| เชื่อร้อยเปอร์เซนต์คร้าบ (5 คน) |
| เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่งเติมมากไปจนไม่ค่อยเนียน (3 คน) |
| เชื่อก็บ้า โม้แหงๆ เรื่องแบบนี้ไม่มีจริงร้อก ! (1 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 9 คน |
วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศการเล่าเรื่องกันนิดหน่อย โดยให้ร่วมกันโหวตเล่นๆ ว่า เรื่องที่ผมเล่าเกี่ยวกับพ่อของผมมา 5 ตอนเนี่ย คุณเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไรบ้าง โหวตกันเล่นๆ ครับ อิอิ
--------------------------------------------------------
ตอนแรกว่าจะเล่าเรื่องพ่อของผมเล่นๆ ซักสอง-สามตอนจบ แต่เล่นไปเล่นมา น้ำท่วมทุ่งเข้าไป 4 ตอนเข้าให้แล้ว ก็ยังไม่ถึงครึ่งเลย เลยมาเล่าต่อดีกว่า จะได้ใกล้จบไปอีกนิดนึง อุอุ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว พ่อผมดวลอาวุธบินกับคนที่ทำงาน เลยต้องออกมาตกงานอยู่พักนึง ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือเตรียมสอบเรียนปริญญาโทต่อ แล้วก็มีเพื่อนมาแนะนำให้สอบเข้ารับราชการ บังเอิญสอบได้ทั้งสองอย่าง พ่อเลือกอย่างหลังครับ เรียนโทเมื่อไหร่ก็ได้ (มั้ง)
พอพ่อสอบเข้ารับราชการได้ ก็ถูกส่งไปฝึกหลักสูตรนายร้อยอบรมซะปีนึง แล้วก็ออกมาติดยศร้อยตำรวจตรี สังกัดกองการเงินกรมตำรวจ แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความตั้งใจที่จะเรียนปริญญาโท เพียงแต่เป้าหมายก็เปลี่ยนไปบ้าง เพราะสายงานอาชีพเปลี่ยนไปแล้ว คราวนี้พ่อมุ่งสอบเข้าเรียนปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ ที่จุฬาฯ แทนครับ
พูดไปก็เหมือนคุย (อีกแล้ว) พ่อสอบเข้าได้แบบสบายๆ ตามเคย ก็ได้เข้าไปเรียนสมใจ แต่ด้วยหน้าที่การงานมันไม่ค่อยอำนวย เพราะช่วงนั้นพ่อได้ย้ายไปสังกัดแผนกรถสายตรวจ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ก็เลยเรียนๆ หยุดๆ เทอมนึงเก็บได้ 1-2 วิชาเท่านั้น ซึ่งก็ตามสูตรของเค้าละครับ ชาวบ้านเค้าเรียนโทกัน 2 ปีจบ เจ้าคุณพ่อของผมจะเหมือนใครได้ยังไง ต้อง 4 ปีครึ่งเต็มโควต้าครับ
ยิ่งช่วงถัดมา พ่อย้ายไปสังกัดหน่วยงานที่ถือว่างานหนักที่สุดของกรมตำรวจขณะนั้น คือกองปราบปราม ทำงานทำการไม่ค่อยเป็นเวลาเหมือนชาวบ้านเค้า ขนาดว่าอาจารย์ที่ปรึกษาโทรมาตามให้ไปเรียนให้จบก็แล้วกัน ท่านบอกว่าประวัติท่านเป็นอาจารย์มาหลายสิบปี ไม่เคยมีลูกศิษย์คนไหนเรียนไม่จบ ช่วยอย่าเป็นคนแรกให้ท่านเสียประวัติเลย
อาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์ดังมากในสายวิชารัฐศาสตร์ พ่อเกรงจะทำให้ประวัติอาจารย์ท่านมัวหมอง จึงต้องเร่งสปีดจนจบตามคำขู่ ตอนนั้นผมเริ่มจำความได้แล้ว จำได้เลยว่าบ้านหลังเก่าจะเป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดค่อนข้างใหญ่ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี่พ่อผมจะตื่นแต่เช้า ล้างหน้าล้างตา ดื่มกาแฟเสร็จก็จะออกไปสร้างอารมณ์รดน้ำต้นไม้ในบ้าน พอได้ที่ก็จะเข้ามานั่งประจำโต๊ะทำงานที่เป็นมุมส่วนตัวของพ่อในชุดเครื่องแบบปกติ คือนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว พอสายหน่อยพ่อก็จะให้แบงค์ยี่สิบกับผมใบนึง ใช้ผมขี่จักรยานไปซื้อบุหรี่กะลูกอม 5 บาท ตังค์ทอนก็เสร็จโก๋ (สมัยนั้นบุหรี่กรุงทองสั้น ซองละ 9 บาท ลูกอมฮอลล์ 5 เม็ดบาท เหลือค่าแรงตั้ง 6 บาท อุอุ) แล้วพ่อก็จะนั่งค้นๆ คุ้ย ตู้หนังสือข้างโต๊ะทำงานที่มีหนังสืออยู่ 2-300 เล่ม พร้อมกับจดโน้ตนู่นนี่วุ่นวายไปหมด พอตกบ่าย ก็จะเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์อย่างจริงจัง เรียกว่าช่วงบ่ายนี่อย่าได้ไปรบกวนพ่อเชียว โดนด่ากระเจิงแน่ๆ ผมนั่งๆ นอนๆ ดูทีวีเริ่มเบื่อก็มานั่งอ่านหนังสือข้างๆ เป็นเพื่อน อ่านอะไรน่ะเหรอครับ เด็ก 7-8 ขวบอย่างผม อ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2, ตำราลัทธิคอมมิวนิสท์และสังคมนิยมต่างๆ ตำราพื้นฐานทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ต่างๆ พวก สัญญาประชาคม ของ ฌอง-ฌัคซ์ รุสโซ พวกหนังสือการ์ตูนนี่สมัยเด็กๆ ไม่มีตังค์ซื้อครับ เลยได้อ่านแต่อะไรแบบนี้แหละ ไม่ค่อยกราแดะเลยนิ
ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าวันนึงพอโตขึ้นมา ผมจะต้องกลับไปเรียนวิชาพวกนี้อีกจนได้
คิดถึงตรงนี้ก็ตลกดี พ่อผมเรียนปริญญาตรีพาณิชย์ศาสตร์บัณฑิต ตามด้วยรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต ส่วนผมที่เป็นรุ่นลูก ได้รัฐศาสตร์บัณฑิต และกำลังจะตามด้วยโทพาณิชย์ศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพ่อ เรียกว่าผมเป็นรุ่นหลานของพ่ออีกทีก็ว่าได้ อุอุ
และนิสัยดีหรือเสียไม่ทราบประการหนึ่งที่ผมติดมาจากพ่อก็คือ ชอบให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเอง พอเริ่มเย็น พ่อจะใช้ผมอีกรอบให้ไปซื้อสิงห์ 3 ขวด มาจุ่มน้ำแล้วแช่ช่องแช่แข็งให้เย็นจนเป็นวุ้น พอทานข้าวเย็นเสร็จ พ่อก็จะเริ่มเปิดขวดแรก จิบเบียร์เย็นๆ ให้รางวัลตัวเองที่วันนี้ทำงานไปได้ตามเป้าหมาย พร้อมนั่งเขียนวิทยานิพนธ์ไปเรื่อยๆ จนร่วมเที่ยงคืนจึงเข้านอน หรือบางวัน ความที่พ่อเป็นคนที่มีลูกน้องรักมากพอสมควร บางทีพวกเค้าก็นัดกันหิ้วเหล้ายาปลาปิ้งมานั่งให้กำลังใจพ่อผมอยู่ข้างๆ โต๊ะทำงาน ซึ่งวันไหนมีพวกนี้มา เดาได้เลยว่าคืนนั้นพ่อผมเขียนได้เต็มที่ก็ 2-3 หน้าเท่านั้น
