รวมมิตร ติด ด. ... ภาค 1


    ไม่ค่อยจะมีเวลามาตั้งกระทู้เท่าไหร่ เพราะมาตรฐานผมกระทู้ต้องยาว จะพิมพ์สั้นๆ ก็เกรงจะโดนหาว่า “สิ้นลาย” แบบคนธรรมดาฯ แต่ว่างเว้นไปนาน วันนี้ก็เอาซะหน่อย

    ช่วงที่ผ่านมาเกือบเดือนที่ผมไม่ได้ตั้งกระทู้นั้น ก็มีกิจกรรมทำเยอะแยะครับ กิจกรรมสำคัญอันนึงก็คือไปงานแต่งงานของเพื่อนสนิทสมัยเรียน TU คนนึง ซึ่งชาวหลังห้องสยามบางคนคงรู้จักกันบ้างแล้ว …

    น้อง ด. ขวัญใจป้า G นั่นเอง … เสียใจด้วยนะครับป้า

    ผมจำเป็นต้องใช้ชื่อย่อ เพราะเลียนแบบพี่ชูวิทย์ … เอ๊ย … กลัวโดนมันฟ้องร้องเอาน่ะ เอาเป็นว่า ใครที่เคยเจอหมอนี่ คงคิดว่าเค้าเป็นพวกคุณชายมาดเท่ห์ ชนิดต้องรักษาฟอร์มเอาไว้ตลอดเวลา แต่บรรดาเพื่อนๆ ที่รู้จักสนิทกันจะทราบดี ว่าพี่แกมีวีรกรรมฟอร์มหลุดมากมายเหลือเกิน ไหนๆ เพื่อนก็ไปสบายแล้ว วันนี้ผมก็เลยจะมาสดุดีวีรกรรมแบบรวบยอดซะหน่อย ผมว่าวีรกรรมหมอนี่เอามาเล่ากี่ทีก็มันส์ ขนาดว่าถ้าเจ้าสาวของมันมาอ่านก่อนวันงาน อาจไม่ได้แต่งก็แล้วกัน ฮ่าฮ่าฮ่า

    ตอนปี 1 เข้าไปกันใหม่ๆ พี่ ด. แกเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก ด้วยความสูง 189 ซม. ประกอบรูปร่างเพรียวอย่างกับนักกีฬา แถมแต่งตัวสะอาดสะอ้านผิดแผกชาวสิงห์แดงทั่วไปเป็นยิ่งนัก ด้วยนักศึกษาสมัยผมมันไม่ค่อยซีเรียสกันเรื่องการแต่งกายเท่าไหร่ ชุดมาตรฐานของนักศึกษาชายก็เลยมักจะเป็นกางเกงยีนส์ เสื้อยืด รองเท้าแตะ Scholl ตามสมัยนิยม บางคนดูดีหน่อยก็เป็นเสื้อยืดคอปก รองเท้าหุ้มส้นพวก Next, Dr. Martens หรือ Regal ทรง Loafer … นี่หล่อกันสุดๆ แล้วนะ

    ซึ่งต่างกับพี่ ด. โดยสิ้นเชิง เพราะพี่ ด. แกจะมาเรียนด้วยเครื่องแบบเฉพาะตัว กางเกงสแล๊ค เสื้อเชิ๊ตแขนสั้นมีกระเป๋าเสื้อสองข้าง แถมบางตัวมีอินทนูที่บ่าด้วย มาทราบภายหลังว่าพี่ ด. แกซิ่วมาจากโรงเรียนการบินพลเรือน เลยเอาเครื่องแบบเดิมน่ะแหละมาใช้เป็นชุดนักศึกษาซะเลย ก็ประหยัดดี แถมเท่ห์กว่าเพื่อนอีกต่างหาก

    ความแตกต่างในเรื่องการแต่งกาย และมาดคุณชายของพี่ ด. นี่เอง ที่ทำให้เค้าไม่ค่อยสนิทกับพวกผมเท่าไหร่ ชื่อยังไม่รู้ด้วยซ้ำไป ประกอบกับตอนนั้นเค้าถือสัญชาติฝรั่งเศส เป็นมงซิเออร์เกลียมัวร์ รึไงเนี่ยแหละ รุ่นพี่หรือเพื่อนๆ ที่เห็นหน่วยก้าน(ยาว) ของนาย ด. จะไปตามตัวมาเล่นกีฬาให้คณะ อย่างบาสเกตบอล หรือวอลเลย์บอล ก็แห้วกันเป็นแถบๆ เพราะแฟนไม่อนุมัติ … กรรมของ ด.

