|
๓) เปี่ยมน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ข้อนี้หมายถึงใจที่รู้จักเสียสละ ถ้าคุณขับรถจนเหนื่อยอยากพัก นึกอยากหลับ บ้างหรืออย่างน้อยอยากได้ผ้าเย็นลูบหน้าบ้าง แต่คนรักปฏิเสธท่าเดียวไม่ช่วยเหลือ ใดๆทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลสั้นๆคือ ขี้เกียจ! อย่างนี้คุณคงถอดใจ และรู้สึกว่าเดินทาง มากับพวกชอบเอาเปรียบอย่างน่าเกลียด ผู้ที่อยู่ร่วมกันโดยต่างฝ่ายต่างมีน้ำใจมาก ย่อมไม่มีวันหิวกระหายเลยตลอด เส้นทาง ส่วนการเดินทางไปกับผู้มีความตระหนี่ถี่เหนียวไร้น้ำใจ ย่อมทำให้คุณรู้สึก ฝืดคอ เหมือนรอบตัวแห้งแล้งน่าหน่ายหนีเสียเหลือเกิน
เมื่อมีน้ำใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกันได้ กระทั่งอาจ กระตือรือร้นมากพอจะแผ่เผื่อเจือจานไปถึงสังคมรอบข้าง ถึงตรงนั้นพวกคุณจะเริ่ม เป็นสองแรงแข็งขัน ร่วมกันช่วยคนอื่นได้ดุจเดียวกับงานอดิเรกที่น่ารื่นเริง ความ รื่นเริงที่จะช่วยสังคมร่วมกันนั่นแหละ คือที่มาของการอยู่ร่วมกันกด้วยความ หฤหรรษ์สุดยอด การร่วมมือกันช่วยคนแปลกหน้านี่นะครับ จะบอกได้ระดับหนึ่งว่ามีลูกแล้ว พวกคุณจะมีแก่ใจช่วยกันเลี้ยงแค่ไหน ใครจะเป็นคนออกแรงมากกว่ากัน! ไม่ว่าตายแล้วเกิดชาติไหนภพใด คุณจะไม่พบใครที่อยู่ด้วยแล้วบันเทิงเท่า
คนรักที่เคยมีน้ำใจต่อสังคมเสมอกันเลย ความคิดยกให้ ความคิดบริจาค และความคิดช่วยเหลือ เรารวมเรียกว่า จาคะ จาคะจึงหมายถึงการสละออก นับตั้งแต่การแบ่งปันสิ่งของ ช่วยออกแรงช่วยงานกับ ผู้สมควรได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนั้น จาคะยังเหมารวมไปถึงการสละสิ่งที่เป็นโทษทิ้งไป เพื่อเอาสิ่ง ใหม่ที่เป็นประโยชน์เข้ามาแทน ดังเช่นการให้อภัยเป็นทาน ที่ยกความแค้นออกไป เพื่อเอาไมตรีคืนมา
โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าถือสา ถ้าคุณวางเสียได้ ไม่ถือสา ก็จะ ไม่เป็นคนขี้หงุดหงิด กระแสจิตของคุณจะเย็น และถ้าพวกคุณเย็นด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้ต้องวิ่งผ่านทะเลทรายก็จะเย็นฉ่ำอยู่ข้างใน ประดุจเป็นแอร์ให้แก่กันและกัน ตลอดเส้นทางไกล ไม่ต้องแวะซ่อมที่ไหน จาคะคือสิ่งเปิดจิตให้กว้างขวาง อย่างที่เรียกกันว่า ใจกว้าง ยิ่งมีจาคะมาก เท่าใด ใจยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น
ทีนี้ก็ดูว่าระหว่างคุณกับคนรักใจกว้างพอๆกันหรือ ไล่เลี่ยกันไหม สังเกตเถิดว่าคนใจแคบจะไปด้วยกันกับคนใจกว้างไม่ได้ ถึง แม้จับพลัดจับผลูต้องทนอยู่ร่วมกัน ก็จะไม่มีความสุขเลย ภพที่คนใจแคบกับคนใจกว้างไปเสวยก็ผิดกันลิบลับนะครับ คนใจกว้างย่อม เหมาะกับพื้นที่กว้างขวาง สุขสบายไม่อึดอัด ขณะที่คนใจแคบย่อมเหมาะกับพื้นที่ คับแคบ ทุกข์ทนไม่มีดี ถ้าคนหนึ่งตายอย่างคนใจกว้าง อีกคนตายอย่างคนใจแคบ แนวโน้มคือสองคนนั้นจะไม่ได้เจอกันในชาติต่อไป หรือแม้ต้องเจอกันอีกในชาติ ถัดๆไป ก็ยากที่จะมาอยู่ร่วมกันโดยง่าย เพราะใจสอดคล้องกับลักษณะภพที่ต่างกัน เกินไป
๔) คิดอ่านได้ไม่น้อยหน้ากัน ข้อนี้หมายถึงใจที่ เข้าถึงคำตอบ หรือ เห็นทางออก ได้ทันๆกัน หรือช่วย เป็นกำลังทางความคิดเสริมกันและกัน เหมือนถ้าขับรถหลงทาง คุณคงไม่อยากคิด แก้สถานการณ์อยู่คนเดียว แต่จะอยากได้เพื่อนคู่คิด ต่างฝ่ายต่างออกความเห็นได้ ว่าควรทำเช่นไรดี หรืออย่างน้อยก็น่าจะรู้จักเงียบในเวลาที่ควรเงียบ ไม่แสดงความ โง่เขลาทำนองมือไม่พายเอาเท้าราน้ำให้คุณนึกรำคาญใจ
