ความคิดเห็นที่ 1 นั่นสิครับ ผู้ชายดี ๆ ต้องเป็นอย่างไร ผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน ... จากคุณ : โกโก้ โก๋บางไทร เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 23:50:50

ความคิดเห็นที่ 2 เราเก็บความบริสุทธฺ์ของตนเองไว้เพราะไม่ใช่ผู้ชายค่ะ เก็บไว้เพราะเกียรติศักดิ์ศรีของเราเอง หากเรามีอะไรกับชายอื่นที่ไม่ไดแต่งงาน สมมุติมีน้องขึ้นมาแล้วเรื่องยุ่งๆจะตามมาเยอะ ทั้งเรื่องหน้าที่การงาน ครอบครัว สำหรับเรา เราไม่ซีเรียสเรื่องผู้ชายบริสุทธิค่ะ เพราะเข้าใจธรรมชาติของผู้ชาย หากเกิดแต่งงานไปแล้ว เสียความบริสุทธิืไปแล้ว ก็ไม่เสียใจค่ะ ถือเป็นแค่บทเรียนหนึ่งของชีวิต เกณฑ์การคัดเลือกผู้ชายดีๆ มีเยอะค่ะ ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่อวเดียว จากคุณ : ณินทร์ลดา เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 23:50:57

ความคิดเห็นที่ 3 รักษาความบริสุทธิ์ไว้เพราะกลัวค่ะ 555 กลัวว่าเราจะเลิกกัน แต่งงานก่อนค่อยมีก็ได้ สำหรับผู้ชาย เอาจริงๆแล้วก็อยากได้บริสุทธิ์เหมือนกันนะคะ ดูน่าจะเป็นคนไม่ใช่แบดบอย ดูเป็นคนไม่เที่ยวและดีระดับนึง ซึ่งก็มีนะ แต่น้อย เราว่าเกณฑ์คัดคนดี น่าจะมาจากทัศนคติ เค้ารักเราแล้วเรารักเค้า เค้าและเราคือคนที่ใช่ ไปด้วยกันได้ มากกว่าความบริสุทธิ์มั้ง  ถ้ารักไปแล้ว ไอ้ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ไรนั่น อาจจะไม่มีผลก็ได้มั้ง เราว่าคนที่คล้ายๆกัน มันจะจูนกันง่ายกว่าคนที่ตรงกันข้ามกันเลย  ไม่รู้สิ ความเห็นส่วนตัวนะคะ จากคุณ : Ars_music_special เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:00:01

ความคิดเห็นที่ 4 ขอตอบแบบตอนที่ "ความคิด" ยังบริสุทธิ์อยู่แล้วกันนะคะ แต่จำความรู้สึกตอนนั้นได้ค่ะ 1. หากผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับคุณเป็นพวกที่ตัวเองไม่บริสุทธิ์ แต่เรียกร้องว่าผู้หญิงที่แต่งงานด้วยต้องบริสุทธิ์ คุณยอมรับผู้ชายแบบนี้ได้หรือไม่ - ไม่เอาอ่ะค่ะ อยากได้เมียซิงตัวเองก็ซิงด้วยดิ หยะแหยงอ่ะ ฟันผู้หญิงบริสุทไปทั่ว แล้ว อยากจะมาหาซิงๆ ไม่เห็นแก่ได้ไปหน่อยหรอ ถ้าดีจริงคงแต่งงานกับผู้หญิงคนแรกที่ เปิดบริสุทธิ์ไปแล้วล่ะ เป็นโรครึเปล่าก็ไม่รู้ 2. หากยอมรับข้อ 1 ได้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคุณจะไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ใจดีใจกว้าง แต่กำลังจะได้แต่งงานกับผู้ชายเห็นแก่ตัว ถือหลักการณ์ปิตาธิปไตย(ชายเป็นใหญ่) - ข้อหนึ่งยอมรับไม่ได้ งั้นข้อนี้ขอผ่านค่ะ 3. ถ้าคุณคิดว่าอยากทดสอบความอดทนของผู้ชาย รอได้แปลว่ารักจริง แล้วถ้าระหว่างรอผู้ชายขอหรือแอบไปเที่ยวผู้หญิงไปพลางๆ คุณจะยอมรับได้หรือไม่ เพราะเห็นได้จากกระทู้ก่อนหน้านี้ว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยที่ถือคติว่าหากแฟนไม่ยอมให้ ก็ไม่ผิดที่จะไปหาซื้อข้างนอก ถ้าหากคุณยอมรับได้ แนวคิดที่จะทดสอบความอดทนของผู้ชายก็จะเป็นโมฆะไปในทันที เพราะผู้ชายคนนั้นรอคุณก็จริง แต่ระหว่างรอก็อดไม่ได้ที่จะไปทำกับผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นผู้ชายคนนั้นก็ถือได้ว่าไม่มีความอดทนอย่างแท้จริง - บอกรอได้แต่ไปขอหาเศษหาเลย อืม งั้นเราขอมีกิ๊กมั่งได้ป่ะ เฮ้ยไม่มีไรจริงๆ แค่อยาก ให้กิ๊กเลี้ยงข้าวอ่ะ อ้ะอาจจะไปดูหนังต่อนิดหน่อย แล้วกิ๊กจะไปส่งเราที่บ้านแหละเทอ ไม่ว่ากันนะ แล้วระหว่างตะเองไปตีไก่อย่าลืมป้องกันนะตัว เขาไม่อยากติดโรค สรุปที่พูดมาทั้งหมด ยอมรับไม่ได้ค่ะ และตอนนี้ก็ยังรับไม่ได้อยู่เหมือนเดิม 4. ถ้าไม่ทำเพราะมีมุมมองว่าการไม่บริสุทธิ์ก่อนแต่งจะเป็นการทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่เห็นหัวอกพ่อแม่ แล้วผู้ชายไม่บริสุทธิ์ที่คุณจะรับมาเป็นแฟนล่ะ ผู้ชายคนนั้นเห็นหัวพ่อแม่เขาเองหรือไม่ การที่ผู้ชายคนนั้นไม่รักษาความบริสุทธิ์ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้เห็นหัวพ่อแม่ตัวเองเลย ที่ผ่านมาก็ทำให้พ่อแม่เสียชื่อเสียงมาแล้ว ว่าสอนลูกชายประสาอะไร ไม่ให้เกียรติผู้หญิง ไปมีอะไรกับผู้หญิงทั้งๆที่ไม่ได้แต่งงานกับเค้า แล้วผู้ชายแบบนี้หรือ ที่เป็นคนดีจริงและเหมาะสมจะเป็นคนที่คุณมอบความบริสุทธิ์ให้ - เมื่อก่อนไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ 5. คุณมีวิธีแยกแยะอย่างไร ว่าผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานได้น่ะ เป็นผู้ชายที่รักคุณจริงๆอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะทุกวันนี้สังคมเราเป็นสังคมที่ผู้ชายแข่งกันแย่งชิงความบริสุทธิ์ ในสังคมก็จะมีผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานเพียงเพราะว่าอยากได้ชื่อว่าเคยมีประสบการณ์ open บริสุทธิ์ผสมอยู่ด้วย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนนั้นขอแต่งงานกับคุณเพราะรักคุณ หรือว่ารักความบริสุทธิ์ของคุณ - เมื่อก่อนคิดแค่ว่า ถ้ารักก็ต้องรอได้ค่ะ คิดแค่นี้จริงๆ 6. หากคิดว่าเป็นวิธีคัดกรองคนดี โดยมีรากฐานจากความเชื่อที่ว่า ผู้ชายดีๆจะไม่ขอมีอะไรกับผู้หญิงก่อนแต่ง ส่วนผู้ชายที่ขอก่อนแต่งจะเป็นผู้ชายไม่ดี หากมันชัดเจนแบบนี้ วิธีการคัดกรองนี้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี แต่ในชีวิตจริงมันไม่ได้แบ่งชัดเจนเหมือนในอุดมย์คติ มันสามารถเป็นไปได้ทุกรูปแบบ ผู้ชายที่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่เป็นคนดีและรับผิดชอบก็มีให้เห็น ผู้ชายที่ไม่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่พอแต่งไปแล้วก็ไม่รับผิดชอบทิ้งลูกเมียก็มีให้เห็นเหมือนกัน มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ในเมื่อสังคมความเป็นจริงมันผสมกันไปหมด คนดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนไม่ดี ส่วนคนไม่ดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนดี แล้วแบบนี้จะเอาตรงไหนมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน - ข้อนี้แหละค่ะ ทำให้เราตื่นมาจากโลกแห่งความฝัน ว่าจริงๆ จะอยู่ก่อนหรือแต่งก่อน ไม่ได้การันตีว่าใครจะอยู่กันยืด เพราะเราเห็นปู่ย่า พี่น้องเรามากมายที่อยู่ก่อนแต่ง แล้วตอนหลังก็ได้แต่งจริงๆ ได้เลิกกันไปก็มี และคนที่แต่งก่อนรักกันเสมอต้นเสมอปลาย หรืออยู่ด้วยกัน โดยฝ่ายหญิงต้องมนทุกข์เพราะผู้ชายไปมีเมียน้อย จนเกือบฆ่าตัวตาย เพราะจะไปเร่ิมต้นใหม่ ตัวเองก็คิดว่าเสียบริสุทไปแล้ว ก็ต้องอยู่อย่างนั้นไป ก็มีเช่นกัน ขอย้ำ** สิ่งที่เราตอบมาทั้งหมดเป็นความคิดตอนอายุ 15 ซึ่งถูกปลูกฝังมาแบบ ผู้หญิงสมัยก่อนล้วนๆ แรกเลยเหมือนยังมีอคติ แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนไปมากแล้วค่ะ^^ จากคุณ : ตอนที่(ความคิด)ยังบริสุทธิ์ (เรไรรุ่งริ่ง) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:08:06

ความคิดเห็นที่ 5 (ขอจัดเต็ม)     สำหรับเรา ที่ยัง  virgin  อยู่  ไม่ใช่เพราะจะเก็บไว้ให้ผู้ชายวันแต่งงาน  ไม่ใช่เพราะค่านิยมหรือวัฒนธรรม แต่เป็นเพราะเราอยากเก็บไว้ให้คนที่มีค่าคู่ควรค่ะ เราเคยมีแฟนมาสามคน  แต่ไม่เคยให้คนไหนเพราะเรารู้สึกว่าเค้ายังดีไม่พอ ดีไม่พอ  เช่น  เจ้าชู้  เห็นแก่ตัว  ไม่รักเรามากพอ แต่ก่อนเราก็เคยมีค่านิยมแบบนั้น  มองว่าการรักษาความบริสุทธิ์ไว้จนแต่งงานเป็นเรื่องดี  แต่พอได้ไปอยู่ต่างประเทศมาสักพัก  โลกของเราก็กว้างขึ้น  ประกอบกับอายุที่มากขึ้นทำให้สมองพัฒนามากขึ้น  (เราเคยมีแฟนตั้งแต่  15  น่ะค่ะ  ตอนนั้นยังเด็กมาก)  รู้จักคิดเองมากขึ้น  ไม่ใช่ตัดสินบางอย่างจากค่านิยมหรือกระแสสังคมเท่านั้น และก็..จุดนึงเราก็รู้ว่าค่านิยมรักษาความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานในผู้หญิง  เป็นค่านิยมที่เหยียดเพศหญิงค่ะ เหยียดเพศ  เพราะเป็นการให้ค่าผู้หญิงเหมือนสินค้า  สินค้าดีต้องไม่มีตำหนิก่อนถึงมือผู้ซื้อ  และทำให้ผู้หญิงคิดว่าค่าของตนอยู่ที่ความบริสุทธิ์ด้วย  ถ้าไม่มีคุณค่าในตัวก็ลดลงไป  ทั้งที่เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติและทุกๆเพศก็มีความต้องการเหมือนกันหมด  ผู้ชายมีค่าเหนือผู้หญิงเพราะไม่จำเป็นต้องบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน  หรืออาจถึงขั้นตรงกันข้าม  ถ้าไม่เคยมาก่อนก็ไม่เจ๋ง  ยิ่งมีผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกันยิ่งแสดงความเป็นชาย  (คนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วย  แต่ยอมรับเถอะว่าความคิดแบบนี้ยังมีอยู่จริง) แต่ก่อนมีค่านิยมนี้เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายตั้งท้อง  ผู้หญิงรู้แน่ว่าลูกในท้องคือลูกของเธอ  แต่ผู้ชายไม่อาจแน่ใจได้  เพื่อให้แน่ใจ  จึงมีกฎให้ผู้หญิงบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน  (และในหลายๆประเทศนำไปสู่เหตุการณ์ที่ป่าเถื่อน  เช่น  การเย็บปิดช่องคลอดของผู้หญิงเอาไว้ตั้งแต่เด็กจนกว่าจะแต่งงาน  หรือการเฉือนเอาคลิตอริสออกไปตั้งแต่เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ) แต่ปัจจุบัน  เรามีวิธีการคุมกำเนิดและคุมโรคมากมาย  แค่เพียงแต่จะศึกษาและใช้มันเท่านั้น  ค่านิยมความบริสุทธิ์ไม่ควรจะมีอยู่แล้ว  ถามต่อ..มีแล้วได้อะไร? ประเทศไทยยังมีค่านิยมนี้อยู่  แต่ก็ยังมีอัตราการท้องของแม่วัยรุ่น  การทำแท้ง  และอื่นๆอีกเยอะแยะ  มากกว่าประเทศที่มีเสรีภาพทางด้านเพศมากกว่า  เช่น  อเมริกา เพราะฉะนั้น  ดิฉันคิดว่าเราควรกำจัดค่านิยมนี้ออกไปได้แล้ว  และสอนเรื่องเพศศึกษา/ให้ความรู้อย่างจริงจัง จากคุณ : TinkElena เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:16:52