อ้อ
ที่ว่าพ่อผมเขียนวิทยานิพนธ์น่ะ เขียนด้วยลายมือจริงๆ นะคุณ สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์อย่างทุกวันนี้ ถ้าจะพิมพ์ดีด ก็ต้องไปใช้เครื่องที่ทำงานไม่สะดวก ซื้อก็แพงและไม่คุ้ม เพราะไม่ค่อยใช้ จะจ้างเค้าพิมพ์พอมานั่งคำนวณค่าพิมพ์คูณจำนวนหน้าแล้วก็ไม่ไหว และที่จริงคือพ่อพิมพ์ดีดไม่ค่อยเป็น เขียนเอาเร็วกว่าเยอะ วิทยานิพนธ์ที่พ่อผมเขียนเนี่ย ถ้าจำไม่ผิด หนากว่า 1,200 หน้าเชียวนะครับ แถมได้รับรางวัลชมเชยวิทยานิพนธ์ประจำปีนั้นเสียด้วย ไม่เชื่อไปหาอ่านได้ที่ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เลยเอ้ามีไม่กี่เล่มหรอกที่เขียนด้วยลายมือล้วนๆ น่ะ
มาเล่าเรื่องการทำงานของพ่อดีกว่า
เท่าที่ผมจำได้ ตอนผมเข้าเรียนประถมที่ SG บ้านกับโรงเรียนจะไกลมาก ที่บ้านก็ไม่มีรถส่วนตัว อาศัยว่าพ่ออยู่หน่วยรถสายตรวจ ก็เลยมีรถคู่ใจเป็นรถหลวง แบบที่บางคนเรียกว่ารถหวอน่ะแหละ เป็นรถเก๋งสีน้ำเงินคาดขาว ติดโลโก้สัญลักษณ์ของกองปราบน่ะ เวลาพ่อขับรถมาส่งที่โรงเรียนนี่เท่ห์อย่าบอกใครเลยครับ ส่งผมเสร็จแล้วพ่อก็จะขับเลยไปที่ทำงานที่สามยอด (ปัจจุบันรื้ออาคารไปแล้ว)
หน่วยงานของพ่อสมัยนั้นถ้าเทียบกับในหนังก็คงเป็นพวกประมาณ FBI คือจุ้นจ้านไล่สืบจับทั่วราชอาณาจักร บางครั้งพ่อเตรียมเก็บของกลับบ้าน แต่มีคำสั่งด่วนให้ไปทำงานก็มี เรียกว่าต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา พ่อจะมีลูกน้องคู่ใจอยู่สองคน ทั้งสองคนนี่ผมว่ามีคุณสมบัติเหมือนพ่อผมอยู่อย่างนึงก็คือ หน้าตาค้านกับอาชีพอย่างแรง เล่ากันว่าหนึ่งในสองคนนี้ เคยแฝงตัวเข้าไปกินนอนอยู่กับพวกซุ้มมือปืนต่างจังหวัดเป็นเดือนๆ แบบไม่มีใครระแคะระคายเลยทีเดียว ตกเย็น ได้เวลาผมเลิกเรียน พ่อจะให้ลูกน้องคนใดคนหนึ่งบึ่งมอเตอร์ไซค์มารับผมที่โรงเรียนไปนั่งรอที่ที่ทำงานก่อน ผมก็จะนั่งทำการบ้านรอเวลาพ่อเคลียร์งานเสร็จ จากนั้นท่านผู้กำกับ (ตำแหน่งขณะนั้น ปัจจุบันเป็นรอง ผบ.ตร.) ซึ่งเป็นเจ้านายพ่อ ก็จะเลี้ยงข้าวต้มลูกน้องทั้งแผนกเป็นการขอบคุณที่ช่วยกันทำงาน แล้วเราถึงจะกลับบ้านด้วยกัน ก็ถึงบ้านค่ำมืดประจำแหละครับ
