 27 เราว่าการอยู่ก่อนแต่งมันเสี่ยงต่อการโดนทิ้ง คหสต นะ แต่ไม่ว่าจะอยู่ก่อน หรือ แต่งก่อนอยู่มันเสี่ยงหมดล่ะ ไหนๆก็ไหนๆแต่งก่อนอยู่ดีกว่า ความรักเป็นเรื่องของคน 2 คนก็จริง แต่เราเกิดมาตัวคนเดียวซะเมื่อไหร่ ยังมีพ่อ แม่ ที่เลี้ยงเรามา เราว่าถ้าฝ่ายชายรักเราจริง มันคือการให้เกียรติอย่างนึงนะ มาแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่แอบกินก่อนอะไรอย่างนี้ จากคุณ : Cinnamoroll เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 17:49:42

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ธรรมดา ถ้าจขกท.อยากรู้ว่าผญ.ส่วนใหญ่คิดว่าธรรมดารึเปล่า คุณต้องทำโพลสำรวจแล้วล่ะค่ะ คุณจะมองแค่ในสิ่งที่คุณเห็นไม่ได้ จากคุณ : หิมะสีนํ้าเงิน เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:08:10

ความคิดเห็นที่ 29 เราไม่เคยอยู่ก่อนแต่งค่ะ เราให้เกียรติครอบครัวเราและตัวเราเอง ตอบแค่นี้แล้วกัน ( สำหรับตัวเรานะ) จากคุณ : mint_narak เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:14:25

ความคิดเห็นที่ 30 เราขอแสดงความคิดเห็น จากมุมมองของคนที่ครอบครัวแตกแยกนะคะ ครอบครัวเรา พ่อแม่ปิ๊งกันสมัยเรียน แล้วก็แต่งงานกัน แต่ฝ่ายนึงไม่ชอบนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่าย ที่มารู้หลังจากแต่งงานกันไปแล้ว อีกฝ่ายนึงก็ไม่รู้ว่า เจ้าชู้ชอบหว่านเสน่ห์ สุดท้ายก็หย่ากัน ทั้งๆที่ลูกยังไม่เข้าอนุบาล ด้วยซ้ำ เราคิดว่า การแต่งงาน มันเหมือนการบอกคนอื่น ว่าฉันตกลงปลงใจกับคนนี้ เลือกคนนี้แล้วนะ จะอยู่กับคนนี้ไปตลอด เราคนนึงที่รับได้กับการอยู่ก่อนแต่ง แต่ไม่ใช่หมายถึงว่า อยู่กันจนมีลูกนะคะ อยู่ ในที่นี้คือ ให้ได้รู้ ให้ได้เห็นตัวตนของอีกฝ่าย ผู้หญิงบางคนอาจจะรับไม่ได้กับผู้ชายนอนกรน สกปรก ผู้ชายบางคนก็อาจจะรับไม่ได้กับผู้หญิงที่สวยแต่ตัว แต่ห้องหับไม่ดูแล เมื่อตัดสินใจแต่งงานกันไป จะได้ไม่ต้องมารู้สึกว่า ก่อนแต่งเธอเป็นอย่างนึง หลังแต่งเป็นอีกอย่าง อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด แต่ไปมาหาสู่ ไปนอนบ้านบ้าง ยิ่งให้ผู้ใหญ่รับรู้ได้ยิ่งดี แต่ทั้งนี้ฝ่ายหญิงต้องระวังตัว อย่าให้พลาดท้อง และต้องเลือกผู้ชายที่คิดว่าจะไว้ใจพอให้อยู่ก่อนแต่งได้ด้วย ส่วนฝ่ายชาย ก็อยากให้คิดว่า จะอยู่เฉพาะกับผู้หญิงที่คาดว่าอยากจะแต่งงานด้วยจริงๆเท่านั้น ไม่ใช่คิดอยากจะ fun อย่างเดียว แต่จะว่าไป เรื่อง sex ก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน เพราะหลายคู่หย่ากันเพราะเรื่องนี้มาแล้ว... จากคุณ : leeja เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:18:43

ความคิดเห็นที่ 31 ต้มมาม่ารอ เราคิดว่าธรรมดาค่ะ อยากจะอยู่ก่อนก็อยู่เห๊อะ ตามสะดวก ใครไม่สะดวกก็ไม่ต้องไปอยู่ ชีวิตใครชีวิตมัน จะมีผิดถูกได้ยังไง สำหรับเราถ้าไม่ติดพ่อแม่ก็อยากอยู่อ่ะ ไม่ใช่อยู่ก่อนแต่ง แต่อยู่แบบไม่แต่ง ยกเว้นว่า ถ้าต่อไปดูๆแล้วมันมีผลประโยชน์ทางกฎหมาย แบบนี้จะแต่ง สำหรับเราการแต่งงานคือการจดทะเบียนนะ แต่งอลังการแต่ไม่มีทะเบียนสมรสนี่ไม่นับ เพราะประโยชน์ของการแต่งงานสำหรับเราคือผลประโยชน์ทางกฎหมายที่จับต้องได้ วัึนนึงถ้าเลิกกัน เราก็ไม่แคร์นะ เราคิดว่าเราดูแลตัวเองได้อ่ะ ไม่ได้ขอใครกิน เลี้ยงตัวเอง มีอะไรต้องอาย? ไอ้แบบที่แต่งไปแล้วตัวเองไม่ได้ทำงาน เลี้ยงตัวเองไม่ได้เลยต้องทนอยู่กับเค้าสิน่าอาย ถ้าวันนึงเจอใครที่รับไม่ได้ ก็ช่างหัวผู้ชายมันดิ ไม่ชอบชั้นชั้นก็ไม่เอาแกหรอก เราไม่เค้าใจการเก็บความบริสุทธิ์ไว้ให้สามีในอนาคตเลย มันวาทกรรมที่ผู้ชายสร้างขึ้นมาเอาเปรียบชัดๆ ผู้ชายส่วนมากก็อยากเป็นที่หนึ่งทั้งนั้น แล้วชั้นจำเป็นต้อง please มันด้วยเหรอ? จากคุณ : titleandmig เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:23:03

ความคิดเห็นที่ 32 ก็ไม่แปลกนะ  แค่อยู่บ้านเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีเซ็กกันก็ได้ จากคุณ : ขงจื๊อ ขงเบ้ง เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:39:33

ความคิดเห็นที่ 33 คนอื่นคิดไงเราไม่รู้ แต่เราคนนึงค่ะ ที่ยังอยากแต่งงานก่อน อยู่กันกับคนที่รัก ต่างคนต่างความคิด ต่างเหตุผลค่ะ เรายังแคร์พ่อแม่ ครอบครัวเรา กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ อนาคตไม่แน่นอน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนๆ นี้ดีพอสำหรับเรา หรือเราดีพอแล้วสำหรับเขา อีกอย่างเรามองว่า หากเราอยู่กันก่อนแต่ง จะทำให้อีกฝ่ายเบื่อ หรือว่ามองเป็นของตายหรือเปล่า รักบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเสมอไปค่ะ คหสต ค่ะ จากคุณ : เจ้าหญิง..เท้าเปล่า เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:42:41

ความคิดเห็นที่ 34 ต่างคนต่างความคิด.... อ่านแล้วคล้อยตามหมดเลย จากคุณ : ที่สุดของความฝัน เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:56:51

ความคิดเห็นที่ 35 พอทีเถอะค่ะ หลายๆคนที่บอกว่าอยู่ก่อนแต่งแล้วผู้หญิงเสียหาย ผู้หญิงเค้าเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ ต้องให้เกียรติพ่อแม่เค้า เออ แล้วผู้ชายนี่มันเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่มีพ่อแม่หรือไง ถึงได้อยู่ก่อนแต่งแล้วไม่เสียหาย และจริงๆแล้วจะอยู่ก่อนแต่งยังไงก็ไม่น่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายนึงเสียหายเลยด้วยซ้ำไม่ว่าหญิงหรือชาย คนที่จะมองว่าเสียหายส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่ดูถูกผู้หญิง ตีพรหมจรรย์เป็นราคาเป็นคุณค่า ชีวิตคนทั้งคนนะ มีค่าน้อยกว่าเยื่อบางๆส่วนนึงของร่างกายหรือไง บ้าไปแล้ว ถ้าลองไม่ตีคุณค่าให้กับพรหมจรรย์แล้ว ก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย ถ้ากลัวว่าอยู่ก่อนแต่งแล้วผู้ชายจะเบื่อ ก็ขอบอกว่าถ้าเกิดโชคร้ายได้ไปเป็นแฟนกับผู้ชายที่จะนอกใจเพราะขี้เบื่อของเก่า ต่อให้แต่งก่อนมันก็เบื่ออยู่ดีล่ะค่ะ เยอะแยะไปที่สามีออกไปมีกิ๊กเพราะเบื่อภรรยา แล้วที่บอกว่าควรแต่งงานก่อน เพราะการแต่งงานเป็นครั้งเดียวในชีวิตของผู้หญิง และถ้าแต่งแล้วหย่าก็เรียกร้องทรัพย์สินเรียกร้องการดูแลได้ การแต่งงานมันเกิดขึ้นได้หลายครั้งนะคะ ไม่ใช่ว่าแต่งก่อนแล้วจะรับประกันได้ว่าจะเป็นงานแต่งครั้งเดียว คู่ที่แต่งแล้วหย่า แล้วแต่งอีกหลายรอบก็มีเยอะแยะไป ส่วนเรื่องแต่งเพื่อจะได้มีสิทธิ์เรียกร้องทรัพย์สินเวลาหย่านี่ สรุปแล้วรักกันที่ทรัพย์สินหรือไงคะ ถ้ารักกันจริงทำไมต้องเอาสิทธิ์ในการเรียกร้องทรัพย์สินมาเป็นหลักประกันในความรัก ??? ที่บอกว่าดีกว่าอยู่กันเฉยๆ พอเลิกกันก็มีแต่เสียและไม่ได้อะไรเลย อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองค่ะ ถ้าคุณเป็นผู้หญิงประเภทที่ตีราคาให้กับตัวเอง แล้วก็ไม่มั่นใจในความรัก ต้องเอาทรัพย์สินมาเป็นประกัน ก็จะมองว่าอยู่ก่อนแต่งก็มีแต่เสียหายแล้วไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเป็นแบบเรา ที่ไม่ตีราคาให้ตัวเอง (เพราะรู้ว่าตัวเองมีค่ามากกว่าเงินจะซื้อได้ ต่อให้เสียอวัยวะในร่างกายก็ยังรู้สึกว่าตัวเิองมีคุณค่าอยู่ดี) แล้วก็ไม่ได้หวังทรัพย์สินอะไรจากผู้ชายที่เรารัก  ก็จะมองว่าอยู่ก่อนแต่งไม่มีอะไรเสียหาย เพราะถึงเลิกไปคุณค่าตัวเองก็ไม่ได้ลดลง แถมยังได้ซะด้วย อย่างน้อยก็ได้เคยมีความสุขกับคนที่เราเคยรัก ดังนั้นสำหรับเรา การอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องธรรมดาและไม่เสียหายเลย ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายพ้นจากวัยเรียน ทำงานเลี้ยงตัวเองและพ่อแม่ได้แล้ว มีความรู้ด้านการป้องกันและสามารถรับผิดชอบได้หากพลาด รักกันจริงๆและไม่นอกใจนอกกายกัน และพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายรับทราบ (เชื่อมั๊ยว่าพ่อแม่ที่รับได้และสนับสนุนก็มี เช่นพ่อแม่เราและพ่อแม่แฟนเราเป็นต้น) คนรอบข้างเรา 90% อยู่ก่อนแต่ง และส่วนใหญ่ก็ได้แต่งซะด้วย ผู้ชายดีๆที่เค้าไม่มานั่งตีราคาให้กับพรหมจรรย์เค้าก็ไม่ฟันแล้วทิ้งหรอกค่ะ ถ้าจะเลิกกันมันก็เลิกด้วยเหตุผลอื่นเช่นนิสัย รสนิยมเข้ากันไม่ได้ และสุดท้าย หลายคนที่บอกว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของคนรอบข้างด้วย จึงต้องให้เกียรติคนรอบข้าง แต่ถึงเวลาถ้าแต่งงานไปแล้วนิสัยหรือเซ็กส์เข้ากันไม่ได้ คนรอบข้างที่เราแต่งเพื่อให้เกียรติเค้าเนี่ย เค้ามาเดือดร้อนอะไรด้วยหรือเปล่า ที่เห็นก็จะมีหลบหน้าหลบตา บอกว่าเป็นเรื่องของครอบครัวเค้า เรื่องของสามีกับภรรยา ให้เค้าแก้ปัญหากันเอง อย่าเข้าไปยุ่ง สุดท้ายแล้วการแต่งงาน เวลามีปัญหา ส่วนมากมันก็กลายเป็นเรื่องของคนสองคนอยู่ดี แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 19:22:21 แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 19:04:35 จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 18:59:06

ความคิดเห็นที่ 36 ไม่ธรรมดาค่ะ เราคงไม่ทำ แต่ถ้าเห็นคนอื่นทำ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก....เรื่องของเค้า โตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว แต่ถ้าเป็นญาติพี่น้องเราทำ เราคงอึ้งๆอ่ะ จากคุณ : Your Sweet Honey เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:00:30

ความคิดเห็นที่ 37 เราไม่ค่ะ ตราบใดที่ไม่ได้แต่งงาน เพราะ ความรักที่เหมาะสมไม่ใช่ประกอบด้วยความพึงพอใจ ชาย - หญิง  (คู่รัก) เพียงอย่างเดียว แต่ความรักยังต้องประกอบด้วย 1. โลกส่วนตัว หมายถึงความเป็นตัวของตนเอง 2. โลกส่วนเรา คือ ชาย หญิง (คู่รัก) 3. โลกส่วนรวม ข้อ 3 นี่ค่ะที่ทำให้เราไม่คิดว่าการอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีสังคมต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น สังคมของพ่อแม่ สังคมของการทำงาน ตราบใดที่ยังมีผู้ใหญ่วัยสูงอายุอยู่ในสังคม การอยู่ก่อนแต่งก็ยังไม่ถือเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทยค่ะ แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 19:13:28 แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 19:13:09 จากคุณ : ณินทร์ลดา เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:11:26

ความคิดเห็นที่ 38 แฟนผมบอกว่าสถาบันครอบครัวไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นแค่ให้คนอื่นมองเราดีขึ้น จากคุณ : aong40dg เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:24:12

ความคิดเห็นที่ 39 มันขึ้นอยู่กับสังคม วัฒนธรรม การปลูกฝังที่แต่ละคนได้รับมันก็ไม่เหมือนกันค่ะ จากคุณ : นะคะ (กันนะคะ) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:30:01

ความคิดเห็นที่ 40 ชีวิตใครชีวิตมันนะครับเรื่องแบบนี้ ความรักเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก รสนิยมและค่านิยมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครชอบแบบไหนก็เอาอย่างนั้น ผู้หญิงคนไหนที่อยากศึกษาผู้ชายที่รักให้หมดทุกซอกทุกมุมด้วยการไปอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง ก็เชิญตามสบายเหอะ เพราะมันเป็นจิ๋มของคุณ ๆ จะทำยังไงกับมันก็ได้ คนอื่นมันจะห้ามอะไรได้ ขนาดพ่อแม่บังเกิดเกล้ายังห้ามอะไรไม่ได้เลย แต่ที่ผมเกลียดก็คือ ผู้หญิงกลุ่มนี้พยายามยัดเยียดว่า การไปอยู่ก่อนแต่งนั้นเธอไม่ได้เสียหายอะไร เพราะในความคิดของหญิงพวกนี้ถือว่าการอยู่ก่อนแต่งเป็นการได้กับได้ทั้งคู่ไม่มีใครเสีย แต่ในมุมมองของผู้ชายคนอื่นนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะมองว่าการไปอยุ่กันก่อนแต่งนั้นเป็นเรื่อง win-win อย่างที่พวกผู้หญิงที่คิดทำนองนี้พยายามจะบอก แน่นอนว่ามีผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่คิดแบบนี้ ใจกว้าง ไม่ให้ความสำคัญเรื่องซิง มองว่ามันเป็นอดีตไปแล้วรักที่ปัจจุบันดีกว่า หรือว่าชอบเอาตามฝรั่งถึงจะเรียกว่าเป็นคนเห็่นโลกกว้างทันสมัย หรือยังไงก็แล้วแต่ แต่ก็มีผู้ชายบางคนเขาก็อาจไม่คิดเ็ห็นแบบนี้ เขาอาจจะคิดว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหาย มันก็เป็นสิทธิที่ผู้ชายคนนั้นเขามีสิทธิจะคิดเช่นเดียวกันกับผู้หญิงมีสิทธิจะไปอยู่กับผู้ชายก่อนแต่ง แม้มันจะดูโบราณมันก็เป็นสิทธิของเขา การตีคุณค่าของคนนั้น คุณผู้หญิงอย่าผูกขาดในการตั้งราคาของตัวเองฝ่ายเดียว การที่คุณไปอยู่กับผู้ชายก่อนแต่งโดยที่คุณมีทัศนคติว่าเป็นเรื่อง win-win นั้น และคุณคิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร เพราะคุณยังมีหน้าตาดี โพรไฟล์ที่ดี หน้าที่การงานดี ฐานะดี การศึกษาดีเรียนจบดอกเตอร์ ฯลฯ ทำให้คุณยังประเมินตัวเองว่ายังเป็น "นางฟ้า" อยู่เหมือนเดิมนั้น มันเป็นเรื่องทีุ่คุณคิดจากค่านิยมของคุณแต่เพียงฝ่ายเดียวซึ่งผู้ชายบางกลุ่มอาจจะเ็ห็นด้วย แต่ผู้ชายอีกกลุ่มเขาอาจจะไม่ประเมินคุณเป็นนางฟ้าอย่างที่คุณคิดก็ได้ หน้าตาและไปรไฟล์ของคุณอาจจะไม่ช่วยอะไร เขาอาจจะประเมินคุณไปในรูปแบบอื่นตามค่านิยมของเขาคนนั้น ๆ ก็เป็นสิทธิของเขา ถ้าสมมุติว่าเขาจะประเมินผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นเพียงผู้หญิงรักสนุก ไม่เหมาะที่จะแต่งงานมาเป็นเมีย เป็นแม่ของลูก มันก็เป็นสิทธิของผู้ชายคนนั้นจะคิด เขามีสิทธิที่จะิคิดพอ ๆ กันกับการที่ผู้หญิงมีสิทธิไปอยู่ก่อนแต่งกับผู้ชายนั่นแหละ จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:34:37 A:49.48.99.148 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 41 ก็ไม่ได้แปลกอะไรค่ะ แต่ถ้าถามเราว่าดีไหม เราก็คงตอบตรงๆ ว่าเราก็ยังคัดค้านอยู่ แต่ถ้าครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับรู้แล้ว และไม่ว่าอะไร เราก็เห็นด้วยค่ะ แต่ถ้าคิดจะมีลูกกัน อย่างน้อยๆ ก็ควรจดทะเบียนกันก่อนนะ ให้ลูกเกิดมาเป็นลูกในสมรสจะดีกว่าค่ะ จากคุณ : fallen_angel เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 19:48:09

ความคิดเห็นที่ 42 ต่างคนต่างความคิดละคับของแบบนี้ ชีวิตมันสั้นทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำเถอะคับ ... ผลต่าง ๆ ก็ตกที่ตัวผู้กระทำเอง... คุณเคยถามตัวเองมั้ยว่า ทำไมต้องเอาเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวเองไปให้ผู้ชายที่ไม่ให้เกียรติคุณ ไม่ให้เกียรติพ่อแม่คุณเหยียบย่ำได้ขนาดนั้น... พิธีแต่งงาน คือพิธีศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ชายมอบให้ฝ่ายหญิง แสดงออกให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงเห็นถึงการมีเกียรติยศศักดิ์ศรี .... ผมเป็นผู้ชายหัวโบราณ ที่เห็นว่า การแต่งงานก่อนอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องสำคัญมาก... ถ้าการรักใครซักคน คือยังไงก็ได้ ผมว่าคุณอาจจะยังไม่เข้าความรักมากพอ... จากคุณ : Just a part of things เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:05:51

ความคิดเห็นที่ 43 โชติ คห 40 "การที่คุณไปอยู่กับผู้ชายก่อนแต่งโดยที่คุณมีทัศนคติว่าเป็นเรื่อง win-win นั้น และคุณคิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร เพราะคุณยังมีหน้าตาดี โพรไฟล์ที่ดี หน้าที่การงานดี ฐานะดี การศึกษาดีเรียนจบดอกเตอร์ ฯลฯ ทำให้คุณยังประเมินตัวเองว่ายังเป็น "นางฟ้า" อยู่เหมือนเดิม" คุณรู้จักคำว่าคุณค่าของชีวิตคนมั๊ยคะ ชีวิตคนทุกคนนั้นมีค่า ไม่ว่าหญิงหรือชาย สิ่งต่างๆเช่นพรหมจรรย์ หน้าตา โปรไฟล์ การศึกษา ฐานะ มันไม่ได้เป็นปัจจัยในการประเมิณคุณค่าของชีวิตคนเลย ต่อให้ไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย คนๆนึงก็ยังมีค่ามากกว่าเงินอยู่ดี น่าเสียดายที่คนหลายคนเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ทำให้ลืมคุณค่าจริงๆของตัวเองไป เราไม่ได้คิดว่ามันไม่เสียหายเพราะตัวเองยังมีหน้าตาดี ยังมีโปรไฟล์ดี ต่อให้ไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่คิดจะดูถูกคุณค่าของตัวเองอยู่ดี ไม่เคยคิดจะดึงคุณค่าของชีวิตเราลงมาผูกติดอยู่ในระดับเดียวกับสิ่งเหล่านี้ "ผู้ชายบางกลุ่มอาจจะเ็ห็นด้วย แต่ผู้ชายอีกกลุ่มเขาอาจจะไม่ประเมินคุณเป็นนางฟ้าอย่างที่คุณคิดก็ได้ หน้าตาและไปรไฟล์ของคุณอาจจะไม่ช่วยอะไร เขาอาจจะประเมินคุณไปในรูปแบบอื่นตามค่านิยมของเขาคนนั้น ๆ ก็เป็นสิทธิของเขา ถ้าสมมุติว่าเขาจะประเมินผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นเพียงผู้หญิงรักสนุก ไม่เหมาะที่จะแต่งงานมาเป็นเมีย เป็นแม่ของลูก มันก็เป็นสิทธิของผู้ชายคนนั้นจะคิด" ก็จริงนะคะ นิสัยของผู้ชายเหล่านี้ก็ช่วยให้ผู้หญิงได้เห็นทางสว่าง ปกติแล้วเวลาคนเลิกกันก็มักจะเสียใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน แต่ผู้ชายแบบนี้จะช่วยให้ผู้หญิงทำใจเวลาเลิกได้เร็วขึ้นมาก ไม่สิ ต้องบอกว่าดีใจซะอีกที่ไหวตัวทันและได้เลิก ไม่หลงไปแต่งงานกับผู้ชายที่ตีค่าของผู้หญิงอยู่แค่พรหมจรรย์ รวมทั้งนึกสงสารผู้หญิงที่จะหลงมาเป็นภรรยาในอนาคตของผู้ชายคนนั้นไปด้วย เพราะรักสามีแทบตายแต่หารู้ไม่ว่าสามีเลือกแต่งงานด้วยเพียงเพราะเธอบริสุทธิ์ พร้อมๆกับเวทนาผู้ชายคนนั้นไปด้วย ที่มองว่าผู้หญิงที่มีคุณสมบัติดีพอจะเป็นเมียและแม่ของลูกคือผู้หญิงบริสุทธิ์เท่านั้น ทำให้เสียโอกาสที่จะเจอกับผู้หญิงที่ดีจริงๆไปอีกเยอะเลย จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:12:18

ความคิดเห็นที่ 44 ข้อดีมันคงมีหละ แต่สังคมไทยมันเก็บกดลึกๆนะ ไม่กล้าเปิดเผยทั้งๆที่เพื่อนฝูงเค้าอาจรู้กันก็ได้ จากคุณ : ดีแอน เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:19:20

ความคิดเห็นที่ 45 มุมมองที่เราเห็นว่าเยอะ มันอาจไม่ใช่ส่วนใหญ่ของทั้งหมดก็ได้นะครับ จากคุณ : WhiteWolf เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:20:17

ความคิดเห็นที่ 46 คห 42 "คุณเคยถามตัวเองมั้ยว่า ทำไมต้องเอาเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวเองไปให้ผู้ชายที่ไม่ให้เกียรติคุณ ไม่ให้เกียรติพ่อแม่คุณเหยียบย่ำได้ขนาดนั้น" เคยถามค่ะ และก็ได้คำตอบว่า ไม่คิดว่าเสียหาย เพราะเกียรติยศศักดิ์ศรีของเราไม่ใช่พรหมจรรย์ค่ะ จะมีหรือไม่มีก็ไม่ได้ทำให้เกียรติยศศักดิ์ศรีเราลดลงเลย และถ้าผู้ชายคิดจะให้เกียรติผู้หญิงที่ตัวเองรัก วิธีให้เกียรติที่ดีที่สุด ไม่ใช่การมอบพิธีแต่งงานให้เธอค่ะ แต่เป็นการไม่มีวันนอกกายนอกใจเธอไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งต่างหากล่ะคะ ผู้ชายหลายคนคิดว่าแต่งงานเพื่อให้เกียรติ แต่แล้วก็ทำลายเกียรตินั้นเสียสิ้นด้วยการแต่งแล้วไปมีกิ๊กมีเมียน้อย แบบนั้นยิ่งแย่กว่าไม่แต่งอีก เพราะคุณแต่งเพื่อให้เกียรติฝ่ายหญิงและพ่อแม่ แต่เมื่อคุณทำให้การแต่งงานพัง ก็เท่ากับคุณหยามเกียรติภรรยาและพ่อแม่ของเธอด้วย จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:29:01