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบคำถามทีละข้อนะคะ 1. หากผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับคุณเป็นพวกที่ตัวเองไม่บริสุทธิ์ แต่เรียกร้องว่าผู้หญิงที่แต่งงานด้วยต้องบริสุทธิ์ คุณยอมรับผู้ชายแบบนี้ได้หรือไม่ >>>>>  ไม่ค่ะ  นอกจากเค้าจะเปลี่ยนความคิดเพราะเรา  และรู้จักใช้สมองมากกว่าความเห็นแก่ตัวของตัวเอง 2. หากยอมรับข้อ 1 ได้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคุณจะไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ใจดีใจกว้าง แต่กำลังจะได้แต่งงานกับผู้ชายเห็นแก่ตัว ถือหลักการณ์ปิตาธิปไตย(ชายเป็นใหญ่) >>  ดังนั้นก็ข้ามข้อนี้ไป 3. ถ้าคุณคิดว่าอยากทดสอบความอดทนของผู้ชาย รอได้แปลว่ารักจริง แล้วถ้าระหว่างรอผู้ชายขอหรือแอบไปเที่ยวผู้หญิงไปพลางๆ คุณจะยอมรับได้หรือไม่ เพราะเห็นได้จากกระทู้ก่อนหน้านี้ว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยที่ถือคติว่าหากแฟนไม่ยอมให้ ก็ไม่ผิดที่จะไปหาซื้อข้างนอก ถ้าหากคุณยอมรับได้ แนวคิดที่จะทดสอบความอดทนของผู้ชายก็จะเป็นโมฆะไปในทันที เพราะผู้ชายคนนั้นรอคุณก็จริง แต่ระหว่างรอก็อดไม่ได้ที่จะไปทำกับผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นผู้ชายคนนั้นก็ถือได้ว่าไม่มีความอดทนอย่างแท้จริง >>  รับไม่ได้ค่ะ  เอาเปรียบกันชัดๆ  เห็นแก่ตัวสุด  แต่อย่างไรเราก็ไม่เลือกคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว 4. ถ้าไม่ทำเพราะมีมุมมองว่าการไม่บริสุทธิ์ก่อนแต่งจะเป็นการทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่เห็นหัวอกพ่อแม่ แล้วผู้ชายไม่บริสุทธิ์ที่คุณจะรับมาเป็นแฟนล่ะ ผู้ชายคนนั้นเห็นหัวพ่อแม่เขาเองหรือไม่ การที่ผู้ชายคนนั้นไม่รักษาความบริสุทธิ์ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้เห็นหัวพ่อแม่ตัวเองเลย ที่ผ่านมาก็ทำให้พ่อแม่เสียชื่อเสียงมาแล้ว ว่าสอนลูกชายประสาอะไร ไม่ให้เกียรติผู้หญิง ไปมีอะไรกับผู้หญิงทั้งๆที่ไม่ได้แต่งงานกับเค้า แล้วผู้ชายแบบนี้หรือ ที่เป็นคนดีจริงและเหมาะสมจะเป็นคนที่คุณมอบความบริสุทธิ์ให้ >>>>มุมมองเราไม่ได้เป็นแบบนั้น  และก็แสดงความคิดเห็นไปแล้วในคห.  5  ข้ามค่ะ และเราคิดว่า  "ชีวิตของเราเป็นของเราค่ะ" 5. คุณมีวิธีแยกแยะอย่างไร ว่าผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานได้น่ะ เป็นผู้ชายที่รักคุณจริงๆอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะทุกวันนี้สังคมเราเป็นสังคมที่ผู้ชายแข่งกันแย่งชิงความบริสุทธิ์ ในสังคมก็จะมีผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานเพียงเพราะว่าอยากได้ชื่อว่าเคยมีประสบการณ์ open บริสุทธิ์ผสมอยู่ด้วย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนนั้นขอแต่งงานกับคุณเพราะรักคุณ หรือว่ารักความบริสุทธิ์ของคุณ >>  ข้าม  จัดเต็มแล้วในคห.  5 6. หากคิดว่าเป็นวิธีคัดกรองคนดี โดยมีรากฐานจากความเชื่อที่ว่า ผู้ชายดีๆจะไม่ขอมีอะไรกับผู้หญิงก่อนแต่ง ส่วนผู้ชายที่ขอก่อนแต่งจะเป็นผู้ชายไม่ดี หากมันชัดเจนแบบนี้ วิธีการคัดกรองนี้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี แต่ในชีวิตจริงมันไม่ได้แบ่งชัดเจนเหมือนในอุดมย์คติ มันสามารถเป็นไปได้ทุกรูปแบบ ผู้ชายที่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่เป็นคนดีและรับผิดชอบก็มีให้เห็น ผู้ชายที่ไม่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่พอแต่งไปแล้วก็ไม่รับผิดชอบทิ้งลูกเมียก็มีให้เห็นเหมือนกัน มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ในเมื่อสังคมความเป็นจริงมันผสมกันไปหมด คนดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนไม่ดี ส่วนคนไม่ดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนดี แล้วแบบนี้จะเอาตรงไหนมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน >>>>จัดเต็มแล้วเช่นกัน หมายเหตุ: ที่ตั้งคำถามเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการจะผลักดันให้ผู้หญิงที่บริสุทธิ์ล้มเลิกความคิดที่จะเก็บรักษาความบริสุทธิ์ แต่จุดประสงค์คือต้องการให้คิดดีๆว่าคุณใช้เกณฑ์อะไรในการคัดเลือกผู้ชายดีๆ เกณฑ์การคัดเลือกผู้ชายดีๆที่คุณใช้อยู่มันได้ผลแค่ไหนในชีวิตสังคมความเป็นจริง คุณอุตส่าห์อดทนเก็บความบริสุทธิ์ที่คุณคิดว่าล้ำค่าไว้ เพื่อมอบให้กับผู้ชายที่สมควรได้รับจริงๆ ดังนั้นก็ต้องเลือกดีๆ คิดอย่างรอบคอบ ว่าวิธีต่างๆที่ใช้ในการคัดกรองมันเป็นวิธีที่ได้ผลจริงหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะจบด้วยการแต่งงานและมอบความบริสุทธิ์ให้กับผู้ชายที่ไม่ได้รักคุณที่ตัวคุณจริงๆ และไม่ได้มีค่าคู่ควรกับคุณเลย >>>>   ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นี้มาเพื่อให้เราได้จัดเต็มค่ะ จากคุณ : TinkElena เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:23:50

ความคิดเห็นที่ 7 คิดแทนผู้ชายบางส่วนว่า " อะไรที่ได้มายาก มักจะมีคุณค่าแก่การเก็บรักษาเสมอ " จากคุณ : February sept เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:26:24

ความคิดเห็นที่ 8 เก็บความบริสุทธิ์ไว้ หลักๆก็เพื่อตัวเองค่ะ ไม่ได้เพื่อใคร อีกอย่างพ่อแม่เราก็เลี้ยงเรามาแบบหัวโบราณ เลยค่อนข้างหัวโบราณระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มากถึงกับไม่ถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้าม สำหรับความเห็นเรื่องรับผู้ชายไม่บริสุทธิ์มาเป็นแฟน ไม่รู้จะออกความเห็นยังไงค่ะ สังคมรอบตัวเรา เราแทบไม่เคยรู้จักกับผู้ชายที่ไปเที่ยวอย่างว่าเลย ผู้ชายรอบตัวเราส่วนใหญ่ ติดบ้าน ติดแม่ รักครอบครัว ขยันและมีความรับผิดชอบ ไม่ได้พูดเกินจริงนะคะ ร้อยละเก้าสิบเป็นอย่างนี้หมดค่ะ รวมถึงคนที่เราชอบด้วย เคยถามเค้าเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน เค้าบอกว่าไม่รู้จะเที่ยว กินเหล้าไปทำไม ทำไปผลเสียก็ตกอยู่กับตัวเอง ไม่ได้ตกอยู่กับใคร พ่อแม่ก็เสียใจเปล่าๆ เปลืองเงินด้วย ในความคิดเรานะคะ เราทำตัวแบบไหนเราก็มักจะดึงดูดคนประเภทเดียวกันกับเราเข้ามาหาตัวเราค่ะ จากคุณ : LeNyAzAzA เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:43:12

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามาอ่านแบบง่วงๆ - - จากคุณ : BIOTOMNEG เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:44:26

ความคิดเห็นที่ 10 หลักสูตรเรื่องเพศศึกษาของเมืองไทยควรปรับปรุง แต่การป้องกันต่างๆ เช่น ถุงยาง อนามัย ยาคุมกำเเนิด ฯลฯ ก็ไม่ ร้อยเปอร์เซ็นต์ทางการแพทย์ ขออภัยที่เห็นต่างบางประเด็น ด้วยความเคารพ จากคุณ : ณินทร์ลดา เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:45:43

ความคิดเห็นที่ 11 คห 7 "อะไรที่ได้มายาก มักจะมีคุณค่าแก่การเก็บรักษาเสมอ" ประโยคนี้เราว่ามันใช้ได้กับสิ่งของเท่านั้นนะคะ และต้องเป็นสิ่งของที่จะคงสภาพเดิมไปตลอดด้วย เช่นแจกันล้ำค่า กว่าจะหามาได้ พอได้มาแล้วก็เก็บเข้าตู้ตั้งโชว์ไม่แตะต้อง แต่ความบริสุทธิ์นั้นไม่เหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ใช้ได้ครั้งเดียว เหมือนกล้องใช้ครั้งเดียวนั่นแหละ นอกเสียจากผู้ชายจะแต่งงานกับผู้หญิงบริสุทธิ์เสร็จแล้วก็เก็บเธอขึ้นหิ้งไม่แตะต้องเลย และในบางกรณี การที่ผู้หญิงทำตัวเองให้ดูยาก แทนที่จะได้คนดีที่เข้ากับเราได้ อาจจะเป็นการดึงดูดผู้ชายประเภทชอบเอาชนะ ชอบความท้าทายและบ้าอำนาจ มีเหมือนกันนะ บางบ้านเรียกสินสอดแพงหูฉี่ เพื่อหวังว่าผู้ชายที่อุตส่าห์เก็บเงินมาขอได้จะเห็นคุณค่าทะนุถนอมว่ากว่าจะได้มาต้องลำบากไปเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นผู้ชายมองว่าฉันเสียตังค์ค่าตัวเธอมาตั้งเยอะ ต้องใช้ให้คุ้ม ทั้งบนเตียงและงานบ้าน จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:56:08

ความคิดเห็นที่ 12 1 ไม่ค่ะ 2 ข้ามค่ะ 3 ไม่ค่ะ เราไม่คิดว่าผู้ชายที่คิดแบบนี้ จะเป็นพ่อที่ดีของลูก หรือเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีของเราได้ 4 ใช่ค่ะ เราคิดเสมอว่าถ้าพ่อแม่สอนเค้าให้ดีได้ จะต้องสอนหลานให้ดีได้เหมือนกัน และถ้าครอบครัวเค้าเป็นแบบนั้น อย่างน้อยจะมีหนึ่งอย่างที่ครอบครัวเค้ากับครอบครัวเราเข้ากันได้ และเราเชื่อว่าครอบครัวที่สามารถปลูกฝังเรื่องเหล่านี้ให้ลูกได้ จะสอนอะไรดีดีได้อีกมาก 5 6 ดังนั้นผู้ชายที่อยู่ดีดีโผล่เข้ามา จะไม่ใช่คนที่เราสนใจ เพราะไม่รู้พื้นเพของเค้ามากพอ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 01:17:19 จากคุณ : ต้นไม้สีเทา เพลงเบาเบากับลูกอม เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 01:14:56

ความคิดเห็นที่ 13 คห 10 เห็นต่างไม่เป็นไรค่ะ อยากให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่แล้ว เรามีข้อสงสัยนิดนึงนะคะ ที่คุณบอกไว้ใน คห 2 "ไม่ซีเรียสเรื่องผู้ชายบริสุทธิค่ะ เพราะเข้าใจธรรมชาติของผู้ชาย" แล้วธรรมชาติของผู้หญิงล่ะคะ จริงๆแล้วโดยธรรมชาติผู้หญิงก็มีความต้องการทางเพศพอๆกับผู้ชายนะคะ เพียงแต่ผู้หญิงถูกสั่งสอนมาให้เก็บกดความรู้สึกทางเพศ ส่วนผู้ชายถูกสั่งสอนมาให้ปลดปล่อย งงว่าในเมื่อทั้งสองเพศมีความต้องการเหมือนๆกัน ทำไมไม่สั่งสอนให้เหมือนกัน ถ้าอยากให้สังคมไม่มั่ว ก็สั่งสอนให้ทั้งสองเพศควบคุมตัวเอง ส่วนเรื่องอุปกรณ์บ้องกันนั้น แต่ละอย่างอาจจะได้ผลแค่เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีข้อห้ามนี่คะว่าห้ามใช้มากกว่าหนึ่งอย่างพร้อมกัน สามารถใช้รวมกันได้ เช่นถ้าอยากให้ปลอดภัยจริงๆก็ให้ผู้ชายใส่ถุงยางพร้อมๆกับที่ผู้หญิงกินยาคุม เอาให้แน่กว่านั้นก็ให้ผู้หญิงใส่ female condom ด้วยก็ได้ ใช้รวมกันแบบนี้ก็น่าจะป้องกันไ้ด้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 01:16:35

