เล่าเรื่องพ่อของผม … ตอนที่ 4

    ก็มาถึงตอนที่ 4 กันแล้วนะครับ มีคนบ่นว่าปกติผมมักจะเขียนกระทู้ยาวๆ แต่ที่ผ่านมา 3 ตอนมันยาวไม่สะใจ ตัดโฆษณาบ่อยยังกะละครหลังข่าว … แหม … ช่วยไม่ได้ครับ ของดีต้องดูกันยาวๆ อิอิ


    ต่อเรื่องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของพ่ออีกนิดหนึ่ง …


    อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าพ่อผมต้องใช้เวลาเรียนถึง 7 ปีครึ่งถึงจะจบ เพราะเรียนไป ทำงานไป หลายครั้งทำงานเพลินจนลืมเรียนก็มี บางวันทำงานเสร็จกลับมานอน ตื่นมาอีกที … อ้าว … บ่ายโมงแล้ว เพราะเพลีย และอดนอนมาทั้งคืน ก็โถ … นอนแค่วันละ 4 ชั่วโมงกว่าๆ เองนะคุณ พอไปเรียนไม่ทันก็ไม่รู้จะทำอะไร ออกไปทำงานซะเลย ผู้จัดการก็นึกว่าขยัน จ่ายเป็นโอทีเข้าให้ พอทำงานมันได้ตังค์ก็เลยเกเรียนไปหน่อย


    แต่จะว่าไปผลการเรียนพ่อก็ไม่ขี้เหร่อะไรเลย ตอนจบปริญญาตรีนี่เกรดเฉลี่ยระดับเกียรตินิยมเชียวนะ เสียแต่ใช้เวลาเรียนมากกว่าชาวบ้าน เลยอดนิยมเกียรติกับเค้า


    แถมตอนช่วงเรียนปีที่ 6 ก็มีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วชวนไปทำงานด้วย บอกว่าไปทำงานพวกโรงแรมแบบนั้น มันเอาไปเพิ่มเป็นประสบการณ์ทำงานเวลาไปสมัครงานไม่ได้หรอก มาทำงานบริษัทเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า โดยรุ่นพี่เสนอเรื่องให้บริษัทรับพ่อเข้าทำงานด้วยอัตราเงินเดือนของปริญญาตรีแม้จะยังไม่จบก็ตาม พ่อก็เลยเข้าทำงานแบบเต็มตัวครั้งแรก โดยเริ่มต้นด้วยตำแหน่งพนักงานบัญชี ที่บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แห่งหนึ่ง


    พ่อผมก็ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง แต่ก็ยังเรียนบ้างโดดบ้างเหมือนเคย อยู่มาได้สองสามเดือน รุ่นพี่ที่รับพ่อเข้าทำงานก็ลาออกไปทำงานที่อื่น เจ้าของบริษัทสมัยนั้นเป็นคนที่ชื่นชอบคนรุ่นใหม่ เห็นแววความตั้งใจและความขยันของพ่อ จึงเรียกพ่อไปคุย เพราะได้ข่าวจากรุ่นพี่ที่ออกไปว่าพ่อต้องทำงานหาเงินเรียนและส่งให้ที่บ้านต่างจังหวัด เลยยังเรียนไม่จบซะที


    เถ้าแก่บอกให้พ่อเริ่มวางแผนลงทะเบียนเรียนให้จบภายในสองเทอมให้ได้ ชั่วโมงเรียนไหนที่ตรงกับเวลางาน ก็อนุญาตให้ไปเรียน แล้วมาทำงานชดเชยตอนเย็นหรือวันเสาร์แทน จนในที่สุดพ่อก็เรียนจบจนได้ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่นดี ทั้งหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว เพราะพร้อมกันนั้น พ่อก็ได้แม่ผมมาเป็นคู่ชีวิต


    ดวงพ่อผมช่วงนั้นก็เริ่มรุ่งขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ เพราะต่อมาไม่นาน พ่อก็ได้รับข่าวดีถึงสองเรื่องติดๆ กัน คือได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้จัดการแผนกบัญชี แถมแม่ยังให้ของขวัญเป็นลูกชายคนแรกให้พ่อ ซึ่งก็คือผมเสียอีก เรียกว่าถ้าสถานะทางสังคมและหน้าที่การงานของพ่อยังราบรื่นแบบนี้ต่อไป สามสิบปีให้หลังพ่ออาจเกษียณเยี่ยงคหบดีทั้งหลาย ใช้ชีวิตบั้นปลายแบบสุขสบายกว่านี้ก็เป็นได้


    แต่ชีวิตคนเราก็ไม่แน่นอน บริษัทที่พ่อทำงานอยู่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลายอย่าง เนื่องจากเถ้าแก่เริ่มสุขภาพไม่ดี ต้องเพลาๆ มือให้ลูกน้องและรุ่นลูกมาช่วยบริหาร ตอนนี้เองที่พ่อเริ่มเห็นความไม่ชอบมาพากลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ โดยเฉพาะจากผู้จัดการแผนกบัญชี หัวหน้าของพ่อเอง เมื่อพ่อทักท้วง บ่อยเข้ามันก็เริ่มกลายเป็นความขัดแย้งกับหัวหน้า จนกระทั่งวันหนึ่งก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้น