ความคิดเห็นที่ 47 จขกท. ไม่ทราบว่า มัน คุณ ญ นี้เป็นชื่อของใครนะครับ แต่ผมขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ตอบคำถามคุณ คหท.14 ครับ มันมีข้อแตกต่างทางด้านกฎหมายครับ คือ กรณีไม่แต่งงานกันต่างฝ่ายต่างแยกออกไปได้เลย ไม่เสียเวลาต้องไปอำเภอเสียเวลาจดทะเบียนหย่าครับ สั้นๆ ------------------------------------- กรณีแต่งงานกันอ่ะนะ มันมีเรื่องสินสมรสกับเรื่องผู้ปกครองบุตรและค่าเลี้ยงดู(กรณีมีลูกด้วยกัน)เข้ามาเกี่ยว ต้องไปศาลครับ เรื่องสินสมรส คุณต้องยื่นฟ้องต่อศาล หากคุณเรียกแบ่งสินสมรส คุณจะต้องจ่ายค่าทุนทรัพย์ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2 ของมูลค่าที่เรียกแบ่ง ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อบ้านในระหว่างสมรส หรือรถยนต์ และจะถือเป็น “สินสมรส” มูลค่า 2 ล้านบาท คุณมีสิทธิที่จะขอแบ่ง 1 ล้านบาท ฉะนั้นคุณต้องชำระค่าทุนทรัพย์ 20,000 บาท หากคุณชนะคดี ศาลสามารถสั่งให้อีกฝ่ายชำระเงินค่าทุนทรัพย์ให้คุณได้ โดยเอาจำนวนทรัพย์ที่มีอยู่ในเวลาจดทะเบียนหย่าเป็นเกณฑ์  แยกย่อยไปอีกว่ากรณีมีชู้จะฟ้องหย่า โดยคำพิพากษาของศาลนั้น สามารถเรียกค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพจากสามีได้ ยาวไม?  ------------------------------------- ในความคิดผมเอง ท้องก็ต้องกิน เจ็บป่วยก็ต้องซื้อยา เล่นเนตฟรีมีพ่วงในแพคเกจ หมดเมื่อไรก็ต้องใช้ตังค์ โลกผมมันไม่สวยเท่าไรครับ จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:39:48

ความคิดเห็นที่ 48 เราก็เห็นแบบเจ้าของกระทู้นะ ก็หลายคู่เหมือนกัน (แต่ไม่ไ้ด้อยู่แบบถาวรนะ อยู่กันชั่วคราว 4-5 วันก็ไปกันแล้ว) บางคู่ก็อยู่ด้วยกันตลอดนะ แบบว่าฝ่ายพ่อกับแม่ฝ่ายหญิงไม่รู้ บางคนเค้าก็ถือเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่บางคนเค้าคงถือว่าไม่ธรรมดาแหละค่ะ............. คนเราความคิดไม่เหมือนกันนะ.................แตกต่างกันไป ถ้าทุกคนความคิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกันหมด...คงจะแย่ ^_^ จากคุณ : อะความารีนสีฟ้า เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 20:44:08

ความคิดเห็นที่ 49 คห 47 "ท้องก็ต้องกิน เจ็บป่วยก็ต้องซื้อยา เล่นเนตฟรีมีพ่วงในแพคเกจ หมดเมื่อไรก็ต้องใช้ตังค์ โลกผมมันไม่สวยเท่าไรครับ" ถามหน่อยค่ะ คนเราจำเป็นจะต้องพึ่งพาส่วนแบ่งจากสินสมรสในการดำรงค์ปัจจัยเหล่านี้ในชีวิตหรอคะ หย่าแล้วตกงานด้วยหรือไง ถ้าไม่มีส่วนแบ่งจากสินสมรสนี่จะไม่มีตังค์กินข้าว ซื้อยา เล่นเน็ตหรอคะ แล้วก่อนจะแต่งงาน ก่อนจะมีสินสมรสขึ้นมานี่คุณอยู่มาได้อย่างไร? ถ้าเลิกกันแล้วไม่มีส่วนแบ่งจากสินสมรส ก็ไม่เห็นยากอะไร กลับไปเลี้ยงตัวเอง พึ่งพาตัวเองแบบที่เคยทำมาก่อนที่จะมาอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกันไงคะ คนที่เค้ายืนบนลำแข้งตัวเอง เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาส่วนแบ่งของสินสมรสนี่เรียกว่าโลกสวยหรอคะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 21:04:48

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่ว่าหัวกระทู้จะเป็นแบบไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องพวกนี้ก็จะได้เห็นล็อกอินเดิมๆมานั่งเถียงกันเนี่ยแหละ 555 แล้วกระทู้ก็จะยาวเป็นสิบๆคอมเม้นทู้กทีไม่มีวันจบ จากคุณ : invisibleoff เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 21:12:46

ความคิดเห็นที่ 51 คุณ Foxy Little Angel พยายามจะเถียงให้ตัวเองถูกก็เอาเถอะคับ ผมก็บอกแล้วว่าของแบบนี้มันต่างคนต่างความคิด ... ผมก็บรรยายไปตามที่ผมคิด ถ้ามีคนมาคิดต่างกับคุณอีก คุณก็จะมาโพสเพื่อให้ตัวเองถูกอีก...ผมว่าวันหนึ่ง ถ้าคุณมีผู้ชายซักคนมาคุกเข่า ขอแต่งงาน คุณอาจจะกลืนน้ำลายตัวเองก็ได้ ... เวลาที่พ่อแม่คุณร้องให้ คุณไม่เห็นหรอก ... มันมีพ่อแม่ดีดีที่ไหน ที่อยากให้ลูกสาวตัวเองที่อุตสาห์เลี้ยงดูฟูมฟักมา ไปนอนกับใครก็ไม่รู้ ... อย่างน้อยการแต่งงานของคนสองคน ก็ได้ทำให้ผู้เป็นพ่อแม่ อุ่นใจได้ว่า ลูกของตัวเองมีอนาคต ไม่ได้ถูกปู้ยี่ปู้ยำ สนุก ๆ  ... สุดท้ายนี้ฝากไว้ ชีวิตคุณเป็นของคุณ คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมแสดงความคิดเห็นของตัวเอง โดยที่ไม่ได้อ่านโพสคุณก่อนหน้าด้วยซ้ำ จากคุณ : Just a part of things เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 21:50:14

ความคิดเห็นที่ 52 เราเป็นคนนึงที่ไม่คิดแบบนั้นค่ะ จะไม่อยู่กับผู้ชายก่อนแต่งแน่นอน ที่บ้านสอนให้รักนวลสงวนตัวพอๆกับรักชีวิตค่ะ เราถือมากเรื่องผู้ชายโดนตัว จะว่าหัวโบราณก็ได้ค่ะ ขนาดเราไปกินอาหารร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วค่อนข้างคุ้นกับเจ้าของร้าน คุยๆกันอยู่เจ้าของร้านมาลูบต้นแขน (เราใส่แขนกุด) เรายังเลิกไปกินเลยค่ะ ดังนั้นสำหรับเราอยู่ก่อนแต่งนี้ ไม่แน่นอน ถือมากค่ะ จากคุณ : หนมปังช็อกโก้ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:19:11

ความคิดเห็นที่ 53 คห 51 พ่อแม่ที่คิดต่างนี่เรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีหรอคะ เรารู้ค่ะว่าพ่อแม่เราไม่ได้เสียใจแน่นอน เพราะพวกท่านเป็นคนแนะนําให้เราทดลองอยู่กอนแต่งเอง เนื่องจากว่าท่านมีประสบการณ์ต้องหย่ากันมาเพราะเซ็กส์เข้ากันไม่ได้ ระดับความต้องการไม่เท่ากัน ท่านเลยไม่อยากให้เราเจอปัญหาแบบเดียวกัน พ่อแม่เรารู้ดีจากประสบการณ์พวกท่านเองว่า การรอจนแต่งงานก็ไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าแต่งไปแล้วจะมีอนาคต และผู้ชายที่เรานอนด้วยก่อนแต่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เป็นแฟนที่รักเรา และสองครอบครัวก็รู้จักกันดี และทําไมเราต้องกลืนนํ้าลายตัวเองด้วยล่ะคะ ในเมื่อผู้ชายคนที่อยู่ก่อนแต่งกับเรามาหลายปี เป็นคนๆเดียวกับผู้ชายที่คุกเข่าขอเราแต่งงานเมื่ออาทิตย์ก่อน ผู้ชายที่อยู่ก่อนแต่งกับผู้หญิง แต่เป็นคนดี ไม่ฟันแล้วทิ้งก็มีนะคะ แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 55 22:36:10 จากคุณ : Foxy little angel (Foxy Little Angel) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:25:36

ความคิดเห็นที่ 54 คคหท. 49 ต้องดูกรณีไม่แต่งงานกัน และไม่มีลูกครับ ส่วนกรณีที่แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย และลูกด้วย ลำบากครับ "คำว่าก็ไม่เห็นยากอะไร..." แค่คิดมันก็ง่าย ลูกโตขึ้นทุกวัน สวนทางกับร่างกาย ยิ่งอ่อนแอตามอายุขัย ผู้หญิงไม่ได้เก่งแบบคุณทุกคนนะครับ จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:27:40

ความคิดเห็นที่ 55 ผมมองว่ายังไงก็ควรจะแต่งก่อนอยู่ดีกว่าครับ เพราะมันสบายใจทั้งฝ่าย ชายและหญิง รวมถึงพ่อ-แม่ 2 ฝ่ายด้วย แต่ที่เห็นๆที่แต่งกันเร็วๆก็เพราะท้อง เลยต้องแต่ง แต่ที่ผู้ชายไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงก็เพราะกลัวค่าสินสอดแพงมั้งครับ :D จากคุณ : หนุ่มพระนคร เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:29:57

ความคิดเห็นที่ 56 คห 54 มีลูกไม่ใช่ปัญหาค่ะ ถ่ามีความพร้อมจริง ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่ง ผู้หญิงหลายคนตัดสินใจยอมมีลูก เพียงเพราะคิดว่าแต่งงานแล้ว มีสามีดูแล แปลว่าพร้อมมีลูก แต่นั่นก็เท่ากับการเอาชะตาตัวเองไปแขวนไว้กับผู้อื่น ซึ่งคนๆนั้นสามารถจะไปจากเราได้ทุกเวลา ถึงแม้ว่าเป็นสามีก็ตาม เราถือคติไว้ค่ะ ก่อนจะมีลูก ถามตัวเองก่อนว่า อยู่ในสภาพพร้อมที่จะเลี้ยงลูกเองโดยไม่พึ่งคนอื่นแม้แต่สามีหรือเปล่า ถ้างานการยังไม่มั่นคงพอที่จะเลี้ยงลูกได้ หรือคิดว่าแก่เกิน ก็ง่ายๆค่ะ อย่ามีลูกไงคะ แต่ถ้าพร้อม ถึงแต่งไม่แต่ง หรือหย่า ก็ไม่มีปัญหา เพราะเตรียมพร้อมเลี้ยงลูกเองอยู่แล้ว จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:49:57

ความคิดเห็นที่ 57 ชายเต็มใจ หญิงเต็มใจ จบ...ครับ ส่วนจะเลิกกันไหม อันนี้เป็นเรื่องอนาคต ขอให้ช่วงที่อยู่ด้วยกันเต็มใจอยู่ก็พอ จากคุณ : KonIndy เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:57:47

ความคิดเห็นที่ 58 ถ้าคุณบอกว่า "ฉันไม่เอาสินสมรส ฉันจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง" งั้นเอาที่ผมเห็นมาดูกัน กรณีคุณเป็นแม่เลี้ยงเดียว (Single mom) นับหย่าตอนท้องถึง 1 ขวบ ค่ากิน, ผ้าอ้อม, ค่ายา, ค่านม และอื่นๆ ใช้เงิน เดือนเท่าไรครับ? ตกกลางคืนลูกร้องกินนมเปลี่ยนผ้าอ้อม เช้ามาไปทำงาน แล้วลูกล่ะ? ตกเย็นกลับมาเลี้ยงลูกอีก ให้ร่างกายคุณแข็งแรงสุดๆ ก็เหนื่อยนะ หรือเอาตอนโตหน่อย เช้ามาไม่รถมารับก็ไปส่งลูก แล้วไปทำงาน เย็นมาไปรับลูกหรือรถมาส่ง วนแบบนี้ห้าวัน ส่วนเสาร์และอาทิตย์ เงินเดือนเยอะไม่ต้องทำโอที อยู่กับลูก ส่วนค่าใช้จ่ายมีเรื่องของการศึกษาเข้ามาอีก มันก็มาลงที่เงินอีก จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 22:59:45

ความคิดเห็นที่ 59 คห 58 ก็บอกแล้วไงคะ ถ้าคิดว่าการเงินไม่พร้อมก็อย่ามีลูก งานที่เอื้ออำนวยให้ผู้หญิงเลี้ยงลูกคนเดียวก็มีค่ะ อย่างเราเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอินเตอร์ เงินเดือนแสนสามหมื่นกว่าๆ มีสวัสดิการคือลาคลอดและอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้ 6 เดือนโดยได้รับเงินเดือนเต็ม หลังจากนั้นกลับไปทํางานก็จ้างพี่เลี้ยงได้ พอปิดเทอมก็ยังได้รับเงินเดือนแถมมีเวลาอยู่กับลูก และสวัสดิการอีกอย่างคือ ถ้ามีลูก ลูกสามารถเข้าเรียนโรงเรียนในเครือของมหาวิทยาลัยได้ฟรีค่ะ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 23:18:51

ความคิดเห็นที่ 60 ยาวมหากาพย์จริงๆ จะธรรมดาหรือไม่ เราไม่รู้ค่ะ แล้วแต่คนคิดจริงๆ แต่ถ้าถามเรา เรามีญาติคู่หนึ่ง มีลูกกันตอน มัธยมมั้ง แล้วก็อยู่กันเรื่อยมา ไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำค่ะ ฝ่ายชายรักฝ่ายหญิงมากกกก ขนาดผู้หญิงคนอื่นมาให้ท่ายังไล่เตลิด ฟังแล้วยังอึ้ง ว่ามีแบบนี้จริงหรอ แต่มีจริงๆ ค่ะ ยืนยัน บางครั้งเรื่องแบบนี้ ในความคิดส่วนตัวเรานะ มันเรื่องของ "คนอื่น" ป่ะคะ แค่ดูแลตัวเองได้ ไม่ไปท้องแ้ล้วทำแท้งให้สังคมเดือดร้อนเราว่าก็พอแล้วล่ะ เราเคยแคร์คนรอบข้างเหมือนกันค่ะว่าจะคิดยังไง บางครั้งคิดจนปวดหัว หลังๆ เลยเลิกคิดละ การที่เราจะไปอยู่ก่อนแต่ง แล้วค่อยแต่งทีหลังเนี่ยมันก็เป็นสิทธิของเราถูกไหมคะ คนอื่นไม่ได้เดือดร้อนด้วยเลย ในกรณีที่ดูแลตัวเองได้ บลาๆๆ ใครจะมองก็มองไปค่ะ เราเบื่อจะมานั่งคิดจริงๆ อ้ะ แต่ถ้าวันนึง จะมีมนุษย์คนไหนมายืนกรี๊ดๆ ขู่จะฆ่าตัวตายเพราะเราอยู่ก่อนแต่งกะแฟน วันนั้นเราอาจจะคิดใหม่ค่ะ ว่าเออ มันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจริงๆ อ่ะ ถึงขนาดต้องมายืนจาปาดคอหน้าบ้านเราเลยอ่ะ ไม่ได้ๆ ต้องรีบแต่ง ไรงี้ คู่รักบางคู่เขารักกันจริงๆ ค่ะ สามารถมองข้ามใบสมรสได้ เพราะมันไม่ได้มีค่าอะไรกับ "พวกเขา" เลย แต่บางคนจะคิดว่ามีค่า ซิงควรรักษาไว้ อยู่่ก่อนแต่งไม่ทำเด็ดขาด อันนี้เราก็ว่ามันเป็นสิทธิของเขาค่ะ ไม่เห็นแปลก ถ้าโลกนี้คนชอบสีเดียวกันหมด คงหม่นหมองพิลึกเลยล่ะ ใครอยากให้คนอื่นคิดตาม อันนี้เราก็ว่าไม่ผิดนะ แต่พูดกันดีๆ เรียกว่าแลกเปลี่ยนความคิดเ็ห็นกัน ด้วยเหตุผลดีกว่ามาทะเลาะกันไหมคะ เพียงแต่การอยากให้คนอื่น "คล้อยตาม" เราก็ไม่ใช่ว่าจะไปยัดเยียดความคิดให้เขาอ่ะ ว่าต้องคิดแบบนี้นะ มันไม่ถูก อันนี้เป็น คหสต.ล้วนๆ จากคุณ : เรไรรุ่งริ่ง เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 23:48:10

ความคิดเห็นที่ 61 ขอโทษครับ ตอนนี้มันจะตีสองแล้ว กว่าจะเขียนเสร็จ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณเขียนอะไร กรณีของคุณใช้กับผู้หญิงไทยไม่ได้เลย เพราะผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ไม่มีรายได้เยอะเท่าคุณแน่ๆ คุณมีโอกาสมากกว่าคนส่วนใหญ่ คนที่จะทำตามก็คิดเอาล่ะกัน ผมจบล่ะ จากคุณ : MaxGeo เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 23:51:16

ความคิดเห็นที่ 62 ขอแชร์บ้างได้ไหม ...ขอแชร์ด้วยได้ไหม "ป้า"ก็มีทัศนคติ คล้ายในนิยาย คือ หญิงใดที่ตกเป็นของชายคนไหน  ต้องแต่งงานกับคนนั้น และนางเอก ต้องเป็นของพระเอกคนเดียว (ไม่ว่าพระเอกจะเลวร้ายแค่ไหน) ทีนี้  เมื่อมันเกิดพลาดพลั้งก่อนเวลาอันควร ไม่ใช่ว่า อยากอยู่ก่อนแต่ง  ก็อยากแต่งก่อน นั่นแหละ ( ที่จริง มันก็ผิดตั้งแต่พลาดก่อนเวลาแต่งนั่นแหละ) แต่จนแล้วจนรอด ผ่านมาจะสิบปี ป้ายังไม่ได้แต่งเลยค่ะ ^_^ แต่ผู้ชายข้างตัว  ก็เป็นพระเอกคนเดิมนี่แหละ ฝันฝ่าเรื่องราวต่าง ๆ มาด้วยกัน สร้างบ้านด้วยกัน  ทะเบียนไม่จด "วันแต่ง" ไม่ได้วางแผน แต่เรืื่องลูก  วางแผนอย่างดีค่ะ ^_^ ป้าไม่ได้ใจง่ายนะ รักลุงคนเดียว จากคุณ : โกโก้เย็นหวานน้อย เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 00:13:09

ความคิดเห็นที่ 63 คห 61 ใช่ไงคะ เราไม่เคยบอกเลยว่าการอยู่ก่อนแต่งมันดีสำหรับทุกคน เราย้ำเสมอว่ามันไม่ผิดอะไร ตราบใดที่คนคู่นั้นมีความพร้อมมากพอ ปัญหาอยู่ที่ พอมีกระทู้แบบนี้ ก็มักจะมีคนมาตอบเชิงเหมาว่ามันผิดหมด เพราะพ่อแม่จะเสียใจบ้าง ผู้ชายจะฟันแล้วทิ้งบ้าง เดี๋ยวจะท้องแล้วต้องทำแท้งบ้าง เราก็เลยมาโพสท์ให้เห็นว่า ไม่ใช่ทุกกรณีจะเป็นแบบนั้น พ่อแม่ที่สนับสนุนให้ทดลองอยู่ก่อนแต่ง ผู้ชายที่ไม่สนเรื่องความบริสุทธิ์ ไม่ฟันแล้วทิ้ง ผู้หญิงที่ท้องแล้วสามารถดูแลตัวเองและลูกเองได้ ไม่ต้องไปทำแท้งหรือเดือดร้อนคนอื่น แบบนี้ก็มีอยู่เหมือนกันในเมืองไทย เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินเลยค่ะ ว่ามันผิดไปหมดทุกกรณี จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 00:15:02

ความคิดเห็นที่ 64 ใครอยากอยู่ก่อนแต่งก็อยู่ไป ใครอยากแต่งก่อนอยู่ก็ทำไป ทุกคนมีวิถีทางของตัวเองตามที่ตัวเองเชื่อ แต่อย่ามาด่าคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองว่าทำตัวน่าอับอายไม่มีคุณค่า หรือว่าอีกฝ่ายว่าคร่ำครึโบราณเต่าล้านปี จากคุณ : David_kop เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 03:10:24

ความคิดเห็นที่ 65 คุณ Foxy Little Angel แนวคิดสเปคหนุ่มๆ มาก พ่อแม่ที่สนับสนุนให้ทดลองอยู่ก่อนแต่ง -แจ๋วเลยครับ แนวคิดเดียวกับผม ผู้ชายที่ไม่สนเรื่องความบริสุทธิ์ ไม่ฟันแล้วทิ้ง -ไม่สนครับ ไม่เคยเลย ผมไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น -เรื่องฟันแล้วทิ้ง อย่าไปคิดแบบนั้นเลยครับ ให้คิดว่าเราเข้ากันไม่ได้ก็ควรจะเลิกกันดีกว่าครับ ผมจัดเรื่องนี้ให้เป็นที่หนึ่งในชีวิตคู่เลยครับ ต้องเข้ากันได้แบบสุดๆ ครับ ผู้หญิงที่ท้องแล้วสามารถดูแลตัวเองและลูกเองได้ ไม่ต้องไปทำแท้งหรือเดือดร้อนคนอื่น -นั่นยอดมากครับ เวลาทำก็ทำกันสองคน เวลาดูก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันครับ ดีเลยที่คุณรับไปเต็มๆได้ ลูกอีก 2 คนที่เหลือจะได้ไม่ต้องหารแบ่งจากที่ผมส่งไป ปกติก็ให้เดือนละตั้ง 1000 บาทครับ ไม่ต้องห่วงครับผมทิ้งกับแม่ทั้งสองคนเขาไปแล้ว ก็นั่นหละครับ เราจากกันด้วยดี เพราะเราลองแล้วเข้ากันไม่ได้ครับ กว่าจะเจอที่ตรงใจมันก็ต้องลองหลายครั้งหน่อยครับ โปรไฟล์คุณน่าสนใจสุดๆ ผมคิดว่าถ้าเราได้ลองศึกษากัน หลายๆ ครั้ง เราอาจจะเข้ากันได้ดี อย่างแน่นอนครับ ตอนแรกผมก็กะจะตอบเป็นบัตรผ่าน แต่กลัวคุณจะหลังไมค์มาไม่ได้ ฝากหลังไมค์ login นี้ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะมาถามน้องเอง ถ้าคุณเขินก็หลังไมค์ นะครับ แต่ไม่น่าเขินนะครับ เราโตๆกันแล้ว เรื่องธรรมดา ทั้งนั้น : ) จากคุณ : Dracula (beginner's luck) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 05:16:39

ความคิดเห็นที่ 66 คุณ Dracula (beginner's luck) ขอบคุณนะคะที่ให้ความสนใจ แต่เสียใจด้วยค่ะ เรามีแฟนแล้ว และรักกันมากด้วย ศึกษากันมานานพอสมควรและกำลังจะแต่งงาน ถ้าคุณจะรอคิว คาดว่าจะต้องรออีกนานเลยค่ะ แต่ดูจากที่คุณแนะนำตัวเบื้องต้น คิดว่าไม่น่าจะไปกันได้ค่ะ เพราะก่อนที่เราจะคบและศึกษาผู้ชายคนนึง เราต้องดูให้แน่ใจก่อนว่าเค้ามีฐานะเท่ากันหรือมากกว่าเรา ถ้าด้อยกว่าก็จะพิจารณาจากความขยัน เช่น ที่เราเลือกแฟนเราทั้งๆที่ฐานะเค้าด้อยกว่าเรา เพราะเค้าพิสูจน์ให้เห็นถึงความขยัน จากเงินเดือนหมื่นต้นๆ ขยับขึ้นมาเป็นเกือบแสนได้ภายในไม่ถึงสองปี ที่ตั้งกฎไว้อย่างนี้เพราะไม่อยากได้ผู้ชายที่เกาะเรากินค่ะ เราเลี้ยงลูกได้ แต่ไม่อยากเลี้ยงเด็กนอกไส้ที่โตแต่ตัวเพิ่มมาอีกคน และจากที่คุณพูดมาว่า มีลูกตั้งสองคนแล้วกับแฟนเก่า แต่หาเงินให้เค้าได้แค่เดือนละ 1000 บาท แสดงว่าไม่ค่อยมีความขยันที่จะถีบตัวเองให้ฐานะดีขึ้น ดังนั้นไม่น่าจะไปกันได้ค่ะ อีกอย่างคือ ผู้ชายที่เราจะลองอยู่ด้วยเนี่ย ต้องเป็นผู้ชายที่ลองอย่างระมัดระวัง คือต้องรู้จักป้องกันไม่ให้มีลูกด้วย ซึ่งข้อนี้คุณคงไม่ผ่าน เพราะเห็นชัดๆว่าขนาดแค่ลองกับแฟนเก่ายังอุตส่าห์เลินเล่อพลาดได้ตั้งสองครั้ง นอกจากนี้ ก่อนที่เราจะตกลงคบและศึกษากับใครแบบลึกซึ้ง คนๆนั้นต้องผ่านเกณฑ์เบื้องต้นอีกหลายข้อ เช่น พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ดีถึงดีมาก (เพราะบ้านเราพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก) ตัวสูง (เพราะเราเตี้ย ถ้ามีลูก ลูกจะได้มีโอกาสสูง) เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ล่วงเกิน ไม่ตื๊อขอมีอะไีรกับเราก่อน (ถ้าเราอยากมีอะไรด้วย เราจะเป็นคนเริ่มเอง) ร้องเพลงไม่เพี้ยน ชอบดูหนังฟังเพลงแนวเดียวกัน มีทัศนคติในการเลี้ยงดูเด็กที่เหมือนหรือคล้ายกับเรา มีเป้าหมายในชีวิตที่ไปในแนวทางเดียวกับเรา แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 06:30:55 จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 06:09:12

