Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จู่ๆ ผมก็กลายเป็น "ตัวประหลาด" ทั้งที่เคยคิดว่าเราปกติดีที่สุด (ทำจิตใจให้ว่างแล้วค่อยอ่านนะครับ) ติดต่อทีมงาน

เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผมได้เตรียมเอกสารโครงการส่วนตัวที่ใช้เวลาคิดและจัดแจงค้นคว้ามาเป็นเวลาเกือบเดือน ไปเพื่อชี้แจงและขอความร่วมมือกับทางโรงเรียนแห่งหนึ่ง  ก็โบกแท๊กซี่ไปยังสถานที่แห่งนี้ โดยที่ไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ตรงไหน  ก็เอาละว่ะ พี่โชเฟอร์ช่วยนำทางไปที

จนมาเจอทางเข้าโรงเรียนแห่งนี้  เท้าก้าวแรกที่ข้ามผ่านประตูเข้าไปทำให้ผมรู้สึกว่า มันคือโลกอีกใบหนึ่งแน่ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าต้องจัดการปัญหายังไง ผมจึงหันไปถาม คนที่ทำหน้าที่เฝ้าหน้าประตูว่า  บุคคลภายนอกจะเข้ามาติดต่อต้องแลกบัตรหรือเปล่าครับ?

แต่ทางนั้นได้เพียงแต่ทำท่าทางเป็นการบอกนัยๆ ว่า "ผมพูดไม่ได้ครับ" และชี้ให้ไปคุยกับคนทางด้านนั้น      รู้สึกแปลกนิดหน่อยที่ตัวเองหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า..  แล้วจึงเดินไปถามพี่ที่อยู่ทางด้านหน้า คาดว่าคงเป็นแม่บ้านฝ่ายนักการประมาณนี้  สอบถามกันชั่วครู่จึงรู้ว่าควรจะไปติดต่อกับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการของโรงเรียนที่ชั้นสองของอาคารทางฝั่งนู้น   ระหว่างที่เดินไปก็สังเกตไปรอบๆ ว่า มีเด็กเล็กเด็กใหญ่เล่นฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน และอีกครึ่งหนึ่งของสนามก็กำลังเรียนวิชา พละศึกษา กันอยู่ โดยมีครูผู้สอนคอยดูแลฝึกซ้อมการโยนลูกบอลผลัดกันไปมา อย่างเป็นระเบียบ
ภาพที่ผมเห็น ก็คือเด็กทั่วๆไป ที่เหมือนกับเราๆเนี่ยแหล่ะ เมื้อครั้นยังเยาว์วัย  และสิ่งที่ผมเคยคิดมาในหัว มันเหมือนจะผิดไปเสียหมด เลยตบแก้มตัวเองทั้งซ้ายขวาข้างละที แล้วจึงตรงเข้าไปคุยกับ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ เรื่องเอกสารและรายละเอียดโครงการ ที่นำมา  (ขอข้ามเรื่องรายละเอียดโครงการไปนะครับ)  

เสร็จแล้วจึงลงมานั่งดูน้องๆ เด็กๆ ที่เล่นกีฬากัน ในใจก็อยากจะเข้าไปเล่นด้วย แต่เกรงว่าจะไม่ใช่เวลาอันสมควร

เลยนั่งชิงช้าแกว่งไปมา มองน้องๆ โยนบอลขวักไขว่ข้ามหัวกัน จนมีลูกกลมๆ ลูกหนึ่งกลิ้งมาใกล้ๆ ไอ้เราก็มีของหนักเต็มกระเป๋าวางอยู่บนหน้าตัก ครั้นจะก้มหยิบ ก็พยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ กลายเป็นว่า ปากกาของตัวเองที่เหน็บไว้ดันหล่นไปแทน   น้องคนหนึ่งที่วิ่งหยิบลูกบอล จึงเก็บปากกาให้แล้วยื่นกลับมา พร้อม ยกมือไหว้ เป็นนัยยะว่า "สวัสดี"   จึงรับไหว้ประมาณอกพอเป็นพิธี
ไม่ทันไรก็มีเด็กอีกคน เดินมานั่งพักตรงชิงช้าฝั่งตรงข้ามผม พร้อมมองมา ไอ้เราก็เลยส่งรอยยิ้มหวานๆ กลับไปให้ น้องเขาจึง ยกมือไหว้กลับมา พร้อมกับแววตาสื่อสารว่า สวัสดี อีกครั้งนึง
ไม่ทันไรก็มีเด็กคนใหม่ วิ่งเข้ามาเก็บบอลอีกละ ผมจึงถ่ายรูปไว้หนึ่งช็อต เด็กคนนั้นเห็นจึงเดินเข้ามาหาผมและชะเง้อหน้ามามองหน้าจอโทรศัพท์ ผมก็ยื่นให้ดู เค้าก็พูดว่า  "หวะดีค้าบ"  วินาทีจังหวะนั้นผมตกใจ  เป็นเพียงเสียงแรกที่ได้ยินของวันนี้ หากไม่นับเสียงบอลที่เด้งกระทบพื้นคอนกรีต
เลยเอ่ยปากถามน้องว่า "เลิก เรียน กี่ โมง"  น้องเค้าหันกลับมาชูสี่นิ้ว แล้วเดินกลับไปเล่นกีฬาต่อ

