มันคือ "ความรักครั้งแรก" จริง ๆ ใช่ไหม ?
|
|
หลายครั้งที่มีคนถามว่า " ความรักครั้งแรก " ของเราเป็นยังไงบ้าง ? เราไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรระหว่างแฟนคนแรก หรือผู้ชายคนแรกที่เราแอบชอบกันแน่ แต่เรามักจะเล่าเรื่องนี้เป็นคำตอบ . .
วันนั้น . . เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของการเป็นนักเรียนชั้น ป. ๕ เดือนหน้าเราก็จะอายุ ๙ ขวบแล้วนะ ( เราเรียนก่อนเกณฑ์ ๒ ปี ) หลังจากที่เอากระเป๋านักเรียนไปเก็บที่ห้อง เราก็ออกมานั่งรอเพื่อน ๆ ที่ม้านั่งใกล้ ๆ กับสนามเด็กเล่น มองดูเด็กโตที่เป็นพวกวงดุริยางค์กำลังซ้อมกันก่อนเข้าแถวตอนเช้า จู่ ๆ ก็มีใครสักคนมาดึงผมเราจากด้านหลัง พอหันไปมอง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนหัวเราะอยู่ตรงหน้า เขาเป็นผู้ชายตาตี่ คิ้วหนา จมูกโด่ง ปากกว้าง ใส่แว่น ตัวสูง ๆ ซึ่งเราไม่เคยรู้จัก เราทำหน้าบึ้ง ลุกขึ้นยืน กำลังจะวิ่งหนี เขาก็รวบตัวเราเอาไว้ อุ้มเราเดินไปเดินมาพร้อมกับหัวเราะชอบใจ เราส่งเสียงร้อง ดิ้นไปดิ้นมา สองมือช่วยกันหยิก ดึงหู ตบหน้าผู้ชายคนนั้น แต่เรายังเด็กอ่ะนะ . . จะสู้เขาได้ไง ? "เฮ้ย ! วางน้องกุลงเลยนะ" เสียงพี่ชายเราดังมาจากไหนไม่รู้ แต่เราดีใจมาก เหมือนเสียงระฆังจากสวรรค์เลยทีเดียว เขาวางเราลง เอามือมาหยิกแกมเราทั้งสองข้างแล้ววิ่งหนีไป "แซม . . น้องเมิงน่ารักมาก" เขาพูดกับพี่ชายเราและตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น เมื่อไรที่เรากำลังเดินอยู่ เขาก็จะจับเราอุ้มแกว่งไปมา แต่ถ้าเจอตอนเรานั่งอยู่ เขาจะมาหอมแก้มเรา หยิกแก้มเราแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ เราจำได้ว่าเราเกลียดผู้ชายคนนี้มาก ( กลัวด้วย ) จะเดินไปไหนต้องให้เพื่อนช่วยมองดูต้นทางให้ตลอด
หลังเลิกเรียน . . เรานั่งทำการบ้านอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึก รอพ่อมารับ พี่ชายเราเตะบอลอยู่กับเพื่อน ๆ ตามประสาวัยรุ่น ( ม.๔ ) เสียงวงดุริยางค์ซ้อมเพลงอีกแล้ว เรารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที รีบมองซ้ายมองขวาว่าไอ้บ้านั่นอยู่ไหน ? เราจะได้รีบหลบก่อน ตุ๊บ ๆ ๆ เสียงรองเท้ากำลังวิ่งมาจากทางไหนไม่รู้ อืมมม . . ผู้ชายคนนั้นวิ่งมาหอมแก้มเราแล้วก็วิ่งหนีไปพร้อมกันเสียงหัวเราะเหมือนเคย
เขาเป็นเด็กผู้ชาย ม.๔ ( เรียนห้องเดียวกับพี่ชายเรา ) ที่ตัวสูงมาก ในวงดุริยางค์ . . เขาเป็นคนตีกลองที่อันใหญ่ที่สุด . . เราไม่คิดว่าเขาเก่งหรอกนะ ก็แค่เพราะตัวสูงเฉย ๆ หรอกน่า ชิส์ !