ความคิดเห็นที่ 14 ขอตอบ 1. หากผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับคุณเป็นพวกที่ตัวเองไม่บริสุทธิ์ แต่เรียกร้องว่าผู้หญิงที่แต่งงานด้วยต้องบริสุทธิ์ คุณยอมรับผู้ชายแบบนี้ได้หรือไม่ >> เรารับได้ถ้าผู้ชายที่มาแต่งงานด้วยไม่บริสุทธ์ ไม่ได้สนใจด้วยว่าเสียความบริสุทธ์มาเพราะอะไร จริงๆอยากให้เขามีประสบการณ์มาบ้างด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะรับไม่ได้คงเป็นความคิดที่ใจแคบมากกว่า 2. หากยอมรับข้อ 1 ได้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคุณจะไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ใจดีใจกว้าง แต่กำลังจะได้แต่งงานกับผู้ชายเห็นแก่ตัว ถือหลักการณ์ปิตาธิปไตย(ชายเป็นใหญ่) >> ข้อ 1นี่คือรับไม่ได้รึป่าว ตอบเอง งงเอง 3. ถ้าคุณคิดว่าอยากทดสอบความอดทนของผู้ชาย รอได้แปลว่ารักจริง แล้วถ้าระหว่างรอผู้ชายขอหรือแอบไปเที่ยวผู้หญิงไปพลางๆ คุณจะยอมรับได้หรือไม่ เพราะเห็นได้จากกระทู้ก่อนหน้านี้ว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยที่ถือคติว่าหากแฟนไม่ยอมให้ ก็ไม่ผิดที่จะไปหาซื้อข้างนอก ถ้าหากคุณยอมรับได้ แนวคิดที่จะทดสอบความอดทนของผู้ชายก็จะเป็นโมฆะไปในทันที เพราะผู้ชายคนนั้นรอคุณก็จริง แต่ระหว่างรอก็อดไม่ได้ที่จะไปทำกับผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นผู้ชายคนนั้นก็ถือได้ว่าไม่มีความอดทนอย่างแท้จริง >>>รับไม่ได้ 4. ถ้าไม่ทำเพราะมีมุมมองว่าการไม่บริสุทธิ์ก่อนแต่งจะเป็นการทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่เห็นหัวอกพ่อแม่ แล้วผู้ชายไม่บริสุทธิ์ที่คุณจะรับมาเป็นแฟนล่ะ ผู้ชายคนนั้นเห็นหัวพ่อแม่เขาเองหรือไม่ การที่ผู้ชายคนนั้นไม่รักษาความบริสุทธิ์ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้เห็นหัวพ่อแม่ตัวเองเลย ที่ผ่านมาก็ทำให้พ่อแม่เสียชื่อเสียงมาแล้ว ว่าสอนลูกชายประสาอะไร ไม่ให้เกียรติผู้หญิง ไปมีอะไรกับผู้หญิงทั้งๆที่ไม่ได้แต่งงานกับเค้า แล้วผู้ชายแบบนี้หรือ ที่เป็นคนดีจริงและเหมาะสมจะเป็นคนที่คุณมอบความบริสุทธิ์ให้ >>เราไม่เคยคิดไกลขนาดนี้ เราคิดแค่ว่าทีทำอยู่ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราสบายใจที่จะทำ และพ่อกับแม่เรามีความสุขไม่เป็นทุกข์เพราะเราก็พอแล้ว 5. คุณมีวิธีแยกแยะอย่างไร ว่าผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานได้น่ะ เป็นผู้ชายที่รักคุณจริงๆอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะทุกวันนี้สังคมเราเป็นสังคมที่ผู้ชายแข่งกันแย่งชิงความบริสุทธิ์ ในสังคมก็จะมีผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานเพียงเพราะว่าอยากได้ชื่อว่าเคยมีประสบการณ์ open บริสุทธิ์ผสมอยู่ด้วย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนนั้นขอแต่งงานกับคุณเพราะรักคุณ หรือว่ารักความบริสุทธิ์ของคุณ >>>เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า "สังคมเราเป็นสังคมที่ผู้ชายแข่งกันแย่งชิงความบริสุทธิ์"ไม่ได้ชิงผู้หญิงสวยๆดีๆกันหรอกเหรอ เราไม่มีวิธีแยกแยะหรอกเพราะเราไม่ได้เก็บไว้ให้ผู้ชายมาแย่งชิง เราเก็บไว้สำหรับความภูมิใจของเราเองและคนที่ใช่สำหรับเรา อีกอย่างเราคิดว่าผู้ชายเขาคงไม่โง่ที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีดีแค่ความบริสุทธิ์หรอก เรามั่นใจว่าเรามีดีมากกว่าเป็นแค่ผู้หญิงที่บริสุทธิ์ 6. หากคิดว่าเป็นวิธีคัดกรองคนดี โดยมีรากฐานจากความเชื่อที่ว่า ผู้ชายดีๆจะไม่ขอมีอะไรกับผู้หญิงก่อนแต่ง ส่วนผู้ชายที่ขอก่อนแต่งจะเป็นผู้ชายไม่ดี หากมันชัดเจนแบบนี้ วิธีการคัดกรองนี้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี แต่ในชีวิตจริงมันไม่ได้แบ่งชัดเจนเหมือนในอุดมย์คติ มันสามารถเป็นไปได้ทุกรูปแบบ ผู้ชายที่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่เป็นคนดีและรับผิดชอบก็มีให้เห็น ผู้ชายที่ไม่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่พอแต่งไปแล้วก็ไม่รับผิดชอบทิ้งลูกเมียก็มีให้เห็นเหมือนกัน มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ในเมื่อสังคมความเป็นจริงมันผสมกันไปหมด คนดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนไม่ดี ส่วนคนไม่ดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนดี แล้วแบบนี้จะเอาตรงไหนมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน >>>แค่ไม่มีอะไรกัน แต่ไม่ได้ห้ามให้ศึกษานิสัยใจคอกันไม่ใช่เหรอ ระหว่างคบกันศึกษากันไปดิ มีเวลาทดสอบศึกษากันออกมากมาย ช่วงเวลาเหล่านั้นดูไม่ออกเหรอว่าเป็นผู้ชายแบบไหน แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะจบแบบไหน? เรารับได้ ไม่สนใจด้วยว่าแต่งงานแล้วจะเลิกกัน เพราะเราเป็นคนเลือกเองและยังยืนยันที่จะเก็บไว้        วิธีการต่างๆเหล่านี้มันเป็นกุศโลบาย ที่ผู้ใหญ่เขาทำเพื่อสำหรับคัดกรองผู้ชายๆดีให้ลูกสาวของตนเอง และวางใจได้ในระดับหนึ่งว่าได้มอบลูกสาวที่ตนเองรักให้กับผู้ชายดีๆได้ดูแล สำหรับผู้ชายแล้วมันเป็นการแสดงความเป็นชายอย่างหนึ่งที่ต้องอดทนและฝ่าฟันสิ่งเหล่านี้ไปให้ได้ และแน่นอนที่สุดเลยผู้หญิงให้มีคุณค่า เราว่าเป็นการให้เกียรติผู้หญิงด้วยซ้ำ จริงอยู่ที่ว่าสังคมเราปัจจุบันมันยากขึ้น อะไรๆหลายอย่างเปลี่ยนไป คงไม่ได้อะไรมากมาย ความบริสุทธิ์อาจไม่ต้องเก็บถึงขั้นแต่งงาน แต่เป็นคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่จริงๆ แค่อยากให้ผู้หญิงเราอย่าลดคุณค่าของตัวเอง โดยการให้มันไปง่ายๆกับผู้ชายที่ไร้ค่าก็พอ เลือกบ้างอะไรบ้าง แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 01:20:45 จากคุณ : sumsia เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 01:19:10

ความคิดเห็นที่ 15 คห 14 ขอถามนิดนึงนะคะ ในข้อ 1 ผู้ชายที่เราถามว่ารับได้รึเปล่า หมายถึง ผู้ชายที่ไม่บริสุทธิ์แต่คาดหวังให้ผู้หญิงบริสุทธิ์ค่ะ เห็นคุณตอบว่า "ถ้าจะรับไม่ได้คงเป็นความคิดที่ใจแคบมากกว่า" อย่างนี้คุณคิดบ้างหรือไม่ว่าผู้ชายที่รับผู้หญิงไม่บริสุทธิ์ไม่ได้จะเป็นคนใจคับแคบ ? และที่บอกว่า "เราคิดว่าผู้ชายเขาคงไม่โง่ที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีดีแค่ความบริสุทธิ์หรอก" ขอยืนยันว่ามีผู้ชายแบบนี้อยู่ในสังคมจริงๆค่ะ ลองไปดูจากกระทู้เก่าๆแนวนี้ได้ มักจะมีผู้ชายบางคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ไม่ว่าผู้หญิงจะดีเลิศประเสริฐศรียังไง เค้าก็จะแต่งงานเพราะความบริสุทธิ์เท่านั้น ออพชั่นอื่นไม่เกี่ยวเลย จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 01:34:26

ความคิดเห็นที่ 16 จะบอกว่าผู้ชายถ้าไม่เอาออกบ้างมันก็จะออกมาเองในรูปแบบฝันเปียกนะครับเลยต้อง......บ้างแล้วแต่วิธีของแต่ละคนไป จากคุณ : LIZP เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 01:36:10

ความคิดเห็นที่ 17 คห 16 จริงค่ะ ผู้หญิงเราเมื่อมีอารมณ์แต่ยังไม่มีแฟน ก็ต้องช่วยตัวเองเหมือนกัน ไม่งั้นจะหงุดหงิดมากค่ะ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 01:45:43

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่อยากให้เอาเรื่องความบริสุทธิ์มาตัดสินคนค่ะ คนดี ไม่ดี / การกระทำที่บ่งบอกว่ารัก ไม่รัก  การมีเซ็กซ์วัดอะไรไม่ได้เลย.. เราไม่ชอบความคิดของคนที่ใช้ความบริสุทธิ์มาวัดคุณค่าคน เช่น ผู้หญิงควรจะซิงจนถึงวันแต่งงาน , ผู้หญิงบริสุทธ์ดีกว่าผู้หญิงที่เสียตัว ฯลฯ มันก็แค่ความเชื่อ ที่สืบทอดกันมา เราเห็นด้วยกับความเห็นอื่นนะคะ ที่บอกว่า มันเป็นการมองผู้หญิงเป็นสินค้าและควรปลูกฝังค่านิยมใหม่ เราคิดว่า "ความรัก" กับ "เซ็กซ์" มันคนละเรื่องกัน การที่คน 2 คนอยากมีอะไรกัน น่าจะเกิดจากอารมณ์ทางเพศมากกว่า เรามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกคนมี เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคนบางคน ถึงสามารถมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ตนเองไม่ได้รัก สำหรับเราไม่เคยมีความคิดเรื่องจะเก็บความบริสุทธิ์ เพราะเราไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญค่ะ สิ่งที่เรามองว่าสำคัญจริงๆ คือ "การกระทำ" ของคนๆนั้น << มุมมองเกี่ยวกับการนอกใจ >> ไม่ผิดอะไรแต่ผิดกับความรู้สึกค่ะ เป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงความรู้สึกคนอื่น เราไม่เลือกคนแบบนี้ค่ะ เห็นด้วยกับแนวคิด "การอยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของความรัก" ขอโทษด้วยค่ะ ที่ไม่ได้ตอบคำถาม จากคุณ : สมบัติที่โคนรุ้ง เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:20:53

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าผู้ชายไปเสียความบริสุทธิ์ให้หญิงออน.หรือหมอนวดกาปู๋ที่เค้า"สมัครใจ"ไปทำงานแบบนั้นเองล่ะ ในกรณีนี้เค้าไม่ได้ไปทำผู้หญิงบริสุทธิ์ให้ไม่บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น แต่ชายคนนั้นอยากแต่งกับหญิงบริสุทธิ์ แบบนี้ได้ป่ะ? อย่างไรก็ดี ผมชอบความเห็น 5 ที่สุด จากคุณ : ปู๊ดๆ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:31:10 A:115.87.85.192 X: TicketID:084050

ความคิดเห็นที่ 20 เป็นผู้ชาย ขอแทรกนิดนึง555 ผมว่าผู้ชายตอนนี้ ยุคนี้ สมัยนี้ ไม่มีใครตั้งเป้าแล้วหล่ะครับ ว่าจะแต่งงานกับสาวบริสุทธิ์เท่านั้น คงจะเหลืออยู่ประมาณ0.1%ที่ยังคิดแบบนั้น ถ้าผู้ชายไม่สนแล้ว ญ.บริสุทธกับไม่บริสุทธ ต่างกันตรงไหน? ต่างกันที่คุณค่าครับ มันเป็นเหมือนคุณค่าที่มอบให้กัน คุณจะผิดหวังไหม๊ถ้าสมมุตเก็บเงินหลายเดือน เพื่อซื้อกระเป๋าที่คุณใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากจะได้ตั้งแต่เด็ก แต่พอซื้อมาแล้วรู้ทีหลังว่า มันเป็นของมือสองโดนย้อมแมวขาย คุณก้คงไม่ถึงกับทิ้งมันหรอก แต่คุณค่ามันคงลดลงใช่ไหม๊ ผมไม่ได้หมายความว่าตีค่าผู้หญิงเป็นเงินกับสิ่งของ แต่ผมพูดถึงเรื่องความรู้สึกของสิ่งที่เราเฝ้าฝัน ผู้ชายบ้างคนที่งี่เง่าหน่อย อาจจะขุดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาตอนทะเลาะกัน บางคนอาจจะไม่พูดแต่ในใจก้คิด สรุปคือ ยังไงเก็บไว้ก้ดีที่สุดครับ คุณจะมีคุณค่าทางความรู้สึกมากๆกับผู้ชายคนนึงที่รักคุณมาก  รวมถึงความภาคภูมิใจในตัวเองของคุณเองด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 02:48:10 จากคุณ : เอาแต่ใจ (Bas Plus) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:46:28