ปัญญาเชิงพุทธจะออกไปในทางคิดเป็น เห็นตามจริง แสวงหาเหตุผลต้น ปลาย ถ้ากำลังหลงทางต้องรู้ทันว่าหลงทางและเร่งหาทางออก ไม่ใช่หลงทางแล้ว ยังเพลินเที่ยวไถล ยิ่งไกลจากจุดหมายไปทุกที ระบบความคิดที่ถูกฝึกมาให้แก้ปัญหาร่วมกัน จะทำให้ปัญญาของพวกคุณ เขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้นทุกทีตามวันเวลาที่ผ่านไป อย่างน้อยก็ในแง่ความสามารถ ในการเห็นทางออกของปัญหา จะไม่แตกเป็นคนละทางสองทาง
ส่วนในทางธรรมนั้น ปัญญาจะมุ่งเอาความสามารถในการเห็นว่าสิ่งใดเป็น ประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ บางคนมีนะครับ แสนฉลาดทางโลก เรียนเก่งขั้นเกียรติ- นิยม แต่ทั้งชีวิตดำเนินไปในแบบโยนประโยชน์ทิ้งน้ำ มัวแต่ไปเก็บเกี่ยวโทษเข้าตัว แทบล้วนๆ ประเภทฉลาดแบบผู้ก่อการร้ายนั่นแหละ ถ้าฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีก ฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา มาอยู่ด้วยกันก็วิบัติเห็นๆ เพราะพูดและทำบนฐานของ ปัญญาคนละแบบ
ลึกไปกว่านั้น ถ้าฝ่ายหนึ่งเห็นชัดตามจริงว่าอะไรๆไม่เที่ยง กายใจก็ไม่เที่ยง กระทั่งความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นมาก เหตุ เล็กนิดเดียวแต่ขยายให้เป็นผลใหญ่โต อย่างนี้คงนึกระอาหรือหมั่นไส้กันและกัน เป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่เสมอกันย่อมสร้างความร่าเริงในการสนทนา และย่อมเป็นความ อุ่นใจไม่พรั่นพรึงที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน จึงย่อมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ตลอดไป
คงเห็นแล้วนะครับว่าถ้าศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน จะทำให้พวก คุณนั่งไปในรถคันเดียวกันตลอดรอดฝั่งได้ท่าไหน คู่ที่เสมอกันทุกด้าน จะอยู่ร่วม กันอย่างกลมกลืนเสมือนเป็นคนเดียวที่แบ่งเป็นภาคชายและภาคหญิง และนี่คงเป็นคำตอบให้กับหลายคำถามที่น่าปวดหัว เช่น ทำไมคู่รักในอุดมคติจึงหาได้ยากนัก? เหตุใดคู่รักส่วนใหญ่จึงไม่รู้สึกแต่ต้นว่าเป็นพวกเดียวกัน? นั่นก็เพราะคนเราอย่างเก่งก็เต็มใจแค่ ปรับตัว เข้าหากัน แต่ที่จะปรับศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาให้เสมอกันนั้น พวกคุณต้องมีกำลังใจมหาศาลจากรักแท้ เสียก่อน! ชาติก่อนบำเพ็ญมาอย่างไรไม่รู้ แต่ชาตินี้รู้ และสุดแต่ว่าพวกคุณจะช่วยกัน ลงทุนลงแรงเพียงใด เพื่อเส้นทางร่วมกันทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า สรุปคือการปรับจิตวิญญาณให้เสมอกันจะทำให้ได้เสวยภพเดียวกัน ทั้งภพ ปัจจุบันและภพในอนาคต ฟังง่าย ทำยาก แต่บรรลุผลได้จริงครับ!
ทำอย่างไรจะรู้ใจกันได้? ในกายมนุษย์นี้ ที่น่าอายเหนือสิ่งอื่นใดคืออะไร?
อวัยวะเพศไงครับ! คนเราอาบน้ำเสร็จก็ต้องซ่อนอวัยวะเพศไว้ใต้ร่มผ้าเป็นอันดับแรกล่ะ
แล้วในความเป็นมนุษย์นี้ สิ่งที่น่าอายกว่าอวัยวะเพศคืออะไร?
ความคิดไงครับ! คนบางคนไม่อายที่จะเปิดเผยอวัยวะเพศต่อสาธารณะ ขนาดแสดงหนังอย่างรู้ทั้งรู้ว่าจะมีคนเห็นกันเป็นล้านยังกล้าเลย แต่ความคิดนี่สิ รู้เมื่อไรอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีเมื่อนั้น!