ความคิดเห็นที่ 67 ใครเป็นคนดีก็ควรมีความภูมิใจ แต่ไม่มีสิทธิใดๆไปกล่าวหาคนที่ดีไม่เท่าเราว่าเลวครับ เรื่องส่วนบุคคล การตัดสินใจของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน อย่าเอาความคิดของเราไปตัดสินคนอื่น #65 จากคำพูดดูถูกผู้หญิงคนหนึ่ง ละอายใจบ้างมั๊ยครับ จากคุณ : กล้วยไม้ขาว เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 06:30:40 A:171.99.15.217 X: TicketID:377250

ความคิดเห็นที่ 68 ไม่อยู่ก่อนแล้วจะรู้ได้ไงว่าเข้ากันได้ หลับหูหลับตาแต่งๆไป จัดงานไปแล้วมีปัญหา หย่า เสียชื่อเสียเวลา เสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่ายนะเหรอ ใครเอาก็เอาครับ ผมไม่เอา แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 07:03:12 จากคุณ : NAN_KUNG เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 07:01:36

ความคิดเห็นที่ 69 ชอบคุณ Foxy Little Angel จังค่ะ อ่านความคิดเห็นคุณมาตลอด เป็นผู้หญิงที่มีความคิดที่ตรงกับเราจริงๆค่ะ คุณมีความคิดที่ดีกว่าผู้ชายห่วยหลายๆคนในห้องนี้ที่ตีค่าคุณค่าผู้หญิงแค่เยื่อบางๆ อะไรนั่น เราขอบอกเลยว่าเราก็เป็นคนหัวโบราณไม่อยู่ก่อนแต่งเด็ดขาด แต่เราอ่านความเห็นคุณแล้วเราชอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : นุช เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 07:52:19 A:110.168.169.151 X: TicketID:375222

ความคิดเห็นที่ 70 เราเฉยๆนะ ถ้าโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้และครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับได้ จากคุณ : CUCU0701 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 07:52:26

ความคิดเห็นที่ 71 คนรอบตัวเรา อยู่ก่อนแต่งซะส่วนใหญ่ สำหรับสิ่งที่เราเกิดมาเห็นนั่นคือ คนที่แต่งงานแล้วค่อยอยู่กัน ไปไม่รอดแทบจะทุกคู่ที่เห็น ไม่ต้องดูไกล ตระกูลเรา แม่เรามีพี่น้อง 4 คน แต่งงานกันก่อนอยู่ทั้งหมด เชื่อไหม เป็นหม้ายทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งแม่เรา สุดท้ายทุกคนต้องมานั่งน้ำตาตก เพราะสันดานผู้ชายมันออกมาหลังแต่งงาน สุดท้ายก็หย่า ทุกคน แม่เราหย่าตอนปีที่ 11 / น้าสาวคนรอง หย่าตอนน้องๆอายุ 8 ขวบ / น้าคนเล็ก แต่งงานก่อนอยู่ถึง 2 ครั้ง และหย่าทั้ง 2 ครั้ง ตอนหลังน้ามีแฟนเป็นฝรั่งออสเตรเลียอยู่กันก่อนแต่ง หลายปี ตอนหลังแต่งงานกันไป มีความสุข ชีวิตแฮปปี้ ตอนนี้ได้สัญชาติกลายเป็นคนออส ไปแล้ว มีแต่ลุงเรา ที่ยังอยู่รอดมาทุกวันนี้ เพราะลุงเค้าอยู่กับป้าก่อนแต่งงานมาหลายปี จนท้องถึงแต่งงาน และทุกวันนี้เค้าก็อยู่ด้วยกัน มีความสุขกันดี สำหรับตัวเราเองถ้าเราแต่งก่อนอยู่ตอนนี้เราคงเป็นหม้ายไปแล้ว เพราะแฟนคนแรกที่อยู่ด้วยกัน มันไม่ได้เรื่องสุดๆ แมงดามากๆ (เหมือนพ่อเค้าเลย พ่อเค้าก็ให้แม่เค้าหาเลี้ยง วันๆพ่อไปแต่บ่อน แม่ก็ขายของทำงานเช้าจนค่ำ) แถมยังเจ้าชู้มาก ฟันแม้กระทั่งเมียเพื่อนเค้า และ เพื่อนเรา เลวสมบูรณ์แบบมากๆ คำว่า ให้อภัย ให้จนชินชานับครั้งไม่ถ้วน เราทนได้ 6 ปีเลิก ตอนนี้เราก็แต่งงานแล้ว มีความสุขมากมาย สามีดีมาก ครอบครัวสามีก็ดีมากๆ เรากับสามีอยู่ก่อนแต่ง 2 ปี จนรู้สึกว่า ครอบครัวนี้แหละ ที่ดีแและพร้อมจะให้เราอยู่อย่างอบอุ่น และมันก็เป็นเช่นนั้น ชีวิตตอนนี้ก็แฮปปี้มากเช่นกัน เราไม่ได้ว่าอยู่ก่อนแต่งดีทั้งหมด แต่เราว่ามันขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตคนนะ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 10:05:47 จากคุณ : เด็กเก็บศพ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 10:00:43

ความคิดเห็นที่ 72 เอาเข้าจริงๆ ผู้ชายทุกคนคิดเรื่องซิงไม่ซิงครับ จะคิดมากหรือคิดน้อยก็แค่นั้น อย่างผม อายุเกือบๆ 30 ก่อนหน้านี้มีคุยอยู่สองคน นิสัยดีทั้งคู่เลย สุดท้ายผมเลือกคนที่ซิงครับ ตอนคุยกับทั้งคู่ไม่เคยพูดออกมาหรือแสดงท่าทีว่าคิดสนใจเรื่องพวกนี้ให้ฝ่ายหญิงเห็นแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายมันก็เป็นตัวแปรอยู่ดีครับ ถ้าเลือกได้พวกเราผู้ชายก็อยากได้ผู้หญิงที่ดีทั้งนิสัยและซิง แต่จะแสดงออกมามั้ยขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะครับ ไม่ใช่ว่าผู้หญิงไม่ซิงมันไม่ดี แต่มันมีแนวโน้มทีจะไม่ดีครับ เคยมีแฟนไม่ซิงมา 2 คน คนแรกเราเผลอหน่อยกลับไปแอบมีอะไรกับแฟนเก่า ส่วนอีกคนนึงไปเรียนเมืองนอกแล้วไปได้เสียกับหนุ่มนอก ผู้หญิงที่เคยเสียแล้วน่าจะง่ายขึ้นกับการเสียครั้งต่อๆไป (ย้ำนะครับว่าไม่ทุกคน) ส่วนตัวหัวโบราณครับ ใครจะว่าไงก็ช่าง บ้านผม พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย สอนมาแบบนี้ทุกคน หรือถ้าบ้านคุณไม่ได้สอนแบบนี้ ก็ด่าผมมาได้เลยครับ เตือนผู้ญิงไทยครับ อย่าดูหนังฝรั่งมากไป เพราะชายไทย ก็ยังเป็นชายไทยอยู่เสมอ (มากหญิง แต่ต้องการของที่ดีที่สุด แม่ของลูก ฯลฯ) คุณเกิดมาเป็นหญิงไทยก็ยังเป็นหญิงไทยไปจนตาย (ยกเว้นไปอยู่ในประเทศอื่นวัฒนธรรมอื่น ค่านิยมอื่น) จากคุณ : ราชาหมีแห่งป่าเงียบเหงา เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 10:36:50

ความคิดเห็นที่ 73 ไม่ควรเหมาว่าผู้ชายทุกคนคิดเรื่องนั้นครับ ผมว่าน่าจะเป็นส่วนน้อยด้วยซ้ำที่คิดเรื่องซิงไม่ซิง เพราะคนที่ผมรู้จักเกือบทุกคนคิดแบบนี้ทั้งนั้น อาจจะถูกที่ว่าเป็นวัฒนธรรมไทยอาจไม่งาม แต่กลุ่มผมเป็นสายวิทยาศาสตร์ต้องคลุกอยู่กับชาวต่างชาติบ่อย เลยมีแนวคิดแบบวัฒนธรรมอื่น โดยส่วนตัวผมว่ามันไร้สาระมากเลย คนที่เป็นแฟนผม ผมจะถามตัวเองว่าผมรักเค้าหรือเปล่าก่อนจะขอเป็นแฟน ผมคงไม่คิดว่าซิงหรือเปล่าถึงขอเป็นแฟนหรอกครับ อยากทราบว่าปกติคนที่จะเป็นแฟนกันเค้าถามกันด้วยหรือครับว่าซิงหรือเปล่า หรือผมแปลกกว่าคนอื่นเค้าหว่า ? จากคุณ : กล้วยไม้ขาว เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 11:19:51 A:158.108.234.234 X: TicketID:377250

ความคิดเห็นที่ 74 เอาสถิติการหย่าร้างของประเทศที่การอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องปกติอย่างสหรัฐอเมริกามาให้ดู อัตราการหย่าร้างปกติมักจะคำนวณจากคู่ที่หย่าร้างต่อจำนวนประชากรในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็มีการใช้คำนี้ในความหมายว่า จำนวนของคู่แต่งงานที่จบลงด้วยการหย่าร้างที่ไม่ใช่การตายของฝ่ายใดต่อร้อยคู่แต่งงาน มีข้อมูลจากหลายสำนักศึกษาออกมาพบว่าราว 50% ของคู่แต่งงานชาวอเมริกันจบลงด้วยการหย่าร้าง ยิ่งแต่งงานใหม่มากครั้งอีกเท่าใด โอกาสในการหย่าร้างก็ยิ่งมากขึ้น http://en.wikipedia.org/wiki/Divorce_in_the_United_States จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 12:31:02 A:49.48.99.148 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 75 รู้วิธีแก้ปัญหาแล้วล่ะ เราว่า... ผู้ชายอยากได้ "ว่าที่แม่ของลูก" แบบซิงๆ แนะนำว่าให้บอกฝ่ายหญิงที่คบอยู่นะคะ ว่า "ผมต้องการภรรยาซิงๆ เท่านั้น ถ้าผมพบว่าคุณไม่ซิง ขอโทดนะฮะ เราอาจจะคบกัน ได้แค่ฐานะแฟน แต่ผมไม่ยกให้เป็นแม่ของลูกเด็ดขาด" ก็ว่าไปนะ... ถ้าผู้หญิงรับได้ที่จะเป็นแค่แฟน เราว่าก็ วินวิน ทั้งสองฝ่าย๕๕๕ ดีซะอีก จะได้เป็นการสกรีนแม่ของลูกในอนาคต จะได้ไม่มีปัญหาความใจแคบเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะถือว่าบอกกันแล้วนะ ว่าจะเอาคนซิงๆ เท่านั้น อันนี้เราว่าแฟร์ดีค่ะ ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายตัดสินใจความสัมพันธ์ด้วย ว่าเธอจะเอาคุณไหมถ้าคุณมีความคิดแบบนี้ อ้ะๆ เราไม่ได้ว่าคุณใจแคบนะ ถ้าคุณบอกก่อน ว่าเงื่อนไขการแต่งงานของคุณเป็นยังไง เราว่าคุณจะเ็ป็นผู้ชายที่แมนมากค่ะ ถึง... >>คนที่แคร์เรื่องซิงทั้งหลาย ดีมะๆๆ หึหึ จากคุณ : เรไรรุ่งริ่ง เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 14:06:18

ความคิดเห็นที่ 76 เราไม่เห็นด้วย ถ้าเกิดเลิกขึ้นมานี่ซวยเลย เพราะคนอื่นๆจะมองว่ายัยนี่ไม่บริสุทธิ์แล้ว แล้วอาจเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าไปอยู่ให้เค้าเอาฟรีๆ ครอบครัวอับอาย ไม่เอาหรอก จากคุณ : muayhongkong (muayhongkong) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 14:08:22

ความคิดเห็นที่ 77 เราอยู่ต่างประเทศมาตลอด จากประสบการณ์เราเองก็อยู่กับแฟนเก่ามาก่อน เราเองนั่งคิดอยู่นานเหมือนกันก่อนจะย้ายเข้าไป พออยู่ด้วยกันแล้วก็พบว่าเขามีแง่มุมที่เราเองไม่เคยเห็น แล้วการใช้ชีวิตหรือแนวคิดแนวปฎิบัติต่างจากเรามากจนเราอึดอัด เราพยายามปรับตัวจนในที่สุดเราก็ยอมรับว่าเขาเป็นได้แค่เพื่อนที่ดีของเราจริงๆ เราเลยถอยออกมา ถ้าเราไม่อยู่กับเขา เรื่องแบบนี้เราจะไม่รู้จนกระทั่งหลังแต่งงาน ซึ่งเราก็ไม่อยากตกอยู่ในสภาพเดียวกับพ่อแม่เราที่ต้องทนอยู่ด้วยกันเพราะแต่งงานกันแล้ว ก่อนแต่งก็รู้จักกันไม่นาน ตอนเราเด็กๆแม่เราเครียดมากจนอยู่ในสภาวะซึมเศร้า เราเองก็แทบแย่เพราะยังแค่ไม่กี่ขวบ ไม่มีความสุขเลยเวลาไปนอนบ้านพ่อกับแม่ คนอื่นจะคิดยังกับเรื่องอยู่ก่อนแต่งเราไม่ว่า แต่เราเคารพในความต้องการของตัวเอง อยากมีชีวิตคู่ที่มีความสุข ไม่ต้องมานั่งทนทุกข์ไปตลอดชีวิตเพราะหย่ากันไม่ได้ ความคิดคนอื่นไม่มีผลกับเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเราเจอปัญหาแบบนี้หลังแต่งงาน ไม่มีใครมาช่วยเราหรอก เราต้องช่วยตัวเองค่ะ ดังนั้นเราเลือกที่จะอยู่ก่อนแต่งแต่อยู่ด้วยความรับผิดชอบเหมือนคู่สามีภรรยาทั่วไป ให้เกียรติกัน มีงานประจำทำ ที่บ้านเรารู้ แล้วเราก็ไม่ใช่เด็กๆ อยู่ในวัยที่มีวุฒิภาวะเต็มที่ เราแน่ใจว่าการกระทำของเราไม่ทำให้ใครเดือดร้อนค่ะ จากคุณ : คุณสีคราม เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 14:14:45 A:123.243.28.138 X: TicketID:174750

ความคิดเห็นที่ 78 เราว่าเรื่องแบบนี้มันแล้วแต่คนอ่ะ มันมองไม่เหมือนกัน จากคุณ : IN VOGUE เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 14:49:44

ความคิดเห็นที่ 79 ไม่รู้สิ ผมว่าดีกว่าไปแจ๊คพ๊อต แต่งงานแล้วกลายเป็นอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ต้องฝืนกล้ำกลืนอยู่ไป เลิกก็กลัวเป็นหม้ายให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน อยู่ก็ทรมาน สามีสบายหน่อย พอจะไปหาเศษหาเลยได้ แล้วก็อ้างว่าเข้ากับเมียไม่ได้บ้าง อยู่กับเมียทรมานบ้าง ส่วนเมียก็กล้ำกลืนอยู่บ้านไป จะไปหาใหม่ก็โดนสังคมประนามว่านอกใจผัว จะว่าไปก็สงสารหญิงไทยนะ ต้องมาเจอชายไทย คิดแต่ตัวเองเป็นใหญ่ตลอด จะหวังหญิงซิง ตลกดีนะ แต่ตัวเองก็อยากฟันเค้า หาเรื่องจะฟันเค้าตลอด ตอนคบกันไม่ซิงไม่เป็นไร ตราบใดที่ให้กรูฟัน แต่พอจะแต่งงาน เฮ้ย เมียกรูต้องซิงเท่านั้น ไม่งั้นไม่เหมาะมาเป็นแม่ของลูกกรู..... โลกทัศน์แคบจริง ๆ แล้วก็มาบอกว่า ต้องยอมรับนะ เพราะนี่คือสังคมไทย สังคมที่ชายต้องการหญิงบริสุทธิ์มาเป็นแม่ของลูก....เฮ้ออออออ ความเป็นคนดีของผู้หญิง ถูกตีค่าแค่เยื่อเล็ก ๆ ตรงนั้น จะดีเลิศเลอขนาดไหน แต่ถ้าเสียซิงก่อนแต่ง ก็กลายเป็นคนด่างพร้อย มีมลทินขึ้นมาทันที...อนิจจา ล้าหลัง ในกะลาสิ้นดี พ่อแม่ บรรพบุรุษ สั่งสอนมา ถ้ามันไม่เหมาะแก่กาล  ก็ปรับเปลี่ยนได้สิครับ ใช่ว่าจะต้องทำตามไปตลอดซะเมื่อไหร่ ไม่งั้นก็ต้องยอมให้คลุมถุงชนด้วยสิครับ สมัยก่อนเค้าก็ทำกันเป็นปกติ  ชายมีภรรยาได้หลาย ๆ คนเป็นเรื่องปกติ ต้องทำตามด้วยไหม ก็ขึ้นอยู่กับหญิงละนะครับ ว่าจะยอมรับเงื่อนไขที่ผู้ชายเค้าตั้งมาให้แบบนี้หรือเปล่า ถ้ายอมก็ปฏิบัติกันไป ยอมให้คนอื่นตีค่าชีวิตแค่เยื่อพรหมจรรย์ ถ้าไม่ยอม ก็ไม่ต้องสนใจ เท่านั้นเอง จากคุณ : Cholesterol Lover เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 16:04:26

ความคิดเห็นที่ 80 ู^ ^ จริงๆแล้วเค้าไม่ได้ตีค่าแค่เยื่อเล็กๆนั่นครับ แต่สังคมไทยที่เคยสั่งสอนกันมา อยากให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว แต่กลับกัน กลับให้ค่าแก่ผู้หญิง ที่ผู้ชายต้องบากบั่น ทำงานเก็บเงิน มาสู่ขอ เพราะถือว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่สวยงาม เป็นเพศที่อ่อนแอ ผู้ชายต่างแย่งชิงเพื่อให้ได้มาครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ หรือคุณอยากจะให้ผู้หญิงแย่งชิงผู้ชายมาครอบครอง? ธรรมชาติสร้างผู้ชายกับหญิงมาไม่เท่ากัน แต่สมดุลกัน มีเรื่องที่ผู้ชายทำได้ แต่ผู้หญิงทำไม่ได้ กับเรื่องที่ผู้หญิงทำได้ แต่ผู้ชายทำไม่ได้ เยื่อพรหมจรรย์เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างให้มา เพราะฉะนั้นมันต้องมีเหตุผลในการสร้างสิ่งนี้มาครับ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะให้กันได้เหมือนสมัยนี้ แล้วบอกว่าแค่เยื่อบางๆ แต่สิ่งที่พ่วงมาคือการไม่สนใจ ความงดงามของประเพณี ศีลธรรม และจารีต ต่างๆที่กำลังจะตายไป เหมือนที่คุณว่าล้าหลัง ถ้าเป็นแบบนั้น หรือว่าคุณไม่ได้ตีราคาผู้หญิง ถ้างั้นเวลาแต่งงานก็ไม่ต้องให้สินสอดนะครับ มันล้าหลังเด๋วจะกลายเป็นตีค่าผู้หญิง เพราะอย่างฝรั่งก็แค่แหวนหมั้นก็โอเค ท่านที่ไม่เห็นด้วย กรุณาอย่าเรียกสินสอดนะครับ เวลาแต่งงาน เอะอะๆ ก็ยุคสมัยนี้ ขอบอกว่าสมัยนี้มันเสื่อมครับ คนจับคู่กันสมสู่รวมเพศ เหมือนเป็นสัตว์ที่เปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ ไม่มีการ commitment อะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องง่าย เหมือนอาหารจานด่วน ฟรีเซกส์ ฟรีคันทรี่ โอ้ไทยแลนด์... ประเทศที่เค้าเคร่งเรื่องนี้มีเยอะครับ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม เป็นการให้ค่าให้ราคาผู้หญิง คนที่ออกมาๆเนี่่ยผมว่า แฟนไม่ซิง หรือไม่ก็ตัวเองไม่ซิงแน่ๆ สงสัย.... แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 16:57:13 จากคุณ : ราชาหมีแห่งป่าเงียบเหงา เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 16:55:31

ความคิดเห็นที่ 81 ^ ^ ครอบครัวเราเวลาเรียกสินสอด เรียกมาเป็นพิธีเฉยๆ อ่าค่ะ คือไม่ได้เก็บไว้ ถึงเวลาก็คืนให้บ่าวสาวเอาไปสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งสูงค่ากว่าความรักของ คนสองคนจริงๆ และไม่ได้จะเรียกร้องอะไรมากมายด้วยค่ะ เวลาคนเรา รักกันเนี่ย มันก็ต้องดูดิคะ ว่าเ้ข้ากันได้ไหม อยู่ๆ ไปเกิดมันไม่ใช่ จะมาให้ ทนอยู่จนแก่ตายหรอ บ้าตายพอดี ใครพอใจจะอยู่กันหลังแต่งก่อนแต่ง ก็เรื่องของเขาดิ มันไม่ได้เอาตรงนี้มาวัดค่าความเป็นคนเลย ใครอยากรักษาประเพณีอันสูงส่ง ดีงาม อะไรก็เชิญ แต่อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาตีค่าความเป็นคนของคนอื่น เพราะเขาคิดไม่เหมือนคุณ^^ สิ่งที่คุณมองว่าดี เขาอาจจะไม่ได้มองว่าดีเสมอไปก็ได้ จากคุณ : เรไรรุ่งริ่ง เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 17:22:44

ความคิดเห็นที่ 82 โชติ คห 74 "มีข้อมูลจากหลายสำนักศึกษาออกมาพบว่าราว 50% ของคู่แต่งงานชาวอเมริกันจบลงด้วยการหย่าร้าง" ก็ 50% ไงคะ แสดงว่าอีก 50% ไม่ได้หย่า ก็แปลว่าสถิตินี้ไม่ได้บอกอะไรเลย ความเป็นไปได้มีเท่ากันเป๊ะ อีกอย่าง อย่าลืมว่าในประเทศอเมริกา นอกจากเค้าจะมองการอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว เค้ายังมองเรื่องหย่าเป็นเรื่องธรรมดาด้วย ดังนั้นเมื่อเค้าเป็นประเทศที่คิดจะหย่าก็ตามสบายไม่มีใครมองว่าไม่ดี แต่มีสถิติหย่าแค่ 50% นี่ก็ถือว่าดีมากแล้วค่ะ ไม่เหมือนกับประเทศไทย ดูเผินๆเหมือนมีคนหย่ากันน้อย แต่เนื่องมาจากคนไทยมีนิสัยกลัวเสียหน้า ยึดถือความเห็นของสังคมเป็นหลัก นอกจากมองว่าอยู่ก่อนแต่งไม่ดี ก็ยังมองว่าแต่งแล้วหย่าก็ไม่ดีอีก หาว่าไม่รู้จักอดทน และดูแคลนผู้หญิงที่เป็นหม้าย ทำให้ในประเทศไทยมีคนทนอยู่กันไปเพื่อรักษาหน้าตา แต่ความจริงทุกข์และอยากหย่าแทบตาย เชื่อว่าถ้าประเทศไทยเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการหย่า สังคมมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อไหร่ เปอร์เซ็นต์หย่าจะพุ่งขึ้นสูงกว่าอเมริกาอีก จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 19:01:34

ความคิดเห็นที่ 83 บ้านเราสถิติการหย่ากันของคู่แต่งงานจดทะเบียนสมรสอาจจะน้อย แต่ที่ยังฝืนอยู่ด้วยกันแบบไม่เหลือรักให้กันอีกแล้วนี่ ผมว่าเยอะนะ แต่เพราะถูกค่านิยมทางสังคมกดเอาไว้ แบกหน้าตาของตัวเองและครอบครัวเอาไว้ ก็เลยหย่าไม่ได้ เลิกไม่ได้ ครับ จากคุณ : David_kop เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 19:26:25