ก็อีกประมาณ 30นาที  เลยเดินเล่นหาอะไรสำรวจดู  ไม่มีขนมและน้ำอัดลมขาย.. จะทำยังไงดี

เจอน้องผู้ชายคนนึง เลยเดินเข้าไปสะกิด แล้วทำท่าทาง ดูดน้ำ ให้ดู น้องเค้าก็ ทวนท่าทางอีกครั้ง พร้อมกับ ทำท่าทางตอบกลับมา แล้วแกว่งแขนบอกว่า ทางโน้นนนน  ผมจึงทำท่าทางกลับไปว่า ไกลมั้ย  น้องเขาเลยส่งภาษามือกลับมาว่า  จิ้ดเดียว!

ก็เลยเดินไปสักพัก เอ้ะ ไม่เจอสักที  เจอน้องอีกคนกำลังยืนอยู่ริมฟุตบาท ขอทวนอีกทีดีกว่า เผื่อน้องคนแรกจะเข้าใจอะไรผิด  ทำท่าดูดน้ำ ไปอีกรอบ ก็ได้คำตอบกลับมาเช่นเดิม  แสดงว่าถูกแล้วแหล่ะ   แล้วก็เจอทันที  เลยซื้อน้ำเปล่า และเปปซี่กลับมาจำนวนหนึ่ง  พอเดินกลับเข้ามาที่โรงเรียนเป็นเวลาสี่โมงพอดี  มองหาน้องคนนั้นที่พูดได้  มองหายังไงก็ไม่เจอ เดินไปเดินมา

" เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า เราเคยมองว่าคนอื่นนั้นผิดปกติ มีแต่เพียงเรานั้นแหล่ะที่ปกติครบ 32 "

แต่ความคิดนั้นใช้ไม่ได้กับที่นี่  เพราะทุกคนที่นี่เป็นปกติ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ยกเว้นเรา

ผมจึงไล่เดินหาน้องๆ แต่ละคน พร้อมทำท่าทางว่า น้องพอพูดได้ไหม  จนเจอน้องคนหนึ่ง

ชื่อ น้องหลุยส์  เป็นเด็กผู้ชาย อายุซัก 14 อยู่ชั้น ป.4 รูปร่างกำลังโตอุดมสมบูรณ์ ยิ้มแย้ม และขี้อาย    ผมจึงชวนน้องมานั่งที่ม้าหิน แล้วถามว่า จะรีบกลับไหม  ด้วยการใช้ภาษามือท่าทางแบบทุลักทุเล แต่ก็ได้คำตอบอย่างชัดเจนว่า  "ออ ป้อ อา อับ"  สิ่งที่ผมรับรู้คำตอบได้ ไม่ใช่เสียง แต่เป็นแววตาและความรู้สึกของน้อง  จึงถามว่าบ้านอยู่ไกลไหม (ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภาษามือกับเขียนคำลงในกระดาษ) น้องจึงหยิบเป้สะพาย แล้วชี้ไปที่ชื่อโรงเรียนเก่าของน้องเขา มีคำว่า พยาไท ผมจึง อ๋อ..... ผมก้เลย ถามน้อง ทานน้ำไหม เล่นกีฬามาเหงื่อออก น้องเค้าก็ปฏิเสธอยู่พักใหญ่ จนผมตื๊อ (ตั้งใจซื้อมากลัวจะไม่มีใครกล้ารับจากคนแปลกหน้า) สุดท้ายน้องก็รับน้ำเปล่าไป เพราะไม่ชอบน้ำอัดลม   ผมเลยถามไปอีกว่า  ชอบถ่ายรูปไหม  น้องเค้าก้ พยักหน้าๆๆ แล้วก็ทำตาลุกโต พร้อมคว้ากระเป๋ารูดซิปหยิบอะไรออกมา .. คือสมุดเล่มหนึ่ง มีรูปวาด "แองกรี้เบิร์ด" เต็มไปหมด   ผมถึงกับแปลกใจ เลยถามว่า เคยเล่นหรือเปล่า  น้องทำท่าทาง ชูนิ้วโป้งกลับมา ก็คือ เก่งมากๆ พร้อมทำท่าทางเอานิ้วง้าง แล้วก็ลอยยยย ตุ้มม..  เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้  แล้วจึงหยิบแผ่นดีวีดีเกมส์คอมพ์ออกมาอีกแผ่นให้ผมดู  ซึ่งเกมส์อะไรผมก็ไม่รู้จักหรอก แต่ที่รับรู้ได้คือ ความสุขที่น้องเขามีอยู่  .. ไม่นานนักคุณพ่อน้องหลุยส์ก้มารับ  ผมเลยมองหาเด็กกลุ่มใหม่  อ้ะ เจอพอดีนั่งล้อมกันอยู่ตรงม้าหินข้างๆ 5-6 คน   จึงทำท่าทางว่าขอไปนั่งด้วยได้ไหม   น้องทุกคนก็พยักหน้า ดีใจ