นี่แสดงว่าทั้งกายทั้งใจมนุษย์เต็มไปด้วยสิ่งซ่อนเร้น และสิ่งที่มนุษย์ต้องการฝังให้เร้นลึกที่สุดก็คือความคิด! ไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่ปราศจากความสัมพันธ์กันนะครับ ตามหลักกรรมวิบากแล้ว ยิ่งความคิดที่ซ่อนเร้นเป็นไปในทางร้ายขึ้นเท่าไร รูปกายใต้ร่มผ้าในชาติต่อไปก็ยิ่งน่าเกลียดขึ้นเท่านั้น และกลับกัน ยิ่งมีความคิดแอบทำดีไม่อยากได้หน้ามากขึ้นเท่าไร ส่วนของกายอันเป็นความลับก็จะยิ่งบาดตาน่าดูน่าชมปานกันในชาติหน้า
ของเร้นลับย่อมสัมพันธ์กันทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนามด้วยประการฉะนี้ จิตสร้างเหตุคือความคิดอันเร้นลับเอาไว้ ธรรมชาติจึงแสดงผลออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม ผ่านร่างกายภายในอันรู้กันว่าเป็น ของลับ ซึ่งทุกคนเห็นตัวเองถนัดว่าเป็นเช่นไร อีกทั้งต้องเก็บๆเม้มๆให้ดี ไม่ว่าจะงามตาหรือน่าเกลียดแค่ไหน
ทว่ายิ่งปิดเท่าไร ยิ่งน่าดูเท่านั้น และถ้าใครดูได้ ก็แปลว่าคนนั้นสนิทใกล้ชิดเป็นกันเองยิ่ง คนกันเองเท่านั้นมีสิทธิ์รู้ว่าเนื้อแท้ที่ถูกปิดซ่อนของคู่ตน น่าชื่นชมหรือชวนแสยะยี้ แต่ถึงคู่รักจะไม่อายที่จะเปิดเผยเขตแดนสนธยาใต้ร่มผ้าต่อกัน ก็ยังอายความคิดใต้กะโหลกอยู่ดีนะครับ แม้ร่วมเตียงกันมาสามสิบสี่สิบปียังซ่อนความคิดบางอย่าง ไม่เปิดเผยให้กันและกันรู้ด้วยวาจาเลย ตราบเท่าที่ยังรู้สึกว่าความคิดนั้นเทียบเท่าแผลอัปลักษณ์อุจาดตา ก็คงไม่มีใครอยากให้หลุดรอดไปสู่การรับรู้ของผู้อื่น ไม่มีใครไม่อายความคิด และไม่ต้องถึงขั้นความคิดอุบาทว์อะไรนักหนาหรอก ทุกคนจะตื่นตกใจเสมอหากถูกจับได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เว้นแต่นึกครึ้มหรืออยากบ้าระห่ำ ประกาศความคิดเป็นวาจาออกไปเอง อันนั้นไม่เป็นไร แต่ที่จู่ๆใครมารู้ความลับในหัวทั้งที่ไม่เต็มใจเปิดเผยนี่แย่เลย แย่กว่าแก้ผ้าล่อนจ้อนเสียอีก! อ้าว! ไหนใครต่อใครบ่นกันว่าอยากมีคนรู้ใจไม่ใช่หรือ?
การพยายามอ่านความคิดคนอื่น อาจไม่ช่วยให้คุณรู้ใจตัวเองดีขึ้น แต่การรู้ใจตัวเองดีขึ้น จะช่วยให้คุณอ่านความคิดคนอื่นออกอย่างรวดเร็ว มนุษย์เรานี่นะครับ ที่อยากให้รู้ใจน่ะ เอาเฉพาะใจตอนที่คิดดีๆหรอก แต่ถ้ามารู้ใจตอนกำลังคิดร้ายๆหรือน่าอับอายล่ะก็อีกเรื่องหนึ่งเลย ที่ตรงนี้เรามาวิเคราะห์กันก่อน ว่าการมี คนรู้ใจ ไปหมดทุกเรื่องนั้น เป็นสิ่งน่าพอใจหรือน่าหลีกเลี่ยงกันแน่? คำตอบว่าดีหรือไม่ดี แปรไปตามสถานการณ์ครับ หากคุณครึ่งรักครึ่งชัง ยังเล่นบทพ่อแง่:-)อน หรือเอาเถิดเจ้าล่อ ผลัดกันเมินผลัดกันมอง แบบนี้ให้เขารู้แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะแค่เขาทราบว่าคุณมีใจให้หรือใคร่มีเซ็กซ์ด้วย คุณคงอยากมุดท่อหนีหายไปเดี๋ยวนั้นแล้ว และอาจไม่อยากเจอกันอีกเลยตลอดชีวิตด้วย!
แต่หากคุณรักแสนรักใครสักคนจนรู้สึกราวจะควักหัวใจมาให้เขากำเล่นได้ แบบนั้นจะมีสิ่งใดเล่าที่คุณไม่ยอมให้เขารู้ได้อีก ยิ่งเขารู้ทะลุทะลวงสิ้นไส้สิ้นพุงเพียงใด ก็ยิ่งทำให้คุณดีใจที่เขารู้จักคุณมากขึ้นเท่านั้น บทนี้เรามุ่งให้คนรักได้รู้จักรักษาความรู้สึกที่ดีต่อกันไว้ ฉะนั้นต้องบอกว่า ดีเหมือนกันถ้ารู้ใจคนรักเสียบ้าง
เพราะการรู้ใจจะทำให้คุณปฏิบัติตัวถูก แบบทราบทางลมว่าควรไปทางไหนอย่างไร
จะดีไหมถ้าคุณพูดกับคนรักดีๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าบึ้งใส่ คุณไม่ต้อง ทำความเข้าใจ ให้เหนื่อย ก็แค่รู้ว่าคนรักกำลังอารมณ์บ่จอยเรื่องเพื่อน เรื่องงาน เรื่องเงิน ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องคุณ!