หลังจากที่เปิดเทอมได้ประมาณ ๒ สัปดาห์ เช้าวันจันทร์ในสัปดาห์ที่ ๓ มีใครบางคนเอาขนมกับลูกอมฮาร์ทบีทมาใส่เอาไว้ในเก๊ะใต้โต๊ะนักเรียนของเรา . . เรารีบวิ่งไปหน้าห้อง ป่าวประกาศว่าเป็นของใคร ? เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งชื่อณัฐกวักมือเรียกเราให้เดินไปหาและกระซิบว่า "มีพี่ป.๖ ฝากมา เขาให้เราเอามาใส่เก๊ะของเธอเอง" ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจอะไรนอกจากความสนุกสนานที่ได้กินขนมทุกวัน จนกระทั่ง . . เช้าวันหนึ่ง เราเปิดเก๊ะมาเจอขนมที่เราไม่ชอบ ก็เลยบอกณัฐให้เอาไปคืนพี่ป.๖ คนนั้นด้วย ! ณัฐวุฒิวิ่งออกจากห้องไปแป้บเดียวก็กลับมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่ง . . เขาเป็นผู้ชายตาโตแต่มีชั้นเดียว ขนตายาว คิ้วเข้ม ๆ จมูกโด่ง รอยยิ้มของเขาดูสดใสมาก มีฟันที่เป็นเขี้ยวทั้ง ๒ ข้าง และที่ข้าง ๆ แก้มมีลักยิ้ม เขายื่นมือมาจับแขนเราและพาเราเดินไปที่ร้านขายขนมในโรงอาหาร "ชอบอะไรอ่ะ เลือกเองเลยนะ พี่ไม่รู้ว่าเราชอบอันไหน" เขาบอกเราแบบนี้ "เอาอันนี้ได้ป้ะ ?" เราชี้ไปที่ขนมเอแคลร์ ( Éclairs ) "ชอบเหรอ ?" เขาถามพร้อมกับยิ้ม เราก็แค่พยักหน้าไม่ได้พูดอะไร "ชอบอย่างอื่นอีกไหม ? อันนี้ชอบรึป่าว ?" เขาหยิบ กล่องขนมกูลิโกะอัลมอนด์ขึ้นมา เรายิ้มรับแบบดีใจมาก ( ก็เด็กอ่ะนะ ) "งั้นต่อไป . . เอากูลิโกะกับเอแคลร์สลับกันดีไหม ?" เขามองหน้าเรากับรอยยิ้มสดใสนั่น "ค่ะ" เราก้มหน้าตอบ หลบสายตา เขาหัวเราเบา ๆ พร้อมกับยื่นมือมาลูบหัวเรา "พี่ขอโทษนะ พี่ไม่รู้ว่าหนูชอบอะไรไม่ชอบอะไร วันนี้พี่ให้ ๒ อย่าง ทั้งกูลิโกะนี่แล้วก็เอแคลร์นี่ด้วยนะ" เราพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร . .
หลังจากวันนั้น . . ทุกวันก็จะมีขนมเอแคลร์กับกูลิโกะอัลมอนด์สลับกันมาอยู่ในเก๊ะใต้โต๊ะเราทุกเช้าพร้อมลูกอมฮาร์ทบีท ๕ - ๖ เม็ด เขาไม่เคยมาหาเราที่ห้องอีกเลย แต่เวลาเข้าแถวหรือเดินเจอกันไกล ๆ เขาก็จะโบกมือให้พร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ นั่นมันทำให้เรารู้สึกว่า . . เราเขินมากอ่ะ ( เรานี่มันเป็นเด็ก ๙ ขวบที่แรดจริง ๆ ให้ตายสิ ! )
ส่วนพ่อดุริยางค์มือกลองคนนั้นก็ยังเห็นเราเป็นของเล่นเหมือนเดิมทุกวัน มีครั้งหนึ่งที่เค้าวิ่งมาหอมแก้มเราตอนที่พี่ชายเรานั่งอยู่ด้วย พี่เราวิ่งตามไปไล่เตะเขาซะรอบโรงเรียน เห็นแล้วก็ตลกดี . . สมน้ำหน้า !