ความคิดเห็นที่ 84 Foxy Little Angel #82 ผมกำลังจะบอกคุณว่า การที่ผู้หญิงไปอยู่กับผู้ชายก่อนแต่งนั้นคุณก็ไม่สามารถศึกษาผู้ชายคน ๆ คนนั้นได้หมดทุกอย่างหรอกครับ ผู้ชายก็ไม่มีทางรู้จักผู้หญิงได้หมดเหมือนกัน คุณศึกษาได้เพียงแต่บางส่วนของสิ่งที่เขาเป็นในขณะนั้นเท่านั้นแหละ แต่จิตใจและร่างกายคนนั้นมัน "เปลี่ยนแปลง" ไปตามกาลเวลา คนที่เป็นคู่ชีวิตกันต้องศึกษาและเรียนรุ้ปรับตัว ยืดหยุ่นให้เข้าหากันตลอดชีวิต ......... ถ้าหากว่าการอยู่ก่อนแต่งนั้นดีจริง ศึกษากันทั้งสองฝ่ายได้ดีอย่างถ่องแท้ มันก็ไม่สมควรมีการหย่าร้าง แต่ควรจะเป็นคู่ชีวิตกันไปตลอดชีวิต แต่นี่จากสถิตินั้นแสดงว่าโอกาสที่ชีวิตสมรสล้มเหลวหมดรักกัน มันมีถึง 50 ต่อ 50 ยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่คุณบอกว่า ต้องการไปอยู่กับผู้ชายเพราะต้องการศึกษาเรื่องเซ็กซ์ว่า มันเข้ากันได้หรือไม่ ถ้า่ตอนนี้คุณบอกว่ามันเข้ากันได้ดีมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้หญิงนั้นแก่และเหี่ยวเร็ว ทำให้ sex appeal ไม่สามารถดึงดูดผู้ชายไว้ได้แล้ว ถ้าผู้ชายคนนั้นมีความต้องการเรื่องเซ็กซ์ไม่สมดุลกับผู้หญิง เขาก็อาจจะไปหาคนใหม่ได้ หรือต่อให้คุณบอกว่าเซ็กซ์คุณเจ๋งขนาดไหน คนที่มีอะไรกันประจำทุกวันมันก็เบื่อกันได้ทั้งผู้หญิงและผุ้ชาย คุณอย่าบอกนะว่าผู้ชายไม่มีทางเบื่อคุณ เพราะผมเห็นดาราชายหญิงฮอลี่วู๊ดสวย ๆ หล่อ ๆ ก็มีข่าวเลิกกันบ่อย ด้วยสาเหตุว่า เข้ากันไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก็เข้ากันอยู่ทุกวัน .. และคู่ของคุณก็เป็นหนึ่งในนั้น 50/50 แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่า การแต่งก่อนอยู่นั้นจะไม่มีเรื่องแบบนี้ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นกฎที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง แต่สิ่งที่ผมมีต่อผู้หญิงซิง คือ ผมเคารพและไว้ใจรวมถึงสามารถฝากชีิวิตไ้ว้ได้กับผู้หญิงแบบนี้ ผมเชื่อในความซื่อสัตย์ของพวกเธอเต็มร้อยว่าเธอไม่แทงผมข้างหลัง เธอไม่มีใครนอกจากผม ผมเชื่อเต็มร้อยว่าเธอไม่ใช่คนหลายใจ ผมไม่สามารถตอบแทนผู้ชายคนอื่นได้หรอกว่า เขาจะซื่อสัตย์ต่อภรรยาเขาแค่ไหน แต่ผมตอบตัวเองได้ จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 20:06:48 A:49.48.99.148 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 85 คห 80 ราชาหมีแห่งป่าเงียบเหงา "ผู้หญิงเป็นเพศที่สวยงาม เป็นเพศที่อ่อนแอ ผู้ชายต่างแย่งชิงเพื่อให้ได้มาครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ หรือคุณอยากจะให้ผู้หญิงแย่งชิงผู้ชายมาครอบครอง?" ทำไมต้องแย่งชิง? ทำไมต้องครอบครอง? คนนะคะ มีหัวใจ มีสมอง มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งของ คนสองคนถ้ารักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ก็ควรจะปล่อยให้เค้าคบกันและอยู่ด้วยกันไำป ไม่เห็นต้องไปแย่งชิงเลย ที่อยากเป็นเจ้าของนี่ก็เพราะมีจุดอ่อนอะไรรึเปล่าคะ ถึงได้ต้องใช้อำนาจเข้าอ้าง บอกว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ผู้หญิงน่ะ เลือกที่จะมาอยู่เคียงข้างผุ้ชายคนนึงเพราะรักและเห็นว่าเค้าเป็นคนดี แต่ถ้าคุณทำตัวเลว วันนึงเค้าก็เลือกที่จะไปจากคุณอยู่ดี คุณไม่ได้เป็นเจ้าของเค้าซะหน่อย "ธรรมชาติสร้างผู้ชายกับหญิงมาไม่เท่ากัน แต่สมดุลกัน มีเรื่องที่ผู้ชายทำได้ แต่ผู้หญิงทำไม่ได้ กับเรื่องที่ผู้หญิงทำได้ แต่ผู้ชายทำไม่ได้" ก็ใช่ แต่อย่าลืมว่าประเพณีห้ามอยู่ก่อนแต่งนี่มันสร้างขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับสังคมสมัยก่อน ผู้หญิงยังออกไปทำงานนอกบ้านไม่ได้ ยังหาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ เกิดมาก็ต้องให้คนดูแลตลอด อยู่กับครอบครัว พอแต่งงานก็เปลี่ยนมือคนดูแล จากครอบครัวไปเป็นสามี พูดง่ายๆคือ สมัยก่อนผู้หญิงไม่ได้ดูแลหรือเลี้ยงตัวเองเลย มีคนเลี้ยงตลอด ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามประเพณีที่ผู้ชายเป็นใหญ่ เพราะต้องพึ่งพาเค้า แต่สมัยนี้ผู้หญิงทำงาน บางคนหาเงินได้มากกว่าผู้ชายซะอีก ดูแลตัวเองได้ ดังนั้นประเพณีก็ควรปรับเปลี่ยนให้ผู้หญิงได้มีสิทธิ์เลือกได้เหมือนๆกับผู้ชาย "เยื่อพรหมจรรย์เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างให้มา เพราะฉะนั้นมันต้องมีเหตุผลในการสร้างสิ่งนี้มาครับ" แน่นอนค่ะ มีเหตุผล ความสะอาดและสุขนามัยไงคะ มีความจำเป็นที่เด็กผู้หญิงต้องเกิดมาพร้อมกับเยื่อพรหมจรรย์ เพราะธรรมชาติเด็กต้องคลานอยู่กับพื้น นั่งเล่นกับดินทราย ยังดูแลทำความสะอาดตัวเองไม่ค่อยได้ ถ้าไม่มีเยื่อพรหมจรรย์กันไว้ โอกาสที่เชื้อโรคจะหลุดเข้าไปในอวัยวะนั้นมีมาก แต่ธรรมชาติก็สร้างให้ว่าเมื่อมีเซ็กส์ เยื่อนั้นจะหลุดออก ก็หมายความว่าผู้หญิงที่พร้อมมีเซ็กส์แล้ว ก็คือผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถดูแลทำความสะอาดอวัยวะตัวเองได้อย่างถูกสุขลักษณะ ไม่จำเป็นต้องมีเยื่อพรหมจรรย์มาปกป้องอีกต่อไป "สิ่งที่พ่วงมาคือการไม่สนใจ ความงดงามของประเพณี ศีลธรรม และจารีต" ประเพณีนี้มันงดงามจริงหรือคะ? คุณเป็นผู้ชาย ก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามันฟังดูงดงามสำหรับคุณ เพราะตราบใดที่ประเพณีนี้ยังมีอยู่ โอกาสที่คุณจะได้เปิด sing ก็มีมากขึ้น แต่คุณลองมาเป็นผู้หญิงดูสิคะ หรือไม่ต้องเป็นผู้หญิงก็ได้ แต่ลองสลับตำแหน่งกัน สมมติอยู่ๆสังคมเปลี่ยนข้อกำหนดว่าผู้ชายต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้จนวันแต่งงาน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนไม่มีค่า ไม่มีผู้หญิงที่ไหนอยากเอามาเป็นพ่อของลูก และในขณะเดียวกันผู้หญิงไปมั่วขนาดไหนก็ไม่มีใครว่า แถมมีผู้หญิงหลายคนมาคอยยั่วยุสารพัดเล่ห์กลให้คุณเสียความบริสุทธิ์อีก หากคุณที่เป็นผู้ชายต้องพบกับประเพณีแบบนี้บ้าง คุณจะยังมองว่ามันงดงามอยู่อีกมั๊ยคะ "ท่านที่ไม่เห็นด้วย กรุณาอย่าเรียกสินสอดนะครับ เวลาแต่งงาน" ไม่เรียกอยู่แล้วค่ะ แม่เราบอกตลอดว่าตอนเราแต่งงานแม่จะไม่เรียกสินสอดนะ เพราะแม่ไม่อยากตั้งราคาให้กับลูกของแม่ ลูกของแม่มีค่ามากกว่านั้น ต่อให้เอาเงินทั้งโลกมากกองให้ก็ยังเทียบเป็นราคาชีวิตลูกของแม่ไม่ได้ "คนจับคู่กันสมสู่รวมเพศ เหมือนเป็นสัตว์ที่เปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ ไม่มีการ commitment อะไรทั้งสิ้น" ต่างกับสัตว์ค่ะ คนที่เค้าอยู่ก่อนแต่งกับแฟน แต่ไม่ได้มั่วแบบ one night stand เค้าต่างกับสัตว์ เพราะก่อนที่เค้าจะตกลงไปทดลองอยู่กับแฟนเนี่ย เค้าจะมีเกณฑ์พิจารณาเบื้องต้นอยู่หลายข้อ ดังนั้นก็ถือเป็นการไตร่ตรองและคิดก่อนทำแล้ว ไม่เหมือนกับสัตว์ที่พอได้กลิ่นเพศตรงข้ามก็วิ่งเข้าไปเอาตัวที่ใกล้ที่สุดเดี๋ยวนั้นเลย "ประเทศที่เค้าเคร่งเรื่องนี้มีเยอะครับ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม เป็นการให้ค่าให้ราคาผู้หญิง" ที่น่าสนใจคือ ประเทศที่เคร่งเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศ Third world country หรือประเทศที่ยากจนและยังไม่เจริญ หรือประเทศที่ศาสนาให้ชายเป็นใหญ่ อย่างเช่นไม่นานมานี้มีข่าวจากประเทศที่เคร่งเรื่องนี้มากๆ เป็นประเทศอยู่แถบตะวันออกกลาง ข่าวออกมาว่า เด็กผู้หญิงอายุ 14 ถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่ข่มขืนเธอ เหตุผลเพียงเพราะว่า เธอเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว ดังนั้นก็คงไม่สามารถหาสามีได้อีกเนื่องจากไม่มีราคาแล้ว แบบนี้หรือคะ ที่คุณเห็นว่าดีงาม ถ้าคุณเห็นว่าดีงาม คนที่มีความคิดไม่ต่างจากสัตว์ก็คือคุณล่ะค่ะ "คนที่ออกมาๆเนี่่ยผมว่า แฟนไม่ซิง หรือไม่ก็ตัวเองไม่ซิงแน่ๆ สงสัย" แล้วคุณเองน่ะ ซิงรึเปล่า ถ้ายังซิงก็เข้าใจได้ที่เรียกร้องแบบนี้ แต่ถ้าไม่ซิงก็ต้องบอกว่า เป็นผู้ชายที่เห็นแก่้ตัวมาก แล้วก็อย่างที่คุณ เรไรรุ่งริ่ง เสนอมา ถ้าจะเอาความซิงเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้หญิงที่คุณจะแต่งงานด้วย ทีหลังเวลาคุยกับใครก็ควรบอกเกณฑ์ให้ผู้หญิงเค้ารู้ตั้งแต่ต้นไปเลย เพราะผู้หญิงหลายคนที่เค้าไม่ซิง เค้าไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆตลอดชีวิต แต่เป้าหมายเค้าคือ ทดลองอยู่เพื่อหาคนที่เข้ากันได้จริงๆมาแต่งงานด้วย โอกาสที่แต่งแล้วต้องหย่าเพราะเข้ากันไม่ได้จะได้น้อยลง ดังนั้น ถ้าเกณฑ์ของคุณคือ ถึงแม้จะเข้ากันได้ดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่ซิงก็ไม่แต่ง ก็ควรบอกให้ฝ่ายหญิงรู้ก่อน  อย่างน้อยถ้าเค้าไปคบกับผู้ชายที่ไม่สนเรื่องซิง เปอร์เซ็นต์ที่จะได้แต่งหรือไม่ได้แต่งหลังจากคบแล้วยัง 50%/50% แต่ถ้ามาคบกับคุณ เปอร์เซ็นต์ที่เค้าจะได้แต่งก็คือ 0% ดังนั้นควรบอกเกณฑ์ให้รู้กันตั้งแต่แรก ฝ่ายหญิงที่ไม่ซิงเค้าจะได้ตัดสินใจว่าจะเสียเวลาชีวิตเค้ามาคบกับคุณหรือไม่ ป.ล. แฟนเราฝากบอกว่า 'ผมเป็นผู้ชายไทย และกรุณาอย่าเอาผมไปเหมารวมไว้ในพวกเดียวกับคุณ เพราะผมไม่เคยมีความคิดอยู่ในหัวเลยว่าอยากแต่งงานกับผู้หญิงซิง ผู้หญิงที่ผมอยากแต่งงานด้วยคือผู้หญิงที่ผมรักและเข้ากับผมได้ดี ไม่ว่าเธอจะซิงหรือไม่ก็ตาม' จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 20:10:55

ความคิดเห็นที่ 86 โชติ #84 "ถ้าหากว่าการอยู่ก่อนแต่งนั้นดีจริง ศึกษากันทั้งสองฝ่ายได้ดีอย่างถ่องแท้ มันก็ไม่สมควรมีการหย่าร้าง แต่ควรจะเป็นคู่ชีวิตกันไปตลอดชีวิต" ถ้าคุณจะเอาตรงนี้มาอ้าง ก็ต้องอ้างกลับว่า งั้นถ้าหากว่าแต่งก่อนอยู่ดีจริง มันก็ไม่สมควรมีการหย่าร้าง แต่ควรจะเป็นคู่ชีวิตกันไปตลอดชีวิต สรุปแล้วมันก็พอๆกันนั่นแหละ จะอยู่ก่อนหรือแต่งก่อนก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ทั้งนั้นว่้าจะไม่เลิกจะไม่หย่า "การที่ผู้หญิงไปอยู่กับผู้ชายก่อนแต่งนั้นคุณก็ไม่สามารถศึกษาผู้ชายคน ๆ คนนั้นได้หมดทุกอย่างหรอกครับ ผู้ชายก็ไม่มีทางรู้จักผู้หญิงได้หมดเหมือนกัน" อาจจะศึกษาได้ไม่หมดทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็มีข้อมูล มากกว่า คู่ที่ไม่ได้อยู่ก่อนแต่ง ดังนั้นโอกาสที่จะเข้ากันไม่ได้ในเบื้องต้นก็จะลดลงไม่มากก็น้อย ถึงคนเราจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่คนเรามันก็มีนิสัยบางอย่างที่เป็นสันดานติดตัวและไม่เปลี่ยนไปตลอดชีวิต แล้วถ้าสิ่งที่เราไม่ชอบหรือเกลียด เกิดเป็นสันดานของคนที่หลงไปแต่งงานด้วยล่ะ ก็ต้องหย่าอยู่ดี และโอกาสที่คนเราจะแสดงสันดานส่วนตัวออกมา อย่างไหนมันมีโอกาสมากกว่ากัน ระหว่างออกไปกินข้าวดูหนังไม่กี่ชั่วโมง หรืออยู่บ้านเดียวกันนอนด้วยกันทุกวัน? "ที่คุณบอกว่า ต้องการไปอยู่กับผู้ชายเพราะต้องการศึกษาเรื่องเซ็กซ์ว่า มันเข้ากันได้หรือไม่ ถ้า่ตอนนี้คุณบอกว่ามันเข้ากันได้ดีมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้หญิงนั้นแก่และเหี่ยวเร็ว ทำให้ sex appeal ไม่สามารถดึงดูดผู้ชายไว้ได้แล้ว" คุณมองข้อนี้จากมุมมองของชายเป็นใหญ่ คุณมองแค่ว่าสาเหตุที่เราต้องการศึกษาเรื่องเซ็กส์ให้เข้ากันได้ เพื่อจะได้ใช้ดึงดูดผู้ชายไว้ แต่ขอโทษค่ะ คุณสำคัญตัวเองผิดไป เราไม่ได้ต้องการให้เซ็กส์เข้ากันได้เพื่อดึงดูดผู้ชาย แต่เราต้องการให้เซ็กส์เข้ากันได้เพื่อความสุขของตัวเราเอง เช่นถ้าเจอผู้ชายที่มือหนักหรือมีนิสัยขี้เกียจเล้าโลม บอกให้รู้แล้วก็ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยน เวลามีเซ็กส์เราก็ไม่มีความสุข แล้วเราจะทนผู้ชายแบบนั้นไปทำไม ถ้าเราเจอคนที่เซ็กส์เข้ากันได้ แต่พอแก่ตัวไปเค้าไปหาที่อื่น อย่างน้อยเราก็เคยได้ความสุขจากผู้ชายคนนั้นมาแล้ว "สิ่งที่ผมมีต่อผู้หญิงซิง คือ ผมเคารพและไว้ใจรวมถึงสามารถฝากชีิวิตไ้ว้ได้กับผู้หญิงแบบนี้ ผมเชื่อในความซื่อสัตย์ของพวกเธอเต็มร้อยว่าเธอไม่แทงผมข้างหลัง เธอไม่มีใครนอกจากผม ผมเชื่อเต็มร้อยว่าเธอไม่ใช่คนหลายใจ" ก็ขอให้คุณโชคดีนะคะ เพราะรู้สึกว่าคุณจะมองในแง่ดีเหลือเกิน อยากจะบอกว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้หญิงซิงไม่ได้แปลว่าเป็นคนนิสัยดีเสมอไปค่ะ ผู้หญิงที่เก็บความซิงไว้ได้เพราะนิสัยเสียจนไม่มีใครอยากอยู่ด้วยก็มีถมไป หรือผู้หญิงที่มีปมโกรธแค้นผู้ชายมาก ใช้ความซิงเป็นวิธีแก้แค้นผู้ชายก็มี เราเคยมีเพื่อนคนนึง(ตอนนี้เลิกคบเป็นเพื่อนแล้ว) เธอเกลียดผู้ชายที่เห็นแก่ความบริสุทธิ์ ถึงขั้นลงทุนไปทำรีแพร์เพื่อหลอกผู้ชายว่าตัวเองบริสุทธิ์ แน่นอน ผู้ชายที่โดนเธอหลอกส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ชายที่อยากได้แต่ผู้หญิงบริสุทธิ์โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ พอทำให้ผู้ชายคนนั้นรักเธอแล้ว เธอก็ทิ้งทันที ถ้าผู้ชายคนนั้นนอนกับเธอไปแล้ว เธอก็กลับไปทำรีแพร์ใหม่เพื่อหลอกผู้ชายคนต่อไป เคสอีกแบบที่มีให้เห็นบ่อยๆคือ จริงๆแล้วผู้หญิงหลายคนก็ไม่ได้ต่างจากผู้ชายหรอก ที่สันดานจริงๆจะแสดงออกมาหลังจากมีอะไรกันแล้ว เช่นผู้หญิงบางคนโดยสันดาน เป็นผู้หญิงที่ติดเซ็กส์ฺมากอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่บางคนก็ไม่รู้ตัว เก็บความซิงมาตลอด แต่พอแต่งงานไป ได้มีเซ็กส์ ความติดเซ็กส์ก็ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นฝ่ายไปมีชู้มีกิ๊กก็เยอะเหมือนกัน ก็หวังว่าคุณจะไม่โชคร้าย ดันไปเจอกับผู้หญิงซิงพวกนั้นนะคะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 20:55:28

ความคิดเห็นที่ 87 เห็นด้วยกับคุณ  Foxy Little Angel สามีเราก็บอกว่า อย่าเอาเค้าไปรวมกับพวกผู้ชายเห็นแก่ตัวพวกนั้น สามีเราเห็นด้วยกับแฟนคุณ เค้าแต่งงานกับเราเพราะเรารักกัน เข้ากันได้ดี ในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะซิงหรือจะผ่านอะไรมา เค้าไม่แคร์ นั่นคืออดีต แต่วันนี้คือปัจจุบันและอนาคต เพราะฉนั้นใครจะมีกฏเกณฑ์ในการเลือกคู่ยังไงก็เรื่องของคุณ ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดให้คนอื่นยอมรับ คุณอยากได้ผู้หญิงซิงคุณก็หาไปสิ แต่จะหาได้รึเปล่าไม่รู้ ยิ่งหาได้ยาก แต่มีสิ่งนึงที่อยากบอกว่า สมัยนี้ผู้หญิงเท่าเทียมผู้ชายนะคะ อย่ามาใช้คำว่าตัวเองเป็นผู้ชายจะทำอะไรก็ได้ ผู้หญิงต้องอยู่ใต้ อย่าลืม ตอนนี้ประเทศเรา ผู้หญิงเป็นนายก และ ประเทศอื่นๆ ก็มีผู้หญิงเป็น ประธานาธิบดี ในสมัยก่อน ผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิงเพราะผู้หญิงไม่ได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกับผู้ชาย เลยทำให้ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ชาย แต่ยุคนี้ 2012 ผู้หญิงมีความสามารถในหลายๆเรื่อง ที่ผู้ชายบางคนยังเทียบไม่ได้ และเราเชื่อว่าผู้ชายพวกนี้ไม่ได้มีการงานหรือการศึกษาที่ดีไปกว่าเราและคุณ Foxy Little Angel ( เราก็เงินเดือน 6 หลักเหมือนกัน ) ซึ่งผู้ชาย หลายๆคนก็ทำไม่ได้เท่าเรา เพราะฉนั้น ผู้หญิงไม่ใช่ เบี้ยก้นครัวอีกแล้วค่ะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป มันแต่มานั่งเป็นอีเย็น ไม่ได้แล้วค่ะ เพราะผู้ชายสมัยนี้ร้ายกาจนัก ประเภณีในสมัยก่อน เป็นกลอุบายเพื่อการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ในสภาวะสังคมนั้นๆ อย่างเช่นเรื่องของศาสนาก็เช่นกัน เป็นเพียง วิถีการให้เรามีชีวิตอยู่รอดได้ในสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานั้น ไม่งั้นคนเราจะมีศาสนาต่างกันได้อย่างไร เพราะภูมิประเทศที่แต่ละเผ่าพันธ์อยู่ต้องใช้วิธีที่แตกต่างกัน แต่ในใจความหลักของศาสนาก็คล้ายๆกัน แตกต่างที่ประเภณีก็แค่นั้น อย่างในสมัยก่อนถ้าเราดูวรรณคดี เราจะเห็นความเห็นแก่ตัวของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเอก อย่างขุนช้างขุนแผน ขุนแผน สามารถมีเมียได้เป็นโหล ทิ้งนางพิมไว้โดดเดี่ยว จนขุนช้างมาหลอกลวงนางพิมว่าขุนแผนตาย นางจึงได้แต่งงานใหม่(เพราะผู้หญิงในสมัยนั้น เป็นเบี้ยล่าง ที่ไม่สามารถทำงานเลี้ยงตัวเองได้ พอผัวตายก็ต้องหาคนดูแล) แต่แล้วขุนแผนก็กลับมา นางพิมก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนสองใจ และโดนตัดหัว ในที่สุด ความผิดใครในเรื่องนี้??? เราเคยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนที่เป็นฝรั่งหลายๆคนฟัง เพื่อนๆได้แต่บอกว่า Stupid ไม่แฟร์เลย งี่เง่าที่สุด ความบริสุทธิ์มันเป็นแค่อุบายเพื่อให้ผู้หญิงอยู่กับชายเพียงชายเดียว ทำไมหน่ะเหรอ ในสมัยก่อน การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า การคุมกำเนิดเป็นเรื่องที่ยาก เพราะผู้ชายไม่ท้องเวลาไปทำเรื่องบัดสี ก็มักจะไม่มีคนรู้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไร แต่ต่างจากผู้หญิง ที่สามารถท้องได้ เวลาไปทำอะไรบัดสี คนก็จะรู้กันทั่วเมืองทำให้เกิดความอับอาย ดังนั้นจึงมีกลอุบายให้หญิงสาวรักษาความบริสุทธิ์ไว้จนแต่งงานเพื่อไม่ให้เป็นการขายหน้าบุพการี ซึ่งในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปการแพทย์เจริญขึ้น การศึกษาเข้าถึงผู้หญิง ทุกสิ่งเลยต้องเท่าเทียม ในสมัยก่อนที่ผู้หญิงไม่เท่าเทียมเพราะการขาดการศึกษา ทำให้ต้องพึ่งพาผู้ชายมาตลอด แต่ในยุคสมัยนี้  ผู้หญิง มีการศึกษาเท่าเทียมกับผู้ชายเพราะฉนั้น เลิกเอากฏโบราณมาใช้สักที ถ้าอยากจะใช้กฏโบราณประเภณีเดิม คุณคงต้องห้ามผู้หญิงมีการศึกษาแล้วหล่ะค่ะ เพราะไม่งั้น คุณคงหาสาวบริสุทธิ์ยากขึ้นทุกที หัดอ่านหนังสือศึกษาบ้างนะคะ จะได้รู้โลก เพราะเรื่องราวที่พิมมาทั้งหมด ดิชั้นก็ศึกษา อ่านหนังสือ หาความรู้ และมันเป็นเรื่องที่จริงค่ะ อย่ามัวแต่หน้ามืดตามัวทำตามประเภณีเดิมๆ ไปซะทุกอย่าง อะไรดีงามก็เก็บไว้ อะไรที่มันงี่เง่า ก็ลืมๆไปบ้างก็ดีค่ะ ไม่งั้น สมัยนี้เราคงต้องเห็นการจับคนมาบูชายันต์กันอยู่แหละค่ะ คุณผู้ชายทั้งหลาย กรุณาอย่าอ้างคำว่า ประเภณี เพื่อเอื้อประโยชน์ความเห็นแก่ตัวของตัวเองเลย แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 21:22:58 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 21:05:03 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 21:00:42 จากคุณ : เด็กเก็บศพ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 20:59:05