ความคิดเห็นที่ 21 คห 19 ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้ชายไปเสียความบริสุทธิ์ให้ใคร แต่อยู่ที่ว่า หากผู้ชายอยากได้ผู้หญิงที่บริสุทธิ์ เพราะคิดว่าผู้หญิงบริสุทธิ์เป็นคนดีรู้จักควบคุมความต้องการของตัวเอง ดังนั้นผู้หญิงบริสุทธิ์หลายคนก็ต้องการผู้ชายดีๆที่รู้จักควบคุมความต้องการของตัวเองเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าผู้ชายจะไปเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้หญิงอื่นที่สมัครใจ แต่ก็ถือว่าเป็นการควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่ดี (นี่มองจากมุมมองของผู้หญิงบริสุทธิ์ที่ถือคุณค่าของความบริสุทธิ์ และต้องการคู่ครองที่มีคุณค่าในระดับเดียวกันนะคะ) จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:48:16

ความคิดเห็นที่ 22 A : มีอะไรกับแฟนก่อนแต่ง --> คบกันไปจนแต่งงาน --> อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า B : มีอะไรกับแฟนก่อนแต่ง --> คบกันไปจนแต่งงาน --> มีเมียน้อย C : รอได้เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา --> คบกันไปจนแต่งงาน --> มีเมียน้อย D : รอได้เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา --> คบกันไปจนแต่งงาน --> อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ดูเผินๆ นาย D อาจจะดูเป็นคนที่ดีที่สุด หากแต่... ในใจนาย A นั้นคิดว่า "เราเป็นของกันและกันแล้ว ฉันขอสัญญากับตัวเอง ไม่ว่าจะยังไง..ฉันจะดูแลผู้หญิงคนนี้ คนที่ฉันรักไปจนวันสุดท้ายของชีวิต" และในใจนาย D นั้นคิดว่า "ผู้หญิงคนนี้นี่แหล่ะ คู่ควรกับฉัน ทั้งหน้าตา ฐานะ นิสัย..ยังไงก็ไม่ปล่อยไปไหนแน่ๆ รอแค่นี้จะเป็นไรไป" อนิจจา จิตใจมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจยากที่สุดบนโลกใบนี้... แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 02:57:21 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 02:56:49 จากคุณ : l2egga (l2egga) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:55:27

ความคิดเห็นที่ 23 คห 20 แล้วคุณคิดว่าผู้ชายที่เสียความบริสุทธิ์ไปแล้วจะมีคุณค่าลดลงหรือเปล่าคะ ถ้าความบริสุทธิ์มันทำให้คุณค่าของคนเพิ่มหรือลดลงได้ แล้วถ้าผู้หญิงที่เค้าเก็บความบริสุทธิ์มาตั้งนานเพื่อจะให้กับผู้ชายที่คู่ควร เฝ้าฝันมาตลอดว่าอยา่กได้ผู้ชายที่มีคุณค่าเท่ากัน ไม่เคยผ่านมือผู้หญิงอื่นมาก่อน แต่มาพบว่าแฟนเคยผ่านมาแล้ว แบบนี้คุณคิดว่าผู้หญิงมีสิทธิ์รู้สึกผิดหวังมั๊ยคะ สรุปแล้ว เราคิดว่า คนเรา หากหวังให้อีกฝ่ายเป็นอย่างไร เราก็ควรพยายามทำตัวเองให้เป็นแบบนั้น ให้คู่ควรกัน ไม่ด้อยไปกว่ากัน มันเป็นการให้เกียรติกัน หากตัวเองฝ่านมาไม่รู้กี่มือ แต่หวังให้อีกฝ่ายบริสุทธิ์ผุดผ่อง แบบนั้นมันเอาเปรียบกันไปหน่อยค่ะ เหมือนเอาไก่มาแลกเครื่องบิน จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:59:22

ความคิดเห็นที่ 24 1. หากผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับคุณเป็นพวกที่ตัวเองไม่บริสุทธิ์ แต่เรียกร้องว่าผู้หญิงที่แต่งงานด้วยต้องบริสุทธิ์ คุณยอมรับผู้ชายแบบนี้ได้หรือไม่ >>> รับได้ค่ะ 2. หากยอมรับข้อ 1 ได้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคุณจะไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ใจดีใจกว้าง แต่กำลังจะได้แต่งงานกับผู้ชายเห็นแก่ตัว ถือหลักการณ์ปิตาธิปไตย(ชายเป็นใหญ่) >>> เราไม่คิดค่ะ ไม่มีเหตุจำเป็นที่เราต้องคิดว่าเขาจะเห็นแก่ตัวหรือไม่อย่างไรเพราะเราบริสุทธิ์แน่นอน มองว่าคนเราแต่งงานกัน ย่อมต้องมีความแตกต่างกันไปอยู่แล้ว เขามีสิ่งที่เขารับได้และรับไม่ได้ มีสิ่งที่อยากได้และไม่ได้ เราก็มีสิ่งที่เรารับได้และรับไม่ได้เช่นกันค่ะ มันเลยขึ้นอยู่กับคู่ครองของตัวเองค่ะ เหมือนคนเพ้อฝันนะคะ แต่เราเชื่อว่าหากเรามีเพศสัมพันธ์กับคนที่เราแต่งงานด้วยแล้วเขารู้ว่าเราบริสุทธิ์มันคงมีสักช่วงหนึ่งที่เขาคงอยากให้ตัวเขาสะอาด ไม่ผ่านใครมาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ความคิดแค่นั้น...ก็เพียงพอแล้วสำหรับเราค่ะ อีกอย่าง...หากเราให้ค่ากับสิ่งใด คนที่รักเราจะให้ค่ากับสิ่งนั้นเช่นกัน อันนี้เป็นหลักความคิดของเราคนเดียวนะคะ ส่วนตัวเรามองว่าถ้าเราเห็นว่าเยื่อบางๆของตัวเองมีค่ามาก ผู้ชายที่รักเราจะรู้ว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้และมองว่ามันมีค่าเช่นกัน ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะมองว่ามันก็แค่เยื่อบางๆเท่านั้นก็ตาม... 3. ถ้าคุณคิดว่าอยากทดสอบความอดทนของผู้ชาย รอได้แปลว่ารักจริง แล้วถ้าระหว่างรอผู้ชายขอหรือแอบไปเที่ยวผู้หญิงไปพลางๆ คุณจะยอมรับได้หรือไม่ เพราะเห็นได้จากกระทู้ก่อนหน้านี้ว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเลยที่ถือคติว่าหากแฟนไม่ยอมให้ ก็ไม่ผิดที่จะไปหาซื้อข้างนอก ถ้าหากคุณยอมรับได้ แนวคิดที่จะทดสอบความอดทนของผู้ชายก็จะเป็นโมฆะไปในทันที เพราะผู้ชายคนนั้นรอคุณก็จริง แต่ระหว่างรอก็อดไม่ได้ที่จะไปทำกับผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นผู้ชายคนนั้นก็ถือได้ว่าไม่มีความอดทนอย่างแท้จริง >>> ยอมรับไม่ได้ค่ะ ก่อนหน้านี้เรายังไม่เจอกัน เขาจะมีก็มีไปเพราะเรายังไม่มีกันและกันในชีวิต แต่ถ้ามีเราเป็นแฟน...คุณผู้ชายต้องอดทนค่ะ 4. ถ้าไม่ทำเพราะมีมุมมองว่าการไม่บริสุทธิ์ก่อนแต่งจะเป็นการทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่เห็นหัวอกพ่อแม่ แล้วผู้ชายไม่บริสุทธิ์ที่คุณจะรับมาเป็นแฟนล่ะ ผู้ชายคนนั้นเห็นหัวพ่อแม่เขาเองหรือไม่ การที่ผู้ชายคนนั้นไม่รักษาความบริสุทธิ์ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้เห็นหัวพ่อแม่ตัวเองเลย ที่ผ่านมาก็ทำให้พ่อแม่เสียชื่อเสียงมาแล้ว ว่าสอนลูกชายประสาอะไร ไม่ให้เกียรติผู้หญิง ไปมีอะไรกับผู้หญิงทั้งๆที่ไม่ได้แต่งงานกับเค้า แล้วผู้ชายแบบนี้หรือ ที่เป็นคนดีจริงและเหมาะสมจะเป็นคนที่คุณมอบความบริสุทธิ์ให้ >>>ข้อนี้ขึ้นอยู่กับการอบรมของพ่อแม่ของแต่ละคนค่ะ เราไม่คิดในส่วนของผู้ชายค่ะ เน้นปฏิบัติเอาตัวเราและครอบครัวเราเป็นเกณฑ์ ถ้าพ่อแม่เรารับไม่ได้กับการอยู่ก่อนแต่ง เราก็จะไม่อยู่ค่ะ ถ้าอะไรคือสิ่งที่พ่อแม่เสียใจเราก็จะไม่ทำ คล้ายๆกับ...อะไรที่คนอื่นทำแล้วเรามองว่าไม่เหมาะสม เราก็ไม่จำเป็นต้องทำตามเขาเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อกัน เพราะเราก็จะกลายเป็นคนประเภทเดียวกันกับเขาค่ะ ส่วนผู้ชายที่เราจะแต่งงานด้วย เชื่อมั่นว่าเขาก็ไม่ใช่คน perfect อะไร คงจะเคยหมิ่นเกียรติผู้หญิงมามากมาย ไม่ทำตามที่พ่อแม่สั่งสอน มันก็เป็นสิ่งแย่ๆในชีวิตเขาที่เขาต้องเรียนรู้และอยู่กับมัน แต่คนรักกัน จะแต่งงานกัน ต้องอภัยให้กันค่ะ อดีตจะผ่านอะไรมา...ก็เป็นเรื่องของอดีตค่ะ แค่เขาเจอเรา แล้วทำตัวเองให้ดี ไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิงอีก ก็พอแล้ว 5. คุณมีวิธีแยกแยะอย่างไร ว่าผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานได้น่ะ เป็นผู้ชายที่รักคุณจริงๆอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะทุกวันนี้สังคมเราเป็นสังคมที่ผู้ชายแข่งกันแย่งชิงความบริสุทธิ์ ในสังคมก็จะมีผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานเพียงเพราะว่าอยากได้ชื่อว่าเคยมีประสบการณ์ open บริสุทธิ์ผสมอยู่ด้วย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนนั้นขอแต่งงานกับคุณเพราะรักคุณ หรือว่ารักความบริสุทธิ์ของคุณ >>> ผู้ชายที่อดทนรอจนแต่งงานได้ ไม่สามารถวัดได้ว่ารักผู้หญิงคนนั้นอย่างแท้จริงค่ะ แต่สิ่งที่วัดได้แน่ๆคือ อย่างน้อยเขาก็รู้จักเห็นหัวพ่อแม่ของฝ่ายหญิงและให้เกียรติทางบ้านฝ่ายหญิงบ้าง ทำอะไรให้ผู้ใหญ่เห็นชอบ (จะไปหวังอะไรกับผู้ชายมากมายล่ะคะ? จริงไหม? 555+) แค่ให้เกียรติกัน มีความอดทนในเบื้องต้น รู้จักอดกลั้น ควบคุมตัวเองในขั้นพื้นฐานได้ ก็เพียงพอแล้ว สำหรับเรา อย่างน้อยตรงนี้ก็ควรจะมีค่ะ อย่างที่เคยบอกไปแล้ว...เราไม่คิดว่าแฟนเราหรือผู้ชายคนไหนจะดีร้อย% เพราะไม่มีผู้ชายแบบนั้นในโลก...(สิ้นหวังแล้วว 555+) 6. หากคิดว่าเป็นวิธีคัดกรองคนดี โดยมีรากฐานจากความเชื่อที่ว่า ผู้ชายดีๆจะไม่ขอมีอะไรกับผู้หญิงก่อนแต่ง ส่วนผู้ชายที่ขอก่อนแต่งจะเป็นผู้ชายไม่ดี หากมันชัดเจนแบบนี้ วิธีการคัดกรองนี้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี แต่ในชีวิตจริงมันไม่ได้แบ่งชัดเจนเหมือนในอุดมย์คติ มันสามารถเป็นไปได้ทุกรูปแบบ ผู้ชายที่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่เป็นคนดีและรับผิดชอบก็มีให้เห็น ผู้ชายที่ไม่ขอมีอะไรก่อนแต่งแต่พอแต่งไปแล้วก็ไม่รับผิดชอบทิ้งลูกเมียก็มีให้เห็นเหมือนกัน มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ในเมื่อสังคมความเป็นจริงมันผสมกันไปหมด คนดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนไม่ดี ส่วนคนไม่ดีแอบแฝงอยู่ในกลุ่มคนดี แล้วแบบนี้จะเอาตรงไหนมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน >>> ผู้ชายส่วนใหญ่หากเป็นแฟนกับผู้หญิงสักคน ถ้ามีอะไรด้วยได้ก็คงมีอ่ะค่ะ 555+ (แนวหากฉันได้ ฉันก็เอา) แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเวลาผู้หญิงไม่โอเค ฝ่ายชายงี่เง่าเอาแต่ใจจะมีให้ได้รึเปล่า? มีความยับยั้งชั่งใจหรือไม่ แบบพูดกันรู้เรื่อง ให้เกียรติผู้หญิงมีสิทธิเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งที่ผู้หญิงไม่อยากทำ (สำหรับผู้หญิงที่จะไม่คิดมีก่อนแต่ง) แต่ถ้าผู้หญิงโอเค ก็มีไป มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นประเด็นให้คิดมาก ส่วนที่ว่าผู้ชายขอมีอะไรก่อนแต่งแล้วจะไม่ดีมันก็วัดไม่ได้อ่ะค่ะ เขาอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ การเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ครองมันก็มีปัจจัยเสี่ยงอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยการให้เกียรติกันเป็น priority หลักลำดับต้นๆที่ควรจะมี และการแต่งงานก็ถือเป็นพิธีอันศักสิทธิ์ เป็นอะไรที่คนรอบตัวของบ่าวสาวมารวมตัวกันเพื่ออวยพรให้คนคู่หนึ่งมีความสุข คำอวยพรเป็นอะไรที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเสมอค่ะ ปล. เราไม่คิดว่าในโลกนี้จะมีผู้ชายที่เลิศเลอ perfect และก็ไม่คิดว่าผู้หญิงที่บริสุทธิ์จะดีกว่าผู้หญิงไม่บริสุทธิ์ที่ตรงไหนค่ะ แค่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่แตกต่าง เพราะคุณค่าของคนก็ไม่ได้วัดจากเยื่อพรหมจรรย์ตรงนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่หวังว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องรักษาพรหมจรรย์เช่นเดียวกับที่เราตั้งใจจะทำค่ะ หากใครคิดว่าการอยู่ก่อนแต่งเป็นการทดลองใช้ชีวิตและมีประโยชน์ต่อชีวิตรักของตน เห็นว่าเหมาะสม ก็ทำต่อไปค่ะ ^^ แต่ตัวเราคงไม่กระทำเช่นนั้นค่ะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์จากการอยู่ก่อนแต่งสักเท่าไรนัก หากหลายท่านแย้งว่า...นั่นคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราก็ยังคงคิดว่ายังมีวิธีอีกหลายแบบที่จะเรียนรู้คนๆหนึ่งได้ เรารู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ตั้งแต่ยังอยู่ประถม ในฐานะพี่ชายน้องสาว จนเข้ามัธยมกลายเป็นแฟนกัน เลิกรากันไปตอนมหาลัย ทุกวันนี้กำลังพิจารณาว่าจะกลับมาคบใหม่ดีหรือไม่ เรายังรู้สึกว่า...ชีวิตคนเราคือการเปลี่ยนแปลง และยังอ่านเขาได้ไม่หมดเลยค่ะ เพราะในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่มีใครหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทั้งเขาและตัวเราเองก็เปลี่ยนไป อะไรที่เราคิดว่าเราอ่านเขาขาดในอดีต มาวันนี้เรากลับไม่แน่ใจ 55+ เราเลยคิดว่าคนจะอยู่ด้วยกันคิดว่าคงต้องปรับเข้าหากันตลอดชีวิตค่ะ แต่ก็เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ จากคุณ : ตะไคร้ใส่ใบชา เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 03:09:16