จะดีไหมถ้าคุณอยากมีเซ็กซ์ แต่เห็นเข้าไปในสภาพร่างกายและจิตใจของคนรัก แล้วรู้ว่ากำลังเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะมารับศึกกับคุณไหว คุณจึงเข้าใจและไม่อยากรบกวน ไม่เริ่มรุกให้คนรักรำคาญใจตั้งแต่ต้น
เมื่อคำนึงว่าเมื่อคนเราตกลงปลงใจร่วมหอลงโรงกันแล้ว ความรู้สึกนึกคิดในหัวคงเป็นอะไรที่ ปิดแบบอยากเปิด ไม่ต่างจากของลับทางกายสักเท่าใด เห็นครั้งแรกอาจเหนียมอยู่บ้าง แต่ดูบ่อยเข้าก็เฉยๆ ไม่ตื่นเต้นอะไรอีก แล้วจะรู้สึกดีด้วยถ้าเอาใจของกันและกันมาใส่ใจกัน
พอไม่ตื่นเต้นกับการรู้ใจกันและกันนั่นแหละ แปลว่าสนิทยิ่งกว่าสนิท มีความแน่นแฟ้นเหนือคู่รักอื่นอย่างเทียบกันไม่ติด ลองคิดดูว่าคนเราถ้าเปิดอกเผยใจกันเต็มร้อย ไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายจะดูแคลนหรือเกลียดกลัว สามารถพูดปรึกษาตรงไปตรงมาแบบคิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ราวกับคุยอยู่กับตัวเอง มันจะวิเศษขนาดไหน? เมื่อต่างฝ่ายต่าง เห็นใจ กันจริงๆ คุณจะรู้สึกเหมือนบ้านเป็นวิมาน และไม่ต้องการความเห็นใจจากใครอีกทั้งโลก!
แล้วอันที่จริงก็ไม่น่าตื่นกลัวอะไรมากหรอกนะครับ เพราะที่จะให้ล่วงรู้เข้าไปละเอียดเป็นคำๆนั้น ใช่จะหาคนทำได้ง่ายๆ คนทำได้นี่ยากที่จะอยากใช้ชีวิตคู่ เนื่องจากต้องไม่ฝักใฝ่กามารมณ์ ต้องไม่มีอคติหยาบๆ ต้องสะอาดด้วยศีลระดับสูง ต้องปราศจากความฟุ้งซ่านซัดส่าย จิตจึงเสถียรพอจะอยู่ในภาวะเป็นใหญ่สงัดเงียบผ่องใส สามารถรับคลื่นความคิดของใครต่อใครได้แบบเป็นคำๆ
จุดมุ่งหมายหลักสำหรับส่วนที่เหลือของบทนี้ คือการแนะให้คุณรู้เฉพาะสิ่งที่ควรรู้ เพื่อเอาไว้รักษาความรู้สึกต่อคนรักไปนานๆ และเป็นอะไรง่ายๆที่คนรักควรรู้กันอยู่แล้ว เช่น จิตกำลังมีราคะหรือไม่มีราคะ จิตกำลังมีโทสะหรือไม่มีโทสะ จิตกำลังมีความหลงผิดหรือไม่มีความหลงผิด เป็นต้น
ผมจะทำให้คุณรู้สึกว่าระหว่างเล่นกับความรัก คุณสามารถเล่นกับจิตไปด้วยพร้อมกัน พูดง่ายๆคือเอาความรักที่มีอยู่นั่นแหละ มาทำความรู้จักกับจิตตัวเองและคู่ครองให้รู้ดำรู้แดงกันไป แล้วคุณจะรู้ว่าความรักที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างล้นหลามนั้น เกิดขึ้นขณะฝึกรู้ใจนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องรู้ใจกันได้จริงๆเสียก่อนเลย เพราะวิธีฝึกรู้ใจนั่นเองจะทำให้คุณเกิดนิสัย เอาใจเขามาใส่ใจเรา มากขึ้น สรุปคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นแหละครับ ตัวการสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรักแนบแน่นขึ้น
ฝึกรู้จักกระแสความรักของตนเอง ฝึกรู้จักกระแสความรักของคนอื่น ฝึกจำกระแสจิตประกอบคำพูด ตอนคนรักคิดอะไรในหัว ถ้าไม่พูดคุณก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร และต่อให้เขาพูดอะไรออกมา ก็ไม่แน่ว่าสิ่งนั้นจะตรงกับความคิดที่แท้จริงหรือไม่ ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าคุณอุตส่าห์ไปเลือกดอกไม้มากำนัล เมื่อถามคนรักว่า สวยไหม? แน่นอนต้องมีการตอบตามธรรมเนียมทันทีว่า สวย! คำตอบหรือคำอุทานสั้นๆนี่จะเป็นแบบฝึกหัดให้เข้าไปรู้ความคิดข้างในได้ อย่างดี อย่างเช่นคำว่า สวย คำเดียว คุณฟังแล้วบอกได้ว่าอะไรเป็นตัวขับออกมา
