เล่าเรื่องพ่อของผม … ตอนที่ 3

    ความเดิมจากตอนที่แล้ว สามหนุ่มจากต่างจังหวัด เข้ามาตามฝันล่าปริญญาในกรุงเทพ จนได้เข้าไปเป็นนักศึกษาใหม่ในถิ่นยูงทองสมใจ


    อันที่จริง พ่อผมเค้าอยากเข้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เสียมากกว่า เนื่องจากท่านค่อนข้างถนัดด้านภาษาไทย วรรณคดี เรียกว่าเป็นนักอ่านตัวยง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซมคู่ที่ 7 มาถึงผมพอสมควร เสียแต่ผมมักอ่านแต่อะไรไม่ค่อยเข้าท่า สมัยพ่อผมอยู่ มศ. 3 นี่อ่านมาหมดแล้ว ผู้ชนะสิบทิศ อิเหนา สามก๊ก ราชาธิราช ฯลฯ นี่ยังไม่นับพวกนิยายตะวันตกกับนิยายกำลังภายในที่ฮิตเหลือเกินในยุคนั้น เพราะที่ต่างจังหวัดหาอ่านยากหน่อย


    สาเหตุหลักที่พ่อไม่เลือกสอบเข้าอักษรศาสตร์ก็เนื่องมาจากไม่สะดวกในการเดินทางจากวัดสามพระยาไปเรียน และใจยังไม่ถึงพอจะลุยเดี่ยวแยกกลุ่มไปหาวัดแถวสามย่านอยู่ ประกอบกับเป็นห่วงเพื่อนอีกสองคนอยู่ไม่น้อย เพราะเข้ากรุงยังไม่ทันไร สองหนุ่มนั่นก็เริ่มติดกลิ่นอายหนุ่มเมืองกรุงเข้าแล้ว ทั้งเรื่องการแต่งกาย ทรงผม การวางมาดต่างๆ เนื่องจากเป็นลูกคนมีฐานะพอสมควร ถ้าจะถามว่าที่บ้านฐานะดีแล้วทำไมมาอยู่วัด ก็ต้องตอบว่าสมัยปี 2508 กิจการหอพักยังไม่เกลื่อนเมืองเช่นทุกวันนี้ ลูกคนมีเงินจากต่างจังหวัดจะเข้ามาเรียนกรุงเทพได้ ต้องส่งไปพักอยู่กับญาติในกรุงเทพ ถ้าใครไม่มีก็ต้องมาพึ่งใบบุญวัดอย่างสามหนุ่มของผมนี่แหละ


    คุณๆ ที่ผ่านชีวิตการเรียนระดับมหาวิทยาลัยมาใช้ชีวิตอย่างไร สองหนุ่มเพื่อนพ่อที่หอบหิ้วกันมาก็แบบนั้นแหละ แถมยุคนั้นเป็นยุคฟลอร์เฟื่องฟ้า “งานรื่นเริงไม่เคยขาด งานลีลาศไม่เคยเว้น” สองหนุ่มเราตะลุยเที่ยวมันแทบทุกคืน กลับวัดดึกดื่นโดนพระมหาเอาไม้ฟืนเขวี้ยงกันก็บ่อย แฟชั่นสมัยนั้นก็คล้ายๆ กับในภาพยนต์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง ไม่ต่างกันมากนัก ประเภทเสื้อพอดีๆ ตัวทอลายดอกในเนื้อผ้า หรือบางคนก็ใช้สีสันแสบสะใจ (คิดเหมือนผมมั้ย เสื้อผ้าวัยรุ่นสมัยนี้มันก็วนๆ กลับมาเหมือนยุคพ่อผมนะ ต่างกันตรงรายละเอียดนิดหน่อยแค่นั้นแหละ) กางเกงก็แล้วแต่จะสาวกลัทธิเดฟ หรือมอสส์ ก็ว่ากันไป ทรงผมงี้แข็งโป๊กด้วยตันโจติ๊ก (จริงๆ ต้องเรียก Tanjo Stick คือครีมแต่งผมยี่ห้อตันโจชนิดแท่ง คล้ายๆ กาวแท่งน่ะแหละ) ปะพรมโคโลญจน์ 4711 ซึ่งสมัยนั้นนี่ถือว่าโก้สุดๆ