    ขึ้นปี 2 กลับมาเรียนแยกคณะที่ท่าพระจันทร์นั่นแหละ ชื่อของนาย ด. ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่ชายโฉดรุ่นเรา เพราะนาย ด. ได้อิสรภาพคืนมา กลับมาเป็นโสดอีกครั้ง นาย ด. เริ่มไปไหนมาไหน ร่วมทำชั่วกับพวกเราได้บ่อยขึ้น และเหตุการณ์แรกที่ทำให้ชื่อเสียงของนาย ด. ดังไปทั่วคณะก็คือ “คดีคางแตก” ที่เคยเล่าไปแล้วสมัยยังไม่มีหลังห้องสยามนู้น … ใครอยากอ่านรอบรีเพลย์ขอมือขวาหน่อย … เย๊ …


    ……………………………………………………

    สมัยที่ผมเรียนนั้น ที่หน้าคณะจะมีเนินที่สำหรับให้รถแล่นขึ้นไปส่งของได้ ที่ชาวคณะเราตั้งชื่ออย่างเพราะพริ้งว่า “โคกคณะ” ซึ่งข้างๆ โคกนี้ จะมีโต๊ะ หรือซุ้ม หรือกลุ่มอยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่องความหล่อ เอ่ยชื่อคนแถวนั้นต้องร้อง “อ๋อ … ไอ้พวกโต๊ะขี้เมา” คือมันกินกันแม้แต่ที่โต๊ะหน้าคณะนี่แหละ วันดีคืนดีก็จะมีพวกรุ่นพี่ที่จบไปแล้วแต่กลับมาเรียนปริญญาโทช่วงเย็นๆ ก็จะมาร่วมวงด้วย ซึ่งพวกเราจะชอบมาก เพราะพี่ๆ พวกนี้มักจะโยนตังค์ไว้ให้ก่อนขึ้นเรียนเป็นต้นทุนประกอบการ แล้วค่อยกลับมาแจมตอนเลิกเรียนแล้ว (และบางครั้งอาจารย์ที่คณะก็จะมาแจม) เรียกว่าผู้ชายคนไหนอยู่สังกัดโต๊ะนี้ มักจะหาแฟนยาก เพราะพวกเรามีชื่อเสียง (ในทางลบ) ซะเหลือเกิน

    วันหนึ่ง เราก็นั่งเรื่อข้ามฟากไปยังฝั่งศิริราชเพื่อไปทำกิจกรรมเสริมหลักสูตรทางน้ำกันเช่นเคย เริ่มจากตั้งวงเล็กๆ 3 คน จนกระทั่งได้กำลังสมทบที่ตามกลิ่นมาอีกรวมเป็น 7 ชีวิต แต่ละคนนี่ร่ำสุรากันอย่างเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าเรียนซะอีก นาย ด. พระเอกของเราก็ตามมาสมทบทีหลัง พอเห็นของกลางที่พวกเราดื่ม แกก็บ่นอุบว่า

    “เฮ้ย … เหล้าไทยเหรอ ไม่กินนะ ku ไม่ชอบ ระดับ ku นี่ต้องต่ำๆ ก็เรดเลเบิลเว้ย”

    คือสมัยนั้นมีแต่เหล้าไทยราคาร้อยกว่าบาท พวกหงส์ทองแสงทิพย์ แล้วก็กระโดดไปเป็นแบล๊คเลเบิล (เกือบหกร้อย) หรือเรดเลเบิล (เกือบสี่ร้อย) ไอ้เหล้านอกราคา 2-3 ร้อยอย่างบลูอีเกิล 100pi หรือสเปย์นี่ยังไม่มี

    แต่ด้วยความจำใจ เพราะเพื่อนๆ ยื่นคำขาดว่าถ้าอยากกินต้องไปซื้อมาเอง ไม่งั้นกลับบ้านไป ไม่ต้องแด_ เจ้าตัวปัญหานั่นก็เลยจำใจโอเค กินก็กินวะ … ทำไปทำมามันซดหนักกว่าชาวบ้านเค้าซะอีก … “ก็เหล้าไทยมันรสชาดอ่อน” เค้าว่างั้น

    หลังจากผ่านไป 3 กลม ร้านที่เราไปกินก็ปิด เรือข้ามฟากก็จะหมดห้าทุ่ม เลยเช็คบิลเพื่อไปหาที่กินต่อ ทะเลาะกันไม่จบซะทีว่าจะไปต่อที่ไหน สมัยนั้นตัวเลือกน้อยครับ แถวท่าพระอาทิตย์ตอนผมปี 2 นี่มีแค่ร้าน 108 กับเกสท์เฮาส์ข้างในซอยเท่านั้น ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะกลับไปกินกันที่โคกคณะเป็นอันหมดเรื่อง (พอดีสนิทกะยามที่คณะอยู่แล้ว) หน้าด้านขอน้ำแข็งจากร้านที่กินเมื่อครู่นั่นแหละ ซื้อเหล้าเพิ่มอีกขวดก็ข้ามฟากกลับมาตั้งหลักกันที่โคกคณะ