ความคิดเห็นที่ 25 ขี้เกียจตอบอ้ะ แต่เราไม่ได้ใช้เป็นเกณฑ์บ้าบอไรอยู่แล้ว คนดีไม่ดีมันไม่ได้อยู่แค่เรื่องใต้สะดือหรอกน่า เราแค่รู้สึกอยากตื่นเต้นเวลาเข้าหอบ้างไรบ้างงี้(เป็นพวกชอบมโน...) กลัวด้วย อีกอย่างคงจะโดนสั่งสอนฝังหัวมากไปหน่อย เลยสะกดจิตตัวเองว่าถ้ายังไม่ถึงฝั่งอิชั้นก็ไม่ยอมเป็นฝา ...เกี่ยวไหม 55 เรื่องใครจะได้อะไรกันยังไง ไม่แคร์อยู่แล้ว ใครจะมีอะไรก็สิทธิ์ของเขา เราจะไม่มีอะไรก็สิทธิ์ของเรา แต่ก่อนแต่งสามเดือนขอพากันไปตรวจเลือดก่อนแน่นอน...= =" 1. ไม่ชอบอ้ะ พวกกดขี่สตรี ตัวเองมีได้ทำไมคนอื่นมีไม่ได้ แต่ถ้ารัก(ส่วนอื่นๆของเขา)มากจริงๆคงรับได้ 2 คนเราไม่มีใครดีไปได้ทุกด้านหรอกค่ะ ด้านนี้เขาอาจเห็นแก่ตัว แต่ด้านอื่นเขาอาจจะดีก็ได้ (หรือไม่เพราะความรักทำให้เราตาบอด= ="~) 3 ได้ แต่อย่าบ่อย และรู้จักป้องกัน แต่ถ้ารู้ว่าชอบเที่ยวอะไรงี้ตั้งแต่แรกอิชั้นคงเลือกไม่ต้องคบกันเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องรัก เพราะถ้ารักแล้ว อะไรก็คงรับได้ละมั้ง 4 โธ่ พูดซะยังกับความบริสุทธิ์เป็นแก้วแหวนเงินทอง เป็นคุณค่าที่เธอคู่ควร ซะงั้น= =" เอาไปส่งชิงโชคยังไม่ได้เลยนะคะคุณ เจ้าความบริสุทธิ์อะไรที่ว่าเนี่ย 5 ถ้ามันจะมีความพยายามขนาดนั้นก็เอาเหอะ= =" 6 คนดีไม่ดีมันอยู่ที่หัวด้านบนค่ะ ไม่ใช่หัวด้านล่าง เราไม่ได้ได้คัดกรองด้วยวิธีนี้ เราบริสุทธิ์ก็ใช่ว่าจะดีเด่อะไรสักหน่อยนึงนิ เห็นตอบแล้วอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะเก็บความบริสุทธิ์ทำซากอะไร ก็ไม่มีไรมากนะ บังเอิญเป็นผู้หญิงโลกสวย ชอบเพ้อ ชอบมโนเหมือนนังมุตา อ่านนิยายมากไปหน่อย เลยอยากเก็บไว้จนกว่าความรักจะสุกงอมน่ะค่ะ (อย่าถามนะว่าความรักสุกงอกยังไงในเมื่อมันไม่ใช่มะม่วง! เอาเป็นว่าเราก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เราเชื่อนิยาย 55) เพิ่มๆ ปล.แต่ที่รับไม่ได้แน่ๆคือ เคยผ่านมือชายมาก่อน อันนี้อิชั้นก็ไม่ไหวจะเคลียร์ค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 04:00:17 จากคุณ : โลกนี้ยังคงน่ารักเสมอ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 03:57:49

ความคิดเห็นที่ 26 คห 24 เป็นความเห็นที่น่าสนใจมากค่ะ ขอถามเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ ในข้อที่คุณตอบว่า "ไม่มีเหตุจำเป็นที่เราต้องคิดว่าเขาจะเห็นแก่ตัวหรือไม่อย่างไรเพราะเราบริสุทธิ์แน่นอน" คุณนึกบ้างรึเปล่าคะ ว่าการที่คุณจะแต่งงานกับผู้ชายที่มีแนวคิดระบบปิตาธิปไตย อาจจะมีผลกระทบตามมาในเรื่องอื่นๆอีก โอเค เรื่องที่เขาเห็นแก่ตัวอยากได้แต่ผู้หญิงบริสุทธิ์ คุณไม่จำเป็นต้องคิดเพราะคุณบริสุทธิ์ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อคุณ แต่ผู้ชายที่มีพื้นฐานความคิดแบบนี้ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมในเรื่องอื่นๆตามมา เช่นมีโอกาสสูงที่ผู้ชายเหล่านี้จะถือว่าเค้าเป็นใหญ่ในการใช้ชีวิตประจำวัน  ถือว่าผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายบริการ การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียว งานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว การตัดสินใจต่างๆต้องเป็นหน้าที่ของผู้ชายเท่านั้น มีลูกก็อยากได้แต่ลูกชาย หากมีลูกสาวด้วยก็จะลำเอียงไปฝ่ายลูกชาย แถมยังสอนลูกชายให้คิดแบบตัวเองด้วย คือไปทำผู้หญิงหลายๆคนก็ไม่เป็นไร แต่พอจะแต่งงานต้องเลือกแต่ผู้หญิงบริสุทธิ์ เป็นต้น อีกอย่างก็คือ คุณบอกว่า "คนรักกัน จะแต่งงานกัน ต้องอภัยให้กันค่ะ อดีตจะผ่านอะไรมา...ก็เป็นเรื่องของอดีตค่ะ" ขอถามว่า ผู้ชายควรจะคิดแบบนี้ด้วยหรือเปล่าคะ ในกรณีที่รู้ว่าแฟนที่ตัวเองรักไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 04:24:08

ความคิดเห็นที่ 27 ในฐานะที่ยังเก็บความซิงมาได้ตลอดรอดฝั่ง เลยขอตอบตามความคิดของตัวเอง.... เพราะฉะนั้นคำตอบอาจจะไม่ได้โลกสวยหรือถูกจริตใครมากนัก   เหตุผลที่รักษาความซิงไว้ได้มาโดยตลอดนั้นเป็นเพราะเรายังไม่เจอคนที่คิดว่าใช่สำหรับเรา คนที่เราคิดจะใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาไปด้วยกัน   ผู้ชายที่เราคบกันเราไม่เคยบอกผู้ชายที่เราคุยด้วยว่าเรายังซิง และถ้าดูจากอายุและท่าทางภายนอกไม่มีใครเชื่อว่าเรายังซิงอยู่ 1. ต้องดูว่าเขาเคยแย่งชิงความบริสุทธิ์มาจากผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า   ถ้าเขาเคย...เราว่าเขาไม่มีค่าที่จะเรียกร้องหาความบริสุทธิ์จากเราเช่นกัน 2.  ถ้าหากเขาไม่เคยแย่งชิงความบริสุทธิ์ใคร อันนี้ไม่ผิดที่เขาอยากจะเรียกร้องสิ่งที่เขาอยากได้เช่นเดียวกัน 3.  หากเรากำลังคบกันอยู่...ห้ามเด็ดขาดเลยกับการที่เขาจะไปมีอะไรกับคนอื่น ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ก็ตาม ถึงนอกใจกับนอกกายถึงจะไม่เหมือนกัน แต่ก็ทำให้เราเจ็บได้เหมือนกัน... ทุกวันนี้ผู้ชายหาทางออกได้เยอะแยะ เช่นช่วยตัวเอง หรือพวกเซ็กซ์ทอยต่างๆ ไม่จำเป็นต้องออกไปหาคนจริงๆ (เรายอมรับได้หากผู้ชายดูหนังโป๊แล้วช่วยเหลือตัวเอง เพราะมันอยู่ในความคิดแต่เขามีสติพอที่จะยับยั้งชั่งใจไม่ให้ลงมือทำจริงๆ) 4.  เรื่องส่วนตัว พ่อแม่ไม่เกี่ยวถ้าจะเลวอย่าโทษพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ทุกคนสั่งสอนลูกของตนแล้ว เพียงแต่ว่าลูกจะเอาไปปฏิบัติหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของลูกเอง ส่วนคำตอบการยอมรับนั้นให้กลับไปดูคำตอบข้อ 1 ค่ะ 5.  เราไม่เคยแยกแยะค่ะ แต่เราใช้วิธีไม่เปิดโอกาสให้ผู้ชายได้ฉกฉวยสิ่งนั้นไปจากเรา อาจจะเป็นเพราะอ่านเยอะ เรียนรู้มาเยอะ (อีกทั้งมีพี่ๆ และน้องเป็นผู้ชาย) เราเลยค่อนข้างที่จะรู้ความคิดของพวกผู้ชายและพอเดาทางออกมาบ้าง   อาจจะคิดว่าเรามองโลกในแง่ร้าย แต่เราถือว่ากันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ 6.  เราไม่เคยคัดกรองผู้ชายดีๆ ด้วยวิธีการแบบนั้น  เขามีสิทธิ์ร้องขอตามธรรมชาติของผู้ชายทั่วไป   แต่อยู่ที่เราต้อง "ไม่ให้" โอกาสและ "ไม่ยอม" ใจอ่อน แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว...เราอาจจะโดนเขาใช้กำลังปลุกปล้ำหรือข่มขืนจนกลายเป็นของเขา อันนั้นก็อยู่ที่ตัวเราแล้วล่ะว่าจะเลือกทางไหน... ถ้าเขาเป็นคนที่เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ เราก็จะไม่คิดถึงเรื่องตรงนี้   แต่ถ้าไม่เราก็ไม่ยอมเป็นของตายสำหรับเขาเช่นกัน   เราคิดว่าผู้หญิงมันไมได้หมดค่าแค่หมดความบริสุทธิ์หรอกนะคะ   แต่ถ้าผู้ชายคนไหนรับไม่ได้ก็เลิกกันไม่ว่าอะไรเพราะเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกเช่นกัน (แต่ถ้าเราไม่บริสุทธิ์เราก็จะบอกเขาเลยรับได้ก็รับ...รับไม่ได้ก็จบกัน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราหมดความบริสุทธิ์และจะต้องยอมเป็นของเขาง่ายๆ เช่นกัน) จากคุณ : yodaoi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 05:07:34