ในวันไหว้ครู เราได้เป็นตัวแทนห้องในการถือพานพุ่มดอกไม้ เสียงระนาดช่วยสร้างบรรยากาศให้พิธีดูศักดิ์สิทธิ์ เราเดินไปช้า ๆ ตามคนอื่นไปเรื่อย ๆ ยังไม่ทันจะได้ขึ้นไปบนเวที ก็มีใครบางคนโยนตุ๊กแกปลอมตรงทางที่เราเดินอยู่ ( เป็นผ้าลาย ๆ มีทรายอยู่ข้างใน ) กรี๊ดดดดดดดดดดด ! เราทุ่มพานใส่ตุ๊กแก พานแยกเป็น ๒ ท่อน พิธีแตกเลยค่ะ เรากลัวจิ้งจกตุ๊กแกมาก เจอแบบนั่นก็ร้องไห้จนตัวสั่น วิ่งออกนอกหอประชุมไปเลย
พี่ชายเรากับหนุ่มมือกลองวิ่งตามเราออกมาด้วย แต่คนที่ถึงตัวเราก่อนคือพ่อหนุ่มมือกลองแขนยาวคนนั้นเอง เขาคว้าแขนเราเอาไว้แล้วจับเราไปกอด เราร้องไห้จนเสื้อเขาเปียกไปหมด มันเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกแตกต่างจากเดิม . . เขาดูอบอุ่น อ่อนโยน ไม่น่ากลัว เหมือนที่ผ่านมา เราหยุดร้องไห้แล้ว . . แป้บนึงเพื่อนเราก็มาตามไปห้องปกครอง คนที่โยนตุ๊กแกใส่เรา โดนครูตี แล้วก็โดนเรียกผู้ปกครองไปตามระเบียบ
จบเรื่องแล้ว เราเดินออกมาจากห้องปกครองจะกลับไปที่ห้องเรียน เห็นพี่ป. ๖ คนนั้นยืนอยู่ที่บันได . . เขาเดินเข้ามาหาเรา ลูบหัวเรา และปลอบใจให้เราหายกลัว นั่นเป็นครั้งแรกที่เรามองดูตัวหนังสือที่ปักอยู่บนเสื้อของเขา . .
" ถัง แซ่ตั้ง "
โรงเรียนกำลังจะปิดเทอมใหญ่แล้ว . . เทอมหน้า . . เราจะโตขึ้นเป็นสาว ป. ๖ แล้วนะ ( อิอิ )
วันสอบวันสุดท้าย . . ถัง แซ่ตั้ง วิ่งมาหาเราที่ห้องสอบหลังเคารพธงชาติ "สอบเสร็จแล้วอย่าเพิ่งกลับบ้านนะ . . รอพี่ก่อน พี่สอบเสร็จบ่ายสามครึ่ง" เขาพูดด้วยรอยยิ้มสดใส "ยังไงเราก็ต้องนั่งรอพ่อมารับอยู่ดี จะกลับบ้านเองได้ไง" เราพูดแบบงง ๆ เขาหัวเราะออกมา หน้าตาเหมือนอะไรก็ไม่รู้ แต่น่ารักมากมาย "ตั้งใจทำข้อสอบนะ ขอให้ได้เกรด ๔ ทุกวิชา" เขาอวยพรเราก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องสอบของตัวเอง "พี่ก็เหมือนกันนะ" เราพูดในใจ มองตามหลังเขาจนลับสายตา
บ่ายวันนี้ . . วงดุริยางค์ไม่ซ้อมเล่นเพลงอีกแล้ว เพราะอยู่ในช่วงสอบปลายภาค เรานั่งรอพ่ออยู่ตรงม้านั่งที่เดิม พี่ชายเราไม่รู้อยู่ไหน มาวางกระเป๋าทิ้งเอาไว้แล้วหายไปเลย ถัง แซ่ตั้ง เดินตรงมาที่เรา ในมือถือกล่องใบใหญ่ . . เขามาพร้อมกับรอยยิ้มเช่นเคย "รอนานมั้ย ? สอบเสร็จพี่ก็รีบมาเลยนะเนี่ย" เรายิ้มเฉย ๆ ไม่ได้พูดอะไร ในใจแอบคิดว่า "จริง ๆ แล้ว เรานั่งรอพ่อมารับนะ ไม่ได้รอใครซะหน่อย" เขาวางกล่องบนโต๊ะแล้วค่อย ๆ เปิดมันออก เราลุกขึ้นยืนมองดูว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น "อะไรอ่ะ ?" เขาหยิบตุ๊กตากระต่ายออกมา แล้วยื่นให้เราพร้อมกับยิ้มหวานสุด ๆ "อ่ะ . . พี่ให้" เรารับมาแบบงง ๆ มั้ง คงไม่ได้ดีใจอะไรมากมายเพราะที่บ้านเราก็มีตุ๊กตาเยอะมากแล้ว "เอาไว้กอดนอนนะ จะได้คิดถึงพี่ไง" เขาทำหน้าเขิน ๆ แล้วหน้าเขาก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ "ชอบรึป่าว ?" เขาถาม "อืมม . . ก็น่ารักดี" เราตอบ [ ดูภาพประกอบ ]
เขายกกล่องมาใกล้ ๆ เรา แล้วพูดว่า "ในนี้มีกูลิโกะอัลมอนด์ ๘๓ กล่อง เพราะกว่าจะเปิดเทอม อีกตั้ง ๘๓ วัน หนูจะได้มีขนมกินทุกวันไง" สาบานได้ว่าเราไม่รู้สึกอะไรมากกว่าอารมณ์ที่จะได้กินขนมทุกวัน ๆ ในช่วงปิดเทอมเลย . . ให้ตายสิ !