    ส่วนพ่อผม ต่างจากเพื่อนซี้สองหนุ่มอย่างสิ้นเชิง ปู่เป็นทหารเงินเดือนไม่ถึงสี่ร้อยบาท ครอบครัวอันประกอบด้วยปู่ ย่า และกองทัพอาว์ๆ ของผมรวมแล้ว 8 ปาก 8 ท้องก็แทบจะไม่พอกินอยู่แล้ว ไอ้จะส่งให้ลูกชายที่กรุงเทพเดือนละสี่ห้าร้อยบาทแบบเพื่อนนี่อย่าหวัง เงินที่ติดตัวมาจากบ้าน จ่ายค่าลงทะเบียนยังไม่พอเลย (สมัยนั้นค่าลงทะเบียนที่ธรรมศาสตร์หน่วยกิตละ 30 บาท) แล้ว ไหนจะซื้อเสื้อผ้าเครื่องแบบนักศึกษาอีก ต้องเขียนจดหมายไปหาน้าชายเพื่อขอยืมเงินมาก่อน จากนั้นพ่อผมก็ออกหางานทันที


    มาได้รุ่นพี่แนะนำให้ทำงานที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านถนนสีลม ซึ่งปัจจุบันก็ยังเปิดให้บริการอยู่ เริ่มงานจากเป็นเบลบอย ขยับขึ้นเป็นคนทำความสะอาด และเป็นหัวหน้างานดูแลเด็กทำความสะอาดและเบลบอยในเวลาต่อมา ได้เงินเดือนบวกกับเงินทิปตกวันนึงเกือบร้อยบาท ถือว่ารายได้ดีมากๆ สำหรับสมัยนั้น ที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ 2 บาทเท่านั้น


    ชีวิตประจำวันพ่อผมเริ่มจากเข้าเรียนตอน 9 โมงเช้า สี่โมงครึ่งก็นั่งรถรางไปสีลม เข้างานให้ทันหกโมง อาบน้ำแต่งตัวเครื่องแบบสีเขียวสัญลักษณ์ประจำโรงแรม กินข้าวเสร็จก่อนหกโมงครึ่งก็ลงมายืนคอยเปิดประตูรถให้แขกที่มาใช้บริการ พาไปเช็คอิน แล้วหิ้วกระเป๋าขึ้นไปส่งที่ห้องพัก คอยเรียกแท๊กซี่หรือสามล้อให้แขกเวลาจะออกไปข้างนอก พอซักสี่ทุ่มเศษๆ ถึงจะได้พัก จากนั้นก็ออกเดินตรวจตราความเรียบร้อยของชั้นที่อยู่ในความดูแล ตรวจเสร็จก็ลงมา stand by ที่ด้านหน้าลอบบี้ เผื่อเจอแขกโรงแรมที่เมาหมดสภาพกลับมา จะได้หอบหิ้วขึ้นไปห้องพัก ฯลฯ จนตีสามได้เวลาเลิกงาน ก็นั่งรถรางกลับวัด เข้านอน แปดโมงครึ่งก็ตื่นเตียมตัวไปเรียน เป็นแบบนี้ทุกวัน แถมเสาร์อาทิตย์หรือปิดเทอมก็มีควบกะอีกต่างหาก