ความคิดเห็นที่ 88 ว่าแต่ ที่เราสงสัยอีกอย่างคือ ทำไมผู้ชายหลายคนในนี้ต้องมาออกความเห็นเชิงดูถูกดูแคลนผู้หญิงที่ไม่ซิง? ถ้ารสนิยมคุณคืออยากได้ผู้หญิงซิง คุณก็ไปงมหาเอาสิ ไม่มีใครว่า แต่มันเรื่องอะไรที่คุณจะมาพูดจาดูถูก ยัดเยียดความคิดว่าผู้หญิงไม่ซิงคือผู้หญิงไม่ดีให้กับคนอื่น คุณเดือดร้อนอะไีรด้วย? หรือคุณเริ่มรู้ตัวว่าผู้หญิงซิงสมัยนี้เริ่มหายากกว่าสมัยก่อน กลัวจะหาสิ่งที่ต้องการไม่ได้ ก็เลยพากันเดือดร้อน ต้องออกมาพูดจาดูถูกและขู่ให้ผู้หญิงกลัว ด้วยการเอาประเพณีของสมัยก่อนที่ชายเป็นใหญ่มาอ้าง เพื่อจะได้มีผู้หญิงซิงหลงเหลือมาถึงมือคุณ สังเกตุได้เลยว่าเหตุผลอันดับต้นๆที่ผู้หญิงต้องการเก็บความซิงไว้จนแต่งงานก็เพราะ กลัวว่าจะไม่มีผู้ชายคนไหนแต่งงานด้วย กลัวว่าตัวเองจะไม่มีค่าในสายตาผู้ชาย แต่ความจริงก็คือ ความกลัวเหล่านี้จะไม่มีอยู่ในหัวผู้หญิงเลย ถ้าไม่มีผู้ชายเห็นแก่ตัวมายัดเยียดความคิดให้ มั่นใจได้เลยว่า มีผู้หญิงหลายคนที่ยังบริสุทธิ์อยู่ แต่ก็สองจิตสองใจว่าจะอยู่ก่อนแต่งดีไหม เข้ามาอ่านกระทู้นี้ พอได้เห็นข้อความเชิงขู่เชิงดูถูกจากผู้ชายเห็นแก่ตัวทั้งหลาย ก็จะเกิดความกลัวขึ้นมาทันที แล้วก็ไม่กล้าไปอยู่ก่อนแต่ง ซึ่งก็เข้าทางพวกผู้ชายเห็นแก่ตัวทันทีไงคะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 21:29:59

ความคิดเห็นที่ 89 Foxy Little Angel #86 "สรุปแล้วมันก็พอๆกันนั่นแหละ จะอยู่ก่อนหรือแต่งก่อนก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ทั้งนั้นว่าจะไม่เลิกจะไม่หย่า" ใช่ครับ อาจจะหย่า แต่ว่าผมได้ผู้หญิงที่ไม่เคยผัวมาก่อนครับ ผมรู้สึกดีกว่าที่ต้องได้เมียที่เคยมีผัวมาแล้วหลาย คนเยอะ และก็ได้รู้ว่าสิ่งที่มันฝรั่งมันทำก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันจะดีไปหมดเหมือนที่หลายคนบอกว่ามันทันสมัย อย่างโน้นอย่างนี้ "อาจจะศึกษาได้ไม่หมดทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็มีข้อมูล มากกว่า คู่ที่ไม่ได้อยู่ก่อนแต่ง" เอ่อ สันดานของคนเนี่ยมันต้องไปนอนด้วยกันถึงได้รู้หรือครับ เรื่องอื่น ๆ นอกจากเรื่องเซ็กซ์นั้น คนเราสามารถ ศึกษากันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเซ็กซ์ด้วยกัน แล้วผมก็ไม่คิดว่าคุณจะไปศึกษาผู้ชายในเรื่องอื่นในขณะที่กำลัง มีเซ็กซ์นะ ........ สันดานส่วนตัวเนี่ยมันต้องไปปรากฎตอนมีเซ็กซ์เหรอครับ คุยเรื่องอื่นตอนมีเซ็กซ์เนี่ยเสียอารมณ์ ตาย5เลย ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่คุยเรื่องอื่นกับผู้ชายขณะกำลังมีเซ็กซ์ ผมว่าคุณเป็นผู้หญิงที่เซ็กซ์ห่วยแตก "เราไม่ได้ต้องการให้เซ็กส์เข้ากันได้เพื่อดึงดูดผู้ชาย แต่เราต้องการให้เซ็กส์เข้ากันได้เพื่อความสุขของตัวเราเอง" ใช่ คุณต้องการเซ็กซ์เพื่อความสุขของตัวเอง แต่ทว่าถ้ารูปร่างหน้าตาของคุณไม่สามารถให้ผู้ชายแข็งตัวได้ละ ถ้ารุปร่างหน้าตาคุณยังดี ผู้ชายมันก็ยังมีอารมณ์เล้าโลม แต่ถ้ามันเหี่ยวแห้งหย่อนคล้อย ผู้ชายคนไหนมันจะมีอารมณ์ แล้วคุณจะมีความสุขในเรื่องเซ็กซ์ได้ยังไง ก็ผู้ชายมันไม่มีอารมณ์ คุณจะมีความสุขด้วยการใช้ไวเบรเตอร์เหรอ? "ผู้หญิงที่เก็บความซิงไว้ได้เพราะนิสัยเสียจนไม่มีใครอยากอยู่ด้วยก็มีถมไป" ผมได้ยินบ่อย ๆ กับคำพูดแบบนี้จากผู้หญิงประเภทของคุณ มันก็อาจจะมีจริงแต่ผมไม่เคยเจอ แต่ที่ผมเจอคือผู้หญิงที่ไม่แคร์เรื่องซิงแล้วนิสัยเสียนี่เจอเยอะแยะมาก สำหรับเรื่องผู้หญิงไปทำรีแพร์มาหลอกว่าตัวเองซิงนั้น คุณไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผู้หญิงซิงเวลาโดนเอาผมก็ ไม่ได้โง่ดูว่าเยื่อมันขาด เลือดออกหรือเปล่า แต่มีวิธีดูแบบอื่นอีกเยอะแยะ สำหรับเรื่องผู้หญิงที่ชอบเซ็กซ์ แต่เก็บความซิงไว้ได้นั้น ........ มันไม่ใช่ของง่าย ๆ นะครับ ที่คนจะเอาชนะความรู้ สึกและควบคุมเรื่องธรรมชาติแบบนี้ได้ เรื่องนี้มันเป็นสันดานนะผมว่า ถ้าเสี้ยนขนาดนั้น มันไม่มีทางซิงมาได้ตลอดรอดฝั่งหรอก คงเสียตัวมาตั้งแต่ใส่คอซองแล้ว จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 21:51:43 A:49.48.99.148 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 90 คุณเด็กเก็บศพ คุณเรียกร้องให้อย่าเอาเรื่องซิงไม่ซิงมาเป็นตัวกำหนดการเลือกคู่ อันนี้ผมเข้าใจ เห็นด้วยบางส่วน แต่ถ้าบางคนจะใช้เรื่องนี้มากำหนดการเลือกคู่ ผมว่ามันเป็นสิทธิของเค้านะครับ ถ้าคุณไปว่าเค้า ว่าเห็นแก่ตัว มันก็ไม่สมควรหรอก ตัวคุณเองยังไม่ชอบให้เค้าดูถูกคุณเลย คุณพูดถึงประเด็นนึงไว้น่าสนใจ เรื่องผู้หญิงสมัยก่อนถูกปลูกฝั่งให้รักษาความบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน เพราะสามารถท้องได้ ถ้าไปทำอะไรบัดสี จะอับอายถึงบุพการี การท้องเป็นแค่ผล แต่ผมสนใจตรงเหตุคือการทำอะไรบัดสีที่คุณว่ามามากกว่า คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่า หากมีอะไรโดยที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงยังไม่ได้รับรู้ มันสุ่มเสียงกับการทำให้ท่านทุกข์ใจ ทุกคนต่างรู้ดี ว่าเรื่องเพศ เป็นเรื่องบาดใจ เหมาะสำหรับคนที่เป็นคู่ครอง ที่ควรขออนุญาตจากผู้ปกครองเสียก่อน ตรงนี้ต่างหากครับที่มันไม่ถูกต้อง คุณเองก็น่าจะรู้ ถึงยุคสมัยปัจจุบัน พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็คงไม่ยินดีให้ลูกสาวตัวเองไปลองผิดลองถูก กับผู้ชายไปเรื่อยๆหรอกครับ ส่วนถ้าคุณว่ามันไม่แฟร์ ไม่เท่าเทียม คุณลองเปลี่ยนมุมมองจากเท่าเทียมเป็นเหมาะสมระหว่างเพศดีมั๊ย ผู้หญิงอาจถูกจำกัดบางอย่างซึ่งดูเหมือนเสียเปรียบ แล้วผู้ชายล่ะ ผู้ชายก็ถูกสังคมคาดหวังว่าต้องประสบความสำเร็จในการงาน มีเงินมากพอจะมาดูแลผู้หญิง เวลาออกเดท ผู้ชายก็ต้องจ่ายมากกว่า แล้วถ้าผู้ชายลุกขึ้นมาประท้วงว่า โดนกดขี่ทางเพศ ผู้หญิงเห็นแก่ตัวล่ะ สังคมคงวุ่นวายดี เราก็ต้องยอมรับว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ ก็เลือกผู้ชายจากฐานะ เหมือนกัน ผมกล้าพูดได้เลยว่าผู้หญิงที่รังเกียจผู้ชายจน มีเยอะกว่าผู้ชายที่รังเกียจผู้หญิงไม่ซิงซะอีก ดังนั้นโดยเนื้อแท้แล้ว ทั้ง2 เพศต่างก็เลือกสิ่งที่คิดว่าดีให้กับตัวเองทั้งนั้นแหละ จากคุณ : ใจร่มๆ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 22:31:31 A:58.9.42.150 X: TicketID:313494

ความคิดเห็นที่ 91 นั่นไง มีออกมาเต็มเลย ผู้หญิงไม่ซิง.... ตอบครับ ผู้หญิงซิงหาได้ครับ หาง่ายด้วย ทีทำงานผม นั่งข้างๆด้วย ซิง 2 คน อายุจะ30แล้ว ยังไม่เคยมีแฟน เพราะทำแต่งาน... แฟนผม ซิง ผมถนอมมาก ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว รอแต่งงานครับ... บอกแล้วไงครับ ยังไงผมก็มองว่าอยู่ก่อนแต่ง เป็นเรื่องที่ไม่ควรสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมไทยครับ เดี๋ยวมันจะยิ่งเละเทะตุ้มเปะไปกว่านี้ ผู้หญิงท่านที่มาตอบๆด้วยอาการเหวี่ยง เอาเรื่องนี้ไปสอนเด็กๆนะครับ รู้มั้ยครับสังคมวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ เละเทะแค่ไหนแล้ว เคยเห็นเด็ก มันโพสในเฟสบุ๊คอวดกันมั้ยครับ ว่ามีผัวมากี่คน ผมว่าเพราะพวกผู้ใหญ่หัวก้าวหน้าแบบเรปบนๆนี่แหละ มีส่วนทำให้สังคมมันยิ่งเละเทะแบบทุกวันนี้  หึๆๆ แล้วกลับไปถามแฟนนะครับ ไม่สนความซิง จริงหรือ หรือพูดต่อหน้าแฟนให้สบายใจ ลองคุณเล่ากิจกรรมที่เคยทำกับแฟนเก่า ที่ไหน ยังไง มีความสุขมั้ย ให้คนปัจจุบันฟังได้มั้ยครับ เอาง่ายๆไม่ต้องลงลึก ถ้าไม่สนจริงก็ต้องไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ต้องเล่าได้ แต่ส่วนใหญ่ทำไมไม่เล่าหละ หึๆๆ ผมเคยเป็นครับ ความรู้สึกแบบนั้น แต่ตอนนี้เหมือนขึ้นสวรรค์เลยครับ ไม่ต้องกังวลหึงหวงอะไรทั้งนั้น สบายแฮ... ปล. เงินเดือน 6 หลักก็เอากลับมาไม่ได้ครับ ความซิง หึๆๆๆ . . . . ทั้งนี้ทั้งนั้นที่กล่าวมา ถ้าอายุเลยวัยมีวุฒิภาวะเต็มที่แล้ว ท่านมีสิทธิ์ของท่าน มีความคิดที่ครบ ท่านทำถูกแล้วครับ จะแต่งงานอีกสัก 3 รอบ ก็ไม่มีใครว่า แต่ผมเป็นห่วงเยาวชนไทย 13-25 อย่างเพิ่งอยู่ก่อนแต่งเลยครับ รักษาไว้ก่อนเหอะ ความซิงหน่ะ... จบนะ จากคุณ : ราชาหมีแห่งป่าเงียบเหงา เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 22:51:06

ความคิดเห็นที่ 92 ทุกคนก็ต่างมีเหตุผลให้ตัวเองถูกทั้งนั้น ถูกไหมคะ แล้วเราจะเถียงกันหาทำไมหล่ะคะ ในเมื่อคุณคิดว่าถูกคุณก็ทำกันไป เราคิดว่าถูกเราก็ทำของเราไป แล้วเราจะไม่มายุ่ง ถ้า ผู้ชายแบบ คุณโชติ ไม่ด่าเราในกระทู้ที่แล้วว่าโง่ เพราะเราเคยโดนผู้ชายหลอก ก็ดีนะคะที่โดนหลอกเพราะมันทำให้เราเป็นหญิงเก่ง ไม่น้อยหน้าผู้ชาย ถ้าไม่โดนหลอก คงตกเป็นทาสผู้ชาย อยากหาเมียทาสก็เชิญค่ะ แต่ไม่ใช่ผู้หญิงเผ่าพันธ์เรา เพราะผู้หญิงพันธ์อย่างเรา มันประสบความสำเร็จค่ะ ทั้งหน้าที่การงาน และ ครอบครัว ที่เราว่าเขาว่า เห็นแก่ตัว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมาใช้คำพูดจาดูถูกผู้หญิงไงคะ ไม่เข้าใจว่าอยู่ใครอยู่มันแล้วบุพการีเค้าจะเสียหรือไงถึงได้ไล่มาตามดูถูกผู้หญิงไปเสียทุกกระทู้ สงสัยแม่เค้าจะเป็นกระเทย มั้งคะ ถึงได้มาดูถูกนัก อยากใช้ชีวิตแบบไหนก็เรื่องของคุณ ถึงคุณอยากได้ผู้หญิงแบบไหน หรือ อยากจะทำอะไร มันก็ไม่สะเทือนอะไรถึงชีวิตชั้น ชั้นก็ยัง กินได้ นอนหลับ มีความสุขดี และก็นั่งหัวเราะกับสามีว่า เกรียนดีเนอะ แต่ดีค่ะ มีคนแบบนี้ทำให้เรารู้ว่า สังคมก็ยังมีด้านอับๆอยู่ และสุดท้าย ชั้นไม่ทำใครก่อน ถ้าเค้าไม่มาระราน หรือ ไม่ให้เกียรติชั้นก่อน ชั้นให้เกียรติทุกคนเสมอ แต่ถ้าใครไม่ให้เกียรติชั้น ชั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติเช่นกัน ชั้นมันประเภท ตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่งั้นคงไม่ประสบความสำเร็จจนผู้ชาย อิจฉากันหรอก เกิดเป็นผู้ชาย ถ้าตัวเองอยากได้ผู้หญิงดีๆ ก็ควรให้เกียรติผู้หญิงและดีต่อเขา ไม่ใช่พูดร้าย ทำไม่ดี แล้วอยากได้สิ่งดีๆตอบแทน มันทุเรศค่ะ และคุณก็คงไม่ได้สิ่งนั้น ปลูกข้าวก็ย่อมได้ข้าว ทำอะไรก็ได้สิ่งนั้นถ้าเค้าไม่ดูถูกผู้หญิงมีเหรอคะผู้หญิงจะออกมาว่าเค้าว่าเห็นแก่ตัว คิดดีๆนะคะ ว่าผู้หญิงไม่ร้าย ถ้าผู้ชายไม่เลว ค่ะ และไม่ต้องมา โพส พาดพิงถึงดิชั้นอีก เพราะจะไม่เข้ามาดูแล้ว จะออกไป หาอะไรทานกับสามีค่ะ สามีบอกว่า คุยไปไม่มีประโยชน์เสียเวลา ไม่มีสาระ ไปหาของบำรุงสุขภาพดีกว่า ไปนะคะคุณผู้ชายทั้งหลาย และ สุดท้าย อยากโพสอะไรเชิญค่ะ ถ้ามันทำให้ชีวิตอีกซอกของคุณมันมีความสุข แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 55 23:06:20 จากคุณ : เด็กเก็บศพ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 22:52:47

ความคิดเห็นที่ 93 คห.91 "ลองคุณเล่ากิจกรรมที่เคยทำกับแฟนเก่า ที่ไหน ยังไง มีความสุขมั้ย ให้คนปัจจุบันฟังได้มั้ยครับ เอาง่ายๆไม่ต้องลงลึก ถ้าไม่สนจริงก็ต้องไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ต้องเล่าได้ แต่ส่วนใหญ่ทำไมไม่เล่าหละ หึๆๆ" ู^ ^ เอ่อ คิดมาได้ไงคะเนี่ย ที่บอกไม่แคร์เรื่องซิงไม่ซิง มันไม่หมายถึงไม่สนว่าจะผ่านอะไรมา เพราะไม่ได้รักกันที่ซิงไม่ซิง-*- ใครมันจะบ้าไปเล่าอดีตอ่ะคะ "ให้เกียรติ" แฟนคนปัจจุบัน เข้าใจคำนี้ไหมคุณ หรือคุณอยากไปเล่าอดีตคุณกะแฟนเก่าให้แฟนคนปัจจุบันอ่ะคะ โอ้ย เทอคงยิ้มหน้าบานเลยล่ะค่ะคุณ ปลื้มเนาะ แฟนเรานี่มีอารมณ์ขันจัง เล่าอดีตได้ไม่สะทกสะท้าน ตลก! คุณนี่น่าจะไปเป็นนายกประจำกระทรวงวัฒนธรรมอะไรนั่นนะ ดูท่าจะรุ่ง เป็นห่วงเยาวชนเหลือเกิน น่าปลื้มใจจัง หึหึ ขอให้แฟนคุณซิงจริงๆ แล้วกัน จากคุณ : เรไรรุ่งริ่ง เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 23:15:56

ความคิดเห็นที่ 94 #91 "นั่นไง มีออกมาเต็มเลย ผู้หญิงไม่ซิง...." พูดจาแบบนี้เป็นแบบอย่างที่ดีเหรอครับ ที่ไม่เล่าเพราะเค้าเรียกว่ามารยาทในการใช้ชีวิตร่วมกัน อันนี้เป็นมารยาทไทยเลยนะครับ คำพูดคำจาอย่าดูถูกคนให้มากนักเลยครับ จากคุณ : กล้วยไม้ขาว เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 23:19:24 A:171.99.15.248 X: TicketID:377250

ความคิดเห็นที่ 95 โชติ #89 "แต่ว่าผมอยากได้ผู้หญิงที่ไม่เคยผัวมาก่อนครับ ผมรู้สึกดีกว่าที่ต้องได้เมียที่เคยมีผัวมาแล้วหลาย คนเยอะ" มันก็เรื่องของคุณไงคะ คุณก็รีบไปหาสิ มามัวนั่งตอบกระทู้เถียงกับเราอยู่ทำไม ผู้หญิงเค้าจะซิงหรือไม่ซิงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ อยากได้แบบซิงก็ออกไปหาแบบที่อยากได้สิคะ หรือว่าออกไปหาแล้วแต่หาไม่ค่อยมี เลยต้องมานั่งตอบกระทู้ดูถูกผู้หญิงไม่ซิง เผื่อผู้หญิงที่ยังซิงอยู่มาอ่านจะได้เกิดความกลัว เก็บซิงต่อไป เผื่อหนึ่งในนั้นจะตกมาถึงมือคุณ? "เอ่อ สันดานของคนเนี่ยมันต้องไปนอนด้วยกันถึงได้รู้หรือครับ เรื่องอื่น ๆ นอกจากเรื่องเซ็กซ์นั้น คนเราสามารถศึกษากันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเซ็กซ์ด้วยกัน" มีสิคะ สันดานประเภทที่ต้องนอนด้วยกันก่อนแล้วถึงจะรู้ สันดานฟันแล้วทิ้งไงคะ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว ว่าฟันเสร็จแล้วค่อยทิ้ง ก็แปลว่าสันดานมันจะแสดงก็ต่อเมื่อมีอะไรกันแล้วเท่านั้น ถ้ายังไม่ได้มีอะไรกันมันก็ยังไม่ทิ้งหรอก ในกรณีที่ผู้หญิงบริสุทธิ์หลงแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ไป ก็จะเจอเหตุการณ์ว่า หลังจากฟันภรรยาในคืนวันแต่งงานแล้ว ก็เริ่มไปมีชู้มีเมียน้อยให้ผู้หญิงเสียใจและขอหย่าไปเอง หลังจากนั้นก็ไปเริ่มกระบวนการหลอกให้แต่งงานด้วย ฟัน เสร็จแล้วก็ทิ้งใหม่วนไปเรื่อยๆ ดังนั้นวิธีอยู่ก่อนแต่งก็เป็นวิธีกลั่นกรองชนิดนึง ก็คือถ้าเจอผู้ชายที่หลังจากมีอะไรกันแล้วก็ยังอยู่กับเรา ไม่ทิ้งไปไหนทั้งๆที่ไม่มีคำว่าแต่งงานมาผูกมัด แสดงว่าผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่ประเภทฟันแล้วทิ้งไงคะ และมันก็มีนิสัยอีกหลายอย่างที่ตอนมีเซ็กส์ ผู้ชายแสดงออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ อย่างประสบการณ์โดยตรงของเรา เราเป็นคนที่เกลียดการพูดคำหยาบมาก ทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนพูดคำหยาบ และเคยคบกับผู้ชายคนนึงที่ปกติก็พูดจาไพเราะ แต่ไม่รู้เป็นอะไร เวลามีเซ็กส์ก็จะหลุดพูดคำหยาบออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เวลาอื่นแม้แต่เวลาโกรธควบคุมได้หมด แค่ตอนมีเซ็กส์เท่านั้นที่ควบคุมไม่ได้ ตัวเค้าเองก็ยอมรับว่าไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน เหมือนเป็นสัญชาตญาณ ซึ่งข้อนี้เราก็คงไม่สามารถรู้ได้เลยถ้าเราไม่ได้ทดลองอยู่กับเค้าก่อน "คุณต้องการเซ็กซ์เพื่อความสุขของตัวเอง แต่ทว่าถ้ารูปร่างหน้าตาของคุณไม่สามารถให้ผู้ชายแข็งตัวได้ละ" คุณหลงประเด็นออกทะเลแล้วค่ะ ประเด็นที่เรากำลังพูดกันอยู่คือคู่ที่เค้าคบกันถึงขั้นตกลงกันมาทดลองอยู่กันแล้ว ถ้าอีกฝ่ายนึงรูปร่างหน้าตาแย่ถึงขนาดไม่สามารถทำให้แข็งตัวได้เลย เค้าคงไม่คบกันมาจนถึงขั้นเข้ามาอยู่ด้วยกันหรอกค่ะ และคุณพูดอย่างกับว่าคู่ที่อยู่ก่อนแต่งนั้นจะตัดสินกันที่รูปร่างหน้าตา พวกคุณที่จะแต่งก่อนก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก ลองให้คุณแต่งกับผู้หญิงบริสุทธิ์ที่บังเอิญเป็นคุณยายอายุ 70 คุณจะเอามั๊ยล่ะคะ คุณน่าจะชอบนะคะ รักษาความบริสุทธิ์มาได้นานขนาดนั้น น่านับถือมากเลย น่าจะเป้นคนดีมากๆด้วย คุณถามว่า 'คุณจะมีความสุขในเรื่องเซ็กซ์ได้ยังไง ก็ผู้ชายมันไม่มีอารมณ์' ได้สิคะ ไม่ต้องถึงกับไวเบรเตอร์หรอก แค่นิ้วเราเองก็มีประสิทธิภาพในการให้ความสุขกับเรามากกว่าผู้ชายบางคนที่เราเคยเจอมาเสียอีก ดังนั้นที่เราทดลองอยู่ก็เพื่อหาผู้ชายที่ให้ความสุขกับเราได้มากกว่านิ้วเราเอง ซึ่งตอนนี้เราก็หาผู้ชายคนนั้นเจอแล้ว "ผมได้ยินบ่อย ๆ กับคำพูดแบบนี้จากผู้หญิงประเภทของคุณ มันก็อาจจะมีจริงแต่ผมไม่เคยเจอ" ถ้าคุณไม่เคยเจอผู้หญิงซิงที่นิสัยไม่ดี ก็แปลว่าผู้หญิงซิงทุกคนที่คุณเคยเจอนิสัยดีกันหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็เท่ากับคุณเจอสิ่งที่คุณมองหาแล้ว แล้วทำไมคุณไม่เลือกเอาสักคนแล้วแต่งงานกับเธอล่ะคะ หรือคุณเจอแล้วก็เอามาฟันเล่นหมด? และในเมื่อคุณตัดสินว่าผู้หญิงไม่ซิงคือผู้หญิงไม่ดี ดังนั้นผู้หญิงดีๆหลายคนก็ต้องกลายมาเป็นผู้หญิงไม่ดีชั่วข้ามคืน ด้วยฝีมือของคุณเอง เพราะเมื่อคุณฟันเธอเสร็จ เธอก็ไม่ซิงแล้วไงคะ ถ้าแบบนั้นคุณก็เลวจริงค่ะ แล้วอย่ามาแก้ตัวนะว่าไม่เคยหลอกฟันผู้หญิงซิง เพราะประโยคต่อมาที่คุณเขียนก็คือ .... "ผู้หญิงซิงเวลาโดนเอาผมก็ ไม่ได้โง่ดูว่าเยื่อมันขาด เลือดออกหรือเปล่า แต่มีวิธีดูแบบอื่นอีกเยอะแยะ" คุณอาจจะหลอกฟันผู้หญิงมาเยอะ เลยมั่นใจในตัวเอง แต่ผู้ชายที่คิดแบบคุณนี่ล่ะ เป็นพวกที่ตกเป็นเหยื่อของเพื่อนเก่าเราที่ทำรีแพร์คนนั้น เธอไม่ได้โง่นะคะ (ถ้าโง่จะหลอกผู้ชายที่มีประสบการณ์สำเร็จไปตั้งหลายรายหรือ) นอกจากทำรีแพร์เธอยังเล่นละครเก่งอีกด้วย ตอนคบก็ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว ตอนจะโดนก็ทำเป็นกลัวจนตัวสั่น ทำเป็นอายและทำอะไรไม่เป็น แล้วก็แกล้งร้องว่าเจ็บเวลาโดน "สำหรับเรื่องผู้หญิงที่ชอบเซ็กซ์ แต่เก็บความซิงไว้ได้นั้น ........ มันไม่ใช่ของง่าย ๆ นะครับ ที่คนจะเอาชนะความรู้สึกและควบคุมเรื่องธรรมชาติแบบนี้ได้" นั่นคือคำตอบของเด็กผู้ชายค่ะ ที่พออายุถึงช่วงวัยรุ่น ก็จะมีความต้องการทางเพศแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่สำหรับผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิงปกติ เมื่อถึงวัยก็จะมีความต้องการทางเพศเหมือนกัน แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะยังไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองชอบเซ็กส์มากขนาดไหน หรือแม้แต่รสนิยมด้านเซ็กส์ของตัวเองเป็นแบบไหน จนกว่าจะได้ลองครั้งแรกแล้ว ก็คล้ายๆกับอาหารน่ะค่ะ สมมติธรรมชาติลิ้นคุณกำหนดว่าคุณจะต้องชอบรสชาติอาหารจานนึงอย่างบ้าคลั่ง แต่คุณก็คงยังไม่ได้รู้สึกอยากกินอาหารจานนั้นถึงขั้นควบคุมไม่ได้ ต้องกลับไปกินบ่อยๆ จนกระทั่งคุณได้ลองชิมมันก่อน ความชอบถึงจะถูกปลดปล่อยออกมา ก่อนหน้านั้นก็แค่เกิดความรู้สึกอยากกินอาหารบ้างเป็นบางเวลา ตามธรรมชาติมนุษย์ที่อยากกินอาหารเวลาหิว จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 23:38:00