๘๓ วันผ่านไป . .
"เฮ้ย ! โตขึ้นป้ะเนี่ย กิ๊ว ๆ หนูเป็นสาวแล้ว ๆ" เสียงพ่อหนุ่มมือกลองวงดุริยางค์ประจำโรงเรียนวิ่งมาแซวเรา แล้วก็วิ่ง ๆๆๆๆ ใกล้เข้ามา แต่เราวิ่งหนีซึ่งคิดว่าจะหนีพ้น แต่ก็ป่าวเลย (-_-')
เปิดเทอมหลายวันแล้วแต่เราไม่เห็นหน้า ถัง แซ่ตั้ง เลยสักครั้ง ขนมกับลูกอมฮาร์ทบีทก็ไม่เคยถูกมาวางไว้ในเก๊ะเราอีกแล้ว ผ่านไป ๑ สัปดาห์เราก็เลยถามณัฐวุฒิว่าทำไมเราไม่เห็นเขาเลย "พี่ถังย้ายโรงเรียนแล้ว ไปอยู่อัสสัมฯ หรือเซนต์ดอฯ นี่แหละ" นี่คือคำตอบที่เราไม่อยากได้ยิน !
ตั้งแต่วันนั้น . . เราก็ไม่เคยคิดถึง ถัง แซ่ตั้ง ไม่คิดถึงขนม - ไม่คิดถึงลูกอมฮาร์ทบีท ทุกวัน . . ทุก ๆ วัน ก็มัวแต่วิ่งเล่นสนุกสนานกับพ่อมือกลองคนนั้น
วันสอบวันสุดท้ายของชีวิตนักเรียน ป.๖ ของเรา สนุกสนานเพลิดเพลินมาก เพราะมีเพื่อนหลายคนในห้องจะย้ายไปขึ้นมัธยมที่โรงเรียนอื่น . . เราเองก็เหมือนกัน !
"อะไรของเมิงวะเชษฐ์" พี่ชายเราตะโกนออกไปนอกหน้าต่างรถ หนังจากที่มีใครบางคนวิ่งมาเคาะกระจกรถของพ่อ "กุขอเบอร์โทรหน่อยดิ" เขาพูดพร้อมกับยื่นกระดาษกับปากกาเข้ามาในรถ "เร็ว ๆ กุร้อนนะเนี่ย" เขาเร่ง "พ่อครับ . . หวัดดีครับ" แล้วเขายกมือไหว้พ่อเรา ตอนนั้น . . เรารู้สึกว่าตัวเองเหนือมาก ไม่ต้องกลัวโดนแกล้งอีก เพราะในรถมีทั้งพ่อมีทั้งพี่ชาย "มีไรวะ" พี่เราถาม "เดี๋ยวกุจะได้โทรไปถามการบ้านไง" เขาตอบแบบหน้าตากวนมาก เรามองหน้าเขาเป็นครั้งท้าย ในใจคิดว่า "ต่อไปคงไม่ได้เจอกันแล้ว" เรารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที ! รถกำลังเคลื่อนตัวไปช้า ๆ เราเห็นเขายืนโบกมือบ๊ายบาย . . แว่บนึงที่เราเห็นตัวหนังสือที่ปักอยู่บนเสื้อนักเรียนสีขาว "ศุภเชษฐ์ โช████████████ฒน์"
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี . . ผู้ชาย ๒ คนนี้หายไปจากความคิด ความรู้สึกของเราอย่างสิ้นเชิง จนกระทั้งเราเรียนจบมหาวิทยาลัย !