ถ้าออกมาจากหัวใจที่พองโต คุณจะรู้สึกถึงแรงปีติในอากาศ กลางอกของคนตอบจะเปิดโล่งเบ่งบาน แล้วก็เนิ่นนานพอสมควร
ถ้าออกมาจากความยินดีธรรมดาๆ คุณจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้าที่เฉยๆ กลายเป็นสุขสดชื่นเล็กน้อย แล้วจางลงอย่างรวดเร็ว
แต่หากออกมาจากการเล่นละคร คุณจะรู้สึกถึงความว่างเปล่า มีแต่การฉีกยิ้มหรือส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดภายนอก ไร้ปีติสุขภายในอย่างสิ้นเชิง
และหากถึงขั้นออกมาจากการฝืน กัดฟันพูด คุณจะรู้สึกถึงอาการกลั้นใจและอึดอัดกลางอกหน่อยๆ กับทั้งคาอยู่อย่างนั้นค่อนข้างนานกว่าจะหายไป
การสังเกตความรู้สึกของอีกฝ่ายขณะตอบคำถามหรืออุทานสั้น จะพาคุณเข้าไปลึกกว่านั้น คุณจะสังเกตเห็นว่าก่อนเปิดปากพูด ทุกคนจะมีห้วงความคิดหนึ่งเกิดขึ้นก่อน และส่งเป็นคลื่นไร้รูปออกมาให้คุณสัมผัสได้ คล้ายคลื่นกระแทกที่มีความแรงหรือความเบาต่างกัน คุณไม่ต้องพยายามแปล ไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้น แค่สังเกตและจดจำ กระแสแบบนั้น ที่ส่งออกมาจากฝ่ายนั้นเอาไว้เฉยๆ
ความคิดในหัวของคนๆหนึ่ง ก็คือคำพูดของเขาที่คุณได้ยินอยู่เรื่อยๆนั่นแหละครับ ใช้คำพูดไหนเป็นประจำ คำพูดนั้นก็จะอยู่ในหัวของเขาบ่อยหน่อย หากคุณจับกระแสจากใจในขณะที่เขาพูดได้ คุณก็จะจำได้เมื่อมันเกิดขึ้นอีก แม้เขาจะไม่เปิดปากเปล่งเสียงออกมาเลยก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่นถ้าเขาเป็นคนชอบพูดคำว่า บ้าจริงๆ! คุณจะได้ยินเขาอุทานทุกครั้งที่อยากด่าใคร แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่เขาเกรงใจ ก็จะมีแต่คำว่า บ้าจริงๆ! หรืออะไรคล้ายๆอย่างนั้นอยู่ในหัว โดยไม่เล็ดรอดออกมาทางปาก ทว่าคุณก็จะจับได้ว่ามันอยู่ในหัวเขา เพราะจำแบบแผนคลื่นความคิดเดียวกันได้
ความคิดที่ประกอบด้วยอารมณ์จะถูกเห็นง่ายกว่าความคิดประเภทสักแต่คิด ยกตัวอย่างง่ายที่สุดเช่นคำว่า เอา ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนตอบว่า เอา จะเจือด้วยกระแสความรู้สึกเต็มใจ จริงจัง ในขณะที่อีกคนพูดคำเดียวกันนี้จะเบาโหวง เรื่อยเฉื่อยไม่หนักแน่นคล้ายเอาก็ได้ไม่เอาก็ไม่เป็นไร
หากยินดีจะฝึกรู้ใจกันจริงๆ เพื่อให้เชื่อมั่นว่าไม่ใช่อุปาทานหลอกๆ ก็ให้เอาเศษกระดาษเล็กๆมาสามชิ้น เขียนเลข ๑ ถึง ๓ ลงไป จากนั้นสุ่มเลือกขึ้นมาชู เพื่อให้คนรักอ่านเลขนั้นๆออกเสียงอย่างเต็มปากเต็มคำ เลือกสลับไปสลับมา ระหว่างนั้นคุณก็จับตาดูสบายๆ และพยายามจำให้ได้ว่ามีลักษณะคลื่นจิตแบบไหนปรากฏพร้อมคำพูด หากแยกแยะได้ว่าแต่ละเลขมีคลื่นประจำที่แตกต่างกัน วนเวียนกี่ทีคุณก็สัมผัสได้เป๊ะๆแบบนั้น นั่นแสดงว่าคุณสัมผัสเข้าไปถึงคลื่นความคิดของคนรักแล้ว
ที่จะหมดความสงสัย คือให้คนรักนึกถึงตัวเลขระหว่าง ๑ ถึง ๓ ในหัวโดยไม่ต้องพูดบอก แล้วคุณใช้ความรู้สึกเอา ว่าสัญญาณคลื่นความคิดของคนรักตรงกับเลขใด อันนี้ต้องตกลงกันดีๆด้วยนะครับ ถ้าแกล้งคิดเป็นเลขอื่นหลอกกัน คุณจะสับสนและเสียกำลังใจ ต่อจิตกันไม่ติดไปเลย และสำคัญคือห้ามใช้วิธีดูตาแล้วคาดเดา ย้ำว่าคุณต้องสัมผัสถึงคลื่นความคิดที่ส่งออกมาจากหัวของอีกฝ่ายเท่านั้น
