เล่าเรื่องพ่อของผม ... ตอนที่ 2


    มาแล้วตามคำเรียกร้อง แต่ก่อนอื่น ผมขอแก้ไขข้อผิดพลาดในตอนที่แล้วสองสามที่นะครับ


    ที่แรก เวลาอ่านหนังสือนี่ใช้ไฟจากขี้ไต้นะครับ ไม่ใช่ตะเกียงเจ้าพายุ เพราะพ่อบอกว่าสมัยนั้นตะเกียงราคาแพงกว่าถ่านที่เผาได้อีก ใช้แล้วไม่คุ้ม


    อีกที่ก็ตอนพ่อไปขอตังค์ปู่เข้ากรุงเทพเนี่ย ขายถ่านได้มา 300 บาทครับ ค่าตั๋วรถไฟก็ 34 บาท เช็คกับเจ้าตัวมาใหม่เรียบร้อย ขออภัยในความผิดพลาด อุอุ


    ............................................................


    วันแรกที่มาถึงกรุงเทพ มันก็แทบไม่ต่างกับภาพที่พ่อผมวาดไว้ในใจซักเท่าไหร่ ก็พ่อศึกษามาจากหนังกลางแปลงแถววัดใกล้บ้านเป็นอย่างดีแล้วนี่ครับ สามหนุ่มจากเมืองสองแควสะพายกระเป๋าหิ้วชะลอมเดินชื่นชมเมืองกรุงกันใหญ่ ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก ก็ลองนึกถึงพวกหนังหรือละครที่เค้าล้อเลียนพวกบ้านนอก นั่นแหละ หยั่งงั้นเลยครับ


    เครื่องแบบพวกบ้านนอกครบสูตรก็ต้องสวมเสื้อเชิ้ตลายทางมั่ง ลายสก๊อตมั่ง กางเกงผ้าเสิร์ทหูรูดตัวโคร่งๆ หิ้วชะลอมไผ่สาน บรรจุข้าวสารอาหารแห้ง สะพายกระเป๋าผ้าใบใส่เสื้อผ้า นั่นแหละ สามหนุ่มพระเอกของผมเลย อุอุ


    จะไปพักที่ไหนหรือครับ สามหนุ่มของเราวางแผนกันไว้แล้ว จะไปนอนกันที่วัดสามพระยา ย่านบางขุนพรหม เพราะมีรุ่นพี่ที่สนิทกันเข้ามาเรียนอยู่แล้วคนนึง สามหนุ่มก็นั่งสามล้อจากหัวลำโพงไปหา ปรากฏว่าโชคร้ายหน่อย ที่นอนยังไม่ว่าง พระมหาท่านก็เลยบอกว่า มีที่ว่างข้างๆ กุฏิอยู่ มีเพิงกันแดดกันฝนได้ ถ้านอนได้ก็เอา พักชั่วคราวไปก่อน อีกซักอาทิตย์นึงถึงจะว่าง


    กลางคืนก็กางมุ้งนอนกัน นอนๆ ไปตอนดึกนี่ก็มีหมาวัดเจ้าถิ่นมาดมๆ ทักทายเด็กวัดใหม่กันตลอดคืน คล้ายๆ เป็นการรับน้องใหม่ ว่างั้นเหอะ


    รุ่งเช้า ก็เริ่มทำหน้าที่เด็กวัด เดินถือตะกร้าตามหลังหลวงพี่ออกบิณฑบาต ก็สำรวจที่ทางไปในตัว จะได้คุ้นที่ทางไม่หลงทางภายหลัง


    ตกสาย ก็เริ่มปรึกษากับรุ่นพี่ที่มาอยู่ก่อน รุ่นพี่ก็แนะนำให้หมด ว่าต้องไปซื้อใบสมัครสอบเอนทรานซ์ที่ไหน ไปสมัครยังไง ควรไปกวดวิชาที่ไหน อ่านหนังสืออะไรบ้าง ฯลฯ สามหนุ่มก็ออกเดินทางไปตามที่ได้รับคำแนะนำมา


    หลังจากสมัครสอบเรียบร้อยแล้ว ก็ไปดูโรงเรียนกวดวิชา สมัยนั้นคือไปที่เรียนเตรียมอุดมศึกษา ค่าเรียนกวดวิชา 150 บาท พ่อก็มานั่งคิด ก่อนออกจากพิษณุโลกมีติดตัวมาสามร้อย ค่ารถไฟ ค่ารถ ค่าสมัครสอบ ฯลฯ ก็หมดไปเกือบร้อยบาทแล้ว ขืนสมัครไป เหลือห้าสิบบาท มีหวังได้กลับบ้านก่อนได้สอบแน่ๆ พ่อเลยเปลี่ยนใจไปซื้อหนังสือมาอ่านเอง หมดไปเกือบสามสิบบาท ส่วนเพื่อนพ่ออีกสองคนเค้าค่อนข้างมีฐานะหน่อย ก็เลยสมัครเรียนไป ได้อะไรก็กลับมาติวกันสามคน ถ้อยทีถ้อยอาศัยตามสไตล์หนุ่มเลือดลูกทุ่งที่รักเพื่อนละครับ


    วันสอบจริง สามหนุ่มก็มั่นใจกันเต็มที่ เข้าไปสอบแล้วกลับมารอผลด้วยใจระทึก ผลที่ออกมาก็ไม่น่าเชื่อ ทั้งสามหนุ่มเข้าไปเป็นนักศึกษาใหม่ลูกแม่โดมกันครบ โดยสมัยนั้น ก็ค่อนข้างคล้ายๆ กับธรรมศาสตร์ยุคที่ผมเรียน คือปีหนึ่งจะต้องเรียนวิชาพื้นฐานกันหมด เพียงแต่สมัยนั้นเค้าเรียกว่าเรียนวิชาคณะศิลปศาสตร์ แล้ววัดผล ว่าคะแนนสะสมที่ได้ สามารถเข้าไปเรียนคณะไหนได้บ้าง แล้วก็ค่อยเลือกเรียนวิชาที่ชอบ


    จบปีหนึ่ง สามหนุ่มก็เลือกเรียนกันคนละคณะ คนนึงเลือกศิลปศาสตร์ต่อ อีกคนนึงเลือกเรียนนิติศาสตร์ ส่วนพ่อผมเลือกเรียนเอกบัญชีในคณะพาณิชย์ศาสตร์ฯ


    ไว้ตอนหน้า จะเล่าให้ฟัง ว่าพ่อผมใช้ชีวิตสมัยเรียนยังไง เหมือน หรือต่างจากเด็กสมัยนี้มากน้อยแค่ไหน รออ่านกันนะครับ


    จากคุณ : เพชฌฆาตความเครียด - [ วันเถลิงศก (15) 09:15:59 ]