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบ คห. 26 นะคะ ข้อแรก... - ผู้ชายที่มีความคิดแบบนั้นจะส่งผลกระทบในเรื่องอื่นๆตามมาไหม? อันนี้แน่นอนค่ะ 555+ เราถึงไม่ค่อยจะคาดหวังมากนักและคิดว่าการใช้ชีวิตร่วมกันของคนสองคนคือการเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากัน การให้เกียรติกันและความอดทนขั้นพื้นฐานที่เขามี จะทำให้เขาคิดหน้าคิดหลังว่าสิ่งไหนเขาควรทำหรือไม่ควรทำ อะไรที่เป็นการหักหาญน้ำใจผู้หญิงเกินไป การให้เกียรติกัน เห็นอกเห็นใจกัน จะเข้ามาทดแทนได้ในจุดนี้ ต่อให้เขาจะเป็นคนที่คิดว่าผู้ชายเป็นใหญ่ หรือฝ่ายหญิงต้องทำตามผู้ชายก็ตาม หากเขารู้จักให้เกียรติคนอื่นและมีความยับยั้งชั่งใจต่ออารมณ์โกรธหรือความไม่พอใจ อดกลั้น อดทนมันก็ไม่มีปัญหา หรือถ้ามีปัญหา เราคิดว่าปัญหาต่างๆมันจะลดลงค่ะ ไม่ก็...เข้าใจและยอมรับกันได้ คือคงจะฟันฝ่าไปได้ ชีวิตแต่งงานของคนเรามันก็ไม่ได้มีช่วงที่ happy ตลอดเวลาอยู่แล้ว...แค่จุดเริ่มต้นต่างหาก :) เขาปรับบ้าง เราปรับบ้าง ^^ อีกอย่าง...คำว่าครอบครัวมันมีมนตร์ขลังค่ะ ผู้ชายที่มีสามัญสำนึกและได้รับการอบรมที่ดี (รักครอบครัวดูได้จากที่เขาปฏิบัติกับแม่เขาเอง) จะมีความรู้สึกยอมให้กับคนในครอบครัวได้มากกว่าคำว่าแฟน ความผูกพัน การถ้อยทีถ้อยอาศัย ความใกล้ชิดจะเป็นตัวหล่อหลอมที่ดีให้เขายอมและหยวนให้ผู้หญิงได้มากขึ้น และหากผู้หญิงรู้วิธีเข้าหา รู้วิธีปฏิบัติกับผู้ชายของตัวเอง มันก็น่าจะลดปัญหาใหญ่ๆลงไปได้เยอะค่ะ (ความคิดส่วนตัวนะคะ) ผู้ชายประเภทที่บ้าความบริสุทธิ์ของผู้หญิงจะมองว่าพรหมจรรย์ของผู้หญิงมีค่า 555+ ซึ่งถ้าผู้หญิงมีให้เขาตรงจุดนั้น ต่อให้เขาจะ ego จัดแค่ไหนอย่างไร แต่เราเชื่อมั่นลึกๆว่าเขาจะสำนึกตรงจุดนี้ค่ะ ว่าฝ่ายหญิงพร้อมกว่าเขา ผู้หญิงสะอาดในขณะที่เขาสกปรกกว่า หากรู้จักวิธีใช้ความบริสุทธิ์ที่ตัวเองมีให้เป็นประโยชน์ การกระทำรุนแรงหักหาญน้ำใจใดๆกับผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าแต่งงานกันหลังจากแต่งงานกันไปแล้วน่าจะน้อยลง หากเขารักเธออยู่บ้าง ยกเว้นว่าถึงที่สุดที่ต่างฝ่ายต่างทนไม่ไหวจริงๆ ส่วนใหญ่ในกรณีนี้คือขาดความเกรงใจซึ่งกันและกัน ไม่ให้เกียรติกัน ซึ่งก็ต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วย เช่นการเลี้ยงดู ประสบการณ์ชีวิต ความอบอุ่นและทัศนคติของครอบครัวที่หล่อหลอมเขามา เราเองก็เรียนจบจากต่างประเทศค่ะ มีเพื่อนฝรั่งที่ค่อนข้าง free sex มากมายอยู่เหมือนกัน แต่ผู้ชายฝรั่งก็มีมากมายที่ทึ่งและรู้สึกว่าการแต่งงานก่อนแล้วค่อยอยู่ด้วยกันนั้นดี อย่างที่บอกว่าพิธีแต่งงาน...เป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ 55+ ระบบที่ผู้ชายเป็นใหญ่ไม่ได้หมายถึงการสอนลูกให้ไปทำผู้หญิงหลายคนก็ไม่เป็นไรนะคะ 55+ อันนี้น่าจะขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของครอบครัวนั้นๆนะ เป็นความคึกคะนองของวัยมากกว่า เราคิดว่าระบบที่ผู้ชายเป็นใหญ่ส่วนมากมักจะดูแลและสอนให้ลูกชายปกป้องดูแลผู้หญิงมากกว่า อย่างน้อยก็ในครอบครัวเราที่ส่วนใหญ่มีพี่ชายน้องชายมากกว่าผู้หญิง เขาก็จะสอนให้ดูแลพี่สาวน้องสาว ตามรับใช้กันจนจะกลายเป็นทาสน้องสาวพี่สาวอยู่แล้ว 555+ แต่นั่นแหละโดยไม่ต้องพูด ครอบครัวคนจีนแบบเราก็ยึดมั่นถือมั่นในลูกชายเพราะถือว่าเอาไว้สืบทอดตระกูล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายชายเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วจะทำอย่างไรกับฝ่ายหญิงก็ได้หรอกค่ะ ยิ่งเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า ก็ยิ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องดูแลทุกคนในครอบครัว ส่วนผู้หญิงก็ต้องทำหน้าที่ของผู้หญิงตามสมควร ^^ มันก็มีอะไรที่เชื่อมโยงกันอยู่ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเป็นธรรมดาของการใช้ชีวิตร่วมกัน การเลี้ยงลูกก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันค่ะ ไม่ได้มีใครยิ่งใหญ่กว่าใคร หรือมีหนาที่ตายตัวที่ต้องดูแลลูก เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ผู้หญิงอาจจะต้องไปรับส่งลูกไปโรงเรียน แต่ค่าเทอมค่าอาหารของลูก ฝ่ายชายอาจจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ แต่ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ก็คงไม่มีใครคิดมากเพราะอย่างไรซะ ทั้งคู่ก็เต็มใจทำเพราะรักลูกของตัวเองอยู่แล้วค่ะ ผลกระทบเหล่านี้ เราเชื่อว่าผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาให้มีคุณธรรม มาจากครอบครัวที่ดีและมีสามัญสำนึกที่ดีของผู้ชายซึ่งเป็นเพศที่แข็งแรงกว่าผู้หญิง จะเข้าใจและปรับเข้าหาภรรยาของตัวเองได้ค่ะ ข้อสอง... - ผู้ชายก็ควรคิดแบบนี้ค่ะ 555+ แต่อย่างว่าล่ะคะ คนเรามันมีความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวของตัวเอง หากเลือกได้ก็คงเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากได้และคิดว่าดีที่สุด(ซึ่งไม่รู้ว่าดีจริงไหม?)ให้ตัวเอง สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เขารับได้หรือรับไม่ได้ เป็นความใฝ่ฝันวาดหวังของเขาหรืออะไรก็ตามแต่ มันเป็นสิ่งที่ตัวผู้ชายเองก็มีสิทธิเลือกและชั่งใจว่าเขาจะโอเคกับผู้หญิงที่ไม่บริสุทธิ์ไหม? บางคนอาจจะรับได้ อภัยได้ หรือบางคนอาจจะไม่ได้ บางคนอาจจะมองว่าอยู่ที่พฤติกรรมและประวัติของฝ่ายหญิงด้วย มันก็นาๆจิตตังค่ะ สำหรับเราเราไม่คิดอะไรตรงจุดนี้นะเพราะอย่างที่บอกว่ามันคงไม่ใช่ปัญหาของเราเพราะเราบริสุทธิ์แน่นอน 555+ อีกนิด...เราค่อนข้างเป็นคนเตรียมพร้อมนะคะ คือ...ยังไงดีล่ะ เราไม่หวังว่าผู้ชายที่เราจะแต่งงานด้วยจะต้องดีพร้อม เพราะถึงเราจะบริสุทธิ์แต่เราก็มีข้อเสียอื่นๆ (ที่อาจจะหนักหนากว่าความไม่บริสุทธิ์) ซึ่งฝ่ายชายอาจจะดันรับตรงนี้ของเราได้ 555+ มันก็เลยกะเกณฑ์ไม่ได้ แต่อะไรที่ตัวเราคิดว่าพอจะทำได้ อะไรที่สามีในอนาคตเราน่าจะดีใจถ้าเรามีสิ่งนี้ เราก็จะพยายามเก็บสิ่งนี้ไว้ให้เขาอ่ะค่ะ มันเป็นความภาคภูมิใจในตัวเองด้วยว่าในวันที่เราทั้งคู่พร้อมที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน ในวันที่ทุกคนร่วมกันแสดงความยินดีกับการใช้ชีวิตร่วมกันของเรา เราได้แลกเปลี่ยนและแชร์ร่างกายที่สะอาดของเรากับผู้ชายที่ให้เกียรติเรา อย่างน้อยก็จัดพิธีแต่งงานให้และพ่อแม่ก็พอใจกับตรงนั้น 555+ ถึงแม้ว่าความบริสุทธิ์จะไม่ได้มีค่ามากมายอะไรสำหรับบางคน แต่สำหรับผู้หญิงแบบเรา...มันก็เป็นของขวัญเล็กๆที่เราพอจะทำให้ผู้ชายที่เราเลือกเป็นสามีได้อ่ะค่ะ เราก็คิดแค่นี้แหละ ^^ ไม่ได้คิดถึงความเท่าเทียมอะไรหรอก เพราะการที่แต่งงานกัน ก็เหมือนเรายอมเสี่ยงไปทั้งตัวทั้งหัวใจแล้ว...ย่อมต้องแน่ใจในการตัดสินใจของตัวเองพอสมควร หากในอนาคตกาลข้างหน้า...เขาจะกลายเป็นผู้ชายแย่ๆที่ทิ้งเราไป เราก็คงได้แต่โทษตัวเองว่าเราเองที่ตัดสินใจผิดพลาด และมีชีวิตต่อไปค่ะ ก็ได้แต่หวังว่า...หากต้องเลิกกันเป็นเรื่องเป็นราวเขาคงมีสำนึกของความเป็นพ่อ ดูแลลุกบ้าง สำหรับเรา...เราค่อนข้างจะมีพอและคิดว่าเราดูแลตัวเองได้อยู่แล้วค่ะ 555+ (อย่ามาปอกลอกเรา เอาสิ่งที่เราเก็บไว้ให้ลุกไปเป็นของตัวเองก็พอ ^^) ถ้าเป็นแบบนั้นคงยาวววว สู้กันซักตั้ง :P ปล. โดยพื้นฐานตัวเราเป็นคนที่เอาแต่ใจสูงมากกก มากแบบมากอ่ะค่ะ พี่น้องตามใจมาตลอด อย่างที่รู้ว่าผู้หญิงบ้านเราน้อยมากกก เพราะงั้นผู้ชายที่เข้าหาเราส่วนใหญ่มักมี ego สูง คิดว่าตัวเองมีดี และความอดทนเป็นเลิศ เราเป็นพวกไม่จีบผู้ชายก่อนด้วย 555+ สารภาพว่าเราไม่ได้มายด์ว่าจะมีแฟนหรือไม่มี เราค่อนข้างรู้สึกอบอุ่นและใช้ชีวิตกับญาติๆตลอดเวลา แฟนไม่จำเป็นสำหรับเรานัก ดังนั้นถ้าผู้ชายไม่ทนจริงจีบเราไม่ได้นานค่ะ คือ...ยังไงดีละ บริการเราคนเดียวไม่พอหรอก ผู้ชายอาจจะต้องบริการไปถึงโคตรเหง้าตระกูลของเราด้วยเพราะเราใช้เวลาส่วนใหญ่กับครอบครัว นอกจากนั้นเขายังต้องผจญชะตากรรมมรณะผ่านด่านพี่น้องผู้ชายของเราอีกเพียบ และต่อให้เข้ามาในบ้านเราได้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว เราก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปอีกสักพักหรือไม่ เพราะถ้าเขาไม่ดีพอ ญาติพี่น้องที่กลมเกลียวกันมากกกกกกของเราพูดเสมอว่า น้องสาว พี่สาว คนเดียว เลี้ยงได้ค่ะ 555+ จากประสบการณ์ผู้ชายที่เข้ามาจีบทุกคน...หากพอจะเข้ากับญาติเราได้ ต่อให้เขาเลิกจีบเราไปก็ยังเป็นเพื่อนกันได้และกลายเป็นเพื่อนๆกับญาติๆเราไป ^^ ไม่งั้นก็โดนเด้งไปตั้งแต่ยังไม่ทันสนิทกับญาติๆได้แล้ว สำหรับเราครอบครัวคือปราการชั้นดี และมีส่วนพิจารณาแฟนของเราด้วยค่ะ ^^ จากคุณ : ตะไคร้ใส่ใบชา เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 05:29:59

ความคิดเห็นที่ 29 ยังไำงก็ขอให้เก็บความบริสุทธิ์เอาไว้เถอะนะครับสาวๆที่ยังซิงอยู่ ต่อให้มีใครที่พยายามจะไม่ให้คุณบริสุทธิ์ไม่ว่าจะความเห็นของเพื่อนผู้หญิงหรือแฟนของคุณก็ตาม ถ้่าทำได้รับรองถึงวันแต่งงานชีวิตคุณมีความสุขสดชื่นแน่ๆเต็มที่ไม่ต้องกลัีวว่าผู้ชายของคุณต้องเป็นทุกข์ตลอดกาลเพราะมารับความจริงว่า คุณไำม่บริสุทธิ์ เพราะถ้าแต่งไปแล้วแฟนคุณต้องทนทุกข์ไปตลอดเพราะเรื่องคุณไม่บริสุทธิ์ คุณจะยังมีความสุขได้อยู่รึเปล่้าล่ะ จากคุณ : 12345678 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 05:39:02 A:171.99.68.231 X: TicketID:360141