วันหนึ่งตอนผมอยู่ ป.2 ผมนั่งรอคนมารับที่โรงเรียนจนเย็นก็แล้ว มืดก็แล้ว ก็ยังไม่มีใครมารับ โทรศัพท์ไปที่ทำงานพ่อก็ไม่มีคนรู้เรื่องว่าพ่อไปไหน ถามหาลูกน้องคนสนิทของพ่อก็ไม่เจอตัว จนบราเดอร์มีศักดิ์ ท่านเป็นอธิการใหญ่ของโรงเรียนในสมัยนั้นเดินมาเจอ ถามไถ่เสร็จท่านก็บอกว่าไม่ต้องกลัว จำทางกลับบ้านได้ไหม ถ้าจำได้เดี๋ยวจะให้คนไปส่ง แล้วท่านก็กรุณาให้อาบังหัวหน้าคนงานที่โรงเรียนขับรถไปส่งที่บ้าน คิดดูว่าโรงเรียนผมอยู่ซังฮี้ บ้านอยู่เกือบถึงรามอินทรา อาบังขนเพื่อนไปอีก 2 คน แบบว่ากลัวหลงทางขากลับ ขับรถไปก็บ่นไปว่าไกลโคดๆ แต่ในที่สุดก็ถึงบ้านจนได้ เปิดประตูบ้านมาแม่ผมตกอกตกใจใหญ่ นึกว่าลูกโดนแก๊งค์อินเดียจับตัวเรียกค่าไถ่ 
แม่ผมฉุนมากที่พ่อทิ้งให้ผมรอแล้วไม่ไปรับ แม่เตรียมต่อว่าพ่อเต็มที่ จนตี 2 พ่อก็ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน แม่ผมลุกจากที่นอนเปิดไฟเตรียมจวกพ่อเต็มที่ แต่พอพ่อเปิดประตูบ้านเข้ามาเท่านั้น แม่ก็เจอพ่อในสภาพแต่กายครึ่งท่อน เลือดแห้งกรังท่วมเสื้อยืดสีขาวที่พ่อใส่ แม่ผมก็เป็นลมไปในทันที
สอบถามกันภายหลังได้ความว่า ทีมของพ่อได้รับคำสั่งด่วนให้ไปบุกจับขบวนการค้าของเถื่อนที่จังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออก ไม่ไกลกรุงเทพฯ นัก พวกนี้มาเป็นแก๊งค์ใหญ่ จึงต้องระดมกำลังไปกันแทบหมดแผนก รวมทั้งลูกน้องคนสนิทพ่อผมด้วย และเรื่องก็ด่วนเกินกว่าจะหาใครมารับผมแทนได้ทัน กำลังตำรวจซุ่มอยู่จนถึงสามทุ่ม ก็ปิดล้อมแล้วแสดงตัวเข้าจับกุม มีการยิงต่อสู้กันนิดหน่อย แต่คนมีปืนกับคนใช้ปืนเป็นมันต่างกันเยอะ ฝ่ายตำรวจไม่มีใครเป็นอะไร แต่ฝ่ายคนร้ายได้รับบาดเจ็บหลายราย พ่อก็เลยต้องจัดทีมนำผู้ต้องหาที่บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล เมื่อกี้ยังไล่ยิงมันอยู่ดีๆ ตอนนี้ต้องมาคอยอุ้มมันขึ้นรถ เลือดก็เลยเปื้อนเสื้อ หลังจากนั้นก็ทำประวัติคนร้าย ตรวจนับของกลาง เสร็จสิ้นกระบวนการนั่นแหละถึงกลับบ้านได้
ยังครับ ยังไม่จบ ด้วยความที่ที่บ้านผมไม่มีโทรศัพท์ วันต่อมาคุณย่าผมที่ต่างจังหวัดอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นภาพเหตุการณ์แถลงข่าวการจับกุมในหน้าหนึ่ง มีพ่อผมยืนเสื้อโชกเลือดอยู่ในภาพ ย่าตกใจมาก เหมารถรับจ้างจากพิษณุโลกมาหาพ่อที่กรุงเทพด้วยความตกใจ นึกว่าพ่อเป็นอะไรไปซะแล้ว
เวรกรรมจริง-จริ๊ง !
ตอนหน้าเป็นตอนที่ออกแนวหวาดเสียวนิดๆ ครับ ว่าจะไปพาดพิงใครที่อยู่ในเหตุการณ์ผจญภัยของพ่อผมกันบ้างหรือเปล่า กำลังตรวจปรู๊ฟอยู่ พยายามไม่ให้มันพาดพิงอะไรใครมาก เดี๋ยวคนโดนพาดพิงเค้าเอาข้อความมาฟ้องหมิ่นประมาทผมนี่ได้นอนคุกแน่ๆ ถ้าใครอยากอ่านต่อก็ช่วยไปประกันตัวผมด้วยละกัน
จากคุณ :
(แมลงสาบ)
- [
26 เม.ย. 47 13:42:52
]