อ่านให้เข้าใจและลองทำตามขั้นตอนข้างต้นอย่างใจเย็น หากทายสิบครั้งคุณถูกเกินห้าครั้งขึ้นไป ให้ถือว่าเริ่มสัมผัสคลื่นความคิดของคนรักได้ และก็อาจจะถึงตาคนรักให้ลองสลับข้างกับคุณบ้าง หากต่างฝ่ายต่างทายถูกอย่างแม่นยำ ให้เพิ่มเลขขึ้นทีละหนึ่ง คือเป็น ๔, ๕, ๖ ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจะพบว่าไม่ต้องให้คนรักอ่านเลขออกเสียงให้ฟังก่อน คุณก็อาจทายถูก และที่ตรงนั้นคุณจะเริ่มจำคลื่นความคิดที่ซับซ้อนของคนรักมากขึ้นเรื่อยๆได้ โดยเฉพาะความคิดสั้นๆที่เขาหรือเธอชอบพูดให้คุณได้ยินติดหู
นี่เป็นคำอธิบายว่าคู่รักบางคู่พออยู่กันนานๆแล้วทำไมจึงรู้ความคิดกันได้โดย ไม่ต้องพูด คำพูดที่ตรงไปตรงมาต่อกัน ย่อมก่อกระแสความคิดเป็นคลื่นแบบเดิมๆให้คุ้นเคย ซึ่งสัมผัสแล้วจำได้ทันทีว่าแบบนี้ เอา ไม่เอา ชอบ ไม่ชอบ ผิดกับคู่รักส่วนใหญ่ที่แม้อยู่กันมาทั้งชีวิต เห็นกันมาทั้งชีวิต ก็ไม่เคยรู้ใจกันเลย นั่นก็เพราะไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจตน หรือไม่เคยแม้กระทั่งสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังพอใจหรือขุ่นเคือง มีแต่ใส่ใจว่าตนอยากได้สิ่งใด พอใจหรือไม่พอใจอย่างไรท่าเดียว
ฝึกรู้สึกถึงกันจากทางไกล
หากฝึกรักษาความรู้สึกกันและกันตามที่กล่าวแล้วทั้งหมดในบทนี้ ก็เท่ากับพวกคุณจูนจิตให้ตรงคลื่นกันได้อย่างยากจะหาคู่ใดเสมอเหมือน พวกคุณจะรู้สึกว่ากำลังมองไปในทางเดียวกันตลอดเวลา เดินควงคู่อยู่บนดิน ก็เหมือนโบยบินไปในฟ้ากว้างด้วยการเป็นปีกซ้ายและปีกขวาให้กับรักแท้ จิตที่ประณีตเสมอกันด้วยบุญ คือมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คลื่นจิตโดยรวมจะมีความใกล้เคียงกันมาก ยิ่งหากฝึกรู้ใจ เล็งจิตกันและกันเข้าไปอีก พวกคุณจะพบด้วยความอัศจรรย์ใจว่าสิ่งลึกลับในหัวของคนเรา อาจถูกรู้กันได้ง่ายๆแค่นี้เอง ความเพลินในกันและกันจะมีรสหลากหลาย ทั้งทางกายและทางใจ แม้กายห่างกัน ก็เหมือนใจสัมผัสกันได้คล้ายอยู่ใกล้
คุณหาความมั่นใจได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในบ้าน ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องนัดแนะกันเป็นพิเศษ เมื่ออยู่ต่างห้องกันให้นึกถึงคนรัก ถามตัวเองว่าคนรักกำลังสบายใจหรืออึดอัดใจ กำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ทันทีนั้นเอง กระแสความผ่อนคลายหรืออึดอัดจะมาปรากฏในใจคุณทันที ถ้าเป็นสุขสบายใจเต็มที่ จะเห็นเหมือนเกิดแสงสว่างเต็มดวงขึ้นในใจคุณ และพลอยทำให้คุณเกิดความเบิกบานตามไปด้วย ถ้าแค่สบายใจธรรมดา จะเห็นเหมือนแสงสว่างครึ่งๆ ซึ่งอาจไม่มีผลใดๆกับความรู้สึกของคุณ ถ้าอึดอัดใจมาก จะเห็นเหมือนเกิดความมืดขึ้นในใจคุณ และพลอยทำให้คุณเกิดความคับข้องตามไปด้วย ถ้าแค่อึดอัดธรรมดา จะเห็นเหมือนความมืดสลัว ซึ่งอาจไม่มีผลใดๆกับความรู้สึกของคุณ สำรวจดูดีๆว่าคุณแค่ทำความรู้สึกถึงเขาธรรมดาๆ หรือ มีความอยาก ให้เขาเป็นสุขเป็นทุกข์แบบหนึ่งๆ ถ้าจับได้ไล่ทันตัวเองว่าตั้งความอยากไว้ ก็ให้ทราบเลยครับว่าความอยากคือตัวเบี่ยงเบนสัมผัสให้บิดเบี้ยวและผิดพลาด