ความคิดเห็นที่ 96 คห 91 คุณจะมีแฟนซิง จะถนอมไปขนาดไหนก็เรื่องของคุณ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ แต่ที่พวกเราไม่พอใจคือ ทำไม่ต้องมาเขียนเหวี่ยงใส่ผู้หญิงที่ไม่ซิงด้วย "รู้มั้ยครับสังคมวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ เละเทะแค่ไหนแล้ว เคยเห็นเด็ก มันโพสในเฟสบุ๊คอวดกันมั้ยครับ ว่ามีผัวมากี่คน ผมว่าเพราะพวกผู้ใหญ่หัวก้าวหน้าแบบเรปบนๆนี่แหละ มีส่วนทำให้สังคมมันยิ่งเละเทะแบบทุกวันนี้  หึๆๆ" นี่ไงคะ คุณเขียนแบบนี้ก็แสดงว่าคุณกำลังกล่าวหาว่าเด็กมันเอาอย่างผู้ใหญ่แบบเรา มันถึงได้เละเทะแบบนี้ แต่ขอโทษเถอะ ปัญหาที่มันเละเทะอยู่ทุกวันนี้ก็คือ เด็กที่ไม่มีวุฒิภาวะ ยังเรียนไม่จบ ยังไม่ทำงาน ดันไปอยู่กับแฟน ป้องกันไม่เป็น ท้อง แล้วก็ทำแท้ง แล้วเราทำแบบนั้นซะเมื่อไหร่ล่ะ เราไม่ได้อยู่ก่อนแต่งตอนวัยเรียน เรารอจนบรรลุนิติภาวะแล้ว รอจนทำงานแล้ว แล้วก็ป้องกันเป็น ไม่ได้ท้องก่อนแต่ง แล้วก็ไม่เคยทำแท้ง แล้วเราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีตรงไหนเนี่ย งงค่ะ ถ้าจะหาว่ามีเด็กรุ่นหลังเอาอย่างเรา ก็ต้องนับเฉพาะพวกที่ทำตามเราแบบครบสูตรสิคะ คือรอให้เรียนจบ ทำงานก่อน รับผิดชอบตัวเองได้ก่อน ค่อยมาอยู่กับแฟนที่รักกันก่อนแต่ง แล้วก็รู้จักป้องกันไม่ให้ท้อง ไม่เคยทำแท้ง ถ้าเด็กมันทำตามครบสูตรแบบนี้ ต่อให้ทำตามกันทั้งประเทศก็ไม่เห็นจะทำให้ประเทศเละเทะตรงไหนนี่คะ "แล้วกลับไปถามแฟนนะครับ ไม่สนความซิง จริงหรือ หรือพูดต่อหน้าแฟนให้สบายใจ ลองคุณเล่ากิจกรรมที่เคยทำกับแฟนเก่า ที่ไหน ยังไง มีความสุขมั้ย ให้คนปัจจุบันฟังได้มั้ยครับ เอาง่ายๆไม่ต้องลงลึก" คุณก็ลองไปเล่าประวัติคุณเองให้แฟนฟังสิคะ เธอจะรับได้มั๊ย ถ้ารับได้แสดงว่าคุณโชคดีมาาาาาากที่เจอผู้หญิงที่ยอมรับความไม่ยุติธรรมได้ ตัวเธอบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่คุณผ่านอะไรมาก็ไม่รู้ "ถ้าไม่สนจริงก็ต้องไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ต้องเล่าได้ แต่ส่วนใหญ่ทำไมไม่เล่าหละ หึๆๆ" เราอาจจะเป็นส่วนน้อยค่ะ แต่เราเล่าได้ เราเล่าประวัติทุกอย่างให้แฟนเราฟังตั้งแต่ก่อนคบกันอีก เพราะเราเป็นคนยุติธรรม เราไม่รู้สึกว่าประวัติที่ผ่านมาของเรามันเสียหายตรงไหนเลย แต่เราก็เล่าให้เค้าฟังก่อน เผื่อเค้าจะเป็นผู้ชายนิสัยเห็นแก่ตัว อยากได้แต่ผู้หญิงซิง เปิดโอกาสให้เค้าได้ตัดสินใจว่ารับได้มั๊ย แล้วเราก็โชคดีที่แฟนเรารับได้ คบกับเรา อยู่ด้วยกันมาหลายปี และเพิ่งขอเราแต่งงานไปเมื่อเร็วๆนี้ "ปล. เงินเดือน 6 หลักก็เอากลับมาไม่ได้ครับ ความซิง หึๆๆๆ" เอ่อ แล้วเราจะไปเอาความซิงกลับมาเพื่ออะไรล่ะคะ มันแสดงให้เห็นถึงระดับความรับรู้ของคุณจริงๆ เราพูดตั้งหลายครั้งแล้วว่าสำหรับเราและผู้หญิงอีกหลายคน ความซิงมันไม่ได้มีค่าอะไรเลย จะเงิน 6 หลัก หรือเงิน 1 บาท เราก็ไม่จ่ายเพื่อเอาความซิงกลับมาหรอกค่ะ จะเอากลับมาเพื่ออะไรเนี่ย เอากลับมาก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เห็นจะมีประโยชน์อย่างเดียวก็คือใช้ดึงดูดผู้ชายบ้าความบริสุทธิ์ ซึ่งผู้ชายแบบนั้นเราไม่อยากเข้าใกล้อยู่แล้ว ไม่อยากเอาผู้ชายทัศคติอย่างนั้นมาเป็นพ่อของลูกค่ะ ไม่อยากเอาผู้ชายที่มีระบบความคิดว่าชายเป็นใหญ่มาเป็นขยายพันธุ์ สู้เราเอาเงิน 6 หลักหรือ 1 บาทไปเก็บสะสมไว้ซื้อรถซื้อบ้านซื้อเสื้อผ้า ยังจะมีประโยชน์นำมาใช้ได้มากกว่าซื้อซิงกลับมาเสียอีก จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 00:14:41

ความคิดเห็นที่ 97 Foxy Little Angel #95 "มันก็เรื่องของคุณไงคะ คุณก็รีบไปหาสิ มามัวนั่งตอบกระทู้เถียงกับเราอยู่ทำไม" ผมเนี่ยมันแค่บัตรผ่านนะครับ ขนาดล๊อคอินพันทิพผมยังไม่สมัครเลย แสดงว่าผมนี่ไม่ค่อยมายุ่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ที่ผมตอบกระทู้เพราะผมเกลียดผู้หญิงที่ไม่ซิง แล้วพยายามยัดเยียดให้ผู้ชายรับว่าตัวเองดี เยื่อพรหมจรรย์เป็นแค่เยื่อบาง ๆ วัดคุณค่าคนอะไรไม่ได้ แล้วก็พยายามชักชวนให้ผู้หญิงที่เธอดีแล้วมาประพฤติแบบที่ตัวเองทำนี่แหละ "มีสิคะ สันดานประเภทที่ต้องนอนด้วยกันก่อนแล้วถึงจะรู้ สันดานฟันแล้วทิ้งไงคะ" " อย่างประสบการณ์โดยตรงของเรา เราเป็นคนที่เกลียดการพูดคำหยาบมาก" อย่าลืมไปเล่าเรื่องนี้ให้กับแฟนคนปัจจุบันฟังด้วยนะ แล้วอย่าลืมบอกเขาด้วยว่าเขาเป็นผัวคนที่เท่าไหร่ อย่าโกหกก็แล้วกัน " ถ้าอีกฝ่ายนึงรูปร่างหน้าตาแย่ถึงขนาดไม่สามารถทำให้แข็งตัวได้เลย เค้าคงไม่คบกันมาจนถึงขั้นเข้ามาอยู่ด้วยกันหรอกค่ะ" ผมไม่ได้หลงประเด็น ประเด็นที่ผมพูดถึงในความเห็นอื่นคือ "การเปลี่ยนแปลง" ซึ่งเกิดจากกาลเวลาไงครับ ผมยอมรับว่าปัจจุบันนี้คุณเข้ากับแฟนคุณได้ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณก็เหี่ยวแห้งแก่ไปเรื่อย ๆ มันไม่น่าดึงดูดแล้วทำให้แฟนคุณไม่มีอารมรณ์ จนในที่สุดนำไปสู่การหย่าร้างกันอย่างสถิติในอเมริกาที่คู่แต่งงานหย่าร้างถึง 50% แม้ว่าส่วนมากจะอยู่กับก่อนแต่ง "ดังนั้นที่เราทดลองอยู่ก็เพื่อหาผู้ชายที่ให้ความสุขกับเราได้มากกว่านิ้วเราเอง ซึ่งตอนนี้เราก็หาผู้ชายคนนั้นเจอแล้ว " ==> ของ ๆ คุณนี่นิ้วนี่ยังรู้สึกอยู่เหรอ นึกว่าไปไกลกว่านั้นเยอะแล้วเห็นผ่านชายมาก็หลายคน สำหรับเรื่องที่คุณห่วงว่าผมจะตกเป็นเหยื่อของผู้หญิงที่ทำรีแพร์แล้วมาหลอกว่าซิงนั้น ตามจริงแล้วคุณไม่ต้องห่วงนะ(มันไม่มีเหตผล) ......ผมไม่โง่ให้ผู้หญิงมาหลอกง่าย ๆ หรอกครับส่วนผมจะทำยังไงมันก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับคุณ ถึงผมจะถูกหลอกจริงคุณก็น่าจะสมน้ำหน้าผมมากกว่า .....ฉะนั้นโปรดอย่าห่วงผมเลย เรื่องที่ผู้หญิงเพิ่งรู้ว่าตัวเองชอบเซ็กซ์หลังจากที่ได้มีครั้งแรกนั้น มันเป็นไปได้ถ้าอยู่ในยุคสมัยก่อน ๆ แต่เดี๋ยวนี้สื่อมีเยอะแยะ ผู้หญิงที่ฝักใฝ่เรื่องเหล่านี้แค่เธอสามารถเสิร์ชอินเตอร์เน็ตเป็นเธอก็สามารถรู้อะไรเยอะแยะแล้ว ผู้หญิงปัจจุบันไม่ได้ถูกปกปิดความรู้สึกเรื่องเซ็กซ์เหมือนคนในสมัยโบราณ จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 06:34:53 A:223.205.101.245 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 98 เด็กเก็บศพ #92 ยังอารมณ์ค้างจากกระทู้เก่าเหรอ? ก็บอกให้ผัวจัดให้ซักดอกสองดอกซิครับ จะได้หายหงุดหงิด จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 06:44:27 A:223.205.101.245 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 99 โชติ #97 "ผมเนี่ยมันแค่บัตรผ่านนะครับ ขนาดล๊อคอินพันทิพผมยังไม่สมัครเลย แสดงว่าผมนี่ไม่ค่อยมายุ่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ผมตอบกระทู้เพราะผมเกลียดผู้หญิงที่ไม่ซิง แล้วพยายามยัดเยียดให้ผู้ชายรับว่าตัวเองดี เยื่อพรหมจรรย์เป็นแค่เยื่อบาง ๆ วัดคุณค่าคนอะไรไม่ได้ แล้วก็พยายามชักชวนให้ผู้หญิงที่เธอดีแล้วมาประพฤติแบบที่ตัวเองทำนี่แหละ" ขนาดแค่บัตรผ่านยังมาตามตอบซะขนาดนี้ บางคนที่เค้ามีล็อกอินเค้ายังไม่ตามติดมากแบบคุณเลย แถมตามตอบกระทู้แนวนี้ซะด้วย แล้วเรายัดเยียดให้ผู้ชายอย่างคุณซะเมื่อไหร่ล่ะ ผู้ชายที่เค้าคิดว่าเราดี เช่นแฟนเรา เค้าคิดได้เองโดยที่เราไม่ต้องไปนั่งยัดเยียดความคิดให้เค้าด้วยซ้ำ แล้วถ้าคุณจะมองว่าเราพยายามชักชวนผู้หญิงที่ดีให้มาประพฤติแบบที่คุณคิดว่าไม่ดี งั้นคุณก็แย่กว่าเราเสียอีกที่ฟันผู้หญิงดีๆพวกนี้เล่น ทำให้พวกเค้ากลายเป็นผู้หญิงไม่ดี(ในสายตาคุณ)ภายในชั่วข้ามคืน อย่างน้อยสิ่งที่เราทำก็คือ บอกให้ผู้หญิงพวกนี้รู้ว่า ถึงถูกคุณหลอกฟันไปแล้วก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะคุณค่าของพวกเธอไม่ได้ลดลง และยังมีผู้ชายอีกหลายล้านคนในโลกที่จะยอมรับพวกเธอได้ "อย่าลืมไปเล่าเรื่องนี้ให้กับแฟนคนปัจจุบันฟังด้วยนะ แล้วอย่าลืมบอกเขาด้วยว่าเขาเป็นผัวคนที่เท่าไหร่ อย่าโกหกก็แล้วกัน" ไม่ต้องห่วงค่ะ บอกไปแล้วตั้งแต่ก่อนคบกันซะอีก บอกประวัติทุกอย่างเลยด้วย เราเป็นคนตรงไปตรงมาค่ะ กล้าทำก็กล้ารับ เพราะสิ่งที่เราทำเราไม่ได้มองว่ามันเสียหายเลย แล้วแฟนก็รับได้ ขอเราเป็นแฟน คบกันมา อยู่ด้วยกันมา จนตอนนี้ขอเราแต่งงานแล้ว คงจะเหลือเชื่อสำหรับคุณใช่มั๊ยคะ ว่าผู้ชายดีๆแบบนี้ก็มีอยู่ในโลก "ประเด็นที่ผมพูดถึงในความเห็นอื่นคือ "การเปลี่ยนแปลง" ซึ่งเกิดจากกาลเวลาไงครับ ผมยอมรับว่าปัจจุบันนี้คุณเข้ากับแฟนคุณได้ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณก็เหี่ยวแห้งแก่ไปเรื่อย ๆ มันไม่น่าดึงดูดแล้วทำให้แฟนคุณไม่มีอารมรณ์ จนในที่สุดนำไปสู่การหย่าร้างกันอย่างสถิติในอเมริกาที่คู่แต่งงานหย่าร้างถึง 50% แม้ว่าส่วนมากจะอยู่กับก่อนแต่ง" แต่เรากับแฟนไม่ได้รักกันที่เซ็กส์อย่างเดียวไงคะ จุดประสงค์ที่มาทดลองอยู่ด้วยกัน นอกจากศึกษาด้านเซ็กส์แล้วก็ยังศึกษานิสัยด้านอื่นๆอีกด้วย เช่นชอบถอดกางเกงไว้กับพื้นรึเปล่า เป็นคนสกปรกเลอะเทอะ ขี้เกียจช่วยงานบ้านหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นอย่างที่คุณว่า คือธรรมชาติแก่ตัวไปแล้วไม่น่าดึงดูดสำหรับแฟนซึ่งนำไปสู่การหย่าร้าง แบบนี้ถึงจะแต่งก่อนอยู่ก็ต้องหย่าอยู่ดี เพราะคนแต่งก่อนอยู่ก็ต้องแก่ลง สามีก็เบื่อได้เหมือนกัน แล้วก็ไม่ต้องเอาสถิติ 50% ของอเมริกามาอ้างหรอกค่ะ เพราะมันเทียบกันไม่ได้ เนื่องจากมุมมองต่อการหย่าของประเทศไทยกับอเมริกามันไม่เหมือนกัน คนไทยมองการหย่าเป็นเรื่องไม่ดี ทำให้หลายๆคู่ทนอยู่กันไปทั้งที่ใจจริงอยากจะหย่าแทบตาย ลองให้คนไทยมองการหย่าเป็นเรื่องปกติแบบอเมริกาสิ รับรองสถิติการหย่าเราสูงกว่าเค้าแน่นอน คุณกล้ารับรองมั๊ยล่ะ ว่าในเมืองไทย ณ ขณะนี้ คู่แต่งงานทุกคู่ที่ไม่ได้หย่ากัน อยู่กันอย่างมีความสุขทุกคู่ ไม่มีคู่ไหนเลยที่ทนอยู่อย่างไม่มีความสุขเพราะกลัวเสียหน้าเวลาหย่า "ของ ๆ คุณนี่นิ้วนี่ยังรู้สึกอยู่เหรอ นึกว่าไปไกลกว่านั้นเยอะแล้วเห็นผ่านชายมาก็หลายคน" ก็ไม่มากเท่าโส เภ ณี หรอกค่ะ เพราะเราแค่มีอะไรกับคนที่เราคบจริงจังเป็นแฟน ไม่ได้มั่วนอนกับใครก็ได้ แล้วท่าทางคุณจะตกวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษานะคะ ของผู้หญิงน่ะ มันไม่หลวมง่ายๆขนาดนั้นหรอกค่ะ ลองคิดดู ผู้หญิงที่คลอดลูกออกมาทั้งคนแล้ว ช่องคลอดเคยขยายไปขนาดนั้น แต่ขนาดก็ยังหดกลับมาให้ความสุขกับสามีจนผลิตลูกคนที่ 2,3,4,5,6 ออกมาได้ก็แล้วกัน ยิ่งถ้าผู้หญิงฝึกขมิบบ่อยๆ ต่อให้ผ่านมามากมันก็ไม่หลวมหรอกค่ะ แฟนเราเคยบอกนะว่าผู้หญิงที่ผ่านมาเยอะบางคนที่ฝึกขมิบเก่งๆ เวลาทำยังรู้สึกว่าแน่นกว่าผู้หญิงซิงซะอีก แล้วถ้าเป็นอย่างที่คุณคิด คือผ่านมามากแล้วจะหลวม อย่างนี้ผู้ชายที่ไหนเค้าจะไปซื้อบริการคุณโสกันล่ะคะ ผ่านมามากอย่างคุณโสก็น่าจะหลวมโครกจนใช้ไม่ได้แล้วนี่นา "แต่เดี๋ยวนี้สื่อมีเยอะแยะ ผู้หญิงที่ฝักใฝ่เรื่องเหล่านี้แค่เธอสามารถเสิร์ชอินเตอร์เน็ตเป็นเธอก็สามารถรู้อะไรเยอะแยะแล้ว" ตลกนะ คุณพูดขัดแย้งกันเองกับพวกคนที่มีความคิดแบบคุณ เราเพิ่งเถียงกับผู้หญิงคนนึงในกระทู้ก่อนนี้ ซึ่งเป็นพวกไม่ยอมใช้ล็อกอินเหมือนคุณ และเป็นพวกเกลียดผู้หญิงไม่ซิง ยืนยันตลอดว่าผู้หญิงซิงมีค่าสูงส่ง แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับบอกเราว่า การสอนเพศศึกษาให้ผู้หญิงเป็นการชี้โพรงให้กระรอก เพราะถ้าไม่สอนผู้หญิงก็ไม่มีทางรู้ เนื่องจากว่าสื่อที่เกี่ยวกับเรื่องเพศส่วนใหญ่จะถูกแบนในเมืองไทย เว็บต่างๆก็โดนบล็อค ไม่ได้เข้าถึงกันง่ายๆซะหน่อย เอ้า พวกเดียวกันแต่พูดตรงข้ามกันแบบนี้ ไปตกลงกันให้ดีก่อนนะคะ เอาไงแน่ ตกลงสื่อเรื่องเพศมันเข้าถึงง่ายหรือว่าเข้าถึงยาก "ผู้หญิงปัจจุบันไม่ได้ถูกปกปิดความรู้สึกเรื่องเซ็กซ์เหมือนคนในสมัยโบราณ" อันนี้ยิ่งตลก ในประโยคเดียวนี่คุณพูดตรงข้ามกับทุกอย่างที่คุณเคยพูดมาเลยนะ คุณยืนยันว่าผู้ชายยังต้องการจะขู่จะบีบบังคับให้ผู้หญิงบริสุทธิ์จนวันแต่งงาน ก็นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ชักนำให้ผู้หญิงปกปิดความรู้สึกเรื่องเซ็กส์ โดยการเอาประเพณีของคนในสมัยโบราณมาอ้าง ถ้าผู้หญิงไทยปัจจุบันไม่ได้ถูกปกปิดความรู้สึกทางเพศจริง มันก็จะต้องไม่มีคนอย่างคุณที่ออกมาเรียกร้องไม่ให้ผู้หญิงไทยมีเซ็กส์ก่อนจะแต่งงาน จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 07:33:37

ความคิดเห็นที่ 100 #98 โหยยย ดูๆแน่ะดู คำพูดคำจานี่ก็ส่อสันเลยนะเนี่ย เหอะๆ คุณ Foxy พอเถอะค่ะ อย่าไปต่อปากต่อคำกับคนแบบนั้นเลย จากคุณ : เทเลทับขี้ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 14:26:56

ความคิดเห็นที่ 101 แอบรู้สึกเหมือนคุณเทเลฯ ว่าอีกฝ่ายล่อเป้าเข้าแล้วละครับ มาแสดงความเห็นง่ายๆ 1. ผมรับได้ ไม่ได้บ้าตามฝรั่ง แต่เห็นผู้หญิงเป็นคน ไม่ใช่สิ่งของ คนมีสิทธิ์ตัดสินใจเอง มีความสุขในแบบของตัวเอง แต่ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินเรื่องของชาวบ้าน จบ 2. วัฒนธรรม มันมีรากเหง้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ชื่อมันก็บอกว่ามันต้องพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หากยึดติดกับรากเดิมๆ ไม่ให้มันงอกงามรับแสง แผ่ขยายออกไป หมักไว้อย่างนั้นรากจะเน่าในที่สุด ฟิ้วววว จากคุณ : คมลิขิต เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 19:41:35