ในงานแต่งงานของใครสักคน . . เราไปร่วมงานกันทั้งครอบครัว ( พี่เราพาแฟนไปด้วย ) "ทำไมผู้ชายคนนั้นมองหนูตลอดเลย รู้จักพี่เค้ารึป่าว ?" แม่เราถามพร้อมกับหันหน้าไปทางผู้ชายคนนั้น พอเรามองไป เขาก็รีบหลบสายตาทันที เรา . . จำเขาไม่ได้ และนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร ?
๔ ทุ่มแล้ว . . พวกเรากำลังจะกลับบ้าน "ไอ้แซมมมมม" ผู้ชายคนนั้นตะโกนเรียกพี่ชายเรา "ไงเมิง . . . . ." แล้วพวกเขาก็เดินไปคุยกันตามประสาเพื่อนเก่า สักพักก็เดินกลับมา ทำหน้าทำตามองเราแบบอาย ๆ เขายกมือไหว้พ่อกับแม่เราแล้ว ก็หันมามองหน้าเราอีก พอพ่อกับแม่เราเดินไป เขาก็เริ่มพูดกับเรา "จำพี่ไม่ได้เหรอ ?" แต่เราไม่ได้ตอบอะไร แค่ส่ายหน้าปฏิเสธเฉย ๆ "ไอ้เชษฐ์ขนดกไง จำไม่ได้เหรอ แต่ก่อนเห็นวิ่งไล่กันทุกวัน" พี่ชายเราช่วยเตือนความจำวัยเยาว์ ( เขามีขนขาเยอะมากอ่ะ ) "คุณพระช่วย ! นี่เรายังไม่หมดเคราะห์ใช่มั้ยเนี่ย ?!" เราพยายามนึกถึงวันเก่า ๆ เมื่อหลายปีก่อน เสียงกลองแต๊ก นิ๊งหน่อง ทรัมเป็ต ฯลฯ ดังก้องขึ้นมาเบา ๆ . . เราเผลอยิ้มและหัวเราะออกมา หลังจากนั้น บทสนทนามากมายก็หลั่งไหลออกมาเหมือนเพื่อนสนิทที่หายหน้าจากกันไปนานแสนนาน
"อ้าว แฟนเมิงไปไหนแล้วล่ะ ?" พี่เราถาม แต่เขายังไม่ทันตอบ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินมาร่วมวง ผู้หญิงคนนั้นมองหน้าเราแบบ . . ไม่รู้สิ แต่เรารู้สึกไม่ค่อยเป็นมิตรเลยสักนิด ใครเปิดก่อนได้เปรียบ เราคิดแบบนี้ ก็เลยเปิดไป ๑ นัด "ไม่เอาลูกมาด้วยเหรอคะ ?" แล้วก็ทำหน้าทะเล้นใส่ นายศุภเชษฐ์มองหน้าเรายิ้ม ๆ แต่ไม่พูดอะไร เราแอบเห็นผู้หญิงหยิกที่แขนของเขา พี่ชายเราเห็นแบบนั้นก็เลยพูดขึ้นมาว่า "น้องสาวผมเองครับ" เราก็เลยตีแสกหน้าคนนั้นไปอีกด้วยการมองหน้านายมือกลองแบบอาย ๆ แล้วพูดว่า "เคยเป็นแฟนคนแรกของพี่เค้าด้วยค่ะ . . ใครจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันจะเคยเกิดขึ้นจริง ๆ ?" เรามองหน้าเขาอีกครั้งแล้วหัวเราะออกมาดังมาก ผู้หญิงคนนั้นดูไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่เรา . . ฟินแล้ว !