เพื่อพิสูจน์ว่าคุณรู้สึกถูกต้อง ให้เดินหาคนรักจนเจอ แล้วถามตัวเองซ้ำอีกครั้ง ว่าด้วยอิริยาบถปัจจุบันของคนรักนั้น เขาหรือเธอกำลังรู้สึกอย่างที่คุณสัมผัสได้จากอีกห้องหนึ่งหรือเปล่า และเพื่อยืนยันให้เกิดความมั่นใจชนิดไม่มีทางพลาด ให้ทักถามคนรักไปตรงๆว่ากำลังรู้สึกประมาณนั้นประมาณนี้อยู่ไหม ถ้าคำตอบออกมาถูกหลายๆครั้ง คุณจะเชื่ออย่างไม่สงสัยอีกต่อไปว่าตนสัมผัสจิตคนรักจากทางไกลได้จริง ไม่ใช่อุปาทานไปเอง
จิตไม่มีระยะทาง เพราะอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่เป็นต่างหากจาก กว้าง ยาว ลึก ฉะนั้นแม้พวกคุณอยู่ห่างกันถึงดาวพระศุกร์ คุณภาพของจิตสัมผัสก็จะไม่ลดทอนลงตามระยะทางแม้แต่น้อย
จิตสัมผัสของรักแท้ เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่น่าสนุก และความสนุกนั้นก็จะทำให้คุณติดใจในกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ กับทั้งอยากสื่อสารกันให้รู้ซึ้งยิ่งๆขึ้นไป ราวกับเป็นคนเดียวกันจริงๆ ไม่เป็นอื่นต่อกันจริงๆ และจิตสัมผัสจะไม่มีผลกระทบข้างเคียง หากคุณหมั่นพิจารณาว่าสิ่งที่สัมผัสได้ เป็นเพียงภาวะหนึ่ง เกิดขึ้นเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็ดับ ไม่ต่างจากลมฟ้าอากาศ ที่มีร้อนบ้างเย็นบ้างสลับกัน
ความไม่ยึดมั่นถือมั่นจะทำให้คุณยังคงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ติดค้างคาใจ ไม่ถือสาความคิดหยุมหยิมของใคร แต่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ต่อให้ไม่รู้จริงว่าใครคิดอย่างไร คุณก็จะทึกทักและปักใจเชื่ออยู่อย่างนั้น ว่าเขากำลังคิดอย่างที่คุณสำคัญผิดว่าเขาคิด หากคลื่นจิตเท่ากัน เล็งตรงกัน ผูกพันกันอยู่เสมอๆ ก็อย่าแปลกใจเมื่อถึงเวลาหนึ่งมีเสียงของคนรักดังขึ้นในหัว ได้ยินชัดๆเหมือนหูฟังเสียง เพียงแต่นี่เป็นเสียงที่คุณรู้ว่าเกิดขึ้นกระทบใจ ไม่ใช่ความสั่นสะเทือนผ่านอากาศมากระทบแก้วหู
การมีเสียงของคนรักดังขึ้นในหัวไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่เป็นธรรมชาติของจิตที่ทำตัวเป็นคลื่นรับส่งย่านเดียวกัน หลายคู่ก็เกิดประสบการณ์ทำนองนี้หรือยิ่งกว่านี้โดยไม่ต้องฝึก เพียงแต่ไม่ถึงระดับสื่อสารสองทางราวกับคุยโทรศัพท์ เพราะถึงขั้นนั้นต้องเรียกว่าเป็น โทรจิต แล้ว
การมีโทรจิตต้องอาศัยความนิ่งและคุณภาพของจิตอีกระดับหนึ่ง ใจคุณต้องคิดน้อยลงกว่าธรรมดาเกิน ๙๐% ด้วยการเอาใจไปเกาะอยู่กับเครื่องทำความสงบเช่นลมหายใจหรือกสิณ ซึ่งยากที่ชาวบ้านทั่วไปจะทำ เอาแค่สัมผัสใจตอนตัวห่างไกลได้ก็สนุกพอแล้ว แน่นแฟ้นกว่าคู่อื่นไม่รู้เท่าไรแล้วครับ อย่าไปไกลถึงขั้นโทรจิตเลย
ฝึกฝันร่วมกัน
การฝันร่วมกันแทบเป็นประสบการณ์สามัญสำหรับคู่รักที่นอนพร้อมกัน และก่อนนอนคุยกันไปจนหลับ ทั้งนี้เนื่องจากจิตก่อนหลับจะถูกโยงเข้าหากัน หรือกระทั่งเล็งตรงกัน โดยมีข้อเรื่องที่พูดคุยกันเป็นตัวเหนี่ยวนำ พอหลับลงไปจึงมีคลื่นจิตของอีกฝ่ายมากระทบใจ ทำให้เห็นนิมิตฝันเป็นกันและกันในเรื่องราวคล้ายคลึงกัน ฝันร่วมกันของคู่รักธรรมดามักจะตรงกันเพียงบางส่วน เช่น ฝันว่าไปเที่ยวน้ำตกด้วยกันก็จริง แต่สอบถามดูจะพบว่าฝ่ายหนึ่งไปเที่ยวน้ำตกไนแอการา ส่วนอีกฝ่ายไปเที่ยวน้ำตกที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ไม่ได้ใหญ่มหึมาขนาดไนแอการาแน่นอน