ความคิดเห็นที่ 102 Foxy Little Angel #99 "แล้วเรายัดเยียดให้ผู้ชายอย่างคุณซะเมื่อไหร่ล่ะ ผู้ชายที่เค้าคิดว่าเราดี เช่นแฟนเรา เค้าคิดได้เอง โดยที่เราไม่ต้องไปนั่งยัดเยียดความคิดให้เค้าด้วยซ้ำ" สายตาเธอ "แต่เรากับแฟนไม่ได้รักกันที่เซ็กส์อย่างเดียวไงคะ" ==>แต่ที่ผมเห็น ๆ คุณตอบกระทู้ด้าน ๆ บนนั้น ไม่ว่าจะตอบกับคนอื่นหรือตอบกับผม มันมีแต่เรื่อง เซ็กซ์ครับ ไอ้แค่เรื่องถอดกางเกง สกปรกเลอะเทอะ ไม่ช่วยงานบ้าน มันไม่ต้องมีเซ็กซ์ด้วยกัน มันก็ รู้ได้ แล้วคุณก็ไม่เคยเน้นประเด็นเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการไปอยู่กับผู้ชายก่อนแต่งในความเห็น ก่อน ๆ ด้วย ผมเพิ่งจะมาเห็นขายผ้าเอาหน้ารอดในความเห็นนี้แหละ ถ้าเรื่องนี้มันเป็นประเด็นสำคัญ คุณก็พูดถึงมาตั้งแต่แรกแล้ว "แบบนี้ถึงจะแต่งก่อนอยู่ก็ต้องหย่าอยู่ดี เพราะคนแต่งก่อนอยู่ก็ต้องแก่ลง สามีก็เบื่อได้เหมือนกัน" ==>เรื่องการแก่นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่คนที่แต่งก่อนอยู่นั้นเขาไม่ถือว่าเซ็กซ์เป็นปัจจัยหลักในการ ครองคู่กันเช่นเดียวกันกับคนที่มีทัศนคติอยู่ก่อนแต่ง พวกที่ไปอยู่ก่อนแต่งนั้นเหตุหลักเลยก็คือ ต้อง การรู้ว่าเซ็กซ์เข้ากันได้หรือไม่ ..... พวกนี้มันเป็นพวกบ้าเซ็กซ์ ถ้าผู้หญิงเหี่ยวหด มันก็ไปหาใหม่เท่า นั้น แต่พวกที่แต่งก่อนอยู่นั้นเรื่องเซ็กซ์นั้นมันก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักอยู่แล้ว จะเหี่ยวแห้งไปเขาก็รักกันที่ อย่างอื่นครับ "แล้วก็ไม่ต้องเอาสถิติ 50% ของอเมริกามาอ้างหรอกค่ะ เพราะมันเทียบกันไม่ได้" ==>ที่ผมเอาสถิติของอเมริกามาพูดถึงนี้ เพราะต้องการให้พวกที่ชอบเอาอย่างฝรั่ง อะไรที่ฝรั่งทำ แล้วมันดีไปหมด ทันสมัย เห็นโลกกว้าง ไม่โบราณไดโนเสาร์เต่าล้านปีเหมือนพวกแต่งก่อนอยู่ เป็น ต้น ต้องการให้พวกเห็นตดฝรั่งหอมนั้นได้เห็นว่า มันดีจริง ๆ อย่างที่เขาคิดหรือเปล่า? แล้วเรื่องการหย่าของคนไทยนั้นมันก็ไม่มีทางสูงแบบอเมริกาอยู่แล้ว เพราะอเมริกาเป็นประเทศ ทุนนิยมและให้ความสำคัญเรื่องลัทธิปัจเจกบุคคลเป็นอย่างสูง ไม่มีระบบเคารพอาวุโส ลูกไม่เคารพ พ่อแม่เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าทุกคนเท่ากัน ไม่มีครอบครัวใหญ่ ต่างคนต่างอยู่ มันไม่เหมือน คนไทยที่ระบบครอบครัวใหญ่นั้นยังสำคัญ คนที่ไม่อยากหย่าส่วนมากก็ห่วงเรื่องลูก มันไม่ใช่หย่า ไม่ได้ แล้วมันก็ไม่มีทางที่คนไทยเห็นการหย่าเป็นเรื่องปกติไปได้ ตราบใดที่สังคมไทยยังเป็นสังคม แบบครอบครัวใหญ่อย่างนี้ "ยิ่งถ้าผู้หญิงฝึกขมิบบ่อยๆ ต่อให้ผ่านมามากมันก็ไม่หลวมหรอกค่ะ.แฟนเราเคยบอกนะว่าผู้หญิงที่ ผ่านมาเยอะบางคนที่ฝึกขมิบเก่งๆ เวลาทำยังรู้สึกว่าแน่นกว่าผู้หญิงซิงซะอีก" ==>บอกให้แฟนไปสาบานด้วยว่าพูดจริง แล้วเอาจริง ๆ มันมีผู้หญิงน้อยมาก ๆ ที่ทำเรื่องนี้ได้เพราะ มันต้องมีวินัยอย่างสูง ผมอ่านสวนลุมมาหลายปีมีผู้หญิงมาบ่นเรื่องหลวมนับไม่ถ้วน แล้วถูกแนะนำให้ ฝึกขมิบจากกูรูทั้งหลาย แต่ไม่เคยผู้หญิงคนไหนมีวินัยฝึกจนสำเร็จแล้วกลับมาบอกว่าตัวเองทำได้เลย ซักคน เรื่องฝึกขมิบเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากครับ เอ่อ แล้วเรื่องที่ผู้หญิงคนอื่นบอกว่าการสอนเพศศึกษาเป็นการชี้โพรงให้กระรอกนั้น มันเป็นความคิด เห็นส่วนตัวของเธอ ผมไม่ทราบว่าเป็นกระทู้ไหน ใครเป็นคนพูด แล้วผมไม่เคยรุ้จัก ฉะนั้นมันจะให้ ผมไปตกลงกับเธอได้ยังไง ที่ผมพูดนี่ผมพูดกลาง ๆ เพราะสื่ออินเตอร์เน็ตใครก็สามารถรับรู้เรื่องนี้ได้ แล้วบรรดาเว็บพวกนี้มันถูกบล๊อคตรงไหนครับ ผมไม่ทราบว่าผู้หญิงคนนั้นใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มา ที่ไหน บางบ้านนั้นผู้ปกครองเขาอาจมีโปรแกรมบล๊อค แต่ปกติเว็บพวกนี้ไม่ถุกบล๊อค ==>ที่ผมจะบอก คุณคือว่าผมไม่เคยอ่านกระทู้นี้น เลยไม่รุ้ว่าเป็นใครเขียน แล้วผมไม่มีช่องทางอะไรที่จะติดต่อกับผู้ หญิงคนนี้เพราะผมไม่ได้เป็นสมาชิก ผมจะขู่บังคับผุ้หญิงให้ทำตัวบริสุทธิ์ได้ยังไงครับ ยกตัวอย่างเช่นคุณ ๆ มีผัวมาแล้วกี่คน แล้วผมไป มีอำนาจอะไรไปบังคับคุณได้เพราะคุณเป็นพวกเสี้ยนจัด ต้องการทางเพศสูงคุณก็มีสิทธิทำตามใจคุณ ได้ ผมแสดงความเห็นไว้ตั้งแต่ความเห็นแรกแล้วว่าใครจะไปอยู่ก่อนแต่งกับผู้ชายก็เป็นสิทธิของคุณ ผมทำอะไรคุณไม่ได้ ขนาดพ่อแม่ผู้หญิงเองยังพูดไม่ได้เลย สิ่งที่ผมทำได้นั้นคือ ผมไม่เอาผู้หญิงแบบ นี้มาเป็นเมียเท่านั้น จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 20:33:35 A:171.5.128.191 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 103 เทเลทับขี้ #100 ผมรุ้จักคุณมานานแล้วหละ แต่คุณไม่พาดพิงถึงผม ๆ ก็ไม่พูดถึงคุณ แต่เมื่อคุณพูดถึงผมแล้ว ผมก็ขอพูดถึงคุณหน่อยว่า ผมนับจำนวนนิ้วมือกับนิ้วเท้าของผมแล้ว ไม่รุ้ว่าจะพอกับจำนวนของผัวของคุณหรือเปล่า เพราะมันเยอะจริง ๆ ทั้งไทยและต่างชาติ จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 20:39:17 A:171.5.128.191 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 104 Post ความคิดเห็นที่ 102 ใหม่ เพราะอ่านไม่รู้เรื่อง ======================================================= Foxy Little Angel #99 "แล้วเรายัดเยียดให้ผู้ชายอย่างคุณซะเมื่อไหร่ล่ะ ผู้ชายที่เค้าคิดว่าเราดี เช่นแฟนเรา เค้าคิด ได้เองโดยที่เราไม่ต้องไปนั่งยัดเยียดความคิดให้เค้าด้วยซ้ำ" ==>กระทู้นี้ผมแสดงความเห็นกลาง ๆ และไม่ได้พาดพิงอะไรถึงคุณเลย ขนาดคุณแสดง ความเห็นที่ 43 ซึ่งพาดพิงถึงผม ผมก็ยังไม่ตอบเพราะผมขี้เกียจตอบคุณ แล้วผมเองก็ไม่ ได้ไปเหวี่ยงไปฟัดกับคนโน้นคนนี้ไปทั่วเหมือนอย่างที่คุณทำด้วย ผมตอบเพียงคนที่พาด พิงถึงผมเท่านั้น แต่คุณนี่มันเหวี่ยงไปทั่วไปหมด ใครเห็นไม่เหมือนคุณ ๆ เหวี่ยงไปหมด จะพยายามให้คนอื่นคิดเหมือนตัวเองให้ได้ อ้อ แล้วความคิดเห็นที่43 ของคุณนั้นคุณพยา ยามยัดเยียดความคิดของคุณให้ผมแล้ว แต่ผมขี้เกียจตอบเพราะผมถือว่าคุณก็มีสิทธิที่จะ คิดอย่างนี้แล้วผมก็รู้อยู่แล้วว่าคุณคิดอย่างนี้ ส่วนการที่แฟนคุณคิดอย่างที่คุณคิดมันก็เป็น เรื่องของแฟนคุณไม่เกี่ยวกับผม แล้วผมบอกคุณอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงที่มามีอะไรกับผมเธอสมัครใจของเธอเองครับ ผม ไม่ได้ข่มขืน คุณก็รู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นฝ่ายเชิญชวนผมเอง แล้วผมก็ไม่อยากเป็นควายในสาย ตาเธอ "แต่เรากับแฟนไม่ได้รักกันที่เซ็กส์อย่างเดียวไงคะ" ==>แต่ที่ผมเห็น ๆ คุณตอบกระทู้ด้าน ๆ บนนั้น ไม่ว่าจะตอบกับคนอื่นหรือตอบกับผม มันมีแต่เรื่องเซ็กซ์ครับ ไอ้แค่เรื่องถอดกางเกง สกปรกเลอะเทอะ ไม่ช่วยงานบ้าน มันไม่ ต้องมีเซ็กซ์ด้วยกัน มันก็รู้ได้ แล้วคุณก็ไม่เคยเน้นประเด็นเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการ ไปอยู่กับผู้ชายก่อนแต่งในความเห็นก่อน ๆ ด้วย ผมเพิ่งจะมาเห็นขายผ้าเอาหน้ารอดใน ความเห็นนี้แหละ ถ้าเรื่องนี้มันเป็นประเด็นสำคัญคุณก็พูดถึงมาตั้งแต่แรกแล้ว "แบบนี้ถึงจะแต่งก่อนอยู่ก็ต้องหย่าอยู่ดี เพราะคนแต่งก่อนอยู่ก็ต้องแก่ลง สามีก็เบื่อได้ เหมือนกัน" ==>เรื่องการแก่นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่คนที่แต่งก่อนอยู่นั้นเขาไม่ถือว่าเซ็กซ์เป็นปัจจัย หลักในการครองคู่กันเช่นเดียวกันกับคนที่มีทัศนคติอยู่ก่อนแต่ง พวกที่ไปอยู่ก่อนแต่งนั้น เหตุหลักเลยก็คือ ต้องการรู้ว่าเซ็กซ์เข้ากันได้หรือไม่ ..... พวกนี้มันเป็นพวกบ้าเซ็กซ์ ถ้าผู้ หญิงเหี่ยวหด มันก็ไปหาใหม่เท่านั้น แต่พวกที่แต่งก่อนอยู่นั้นเรื่องเซ็กซ์นั้นมันก็ไม่ใช่ ปัจจัยหลักอยู่แล้ว จะเหี่ยวแห้งไปเขาก็รักกันที่อย่างอื่นครับ "แล้วก็ไม่ต้องเอาสถิติ 50% ของอเมริกามาอ้างหรอกค่ะ เพราะมันเทียบกันไม่ได้" ==>ที่ผมเอาสถิติของอเมริกามาพูดถึงนี้ เพราะต้องการให้พวกที่ชอบเอาอย่างฝรั่ง อะไรที่ฝรั่งทำแล้วมันดีไปหมด ทันสมัย เห็นโลกกว้าง ไม่โบราณไดโนเสาร์เต่าล้านปี เหมือนพวกแต่งก่อนอยู่ เป็นต้น ต้องการให้พวกเห็นตดฝรั่งหอมนั้นได้เห็นว่า มันดี จริง ๆ อย่างที่เขาคิดหรือเปล่า? แล้วเรื่องการหย่าของคนไทยนั้นมันก็ไม่มีทางสูงแบบอเมริกาอยู่แล้ว เพราะอเมริกา เป็นประเทศทุนนิยมและให้ความสำคัญเรื่องลัทธิปัจเจกบุคคลเป็นอย่างสูง ไม่มีระบบ เคารพอาวุโส ลูกไม่เคารพพ่อแม่เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าทุกคนเท่ากัน ไม่มีครอบ ครัวใหญ่ ต่างคนต่างอยู่ มันไม่เหมือนคนไทยที่ระบบครอบครัวใหญ่นั้นยังสำคัญ คน ที่ไม่อยากหย่าส่วนมากก็ห่วงเรื่องลูก มันไม่ใช่หย่าไม่ได้ แล้วมันก็ไม่มีทางที่คนไทย เห็นการหย่าเป็นเรื่องปกติไปได้ ตราบใดที่สังคมไทยยังเป็นสังคมแบบครอบครัวใหญ่ อย่างนี้ "ยิ่งถ้าผู้หญิงฝึกขมิบบ่อยๆ ต่อให้ผ่านมามากมันก็ไม่หลวมหรอกค่ะ.แฟนเราเคยบอก นะว่าผู้หญิงที่ผ่านมาเยอะบางคนที่ฝึกขมิบเก่งๆ เวลาทำยังรู้สึกว่าแน่นกว่าผู้หญิงซิง ซะอีก" ==>บอกให้แฟนไปสาบานด้วยว่าพูดจริง แล้วเอาจริง ๆ มันมีผู้หญิงน้อยมาก ๆ ที่ทำ เรื่องนี้ได้เพราะมันต้องมีวินัยอย่างสูง ผมอ่านสวนลุมมาหลายปีมีผู้หญิงมาบ่นเรื่อง หลวมนับไม่ถ้วน แล้วถูกแนะนำให้ฝึกขมิบจากกูรูทั้งหลาย แต่ไม่เคยผู้หญิงคนไหนมี วินัยฝึกจนสำเร็จแล้วกลับมาบอกว่าตัวเองทำได้เลยซักคน เรื่องฝึกขมิบเป็นเรื่องที่พูด ง่ายแต่ทำยากครับ เอ่อ แล้วเรื่องที่ผู้หญิงคนอื่นบอกว่าการสอนเพศศึกษาเป็นการชี้โพรงให้กระรอกนั้น มันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเธอ ผมไม่ทราบว่าเป็นกระทู้ไหน ใครเป็นคนพูด แล้ว ผมไม่เคยรุ้จัก ฉะนั้นมันจะให้ผมไปตกลงกับเธอได้ยังไง ที่ผมพูดนี่ผมพูดกลาง ๆ เพราะสื่ออินเตอร์เน็ตใครก็สามารถรับรู้เรื่องนี้ได้แล้วบรรดาเว็บพวกนี้มันถูกบล๊อค ตรงไหนครับ ผมไม่ทราบว่าผู้หญิงคนนั้นใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มาที่ไหน บางบ้าน นั้นผู้ปกครองเขาอาจมีโปรแกรมบล๊อค แต่ปกติเว็บพวกนี้ไม่ถุกบล๊อค ==>ที่ผมจะ บอกคุณคือว่าผมไม่เคยอ่านกระทู้นี้น เลยไม่รุ้ว่าเป็นใครเขียน แล้วผมไม่มีช่องทาง อะไรที่จะติดต่อกับผู้หญิงคนนี้เพราะผมไม่ได้เป็นสมาชิก ผมจะขู่บังคับผุ้หญิงให้ทำตัวบริสุทธิ์ได้ยังไงครับ ยกตัวอย่างเช่นคุณ ๆ มีผัวมาแล้ว กี่คน แล้วผมไปมีอำนาจอะไรไปบังคับคุณได้เพราะคุณเป็นพวกเสี้ยนจัด ต้องการ ทางเพศสูงคุณก็มีสิทธิทำตามใจคุณได้ ผมแสดงความเห็นไว้ตั้งแต่ความเห็นแรก แล้วว่าใครจะไปอยู่ก่อนแต่งกับผู้ชายก็เป็นสิทธิของคุณผมทำอะไรคุณไม่ได้ ขนาด พ่อแม่ผู้หญิงเองยังพูดไม่ได้เลย สิ่งที่ผมทำได้นั้นคือ ผมไม่เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็น เมียเท่านั้น จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 20:54:03 A:171.5.128.191 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 105 โชติ #102 "สายตาเธอ" ก็แน่นอนว่าสายตาเราที่มองการกระทำของแฟนเราต้องดีกว่าคุณแน่นอน เพราะคุณไม่เคยพบเจอหรือแม้แต่รู้จักกับแฟนเราเลย "ถ้าเรื่องนี้มันเป็นประเด็นสำคัญ คุณก็พูดถึงมาตั้งแต่แรกแล้ว" ที่ไม่ได้พูดเพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีผู้อ่านที่ระดับสติปัญญาต่ำอย่างคุณ ใครๆก็รู้ว่าถ้าให้คนสองคนมามีเซ็กส์และใช้ชีวิตกินนอน ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันเกือบทุกอย่างในบ้านเดียวกันเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี คนสองคนนั้นก็ต้องรู้จักนิสัยของกันและกันในหลายๆเรื่องนอกจากเรื่องเซ็กส์อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอยู่ในบ้านเดียวกันใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้วจะรู้จักกันแค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว หรือว่าคนในบ้านคุณเป็นประเภทเจอหน้ากันก็เอากันอย่างเดียว ไม่พูดคุยทำกิจกรรมอย่างอื่นร่วมกันเลย คุณถึงได้ไม่รู้ในข้อนี้? เอาง่ายๆเลย จะเทียบให้ดู แต่งก่อนอยู่ = รู้แค่นิสัยต่างๆที่แสดงออกมาเวลาอยู่นอกบ้าน อยู่ก่อนแต่ง = รู้นิสัยต่างๆที่แสดงออกมาระหว่างอยู่นอกบ้าน ในบ้าน และบนเตียง ชัดมั๊ยคะ อยู่ก่อนแต่งมันทำให้รู้นิสัยหลากหลายมากกว่าแต่งก่อนอยู่ค่ะ ก่อนจะแต่งงานกับใคร เราขอทำความรู้จักให้ละเอียดในทุกๆด้าน ดีกว่ารู้จักแค่ด้านเดียวค่ะ "แต่คนที่แต่งก่อนอยู่นั้นเขาไม่ถือว่าเซ็กซ์เป็นปัจจัยหลักในการ ครองคู่กันเช่นเดียวกันกับคนที่มีทัศนคติอยู่ก่อนแต่ง พวกที่ไปอยู่ก่อนแต่งนั้นเหตุหลักเลยก็คือ ต้อง การรู้ว่าเซ็กซ์เข้ากันได้หรือไม่ ..... พวกนี้มันเป็นพวกบ้าเซ็กซ์ ถ้าผู้หญิงเหี่ยวหด มันก็ไปหาใหม่เท่า นั้น แต่พวกที่แต่งก่อนอยู่นั้นเรื่องเซ็กซ์นั้นมันก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักอยู่แล้ว จะเหี่ยวแห้งไปเขาก็รักกันที่ อย่างอื่นครับ" ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆ งั้นอธิบายมาหน่อยว่าทำไมถึงมีพวกที่แต่งก่อนอยู่ ผู้หญิงแก่ตัวไปแล้วสามีไปมีชู้? ตัวอย่างที่มีให้เห็นชัดๆคือรุ่นแม่และรุ่นยายเราเอง แต่งก่อนอยู่กันทั้งสองรุ่น แต่สามีก็เบื่อแล้วไปมีชู้ทั้งสองรุ่น ในขณะเดียวกันก็ช่วยอธิบายด้วยว่าทำไมถึงมีหลายคู่ที่อยู่ก่อนแต่งแล้วรักกัน ไม่นอกใจกันไปจนแก่ตาย? ตัวอย่างก็มี ในครอบครัวอีกเหมือนกัน พี่สาวของยายเราอยู่ก่อนแต่ง แต่พอแต่งงานไปก็อยู่ด้วยกัน รักกันไปจนแก่ตาย "ที่ผมเอาสถิติของอเมริกามาพูดถึงนี้ เพราะต้องการให้พวกที่ชอบเอาอย่างฝรั่ง อะไรที่ฝรั่งทำ แล้วมันดีไปหมด ทันสมัย เห็นโลกกว้าง" มันไม่มีประเทศไหนที่มันดีไปหมดทุกอย่างหรอก ทุกประเทศก็มีข้อเสีย แต่คุณจะปฎิเสธมั๊ยว่า โดยภาพรวม ประเทศอเมริกาเจริญกว่าประเทศเราหลายขุม หรือไม่ต้องถามคุณคนเดียวก็ได้ ถามคนส่วนใหญ่ในโลก ว่าในสายตาชาวโลกเค้ามองว่าประเทศไหนเจริญกว่ากัน? และคุณมองว่าทัศนคติแบบฝรั่งมันไม่ดี เนื่องจากว่ามันเป็นทัศนคติแนวที่ให้ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน ผู้ชายอย่างคุณที่นิยมการกดขี่ผู้หญิงก็ย่อมไม่ชอบทัศนคติแบบนั้นอยู่แล้ว และชอบให้นิยมทัศนคติแบบไทยสมัยก่อนที่นิยมกดขี่ผู้หญิงและผู้ชายทำอะไรก็ไม่ผิด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงชอบ เพราะผู้ชายอย่างคุณได้เปรียบไง ทำตัวนิสัยอย่างนี้ ชาติหน้าระวังได้เกิดเป็นผู้หญิงในประเทศที่มีรสนิยมกดขี่ผู้หญิงนะคะ "ไม่เหมือนคนไทยที่ระบบครอบครัวใหญ่นั้นยังสำคัญ คนที่ไม่อยากหย่าส่วนมากก็ห่วงเรื่องลูก มันไม่ใช่หย่า ไม่ได้ แล้วมันก็ไม่มีทางที่คนไทยเห็นการหย่าเป็นเรื่องปกติไปได้ ตราบใดที่สังคมไทยยังเป็นสังคม แบบครอบครัวใหญ่อย่างนี้" ถ้าคุณหรือใครจะเลือกทนอยู่ในชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุขก็ตามใจคุณ ชีวิตคุณเอง อยากอยู่แบบหน้าชื่นอกตรมก็เรื่องของคุณ แต่เราไม่เอาด้วยล่ะ ชีวิตของเราเอง ถ้าแต่งงานไปแล้วไม่มีความสุขก็ขอหย่าดีกว่าทน จะว่าทนเพื่อลูกก็ไม่ใช่ ถ้าพ่อมันเลวมาก เราก็เลี้ยงเองดีกกว่าจะพึ่งพาพ่อมัน "ผมอ่านสวนลุมมาหลายปีมีผู้หญิงมาบ่นเรื่องหลวมนับไม่ถ้วน แล้วถูกแนะนำให้ ฝึกขมิบจากกูรูทั้งหลาย แต่ไม่เคยผู้หญิงคนไหนมีวินัยฝึกจนสำเร็จแล้วกลับมาบอกว่าตัวเองทำได้เลย ซักคน เรื่องฝึกขมิบเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากครับ" กระทู้ส่วนใหญ่ในห้องสวนลุมคือกระทู้ปรึกษาปัญหา เค้าจะมาตั้งก็ต่อเมื่อเค้ามีปัญหาอยู่ ถ้าเค้าขมิบจนสำเร็จไม่มีปัญหาต่อไป เค้าจะกลับมาตั้งกระทู้ทำไม และพูดถึงปัญหา เราเคยอ่านเจอนะ เคยมีผู้หญิงซิงมาตั้งกระทู้ถาม เธอบอกว่าในคืนแต่งงานพอมีอะไรกันแล้ว สามีกลับบอกว่าเธอหลวมกว่าผู้หญิงที่ผ่านมาแล้วหลายคนซะอีก แล้วถ้าทฤษฎีคุณถูกต้อง เรื่องแบบนี้มันจะมีได้ไงคะ อีกอย่างนะ การขมิบของผู้หญิงมันง่ายหรือยาก เราย่อมรู้ดีกว่าคุณเพราะเราเป็นผู้หญิง เคยลองทำด้วยตัวเองมาแล้ว คุณแค่อ่านมาแล้วจะมารู้ดีกว่าเราได้ยังไง หรือว่าคุณเป็นผู้หญิงเนี่ย "สื่ออินเตอร์เน็ตใครก็สามารถรับรู้เรื่องนี้ได้ แล้วบรรดาเว็บพวกนี้มันถูกบล๊อคตรงไหนครับ" คุณลองพยายามเข้าเว็บโป๊สักเว็บสิ เราเคยพยายามเข้าเว็บที่เคยเข้าไปดูกับแฟนตอนอยุ่เมืองนอกบ่อย มาเมืองไทยเข้าไม่ได้เลยสักเว็บ เราเพิ่งมารู้วิธีเข้าเมื่อไม่นานมานี้เอง ก็คือเปลี่ยน I.P. ของเครื่อง แต่กว่าจะทำเป็นมันก็ต้องตั้งใจหาทางอยากจะเข้าจริงๆ แต่ผู้หญิงที่บริสุทธิ์จนวันแต่งงานน่ะ ถึงแม้จะมีความชอบด้านเซ็กส์ที่ถูกเก็บกดไว้ข้างใน แต่จะมีสักกี่คนที่กล้าไปศึกษาหาความรู้เรื่องพวกนี้ก่อนแต่งงาน ในเมื่อสาเหตุที่ผู้หญิงพวกนี้บริสุทธิ์อยู่น่ะ ส่วนใหญ่ก็มาจากการเลี้ยงดูแบบปิดกั้นเรื่องเซ็กส์สารพัดรูปแบบ ทั้งโดนสั่งสอนว่ามันไม่ดีงาม มันสกปรก หรือบางบ้านสอนให้กลัวเซ็กส์ไปเลยด้วยซ้ำ บางคนที่มีความชอบอย่างบ้าคลั่งซุกซ่อนอยู่ข้างใน ส่วนใหญ่ก็มารู้ตัวหลังแต่งงานทั้งนั้นแหละค่ะ และพอแต่งงานแล้วจึงเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะสำหรับผู้หญิงเหล่านี้ การแต่งงานเปรียบเสมือนใบอนุญาตให้พวกเธอปลดปล่อยความเก็บกดเรื่องเพศออกมาได้ตามใจชอบ "ผมจะขู่บังคับผุ้หญิงให้ทำตัวบริสุทธิ์ได้ยังไงครับ ยกตัวอย่างเช่นคุณ ๆ มีผัวมาแล้วกี่คน" ตกภาษาไทยหรือไงคะ ผู้หญิงที่คุณขู่บังคับให้ทำตัวบริสุทธิ์น่ะ ไม่ใช่พวกเรา คุณบังคับพวกเราไม่ได้หรอกเพราะพวกเรารู้ทันคุณแล้ว แต่ยังมีผู้หญิงบริสุทธิ์อีกหลายคนที่ยังไม่รู้เท่าทันผู้ชายอย่างคุณและหลงเข้ามาอ่านกระทู้ ถ้าผู้หญิงบริสุทธิ์พวกนี้มาอ่านข้อความที่คุณเขียน เค้าก็คงกลัว ไม่กล้าไปอยู่ก่อนแต่งแล้ว เพราะว่ากลัวผู้ชายจะมองว่าไม่มีค่าอย่างที่คุณพยายามขู่ แค่อ่านประโยคสุดท้ายของคุณ "ผมไม่เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็นเมียเท่านั้น" แค่นี้ผู้หญิงบริสุทธิ์หลายคนที่ไม่ทันคุณมาอ่าน ก็กลัวจนไม่กล้าไปทำอะไรแล้วค่ะ งั้นเราก็ขอประกาศเตือนผู้หญิงว่า คุณผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์ทั้งหลายคะ จะรักใครก็ดูให้ดีนะคะ อย่าไปหลงกลผู้ชายแบบคุณโชติ ที่ดูเผินๆเหมือนจะอยู่ข้างพวกคุณเพราะสนับสนุนให้พวกคุณเก็บความบริสุทธิ์ไว้ แต่จริงๆแล้วแฝงเจตนาชั่วร้ายเอาไว้ ต้องการให้มีสาวบริสุทธิ์เยอะๆเพื่อจะได้มีมาให้เค้าหลอกฟันเล่นหลายๆคน แบบที่เค้าเคยยอมรับมาแล้วในความเห็นข้างบน "ผู้หญิงซิงเวลาโดนเอาผมก็ ไม่ได้โง่ดูว่าเยื่อมันขาด เลือดออกหรือเปล่า แต่มีวิธีดูแบบอื่นอีกเยอะแยะ" แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 22:04:56 แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 55 22:01:29 จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 21:52:46