พี่ชายเราขำมาก รีบชวนกลับบ้าน แต่ . . "แซม . . เอาเบอร์เมิงมาดิ๊" เขาหยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้พี่ชายเรา "เล่นมุขนี้อีกแระ ! ตลอดอ่ะ . . เปลี่ยนมั่งเห๊อะ" เราพูด . . ผู้ชายทั้งคู่หัวเราะกันลั่น "เดี๋ยวนี้เรามีโทรศัพท์แล้วนะ โต ๆ กันแล้ว . . ขอกันตรง ๆ ก็ได้ อย่ามาเล่นมุขซ้ำ ๆ" เราพูดต่อ ทั้งคู่หัวเราะดังกว่าเดิม แฟนนายคนนั้นอยากเข้าห้องน้ำ เราก็เลยแยกย้ายกัน ส่วนเรา . . ฟินเบิ้ลเลยนะนั่น !
ระหว่างทางกลับบ้าน เรานั่งคุยกับพี่ชายเราตั้งนานเรื่องนายศุภเชษฐ์ แต่มันสิ้นสุดลงเมื่อแม่เราถามขึ้นมาว่า "ใช่คนนี้รึป่าวที่ชอบซื้อขนมมาให้ทุกวัน ?"
ทันทีที่กลับถึงบ้าน . . เรารีบวิ่งขึ้นบนห้องนอน เปิดตู้เก็บของทุกตู้ในห้อง และเราก็เจอความทรงจำ . . ที่เลือนหายไปนานแสนนาน
ตุ๊กตากระต่ายของ ถัง แซ่ตั้ง !
แค่คิดถึง . . รอยยิ้มของเขาก็ลอยเด่นขึ้นมา ภาพนั้นชัดเจนเหมือนเราเพิ่งได้เจอหน้ากันไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง หัวใจเรา . . เต้นแรงขึ้นจนรู้สึกได้ถึงจังหวะผิด ๆ ถูก ๆ ของมัน
เร็วที่สุดที่เรามีเวลาว่าง เรากลับไปที่โรงเรียนเก่า - พุ่งตรงไปที่ฝ่ายทะเบียน ! เด็กชายถัง แซ่ตั้ง ค่ะ ช่วยหนูหน่อยนะคะ หนูแค่อยากได้เบอร์โทรศัพท์ หนูไม่เอาที่อยู่ก็ได้ค่ะ เราขอร้องเจ้าหน้าที่ห้องทะเบียนให้ช่วยหาระเบียนประวัติของเขา "คงต้องใช้เวลานะคะ เอางี้ . . เขียนเบอร์เอาไว้ละกันค่ะ ถ้าเจอแล้วจะติดต่อกลับ"
เราไปที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก , โรงเรียนเซนต์ดอมินิค , กรุงเทพคริสเตียน แต่ก็ตามหา ถัง แซ่ตั้ง ไม่เจอ . . เราพยายามอยู่สักพักแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ
บทสรุปสุดท้ายที่บอกกับตัวเองก็คือ . . เขาอาจจะเปลี่ยนชื่อ - นามสกุล ไปแล้วมั้ง ? เราถึงได้ตามหาเขาไม่เจอแบบนี้
"พ.ศ. นี้แล้ว ใครยังจะใช้นามสกุล แซ่ตั้ง แบบนี้กันอีกเล่า !" เพื่อน ๆ เราพูดเป็นเสียงเดียวกัน "ถัง ? คนบ้าอะไรวะชื่อ ถัง ?!" เพื่อนเราหัวเราะกันใหญ่ หลังจากที่ได้ฟังคำตอบเรื่องรักครั้งแรกของเรา มันเป็นเรื่องราวที่เรารู้สึกอิ่มใจทุกครั้งที่ได้เล่ามันออกมา
ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงยังจำเรื่องราวพวกนี้ได้ดี ? รึนั่นอาจเป็นเพราะเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความรัก แม้ว่าเราอาจจะรู้สึกตัวช้าไปสัก ๑๐ กว่าปีก็ตาม !
แบบนี้ . . จะเรียกว่าเขาคือ . . " รักครั้งแรก " ของเราได้ไหมอ่ะ ?
[ แก้ไขคำผิด ]
แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 12:51:57
แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 03:59:11
แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 00:10:56
แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 00:09:54
จากคุณ |
:
12478B13
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ย. 55 23:22:19
|
|
|
|