หากอธิบายตามหลักจิตวิทยาขั้นพื้นฐาน ก็คือทั้งสองอาจคุยกันในแบบที่ทำให้รู้สึกชุ่มฉ่ำ ประมาณเดียวกับไปเที่ยวน้ำตก แต่น้ำตกในความประทับใจอยากไปเที่ยวของฝ่ายชายอาจเป็นไนแอการา ในขณะที่ฝ่ายหญิงไม่มีความปรารถนาหรือประทับใจไนแอการาเป็นพิเศษมาก่อน
แต่ยังมีฝันอีกแบบหนึ่ง ซึ่งพ้นไปจากฝันธรรมดา แต่เป็นการ ร่วมฝัน ในความหมายของการร่วมสร้างนิมิตฝันขึ้นมาด้วยกันจริงๆ กับทั้งฝึกบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ด้วย เช่น ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าถ้าเจอกันในฝัน จะบินไปด้วยกัน หรือไปดำน้ำเล่นกัน การฝึกถ้าให้ลัดที่สุดนะครับ ต้องการคู่รักที่มีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกันดีแล้ว รู้วาระจิตกันพอสมควรแล้ว คลื่นจิตอยู่ในย่านเดียวกันแล้ว
ที่เหลือจากนั้นก็เล่นไม่ยาก ทำอย่างไรก็ได้ให้จิตไปจดจ่อกับความฝันของอีกฝ่าย เช่น หมั่นถามว่าเมื่อคืนฝันถึงกันและกันบ้างหรือเปล่า ฝันว่าอะไร และตั้งข้อสังเกตอย่างเป็นกิจจะลักษณะ คุยเฟื่องกันไปเลยว่าคุณอยู่ในความฝันของคนรักโดยมีความหมายแบบใด
ขุดคุ้ยเรื่องฝันๆมาคุยกันให้เยอะๆ แล้วจิตจะเล็งอยู่กับความฝันของกันและกันไปเอง พอก่อนนอนให้ตกลงกันธรรมดาๆ อย่าตั้งใจมาก เอาแค่ว่าถ้าเจอกันในฝันคืนนี้นะ ลองจับมือกันบินจากพื้นขึ้นฟ้าไปในแนวตั้ง แล้วมองลงมาว่าเห็นอะไร ช่วยกันจำไว้ตรวจดูกันตอนเช้าว่าตรงไหม หากคืนนั้นต่างคนต่างฝันไปคนละเรื่องก็ไม่เป็นไร ให้ทำความตกลงกันอีกทุกคืน จะเปลี่ยนแนวไปทางไหนก็ได้ เพราะบางทีจิตต้องเจอเรื่องที่สนใจพร้อมกันจริงๆ จึงจับติด เอาไปเป็นนิมิตฝันได้
ประสบการณ์แรกๆในการเจอกันในฝัน อาจนำหน้าด้วยฝันมั่วเลอะเทอะทั่วไป แต่พอเกิดนิมิตของคนรัก ก็จะกระตุ้นเตือนความทรงจำ ว่าเจอกันในฝันจะทำอะไรบ้าง และนั่นแหละ นิมิตฝันจะเป็นไปตามที่ถูกโปรแกรมไว้ก่อนหลับ คลื่นจิตเป็นสิ่งอ่อนไหว ไม่มีทางที่คุณจะบังคับดังใจว่าต้องเกิดฝันร่วมกันในคืนนั้นคืนนี้ แต่ที่แน่คือถ้าคืนไหนจับพลัดจับผลูมีกันและกันในฝันขึ้นมา คืนนั้นพวกคุณจะสนุกมาก อาจเหมือนตะลุยผจญภัยอย่างน่าตื่นเต้นไปในนิทานอาหรับราตรีด้วยกัน ซึ่งไม่มีทางจะเกิดขึ้นจริงเลยในชั่วชีวิตคนธรรมดาเดินดิน
ถ้าจุดเครื่องติดแค่ครั้งเดียว คุณจะร่วมฝันด้วยกันได้อีกบ่อยๆ โดยอาจไม่ต้องสร้างข้อตกลงเป็นพิเศษ เพราะจิตขณะหลับจะทำงานเอง จูนกันติดเองเป็นอัตโนมัติ พวกคุณจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น เข้าถึงกันมากขึ้น เพราะความฝันคือส่วนสำนึกครึ่งดิบครึ่งสุก ทุกสิ่งจะไม่เหลือเป็นที่ปิดบังกันอีกเลย และถ้าต้องฝันร้ายด้วยกัน จิตสำนึกของความเป็นคู่แท้ที่สร้างกันมา จะบันดาลนิมิตไปในทำนองฉุดมือช่วยกันอยู่ กอดคอร่วมกันตาย แน่นอนตื่นขึ้นมา พวกคุณอาจอยากร้องไห้กอดกันแน่นด้วยความดีใจที่เป็นเพียงฝัน กับทั้งเห็นใจกันลึกซึ้งขึ้น เชื่อมั่นว่าถ้าเป็นอย่างในฝันจริงก็จะไม่ทอดทิ้งกันแน่นอน
จากคุณ |
:
Mr.Terran
|
เขียนเมื่อ |
:
21 พ.ย. 55 20:48:54
|
|
|
|
|