ความคิดเห็นที่ 106 Foxy Little Angel #105 "ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆ งั้นอธิบายมาหน่อยว่าทำไมถึงมีพวกที่แต่งก่อนอยู่ ผู้หญิงแก่ตัวไปแล้วสามีไปมีชู้? ตัวอย่างที่มีให้เห็นชัดๆคือรุ่นแม่และรุ่นยายเราเอง แต่งก่อนอยู่กันทั้งสองรุ่น แต่สามีก็เบื่อแล้วไปมีชู้ทั้งสองรุ่น" ==>ผมไม่ได้พูดว่าแต่งก่อนอยู่แล้วจะต้องไม่มีชู้ร้อยเปอร์เซนต์ หรืออยู่ก่อนแต่งแล้วพอเหี่ยวแล้วมีชู้ร้อยเปอร์เซนต์ ผมพูดว่า พวกแต่งก่อนอยู่นั้นเรื่องเซ็กซ์มันไม่ใช่หลัก ฉะนั้นถ้าเซ็กซ์มันจะร่วงโรยไปตามวัยมันก็ไม่เป็นสาเหตุให้เกิดการเลิกกันเท่ากันกับพวกที่เห็นเซ็กซ์เป็นปัจจัยหลัก กรณีของรุ่นแม่และรุ่นยายของคุณผมก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาเป็นยังไงเพราะผมไม่ใช่ครอบครัวของคุณ ผมคงไม่สามารถให้ความคิดเห็นกรณีนี้ได้หรอก เช่นเดียวกันกับพวกอยู่ก่อนแต่งแล้วอยู่จนแก่ตายอย่างคนในครอบครัวของคุณเพราะผมไม่รุ้ตื้นลึกหนาบางของความสัมพันธ์เหล่านี้จริงเท่ากับคุณครับ เพราะในสังคมที่ผมเห็นคือคนรุ่นเก่า ๆ นั้นอยู่กับจนแก่ตายไปข้างหนึ่ง ในขณะที่หนุ่มสาวปัจจุบันที่ทดลองอยุ่กันก่อนแต่งนั้น ผมแทบจำไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้มีผัวมากี่คน และผู้ชายคนนี้มีเมียมาแล้วกี่คน มันเปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมียจนแทบจำไม่ได้ ..... คุณยกตัวอย่างคนใกล้ตัวของคุณ ผมก็ยกตัวอย่างคนใกล้ตัวของผมให้เห็นเหมือนกัน "แต่คุณจะปฎิเสธมั๊ยว่า โดยภาพรวม ประเทศอเมริกาเจริญกว่าประเทศเราหลายขุม" ==>ผมไม่ปฎิเสธเรื่องความเจริญทางด้านวัตถุนั้นว่า อเมริกาเจริญกว่าไทย แต่ผมมองไปทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนยีมากกว่า ซึ่งผมก็ยอมรับและผมก็เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโลยีโดยตรง เวลาผมอ่านเปเปอร์งานวิจัยของฝรั่งผมก็อ่านแล้วก็เลือกว่าอะไรมันใช้ได้อะไรมันใช้ไม่ได้ เวลาทำงานวิจัยอย่างหนึ่งนั้น ต้องอ่านงานวิจัยเยอะแยะแต่คุณก็ต้องเลือกดูว่าอะไรมันเหมาะสมกับสภาพการ์ณของแต่ละสถานการณ์ ผมไม่ได้ลอกมาทั้งดุ้น เรื่องให้สิทธิผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชายก็เช่นเดียวกัน มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้น ๆ ว่าเป็นยังไง ผู้หญิงคุณก็ต้องยอมรับว่าร่างกายคุณไม่แข็งแรงเท่าผู้ชาย ประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่โบราณกาลก็หามีผู้นำหญิงที่เก่งกล้าสามารถด้วยตัวเองไม่ ส่วนมากมีอำนาจก็เพราะได้รับมรดกจากผู้ชายทั้งนั้น ผมศึกษาประวัติศาสตร์โลกตั้งยุคสมัยการรุ่งเรืองของอารยธรรมของสุเมเรียน อีหยิปต์ จีน อินเดีย กรีกโรมัน ออตโตมัน มงโกล สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ผมก็ยังไม่เคยเจอผู้หญิงที่เก่งได้ด้วยตัวเองจริง ๆ ที่เห็นบอกว่าเก่งนั้น ๆ ส่วนมากก็รับมรดกมาจากเครือญาติหรือสามีเป็นส่วนใหญ่ ในทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็เช่นเดียวกัน มีเพียงมาดามคูรี เท่านั้น ที่พอมีชื่อเสียงในการคิคค้นทางวิทยาสตร์ที่พอมีอิมแพคไปทั่ววงการ นอกนั้นผมไม่เห็นมีใคร รางวัลโนเบลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงได้กี่คน ผมไม่ใช่จะเป็นพวกมีนิสัยกดขี่ผู้หญิง แต่ผมรับนิสัยลองสมสู่ไปเรื่อย ๆ อย่างที่พวกคุณทำไม่ได้จริง ๆ ผมเคยบอกคุณไว้แล้วว่า ผมเคารพผู้หญิงที่ประพฤติครองความบริสุทธิ์ไว้มากในความเห็นก่อน แล้วอย่างนี้ผมไปกดขี่ยังไง ผู้หญิงถ้าหยากมีเซ็กซ์มาก คุณก็มีได้ แต่ผมไม่เอาคุณมาทำเมียเท่านั้น ผมมีสิทธิที่จะไม่ชอบผู้หญิงที่ลองสมสู่ไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกันกับถ้าผู้หญิงคนนั้นอยากทำก็ทำได้ อย่างเช่น คุณ ยังไงละ " ถ้าแต่งงานไปแล้วไม่มีความสุขก็ขอหย่าดีกว่าทน จะว่าทนเพื่อลูกก็ไม่ใช่ ถ้าพ่อมันเลวมาก เราก็เลี้ยงเองดีกกว่าจะพึ่งพาพ่อมัน" ==> ก็ฝรั่งมันคิดอย่างนี้ไง มันถึงได้หย่ากันเยอะ คุณเองก็คิดแบบฝรั่งอยู่แล้ว "กระทู้ส่วนใหญ่ในห้องสวนลุมคือกระทู้ปรึกษาปัญหา เค้าจะมาตั้งก็ต่อเมื่อเค้ามีปัญหาอยู่ ถ้าเค้าขมิบจนสำเร็จไม่มีปัญหาต่อไป เค้าจะกลับมาตั้งกระทู้ทำไม' ==>โลกไม่มีด้านเดียวครับ เวลามีความทุกข์คนก็อยากให้มีคนช่วยแบ่งความทุกข์ ในขณะที่มีความสุขในขณะที่มีความสุขก็อยากจะให้คนอื่นร่วมสุขหรืออิจฉาก็แล้วแต่ ห้องสยามไม่ได้มีแต่กระทู้ปัญหาอกหักนะครับ แต่กระทู้สมรักสีชมพูก็มีให้เห็นบ่อย ๆ พอ ๆ กัน แล้วเรื่องการขมิบเนี่ยเป็นสุดยอดที่ผู้หญิงทุกอยากรู้และอยากทำได้ ถ้ามีใครซักคนทำสำเร็จรับรองว่าเคล็ดว่าเคล็ดลับของเธอนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้หญิงเป็นจำนวนมาก "อีกอย่างนะ การขมิบของผู้หญิงมันง่ายหรือยาก เราย่อมรู้ดีกว่าคุณเพราะเราเป็นผู้หญิง เคยลองทำด้วยตัวเองมาแล้ว คุณแค่อ่านมาแล้วจะมารู้ดีกว่าเราได้ยังไง หรือว่าคุณเป็นผู้หญิงเนี่ย" ==> ผู้ชายก็ต้องฝึกขมิบเช่นเดียวกัน กล้ามเนื้อตัวเดียวกัน วัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถสั่งการหลั่งอสุจิได้ดั่งใจครับ "คุณลองพยายามเข้าเว็บโป๊สักเว็บสิ เราเคยพยายามเข้าเว็บที่เคยเข้าไปดูกับแฟนตอนอยุ่เมืองนอกบ่อย มาเมืองไทยเข้าไม่ได้เลยสักเว็บ" ==>ลองบอกเว็บมาดูซิครับว่าเป็นเว็บอะไร ทำไมเข้าในเมืองไทยไม่ได้ ... แล้วเว็บโป๊นี่มันมีเป็นล้านเว็บ เข้าเว็บนี้ไม่ได้ก็เข้าเว็บอื่น บล๊อคเว็บวันนี้พรุ่งนี้มันก็ขึ้นมาใหม่อีกเว็บง่ายจะตาย ผมรุ้จักนางเอกหนังเอวีญึ่ปุ่นแทบทุกคน ทวิตเตอร์ผม Follow นางเอกหนังเอวีญี่ปุ่น 500 กว่าคน สวย ๆ ดัง ๆ ทั้งนั้น คุยและรู้เรื่องความเคลื่อนไหวพวกนี้ตลอด ถ้าหากว่าคุณบอกว่าเว็บโป๊ถูกบล๊อคผมก็อยากรู้ว่า เป็นเว็บไหน "คุณผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์ทั้งหลายคะ จะรักใครก็ดูให้ดีนะคะ อย่าไปหลงกลผู้ชายแบบคุณโชติที่ดูเผินๆเหมือนจะอยู่ข้างพวกคุณเพราะสนับสนุนให้พวกคุณเก็บความบริสุทธิ์ไว้" ==>ถ้าคุณผู้หญิงทั้งหลายกลัวความเลวของผม แล้วทำให้คุณเก็บความบริสุทธิ์จนกระทั่งมอบให้กับชายคนรักในวันแต่งงาน ผมว่าความเลวของผมนั้นมีประโยชน์ต่อผู้หญิงและผู้ชายอีกนับไม่ถ้วนเลยนะ ขอให้กลัวผมยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี จากคุณ : โชติ เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 55 23:42:23 A:171.5.128.191 X: TicketID:017649

ความคิดเห็นที่ 107 โชติ #106 "คุณยกตัวอย่างคนใกล้ตัวของคุณ ผมก็ยกตัวอย่างคนใกล้ตัวของผมให้เห็นเหมือนกัน" ก็แสดงให้เห็นว่าสังคมหลากหลาย เพราะขนาดคนใกล้ตัวคุณกับคนใกล้ตัวเรายังมีกรณีที่ตรงข้ามกันคนละขั้วเลย เรื่องแบบนี้ไม่มีสูตรตายตัว แล้วอย่างนี้ทำไมคุณต้องมาพูดเหยียดหยามคนอื่นที่คิดไม่เหมือนคุณ ทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะมีความคิดของตัวเองโดยไม่โดนคนอื่นพูดจาดูถูกเหยียดหยาม เราเห็นด้วยกับการอยู่ก่อนแต่ง แต่เราก็ไม่เคยดูถูกคนที่แต่งคนอยู่ ไม่เคยบอกว่าเกลียดพวกเค้าหรือหาว่าพวกเค้าไร้ค่า ไม่เหมือนกับคุณที่พูดจาหาเรื่องคนที่คิดไม่เหมือนตัวเอง บอกว่าเกลียดคนที่อยู่ก่อนแต่งบ้างล่ะ บอกว่าคนพวกนี้ไม่มีค่าบ้างล่ะ "เวลาทำงานวิจัยอย่างหนึ่งนั้น ต้องอ่านงานวิจัยเยอะแยะแต่คุณก็ต้องเลือกดูว่าอะไรมันเหมาะสมกับสภาพการ์ณของแต่ละสถานการณ์" คุณเนี่ยนะ นักวิจัย ?! ถ้าเป็นจริงก็เป็นนักวิจัยแบบไหนกัน อะไรก็ตามที่มันมีอยู่ ก็เป็นหน้าที่ของนักวิจัยไม่ใช่หรือ ที่จะลองหาวิธีใหม่ๆมาปรับปรุงให้ของเก่ามัีนดีขึ้น ประเพณีก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นประเพณีที่ใช้มานานมากแล้ว ก็ควรจะหาวิธีปรับปรุงให้มันดีขึ้น คุณก็บอกอยู่ว่า ต้องเลือกดูว่าอะไรมันเหมาะสมกับสภาพการ์ณของแต่ละสถานการณ์ แล้วคุณคิดว่ากฎเกณฑ์ที่ถูกตั้งขึ้นมาในสมัยพ่อขุนมันเหมาะสมกับปี 2012 แล้วหรือ? "ผมศึกษาประวัติศาสตร์โลกตั้งยุคสมัยการรุ่งเรืองของอารยธรรมของสุเมเรียน อีหยิปต์ จีน อินเดีย กรีกโรมัน ออตโตมัน มงโกล สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ผมก็ยังไม่เคยเจอผู้หญิงที่เก่งได้ด้วยตัวเองจริง ๆ ที่เห็นบอกว่าเก่งนั้น ๆ ส่วนมากก็รับมรดกมาจากเครือญาติหรือสามีเป็นส่วนใหญ่ ในทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็เช่นเดียวกัน มีเพียงมาดามคูรี เท่านั้น ที่พอมีชื่อเสียงในการคิคค้นทางวิทยาสตร์ที่พอมีอิมแพคไปทั่ววงการ นอกนั้นผมไม่เห็นมีใคร รางวัลโนเบลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงได้กี่คน" คุณศึกษาประวัติศาสตร์มาขนาดนั้น แถมเรียนวิทย์อีก แล้วคุณไม่รู้หรือว่าสาเหตุที่ในประวัติศาสตร์นั้นคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เป็นผู้ชายคืออะไร? ถ้าอ่านเยอะขนาดนั้นแล้วยังไม่รู้ก็โง่เต็มทีแล้ว ประเทศต่างๆที่คุณยกตัวอย่างมาทั้งหมดน่ะ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ในสมัยก่อนก็ต่างกดขี่ผู้หญิงกันทั้งนั้น ผู้ชายเท่านั้นที่ได้เรียนหนังสือ ลองผู้ชายถูกกีดกันไม่ให้เรียนหนังสือ ให้แต่ผู้หญิงเรียนบ้างสิ รับรองได้ว่าป่านนี้ผู้หญิงเก่งๆมีมากกว่าผู้ชายเยอะ แล้วผู้ชายก็ใช่ว่าจะเก่งด้วยตัวเองเสมอไปซะเมื่อไหร่ ดูอย่างนักธุรกิจไฮโซประเทศไทยหลายรายที่เป็นผู้ชาย ส่วนมากก็มีชื่อเสียงเพราะรับมรดกกิจการมาจากพ่อแม่กันทั้งนั้น และผู้หญิงที่เก่งด้วยตัวเองโดยที่ไม่ได้พึ่งพาครอบครัวหรือสามีก็มีเยอะ แต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง ในเมืองไทยก็มี เช่น คุณกมลา สุโกศล นักธุรกิจ เจ้าของโรงแรมใหญ่หลายสาขา แถมยังเป็นนักร้องแจ๊สที่มีชื่อเสียงของประเทศด้วย ความจริงพ่อแม่ของคุณกมลามีธุรกิจด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่คุณกมลาไม่รับมรดกนั้นมา แต่แยกตัวเองออกมาก่อตั้งธุรกิจโรงแรมด้วยตัวเอง แถมเธอยังหย่ากับสามี(ดังนั้นก็ไม่ได้มีความช่วยเหลือจากสามีแน่นอน) เลี้ยงลูก 4 คนด้วยตัวเอง จนปัจจุบันธุรกิจก้าวหน้าจนอยู่ในอันดับต้นๆของเมืองไทย ส่งลูกเรียนต่างประเทศได้จนจบกลับมาทำงานประสบความสำเร็จกันทุกคน "ก็ฝรั่งมันคิดอย่างนี้ไง มันถึงได้หย่ากันเยอะ คุณเองก็คิดแบบฝรั่งอยู่แล้ว" งั้นก็จำคำพูดของตัวคุณเองไว้แล้วกันค่ะ ถ้าคุณเกิดโชคร้าย ดันไปเจอชีวิตแต่งงานที่มีปัญหาและไม่มีความสุข คุณก็ทนให้ได้ตลอดรอดฝั่งนะคะ อย่าไปมีกิ๊กมีชู้ด้วย แต่สงสัยจะยาก เพราะขนาดยังไม่แต่ง คุณก็ยังควบคุมความอยากของตัวเองไม่ได้จนต้องไปฟันผู้หญิงเล่นมาแล้ว "โลกไม่มีด้านเดียวครับ เวลามีความทุกข์คนก็อยากให้มีคนช่วยแบ่งความทุกข์ ในขณะที่มีความสุขในขณะที่มีความสุขก็อยากจะให้คนอื่นร่วมสุขหรืออิจฉาก็แล้วแต่ ห้องสยามไม่ได้มีแต่กระทู้ปัญหาอกหักนะครับ แต่กระทู้สมรักสีชมพูก็มี" ที่คุณอ้างนี่มันห้องสยามค่ะ ซึ่งมีสารพัดเรื่องราวให้เห็นอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ที่พูดกันมันหมายถึงห้องสวนลุม ที่ๆคนส่วนใหญ่มาตั้งกระทู้เกี่ยวกับปัญหาทั้งนั้น ก่อนจะมาเถียงสั่วๆลองเข้าไปที่ห้องสวนลุม ไปพิสูจน์ความเป็นจริงซะก่อนนะคะ ลองนับดูก็ได้ว่ากระทู้ที่มาตั้งเพราะมีปัญหา ขอความช่วยเหลือนั้นมีกี่กระทู้ แล้วกระทู้ที่มาตั้งว่าสุขภาพดีเพอร์เฟ็คอยู่แล้วมีกี่กระทู้ "ผู้ชายก็ต้องฝึกขมิบเช่นเดียวกัน กล้ามเนื้อตัวเดียวกัน วัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถสั่งการหลั่งอสุจิได้ดั่งใจครับ" ถ้างั้นปัญหาก็คงจะอยู่ที่ร่างกายคุณแล้วล่ะ ที่รู้สึกว่าการขมิบมันยาก เพราะส่วนตัวเราก็เป็นคนนึงที่ทำสำเร็จและได้ผลดี แต่ก็นะ โดยธรรมชาติผู้หญิงคงขมิบเก่งกว่าผู้ชายอยู่แล้ว เพราะอย่างที่บอก ขนาดคลอดลูกออกมาหลายคนก็ยังขมิบกลับมาให้แน่นพอจะทำให้สามีหลั่งอีกได้เลย "ลองบอกเว็บมาดูซิครับว่าเป็นเว็บอะไร ทำไมเข้าในเมืองไทยไม่ได้ ... แล้วเว็บโป๊นี่มันมีเป็นล้านเว็บ เข้าเว็บนี้ไม่ได้ก็เข้าเว็บอื่น บล๊อคเว็บวันนี้พรุ่งนี้มันก็ขึ้นมาใหม่อีกเว็บง่ายจะตาย ผมรุ้จักนางเอกหนังเอวีญึ่ปุ่นแทบทุกคน ทวิตเตอร์ผม Follow นางเอกหนังเอวีญี่ปุ่น 500 กว่าคน สวย ๆ ดัง ๆ ทั้งนั้น คุยและรู้เรื่องความเคลื่อนไหวพวกนี้ตลอด" 555 ในที่สุดสันดานคุณก็แสดงออกมาแล้ว มาแอ๊บเป็นพระเอกสูงส่ง เที่ยวด่าว่าคนอื่น หาว่าเป็นพวกรักสนุกหมกมุ่นแต่เรื่องเซ็กส์ แต่จากที่คุณเขียนมาข้างบนนี้ก็ทำให้รู้ว่า หมกมุ่นตัวพ่อน่ะ คุณต่างหากล่ะ อีกอย่างนะ ถ้าจะจัดอันดับแบบที่คุณว่า คือ พวกแต่งก่อนอยู่ดีเลิศ แต่พวกอยู่ก่อนแต่งน่ะเลว งั้นอันดับก็น่าจะเป็นแบบนี้ ผู้ชายที่แต่งก่อนอยู่ มีอะไรกับภรรยาเป็นคนแรกและคนเดียว = ดี ผู้ชายที่อยู่ก่อนแต่ง ถึงแม้จะมีอะไรก่อนแต่ง แต่ก็ยังรับผิดชอบด้วยการ อยู่ = ปานกลาง ผู้ชายที่ฟันผู้หญิงทั้งที่ยังไม่แต่ง แถมไม่ยอมอยู่ด้วย = เลว งั้นคนอย่างคุณก็คงจะเข้าพวก เลว นะ เพราะคุณก็ฟันผู้หญิง(บางคนก็ซิงด้วย) ทั้งๆที่ไม่ได้แต่งและไม่ได้อยู่ "ถ้าคุณผู้หญิงทั้งหลายกลัวความเลวของผม แล้วทำให้คุณเก็บความบริสุทธิ์จนกระทั่งมอบให้กับชายคนรักในวันแต่งงาน ผมว่าความเลวของผมนั้นมีประโยชน์ต่อผู้หญิงและผู้ชายอีกนับไม่ถ้วนเลยนะ ขอให้กลัวผมยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี" เป็นประโยชน์ต่อผู้ชายน่ะใช่ ประมาณว่าช่วยกันอนุรักษณ์ไว้แบ่งกันใช้ว่างั้นเถอะ แต่กับผู้หญิงน่ะไม่เห็นเป็นประโยชน์เลย เกิดผู้หญิงคนไหนหลงรักคุณหรือผู้ชายแบบคุณเข้า ก็ต้องมาแต่งงานแล้วมอบความบริสุทธิ์ให้ผู้ชายแบบคุณ สยองค่ะ อ่อ เก็บลิ้งค์กระทู้นี้ไว้ด้วยนะคะ อีกหน่อยถ้ามีผู้หญิงบริสุทธิ์หลงมาคบกับคุณ ก็เอาให้เธอดูด้วย ว่าคุณเป็นคนที่มีทัศนคติแบบนี้ แล้วดูซิว่าเมื่อรู้แล้วผู้หญิงเค้าจะยอมแต่งงานกับคุณมั๊ย แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 55 01:22:04 จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 55 01:12:47