    มาถึงสองหนุ่มที่มาจากบ้านด้วยกันบ้าง สองหนุ่มนั่นก็อย่างที่บอก “งานรื่นเริงไม่เคยขาด งานลีลาศไม่เคยเว้น” เงินที่ทางบ้านส่งมาไม่ค่อยพอใช้ พอปลายๆ เดือนก็หมดสภาพ ต้องงดออกงานสังคม อาศัยข้าววัดประทังชีวิตรอธนาณัติจากทางบ้าน แต่ก็ได้พ่อนี่แหละ เป็นผู้อุปถัมภ์กลายๆ กล่าวคือพอพ่อกลับจากทำงานที่โรงแรมตอนใกล้รุ่ง พ่อก็จะเอาตังค์ 20 บาทใส่ไว้ในกระป๋องหัวเตียง ซึ่งกระป๋องนี้ถือเป็นกองกลางของสามหนุ่มสำหรับซื้อของใช้จำเป็นต่างๆ เช่นสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ของจำเป็นที่ว่า ก็คือค่าใช้จ่ายสำหรับประทังชีพของสองหนุ่มระหว่างรอเงินจากทางบ้านนั่นเอง ซึ่งพ่อผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะเป็นเพื่อนรักกันมานับสิบปี


    เพื่อนพ่อผมทั้งสองคนนี้ ปัจจุบันได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโตกว่าพ่อทั้งนั้น คนนึงเป็นระดับอธิบดีกรมแห่งหนึ่งทีเดียว แต่แม้จะล่วงเลยเวลามาถึงวันนี้ กว่าสามสิบปีแล้วก็ตาม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เจอหน้ากันทุกครั้งก็จะทักทายกันโวยวายเสียงดัง แถมทั้งสองคนยังเล่าให้คนใกล้ตัวฟังเสมอๆ ว่า นี่แหละ เพื่อนรักคนนี้ ถ้าไม่ได้พ่อผม พวกเค้าสงสัยเรียนไม่จบ อดตายกันไปตั้งแต่สามสิบปว่าปีก่อนแล้ว  และเมื่อไหร่ที่พ่อขอความช่วยเหลือมา ไม่ว่าเรื่องอะไร ทั้งสองคนไม่เคยปฏิเสธแม้แต่ครั้งเดียว แถมบ่อยครั้งก็พยายามเสนอจะแนะนำให้พ่อรู้จักกับ “นาย” บางคน เพื่อจะได้เป็นช่องทางลัดในการก้าวหน้าในหน้าที่การงานของพ่อ แต่พ่อก็ปฏิเสธน้ำใจตรงนั้นไปทุกครั้ง เพราะมันขัดกับอุดมการณ์ของพ่อ


    นอกจากหาเงินสำหรับเรียนแล้ว พ่อยังเหลือเงินส่งให้ที่บ้านอีกเดือนนึงหลายร้อยบาท ปู่งี้ยืดเลยทีเดียวเวลาใครถามถึงพ่อ ปู่จะคุยฟุ้งกับคนที่ถามเสมอ ว่าลูกชายเรียนอยู่กรุงเทพ ทำงานหาเงินเรียนเอง แถมส่งเงินให้ใช้เดือนนึงมากกว่าเงินเดือนทหารของปู่ซะอีก แต่สิ่งนี้ ก็ต้องแลกมาด้วยการที่พ่อต้องใช้เวลาถึงเจ็ดปีครึ่ง จึงจะสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญากับเขา


    เคยถามพ่อว่า ทำไปได้ไง ทั้งทำงาน ทั้งเรียนอย่างนั้น …


    พ่อมองหน้าผมยิ้มๆ แล้วบอกว่า เรื่องมันจำเป็นนะลูก เป็นเอ็ง เอ็งก็ต้องไหว พ่อบอกว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าถ้าเรารู้ว่าเราด้อยกว่าคนอื่น เราก็ต้องอดทน และพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นทวีคูณ … สิ่งต่างๆ ที่เราทำมันไม่มีทางสูญเปล่าหรอก … เพราะวันนึง …


    “เมื่อมองย้อนกลับไปในวันเวลาเก่าๆ เราจะพบว่าเรามาไกลจากจุดนั้นเหลือเกิน”



    ป.ล. ว่างๆ จะเอารูปพ่อผมสมัยหนุ่มๆ มาสแกนให้ดูกัน สาวๆ เห็นมีกรี๊ดสลบก็แล้วกัน มิน่า ลูกชายถึงหล่อนัก หุหุ

    จากคุณ : เพชฌฆาตความเครียด - [ 16 เม.ย. 47 14:46:15 ]