ความคิดเห็นที่ 30 พูดในฐานะของคนบริสุทธิ์จริงๆค่ะ เพราะแฟนสักคนก็ไม่เคยมี อิอิ แต่ถึงเราจะมีแฟน เราเก็บไว้เพราะเห็นแก่หน้าคุณพ่อคุณแม่ และศักดิ์ศรีของตัวเองค่ะ ยังไง ในสังคมไทย ผู้หญิงที่ทำเรื่องแบบนั้นก่อนแต่ง ก็ต้องโดนอยู่วันยังค่ำ และการเป็นผู้หญิืงบริสุทธิ์ มันไม่ใช่ข้อดีทั้งหมดค่ะ เรายังมีนิสัยแย่ๆ ในตัวอีกมากมาย และเพราะเรารักตัวเองค่ะ ไม่ให้ผู้ชายแย่ๆ ข่มเหงรังแกได้ เราไม่ไว้ใจค่ะ ถ้าเราจะมีอะไร ต้องหลังแต่งงาน และจดทะเบียนตามกฎหมายค่ะ เพราะเราจะได้ไม่เสียเปรียบ ทั้งเรื่องที่สังคมรับรู้ และเืรื่องสินสมรสค่ะ เราไม่ได้อยู่คนเดียว สังคมของคุณพ่อคุณแม่เรา เขาจะนินทาได้ เราสงสารที่บ้านค่ะ กลัวพวกท่านอับอาย และที่้บ้านเราสอนมาแบบนั้น ไม่อยากทำให้ที่บ้านช้ำใจค่ะ ส่วนเรื่องผู้ชาย ถ้ามีแฟน และไม่มีอะไรกับแฟนที่เคยคบมา จะเป็นเรื่องดีมากค่ะ แต่ถ้าเกิดมี อย่างน้อยที่สุด จะต้องไม่มากเกินค่ะ ถ้าคบใครสักคน แล้วทราบว่าเขามั่วมาก เจอสาวที่ไหนพาขึ้นเตียงหมด เราก็ไม่คบค่ะ เราเองไม่เคยรังเกียจผู้หญิงด้วยกันที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราคงรู้สึกไม่ค่อยดีกับเด็กกลุ่มนี้เท่าไร   แต่ด้วยความเชื่อของเราและของครอบครัว ถ้ามีลูกสาว น้องสาว หลานสาว ก็จะสอนให้พวกเขา keep มันไว้จนกว่าจะแต่งงานค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 06:35:36 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 06:31:39 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 06:30:49 จากคุณ : น้ำผึ้งอาบยาพิษ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 06:29:31

ความคิดเห็นที่ 31 1. - เรารู้สึกเฉยๆ กับผู้ชายที่ไม่บริสุทธิ์ แต่จะรู้สึกแปลกๆ (ประมาณว่า จริงหรอ?) กับผู้ชายที่บริสุทธิ์ค่ะ   ส่วนผู้ชายที่เรียกร้องผู้หญิงที่ต้องบริสุทธิ์ มันก็ไม่น่าแปลกอะค่ะ แต่ออกแนวเห็นแก่ตัวไปนิด 2. - ตอบไปเมื่อกี้แล้วค่ะ ว่าคิดเหมือนกันว่าคงเห็นแก่ตัวไปนิดนะเธอ 3. - ยอมรับไม่ได้ค่ะ  ฉะนั้นหายากนะคนที่จะสามารถมาเป็นแฟนเราได้ และไม่ไปหาเศษหาเรยกับคนอื่น เพื่อระบายความอัดอั้นของตัวเอง   มันถือเป็นการนอกกาย รับไม่ได้ค่ะ ผู้ชายที่เป็นแฟนเรา เค้าต้องรอได้ และระบายอารมณ์แบบนี้กับตัวเอง มีจิตสำนึกที่ดีที่จะไม่ไปกระทำอะไรแบบนี้กับคนอื่น  ซึ่งเราว่าแฟนเรารอเราได้ และไม่หื่นและมีความต้องการขนาดนั้นอะค่ะ 4.- อย่างที่ตอบไปข้อแรก ว่าเราไม่ถือนะที่เค้าเคยมีอะไรกับอดีต  เพราะเราเชื่อว่า ผู้ชายเวลามีอะไรไป เค้าไม่ได้เป็นฝ่ายเสียหาย แต่ผู้หญิงเนี่ยแหละเสียหายกว่า เรื่องไม่ให้เกียรติ เราเห็นเป็นคนละเรื่องกัน   ถ้าเรายอมแฟน และมีอะไรกัน นั่นคือ win win ไม่ใช่ว่าผู้ชายไม่ให้เกียรติค่ะ   เวลาพ่อแม่สอนน้องชายเรา เค้าก็จะบอกแค่ให้เกียรติผู้หญิงนะลูก  เป็นสุภาพบุรุษหน่อย แล้วคิดเอาเองว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ควรป้องกันอะไรแบบไหน   แต่เวลาท่านสอนเรา ท่านจะสอนอีกแบบว่าให้รักนวลสงวนตัว บลาบลาบลา  มีเยอะกว่านี้ค่ะ แต่ขอไม่เ่อ่ยดีกว่า 5. - เราไม่เคยคิดว่าผุ้ชายที่อดทนรอจนวันแต่งเป็นคนที่รักเราจริงๆ  แต่เราดูจากนิสัยอื่นๆของเค้า ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความเอาใจใส่ ผู้หญิงจะมี sense อยู่แล้ว แต่ที่เราต้องการรอจนถึงวันแต่งงาน นั่นเป็นแค่ความต้องการส่วนตัวค่ะ รักและเซ็กส์เราแยกกัน แต่ถ้ามันถึงเวลาเหมาะสม มันจะมาคู่กันเองค่ะ 6. - เหมือนข้อ 5 ค่ะ  เราไม่ได้ตัดสินว่าการที่อยู่ชายรอ หรือไม่รอ เป็นผู้ชายดีหรือไม่ดีค่ะ เราว่า การถามของกระทู้นี้จะเบนไปทางที่ว่าการตัดสินคนว่าดีหรือไม่ดี มันคือเรื่องพวกนี้ แต่การที่เราเก็บไว้หลังแต่งงาน มันเป็นความต้องการส่วนตัวค่ะ  และเคารพการตัดสินใจของทุกฝ่าย ไม่มีใครดีหรือไม่ดีค่ะ จากคุณ : aimeramm เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 09:08:39

ความคิดเห็นที่ 32 ไม่คาดหวังในเรื่อง virgin ของผู้ชายค่ะ แต่ที่ไม่มีอะไรกับใครง่ายๆเพราะไม่อยากเสียใจเสียความรู้สึกถ้าถูกหลอก เคยมั๊ยกับการเดทกับผู้ชายแสนดี ดูมีนำ้ใจ profile ok แต่สุดท้ายแอ๊บโสดหลอกว่าไม่มีแฟน พอเรารู้ว่าเค้าแอบคบกับใครเข้าเรารู้สึกดีนะที่ไม่เสียรู้ปล่อยตัว แถมยังรู้สึกว่าผู้ชายแบบนี้ไม่คู่ควรกับเราหรอก คือแบบว่าไม่ต้องมานั่งเสียใจเสียดายกับการกระทำของตัวเองนะค่ะ จากคุณ : หมีน้อยปุกปุย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 09:26:52 A:49.176.4.206 X: TicketID:172071

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ  เราว่าเค้าคงไม่สนใจเรื่องนี้หรอกนะ จากคุณ : ลูกหมาตัวดำ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 10:00:48

ความคิดเห็นที่ 34 ขอตอบ Re  13   เห็นต่างไม่เป็นไรค่ะ อยากให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่แล้ว เรามีข้อสงสัยนิดนึงนะคะ ที่คุณบอกไว้ใน คห 2 "ไม่ซีเรียสเรื่องผู้ชายบริสุทธิค่ะ เพราะเข้าใจธรรมชาติของผู้ชาย" แล้วธรรมชาติของผู้หญิงล่ะคะ จริงๆแล้วโดยธรรมชาติผู้หญิงก็มีความต้องการทางเพศพอๆกับผู้ชายนะคะ เพียงแต่ผู้หญิงถูกสั่งสอนมาให้เก็บกดความรู้สึกทางเพศ ส่วนผู้ชายถูกสั่งสอนมาให้ปลดปล่อย งงว่าในเมื่อทั้งสองเพศมีความต้องการเหมือนๆกัน ทำไมไม่สั่งสอนให้เหมือนกัน ถ้าอยากให้สังคมไม่มั่ว ก็สั่งสอนให้ทั้งสองเพศควบคุมตัวเอง ส่วนเรื่องอุปกรณ์บ้องกันนั้น แต่ละอย่างอาจจะได้ผลแค่เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีข้อห้ามนี่คะว่าห้ามใช้มากกว่าหนึ่งอย่างพร้อมกัน สามารถใช้รวมกันได้ เช่นถ้าอยากให้ปลอดภัยจริงๆก็ให้ผู้ชายใส่ถุงยางพร้อมๆกับที่ผู้หญิงกินยาคุม เอาให้แน่กว่านั้นก็ให้ผู้หญิงใส่ female condom ด้วยก็ได้ ใช้รวมกันแบบนี้ก็น่าจะป้องกันไ้ด้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ -------------------------------------------------------------------------------------------------------- เท่าที่อ่านผ่านๆ คุณ จขกท น่าจะ Focus เฉพาะประเด็นเรื่องนี้ใช่มั้ยค่ะ เพราะการที่จะตัดสินใจจะร่วมชีวิตกับใคนคนใดคนหนึ่ง เราไม่ได้ตัดสินเฉพาะประเด็นนี้อย่างเดียว งั้นขอตอบประเด็นที่ คุณ จขกท. Focus นะค่ะ ^^ 1. ธรรมชาติของผู้ชายมักจะมากกว่าผู้หญิง  มีรายงานการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ค่ะ แต่ตอนนี้หา abstract ไม่พบ   หากจะคุยเรื่องนี้ยาวมากค่ะ เพราะมีเรื่องสังคม วัฒนธรรม รากเหง้าความเป็นอยู่เข้ามาเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันไปหมด 2. การป้องกัน ถึงแม้จะเกินกว่าร้อยละ 90 แต่ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์  ดังนั้น เราจึงบอกว่า "ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ทางการแพทย์ และหากใช้วิธีผ้องกันไม่ดี โดยไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด อาจจะส่งผลเป็นโทษต่อร่างกาย  เช่น ยาคุมฉุกเฉิน เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาควรปรับปรุงใหม่ค่ะ เช่น สอนเด็กๆ เรื่องการป้องกัน ฯลฯ แต่ทั้งนนี้ หากฝ่ายชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตเรา เคยผ่านการมี sex กับแฟนเก่ามาแล้ว เราก็โอเคค่ะ หรือหากในกรณีที่เรายังไม่แต่งงานกัน หากจะไปเที่ยว ก็ให้ป้องกัน ห้ามมั่ว แต่ถ้าแต่งงานกันแล้ว "ห้ามมี sex กับ ญ อื่นเด็ดขาดค่ะ" หากเรื่องนี้ของเราบกพร่องก็ต้องมาคุยกัน ปรับจูนกัน ว่าความต้องการแบบไหน แต่ห้ามไปมี sex กับ ญ อื่น เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆที่จะตามมาในอนาคต จากคุณ : ณินทร์ลดา เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 10:21:14

ความคิดเห็นที่ 35 คห.29 แล้วถ้าผู้ชายมันไม่ซิง เราก็ต้องเสียใจด้วยชะมะ หรือว่านี่มันเป็นเรื่องของผู้ชายทำไรก็ไม่ผิด เบื่อ พวกไม่เท่าเทียมเนี่ย เฮ่อ ส่วนหญิงสาวที่ตั้งใจจะรักษาความซิง รู้สึกเคารพมากค่ะ ีที่ทุกคนมีจุดยืนของตัวเอง แต่ก็ไม่ดูถูกเพศเดียวกัน นับถือจริงๆ ค่ะ พวกคุณเป็นคนใจกว้างมากกว่าคนที่ตีค่าความดีด้วยเยื่อบางๆ อีก จากคุณ : เรไรรุ่งริ่ง เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 10:42:23

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 2 ค่ะ เรารักษาเกียรติของตัวเองสำคัญที่สุดค่ะ ส่วนความเห็นต่าง ๆ ของ จขกท. ไม่ใช่ประเด็นค่ะ การที่เราเลือกที่จะแต่งงานกับใครคงไม่ใช่เหตุผลพวกนี้ แต่ก็ขอบคุณ จขกท. ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้ได้แชร์ความเห็นกันค่ะ จากคุณ : คาราเมลมัคคิอาโต้ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 12:32:56