    พอกลับมาดวลวงสวิงกันต่อได้ซักพัก จู่ๆ พี่ ด. ของเราไม่ทราบของขึ้นอะไร พี่แกก็ลุกพรวดพราดแล้วโวยวายออกมาว่า

    “เฮ้ย … ku ไม่กินมันแล้ว เหล้าไทยแม่_ ห่วยว่ะ พวกมืงกินกันได้ไงวะ ku กลับละเว้ย”

    ว่าแล้วก็เดินตุปัดตุเป๋ลงจากโคก เพื่อนๆ เห็นอาการก็เป็นห่วงปนหมั่นไส้ ก็ไอ้ห่ะเอ๊ย เอ็งน่ะ แด_ เยอะกว่าเค้าเพื่อนเลย ยังมีหน้ามาบ่นว่าเหล้าห่วย แต่ความที่เป็นเพื่อนกัน พวกเราก็เป็นห่วง คนที่สภาพดีหน่อยก็พยายามจะไปช่วยประคองมัน

    “ไม่ต้องมายุ่งกะ ku ku ไม่เมา สบาย … เหล้าไทยกระจอก รสอ่อนจะตาย”

    หมอย้ำอย่างเดิม … ด้วยความหมั่นไส้ จะช่วยยังโดนด่า ปล่อยก็ปล่อยวะ … คุณ ด. ของเราก็แถเดินลงโคกซึ่งเป็นทางลาด ระดับพื้นลดลง เดินไปได้ซัก 5 ก้าว พี่แกก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ เดินไปได้อีกสองก้าวขาก็ขวิดเป็นเลข 8 แล้วทรุดฮวบล้มลงด้วยท่าอันสง่างามเหมือนต้นซุงโค่น เร็วเกินกว่าพวกเราจะวิ่งไปคว้าได้ทัน ร่างสูงเกือบ 190 ฟาดพื้นเสียงดังสนั่น นึกถึงเวลาเราตั้งแท่งดินสอแล้วผลักมันล้มน่ะครับ ยังไงยังงั้นเลย

    เพื่อนๆ ก็ตกใจสิครับ กรูกันเข้าไปช่วยประคองทันที มันสลบไปแล้ว ที่ปากและคางมีเลือดกลบเต็มไปหมด เพื่อนๆ ก็รีบลากมันออกไปเรียกตุ๊ก ตุ๊ก (เรือหมดแล้ว) พาไปศิริราชเพื่อทำแผล ปรากฏว่าเย็บไปเบาะๆ 4 เข็ม เคราะห์ดีกระดูกกรามไม่หัก แล้วเราก็ลากมันไปนอนหอเพื่อนคนนึงที่ย่านพรานนกนั้น

    วันรุ่งขึ้น ผมสลึมสลือตื่นมาแบบงงๆ เหลือบดูเวลาประมาณ 9 โมงแล้ว แต่ด้วยความที่ขี้เกียจและเหนื่อยเมื่อยล้าจากการอุ้มควายทั้งตัวเมื่อคืน ก็เลยนอนลืมตาอยู่อย่างนั้นก่อน เพื่อนๆ ที่ร่วมชะตากรรมกันมาเมื่อคืนแล้วขี้เกียจกลับบ้านก็นอนกันเรียงรายเต็มพื้นห้อง ซักพัก เจ้าตัวแสบเมื่อคืนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งบ่นพึมพำอะไรไม่รู้ พลางเอามือบีบนวดบริเวณต้นคอตัวเอง บิดขี้เกียจไปมา ซักพัก แกคงหงุดหงิดอะไรซักอย่าง เลยคว้าคอเพื่อนต้นคิดที่นำทัพไปรบเมื่อวานซึ่งนอนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาต่อว่า

    “ไอ้ห่าต้น … ku บอกแล้วว่า ku ไม่กินเหล้าไทย เอ็งก็บังคับอยู่ได้ เห็นมั้ยเนี่ย ตื่นมาม่างโคตรแฮงค์เลย นี่ ku ปวดเมื่อยคอเมื่อยคางไปหมดแล้วเนี่ย คราวหลังไม่ต้องชวนนะเว้ย … จำไว้ ต้อง Red หรือ Black Label เท่านั้นนะเว้ย !”

    อ๋อ … มันยังไม่รู้ตัวหรอกครับ ว่าที่คางมันน่ะ มีพลาสเตอร์หนาปึ้กแปะอยู่ ! …



    ป.ล. 1 – จบภาคแรก ต่อภาคสองเร็วๆ นี้ครับ
    ป.ล. 2 – เพื่อนชื่อต้น เป็นนามสมมตินะครับ เดี๋ยวโดนฟ้องเนียนเลยผม



    จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ 20 ส.ค. 46 11:30:22 ]