    วันนั้น ขณะที่กำลังโต้เถียงเรื่องตัวเลขที่ถูกปั้นขึ้นมากับผู้จัดการ โทสะของท่านผู้จัดการก็เกิด ผู้จั๊ดก๋านก็เปี้ยนไป๋ วิญญาณลี้คิมฮวงเข้าสิงท่านผู้จัดการ แก้วกาแฟก็ลอยใส่พ่อเป็นอย่างแรก แต่พ่อหลบได้ จากนั้นก็ตามมาด้วยจานรองแก้ว คราวนี้พ่อหลบไม่พ้น สุดท้ายเครื่องพิมพ์ดีดที่วางอยู่ข้างๆ ก็ลอยขึ้นบ้าง เพียงแต่คราวนี้คนขว้าง – ที่จริงต้องบอกว่าทุ่ม – เปลี่ยนเป็นพ่อผมแทน


    ระหว่างที่คนอื่นๆ กำลังพาผู้จัดการส่งโรงพยาบาล พ่อก็พิมพ์จดหมายลาออกไปยื่นให้เถ้าแก่ แม้จะถูกทัดทานอย่างไรพ่อก็ไม่เอาแล้ว พ่อบอกว่าคงอยู่ไม่ได้หรอก เพราะต้องถือว่าพ่อทำผิดกฎบริษัทอย่างร้ายแรง สุดท้ายพ่อก็ออกมาจากบริษัทนั้น มาเลี้ยงผมอยู่กับบ้าน โดยมีเพียงแม่ทำงานอยู่คนเดียว


    เคยถามพ่อว่าพ่อทำอย่างนั้นไปทำไม พ่อบอกว่าพ่อทนไม่ได้ ที่จะเป็นเครื่องมือในการทุจริตของใคร ถ้าพ่อเอาด้วย พ่อก็ต้องผิดกับมโนธรรมที่มีอยู่ในจิตใจ ถ้าพ่อทำเป็นเฉยๆ วันหนึ่งเกิดเรื่องทุจริตนั้นฉาวขึ้นมา พ่อก็ต้องติดร่างแหอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรียกว่าผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง พ่อจึงต้องค้านเต็มที่ ถ้าให้พ่อลอยตามน้ำแบบนั้น สู้พ่อขอออกมาอย่างมีศักดิ์ศรีดีกว่า


    หลังจากนั้น เถ้าแก่ก็ส่งคนมาเกลี้ยกล่อมให้ไปทำงานอยู่ 2-3 ครั้ง แต่พ่อก็ไม่ไป พ่อบอกว่ารู้สึกไม่ดีถ้าจะกลับไป เพราะคนอื่นๆ จะมองว่าพ่อเป็นเด็กเส้น เถ้าแก่จะเสียการปกครอง แค่เถ้าแก่อนุญาตให้พ่อเรียนระหว่างทำงานก็เป็นบุญคุณพอแล้ว


    ระหว่างตกงาน พ่อก็เลี้ยงผมอยู่บ้าน พ่อวางแผนจะกลับไปทำงานที่โรงแรมอีก ควบคู่กับการเรียนปริญญาโทไปด้วย พ่อก็เริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าเรียนปริญญาโท โดยตั้งใจจะสอบเข้าเรียนโทที่คณะพาณิชศาสตร์ จุฬาฯ ตามสายงานที่พ่อถนัด


    ถ้าคุณๆ จำได้ พ่อมีเพื่อนสนิทที่อยู่วัดมาด้วยกันสองคน หนึ่งในนั้นเรียนนิติศาสตร์ ซึ่งพอเพื่อนคนนี้เรียนจบ ก็ทำงานในสำนักงานทนายความอยู่พักนึง ต่อมาก็สอบบรรจุเข้ารับราชการตำรวจได้ พอทราบว่าพ่อตกงานอยู่ ก็รีบมาเยี่ยม และแนะให้พ่อลองสอบเข้ารับราชการตำรวจดูบ้าง เพราะกรมตำรวจเพิ่งตั้งกองการเงินขึ้นมาใหม่ที่แถววังสระปทุมเดิม ตรงข้ามสำนักงานตำรวจแห่งชาติปัจจุบันนี่เอง


    พูดไปจะว่าคุย พ่อเป็นคนที่เรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ยิ่งมีเวลาอ่านหนังสือเต็มที่ ผลสอบออกมาพ่อสอบติดทั้งตำรวจ และปริญญาโท แต่ตามระเบียบของกรมตำรวจแล้ว ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก จะต้องไปฝึกหลักสูตรที่เรียกว่านายร้อยอบรม (นอ.ร.) เป็นเวลา 1 ปีเสียก่อน จึงจะได้รับการบรรจุเข้าทำงาน โดยเริ่มต้นที่ยศร้อยตำรวจตรี พ่อจึงจำเป็นต้องสละสิทธิ์การเรียนปริญญาโทไปก่อน


    ก็น่าจะตอบข้อสงสัยของบางคนได้นะครับ ว่าทำอีท่าไหนพ่อถึงมาเป็นตำรวจได้ ทั้งที่จบปริญญาตรีทางบัญชี


    เรื่องสั้นขนาดยาวนี่คงไม่จบง่ายๆ นะครับ ไหนๆ เล่าแล้วก็ต้องให้มันครบถ้วนสมบูรณ์กันไปเลย เท่าที่พล๊อตไว้ในใจ ทั้งหมดก็ประมาณ 10 ตอนได้ เดี๋ยวค่อยมาต่อตอนที่ 5 ครับ

    จากคุณ : เพชฌฆาตความเครียด - [ 20 เม.ย. 47 14:51:59 ]