ความคิดเห็นที่ 37 เราเป็นผู้ชายมุมมองเราอาจจะเข้าข้างผู้ชายด้วยกันมากเกินไปก็ได้ วัฒนธรรมค่านิยมลักษณะที่ผู้ชายไม่เสียหายถ้ามีsexมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ความเป็นใหญ่ของผู้ชาย และผู้ชายไม่ท้อง แค่นั้นหรอกครับ แต่ในทางกายภาพผู้ชายควบคุมตรงนี้ได้ยากกว่าผู้หญิงหลายเท่าเลยหล่ะครับ จะพูดว่าควบคุมไม่ได้เลยก่ว่าได้ เพราะผู้ชายโดนบังคับโดยธรรมชาติให่จำเป็นต้องมี  ผู้ชาย100%หากไม่มีอะไรกับผู้หญิงก้ต้องช่วยตัวเอง และต่อให้ไม่ช่วยตัวเอง ธรรมชาติก้จะบังคับให้เราระบายออกมาทางความฝัน  ผู้ชายเวลาฝันเปียกในฝันจะฝันว่ากำลังมีsexครับ แต่ผู้หญิง หากไม่ใช่ความต้องการส่วนตัว ตั้งแต่เกิดจนตายไม่จำเป็นต้องมีเลยก็ทำได้ ผมเพียงต้องการบอกว่ามันไม่ใช่แค่เราเห็นแก่ตัว  แต่เราก็โดนบังคับเหมือนกัน ผู้ชายบริสุทธิ์จนแต่งงาน(ตีซะว่าอายุเกิน25+) ผมก้เชื่อว่ามีนะ แต่ถ้าคุณได้ผู้ชายในฝันที่คุณว่านี่จริงๆ  ผมไม่คิดว่าคุณจะได้ผู้ชายที่คืดถึงคนในอนาคตที่จะแต่งงานด้วยจนไม่ยอมมีอะไรกับคนอื่นก่อนแต่งหรอกนะ มีเปอร์เซ็นไม่น้อย ที่คุณจะได้ผู้ชายที่ไม่เคยมีผู้หญิงเปิดโอกาสให้เข้าหาเลย(ด้วยเหตุผลใด้หตุผลนึง ที่คงไม่ดีแน่) หรือไม่ก้ผู้ชายเก็บกด ที่อาจจะรุนแรงใส่คุณมากปรกติหลังแต่งงานก้เป็นไปได้ ในด้านกายภาพ มีเรื่องมากมายที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านวัฒนธรรม หรือทัศนคติตามธรรมชาติก้แตกต่างกัน ยิ่งสมัยนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ชายดีๆที่ไม่เคยมีผู้หญิงเปืดโอกาสให้เข้าหาเลย และถ้าผู้หญิงเปิดโอกาสและเต็มใจยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ชายดีๆคนนั้นจะบอกต่อว่า ไม่ ผมจะมีอะไรกับผู้หญิงที่ผมจะแต่งงานด้วยเท่านั้น ... อาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่ผมคืดว่าผู่หญิงไม่จำเป็นต้องเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันทุกเรื่องก้ได้ครับ ถ้าคุณท้องแล้วผู้ชายปล่อยให้คุณยืนโหนรถเมล์ตลอดสายแล้วบอกว่าสิทธิเท่าเทียมคุณจะรู้สึกยังไง ^_^ ผมคิดว่าผู้ชายที่ไม่ได้หมกมุ่นเรื่องนี้ทั้งวัน และให้เกียติไม่บังคับจิตใจผู้หญิง ก้ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดี มีคุณค่ามากเกินพอแล้วครับ  คงไม่ต้องถึงกับบริสุทธิ์เพราะตั้งใจจะมีอะไรกับคุณแค่คนเดียวในวันแต่งงาน ไม่มีผู้ชายปรกติคิด หรือตั้งใจแบบนั้นหรอกครับ ปล.ออกทะเลไปนิด  หัวข้อพูดถึงปู่หญิงนี่ แหะๆๆ  ถือว่าเป็นอีกมุมมองนึงของผู้ชายละกันนะครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 12:48:52 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 12:40:42 จากคุณ : เอาแต่ใจ (Bas Plus) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 12:39:17

ความคิดเห็นที่ 38 มันไม่เท่าเทียมกันทุกเรื่องหรอกครับ ผู้ชายก็มีความกดดันของผู้ชายที่ต้องทำ เช่นต้องหาเงินเลี้ยงภรรยา ขนาดผู้หญิงบางคนยังไม่ชอบผู้ชายงก ทั้งๆที่คุณค่าของคนไม่ได้วัดกันที่เงิน จริงๆแล้วผมเห็นหัวข้อกระัทู้แรกๆที่คลิกเข้ามาก็ไม่คิดจะตอบแล้วเพราะเป็นประเด็นอ่อนไหว แต่พอเห็นคำถามของเจ้าของกระทู้ผมจึงจำเป็นต้องตอบตามนั้นอย่างที่ผมบอกกล่าวข้างต้น จากคุณ : 12345678 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 13:09:14 A:171.99.70.0 X: TicketID:360141

ความคิดเห็นที่ 39 เรารักษาความบริสุทธิ์ไว้เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อผู้ชายค่ะ จากคุณ : ค่ำคืนนี้มีดาวเป็นล้านดวง เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 14:35:11

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นด้วยกับ#39ค่ะ จากคุณ : just name เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 21:57:56

ความคิดเห็นที่ 41 คห 37 คำว่า ควบคุมไม่ได้เลย นี่เป็นแค่ข้ออ้างของผู้ชายที่มีความยับยั้งชั่งใจน้อยค่ะ ถ้ามันธรรมชาติจนควบคุมไม่ได้จริงๆ ทำไมผู้ชายที่เคร่งศาสนาเค้าควบคุมกันได้ล่ะคะ ก็แสดงว่าตามธรรมชาติมันก็อยู่ในขั้นที่มนุษย์ควบคุมได้ แต่ขึ้นอยู่กับความอดทนของแต่ละคนเท่านั้นเอง อีกอย่างที่เป็นไปได้ว่าน่าจะมีส่วนทำให้ผู้ชายควบคุมเรื่องนี้ได้ไม่เก่งเท่าผู้หญิง ก็เพราะเด็กผู้ชายส่วนมากไม่ได้ถูกสอนถูกฝึกฝนมาให้ควบคุมเรื่องนี้ตั้งแต่เล็ก ทำให้ไม่เคยชินกับการห้ามความรู้สึกตัวเอง เคยสังเกตุมั๊ย ธรรมชาติเด็กเล็กๆทุกคนที่ยังไม่รู้เรื่องไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบเอามือไปสัมผัสอวัยวะส่วนนั้นของตัวเองเล่นกันทั้งนั้นแหละ เพราะเด็กๆรู้สึกได้ว่าจับแล้วมันรู้สึกดี แต่เด็กผู้หญิงมักจะถูกผู้ปกครองสั่งห้ามว่าอย่าไปยุ่งกับมัน อย่าไปแตะต้อง สกปรกบ้าง น่าเกลี้ยดบ้าง สารพัดเหตุผล ส่วนเด็กผู้ชายจะไม่ค่อยถูกห้าม เพราะยังไงก็ต้องหัดจับเป็นประจำทุกวันอยุ่แล้ว (เล็งเวลาฉี่) ไม้อ่อนดัดง่าย ดังนั้นพฤติกรรมหรือนิสัยอะไรก็ตาม มักจะสอนง่ายตอนเป็นเด็กเล็กๆ เพราะฉะนั้นเด็กผู้หญิงโตมาจะไม่ค่อยกล้ายุ่งกับส่วนนั้นของร่างกาย เพราะถูกสอนว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ผู้หญิงบางคนของตัวเองหน้าตาเป็นยังไงยังไม่รู้เลย เพราะไม่เคยคิดแม้แต่จะลองเอากระจกส่องดูและศึกษาสรีระของตัวเอง ผู้หญิงจะมารู้ก็ตอนเข้าวัยรุ่นแล้ว ที่หลายๆคนเริ่มหัดช่วยตัวเอง ลองคิดดูว่าขนาดถูกปิดกั้นนะ แต่ความรู้สึกของผู้หญิงหลายๆคนยังรุนแรงพอที่จะทำให้เกิดความรู้สึกอยากช่วยตัวเองจนต้องทำ ทั้งๆที่ถูกสอนว่าไม่ให้ยุ่งกับอวัยวะส่วนนั้น "ถ้าคุณท้องแล้วผู้ชายปล่อยให้คุณยืนโหนรถเมล์ตลอดสายแล้วบอกว่าสิทธิเท่าเทียมคุณจะรู้สึกยังไง" ผู้หญิงไม่ได้ท้องอยู่ตลอดเวลานี่คะ ถ้าจะบอกว่าไม่ให้เท่าเทียมกันเพราะผู้ชายแข็งแกร่งกว่าหรืออะไรก็แล้วแต่ งั้นทำไมผู้ชายเห็นผู้หญิงเดินขึ้นรถไฟฟ้าไม่ลุกขึ้นให้นั่งโดยอัตโนมัติล่ะ ทำไมต้องรอให้เป็นผู้หญิงท้องก่อน? แสดงว่าลึกๆผู้ชายก็ถือว่าผู้หญิงที่ร่างกายไม่ได้อยู่ในสภาพท้องก็ไม่ได้ต่างอะไรจากตัวเองเลยไม่จำเป็นต้องลุกให้นั่ง อีกอย่างนะ ถ้าผู้ชายที่สภาพร่างกายไม่ได้อยู่ในสภาพปกติ เช่น ผู้ชายขาเป๋เดินขึ้นมา ผู้หญิงก็ลุกให้นั่งเหมือนกันค่ะ "ไม่มีผู้ชายปรกติคิด หรือตั้งใจแบบนั้นหรอกครับ" มีสิคะ เพื่อนเราก็มีหลายคนเป็นผู้ชายที่คิดแบบนี้ ไม่ใช่เค้าไม่ปกติ แต่เค้ามีความยับยั้งชั่งใจสูง พวกเค้าอยากได้ผู้หญิงบริสุทธิ์เป็นภรรยา ก็เลยจะให้เกียรติเธอด้วยการรักษาตัวเองไว้ให้เธอ ให้สมกับที่เธออุตส่าห์รักษาตัวเองไว้ให้เขา ที่น่าแปลกก็คือ ผู้ชายเหล่านี้เป็นฝรั่ง อยู่ในประเทศที่เปิดกว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราถามเค้าว่าทำไมคิดแบบนี้ เค้าบอกว่าสองเพศต้องเท่าเทียมกัน ปกติคนในประเทศเค้าไม่สนใจเรื่องความบริสุทธิ์อยู่แล้ว ในเมื่อผู้ชายส่วนใหญ่ไม่รักษา มันก็ไม่ยุติธรรมที่จะมาเรียกร้องให้ผุ้หญิงรักษา แต่ถ้านึกแหกคอกอยากได้แต่ผู้หญิงบริสุทธิ์ ก็ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วย ไม่งั้นจะเป็นการเอาเปรียบกันค่ะ ของอย่างนี้มันอยู่ที่จิตสำนึก และระดับความอดทนของแต่ละคน ซึ่งเข้าใจว่าต่างกัน ใครทนไม่ได้ก็ยอมรับมาเถอะว่าความอดทนต่ำ แต่อย่าอ้างว่าธรรมชาติสร้างมาให้ไม่สามารถควบคุมได้เลย เพราะมีผู้ชายหลายคนที่สภาพร่างกายความต้องการปกติแต่สามารถควบคุมได้โดยใช้จิตใจและสมอง ผู้ชายฝันเปียกตามธรรมชาติ ส่วนผู้หญิงเวลาฝันเรื่องแบบนี้ก็ตื่นมาแฉะเหมือนกันแหละ เวลามีอารมณ์ผู้หญิงก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายไม่ให้หลั่งสารหล่อลื่นออกมาเช่นกัน เพียงแต่บางคนอาจจะไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยไปยุ่งกับอวัยวะนั้น แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 55 04:44:39 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 55 04:43:07 จากคุณ : Foxy Little Angel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 04:31:38

ความคิดเห็นที่ 42 สั้นๆ เรา กลัว จากคุณ : via iPhone (Jalenrose) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 00:29:33

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านความเห็นผู้ชายบางคนแล้วรู้สึกได้ถึงการขาดแคลนด้านเพศศึกษาในเมืองไทย เอิ่ม ผู้หญิงไม่มีความสึกทางเพศตลอดชีวิตได้ คือถึงคุณไม่ใช่ผู้หญิง แต่พวกหลักชีววิทยาเนี่ย ถ้าไม่มีความรู้ก็อย่าพูดดีกว่าแล้วกัน เชื่ออะไรผิดๆ เหอๆ จขกท มีความคิดวิเคราะห์ดี แต่สังคมไทยนั้น มีหลายระดับ หลายแบบ แต่ละสังคมต่างกันมาก เพราะประเทศไทยยังไม่เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศไทยมีคนที่ฐานะต่างกัน การศึกษาต่างกัน อะไรต่างๆกันมากมาย และคนแบบเดียวกันก็จะอยู่ในสังคมแบบเดียวกัน ผู้ชายไทยในสังคมระดับทั่วๆไป คงไม่หวังได้ผู้หญิงบริสุทธิมาเป็นภรรยาแล้ว จริงๆหลายๆคู่ที่เห็นอยู่ด้วยกันเป็นคู่ๆตั้งแต่ัยังไม่แต่งงาน ตั้งแต่เรียนอยู่หรือพึ่งเรียนจบ ผู้ชายหลายคนคิดด้วยซ้ำว่ายังไงก็ต้องอยู่ก่อนแต่ง จะได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นคนแบบไหน ดีไหม ระดับสังคมไฮโซ ไฮคลาส พวกนี้ก็ไม่มีเหมือนกันเรื่องลัทธิความบริสุทธิ แต่งงานกันเพราะธุรกิจ หรืออำนาจทางการเมืองด้วยซ้ำ เรียนอินเตอร์เรียนเืมืองนอกมาแต่เด็ก ความคิดไม่มีอยู่แล้วเรื่องจะต้องบริสุทธิเนี่ย ระดับที่ยังคาดหวังเืรื่องความบริสุทธิทั้งฝ่ายชายคาดหวัง และฝ่ายหญิงเองที่จำกัดตัวเอง ส่วนมากเป็นชนชั้นกลางที่โตมาสังคมเด็กเรียน พ่อแม่ครูอาจารย์สอนมายังไงก็ยังงั้น อยู่ในกรอบให้พ่อแม่ครูอาจารย์ปลื้มใจ พอโตขึ้นอาจจะเข้าใจอะไรๆมากขึ้น แต่มันก็เป็นทัศนคติที่ฝังลึกไปแล้ว --- คนระดับนี้จริงๆถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นมันมีน้อยนะ แต่คนกลุ่มนี้แหละที่เล่นพันธิปเยอะ สังคมพันธิป กับสังคมไทยจริงๆ มันไม่ใช่อันเดียวกันนะ จากคุณ : พา เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 55 03:32:43 A:110.169.248.251 X: TicketID:178919