เลยเอาน้ำไปแจกๆ แบ่งกันกิน   ก็เลยแนะนำตัวให้น้องเขาทราบว่าชื่ออะไร จะได้เรียกถูก แล้วน้องเขาก็เอาสมุดไปเขียนชื่อตัวเอง ลงทีละคน ทีละคน  หัวเราะคึกคักกัน  คุยกันไปเรื่อยถามคำถามง่ายๆ เรื่องทั่วๆ ไป  โดยเฉพาะน้องๆ ที่อยากรู้ว่า ผมมีแฟนยัง (และสอนผมด้วยว่า มีแฟนยังใช้ภาษามืออย่างไร จำได้แม่น) ผมก็ตอบไปว่า มีแล้ว (ทั้งที่ยังไม่มี) น้องทุกคนก็ เฮ ดีใจกัน พร้อมบอกว่า แต่ละคนก็มีแฟนกันแล้วนะ  แฟนน้องอยู่ ม.นั้น ม.นี้ ชี้ให้ดูว่าคนไหน ชื่ออะไร

เดี๋ยวมันจะยาวเลยขอรวบรัดเลยว่า  วันแรกที่ไปได้อะไรกลับมาบ้าง..

๑.  น้องแต่ละคนใช้เวลาเรียนภาษามือกันอยู่ราวๆ ประมาณ ๒ปี

๒.  น้องแต่ละคนอายุเฉลี่ยอยู่ ๑๔ปี เรียนอยู่ชั้น ป.๖  และมีบางคนอายุ ๑๖ แต่อยู่ชั้น ป.๒ ความเป็นมิตรภาพเพื่อนสนิทกัน  ไม่มีคำว่า อายุตัวเลข มากีดกั้น

๓.  น้องนินทาใครหรือโกหกใครไม่ได้ เพราะการแสดงออกมันไม่สามารถหลบซ่อนสายตาใครได้ แม้ว่าจะโกหกด้วยท่าทางก็ตาม ก็รู้อยู่ดี

๔.  น้องคนหนึ่งมีแฟนเป็นคนฝรั่ง คุยกันอาทิตย์ละครั้งผ่านสไกป์ ด้วยภาษามือ   การสื่อสารไม่ใช่อุปสรรคอะไรเลยสำหรับน้องเขากับชาวต่างชาติ

๕.  น้องเขาก็เล่นกันปกติ ตบหัว ดึงผม กันเหมือนเด็กธรรมดาซุกซน และก็มี(การชูนิ้วกลางบ้าง เป็นพิธีขำๆ แต่น้องเขาก็อายและรีบเก็บตอนผมเห็น)

๖.  น้องดีใจมากที่มีคนเข้ามาคุยเล่นกับน้อง และอยากให้ผมมาหาบ่อยๆ พร้อมขอรูปถ่ายด้วยหากครั้งหน้ามาหาอีก

๗.  ความฝันของน้องๆ ส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดว่าอยากจะเป็นอะไร ขอแค่ อยากสื่อสารพูดคุยได้แค่นั้นเอง



ปล.  เนื่องจากผมได้ไปสัมผัสมาเล่นกับน้องๆ ระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็มีความสุขมหาศาล จึงอยากมาเล่าบอกต่อ  และจะพยายามไปบ่อยๆ ถ้าใครคนไหนสนใจอยากแวะเวียนไปทำความรู้จักกับน้องๆ ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (เรียกสั้นๆว่าหูหนวกเป็นใบ้) ก็ลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับ โสตศึกษา ดู แล้วคุณอาจจะมีความสุขกลับมาคล้ายๆ กับผม ^^




แก้ไขเพิ่มเติม..  

อีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคมที่น่าอยู่ของเรา   แนะนำโดยคุณ "โลกส่วนเรา"  สำหรับใครที่สนใจรายละเอียด รบกวนช่วยกันเข้าไปคลิ้กดูหน่อยนะครับ
http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F12968530/F12968530.html





พร้อม ๑ ภาพที่บอกไว้ข้างต้น

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 55 21:15:49

 
 

จากคุณ : หมอกสีจาง
เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 22:10:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com